ผมว่า ทางที่ดีที่สุดก็คือ สอบถามทาง dealer โดยตรงครับว่าเขามีนโยบายเรื่อง after-sale service หรือบริการหลังขายอย่างไร เขาสต๊อคอะไหล่ไว้นานเท่าไร และที่สำคัญก็คือ นโยบายของบริษัทผู้ผลิตในต่างประเทศเขาจะมีอะไหล่ไว้บริการกี่ปีหลังจากรุ่นนั้นเลิกผลิต ที่มีผู้ออกความเห็นว่าเจ้าของร้านอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ดีบ้างร้ายบ้างนั้น ก็รับฟังไว้แต่อย่าเพิ่งเชื่อครับ ควรพิสูจน์ด้วยตนเองก่อน ไม่ควรเชื่อในสิ่งที่เรายังไม่ได้พิสูจน์ ร้านที่มีคนว่าอารมณ์แปรปรวนนั้นอาจบริการเราดีก็เป็นได้
ร้านไหนเจ้าไหนบริการก่อนขายไม่ดี (เช่น สอบถามข้อมูลแล้วไม่อยากตอบ ฯลฯ) ควรเลี่ยงสินค้าตัวนั้นครับ ถึงจะชอบยี่ห้อนั้นขนาดไหน หากบริการก่อนขายไม่ดี ไม่มีทางที่จะให้บริการหลังขายได้ดี เนื่องจากบริการหลังขายยุ่งยากและยืดเยื้อกว่ามาก
ทีนี้ผมจะเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมมีลำโพงยี่ห้อมิดเอนด์ค่อนไปทางไฮเอนด์คู่หนึ่ง ซื้อเมื่อสิบปีก่อน ติดคลาสบีของนิตยสารดังของฝรั่ง เสียงดีมากเมื่อเทียบกับราคาสามหมื่นเศษ ที่ผมซื้อเพราะเสียงดีครับ และมันไม่เกี่ยงตำแหน่งการวาง เซ็ทอัพง่าย ไม่ใช่เพราะมันติดคลาสแต่เพียงอย่างเดียว จนเมื่อเร็ว ๆ นี้ ผมรู้สึกว่าเสียงมันแปลก ๆ ไป โดยเฉพาะเสียงเบส ก็เลยแกะหน้ากากออกมาดูพบว่าตัวดัสท์แคปของวูฟเฟอร์มันแตกทะลุหมดทั้งสี่ตัว (เป็นลำโพงวูฟเฟอร์คู่ ลำโพงสองข้างก็สี่ตัว) ความที่มันเป็นลำโพงตู้ปิด เสียงก็เลยเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
ผมเปิดเว็บไซต์ของผู้ผลิต แล้วอีเมล์ไปสอบถาม customer support ของเขาดู ก็ได้รับคำตอบว่าผมต้องติดต่อดีลเลอร์ในบ้านเรา เขาไม่ขายอะไหล่ให้ลูกค้าโดยตรง ผมก็เลยโทรไปสอบถามตัวแทนเจ้าปัจจุบันของลำโพงยี่ห้อนี้ ที่ว่าเป็นเจ้าปัจจุบันก็เนื่องจากมีการเปลี่ยนตัวแทนหลังจากที่ผมซื้อลำโพงคู่นี้ไม่นานนัก เขาบอกว่ายี่ห้อนี้มีการสต๊อคอะไหล่ไว้เป็นเวลา 5 ปีหลังจากที่เลิกผลิต (ผู้ผลิตสินค้าที่เป็นฝรั่งมักจะระบุเวลาที่มีสต๊อคอะไหล่หลังจากที่เลิกผลิตสินค้ารุ่นนั้น เพื่อให้ลูกค้ารู้ชะตากรรมของสินค้าที่ตนซื้อ) ทีนี้ลำโพงผมสิบปีแล้ว ก็คงจะไม่มีอะไหล่ แล้วก็ไม่มีการเปลี่ยนเฉพาะดัสท์แคป (dust cap) ต้องเปลี่ยนไดรเวอร์หรือตัวขับทั้งตัว แล้วเขาก็ขอ serial number ของลำโพงผมไป ผมก็ถามว่าจะใช้ซีเรียลนัมเบอร์ไปทำอะไร เขาก็บอกว่าตัวขับลำโพงที่เป็นรุ่นใหม่ ๆ ที่จะนำมาเปลี่ยนให้อาจจะไม่เข้ากับครอสโอเวอร์ที่อยู่ในลำโพงผม ต้องขอตรวจสอบดูก่อน แล้วเขาก็ขอเบอร์โทรศัพท์ผมไว้เพื่อติดต่อกลับ แต่ผมว่านี่ไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงครับ ผมว่าเขาไปเช็คดูว่าผมซื้อกับเขาหรือเปล่า ซึ่งคำตอบก็คือไม่ใช่ครับ ก็เปลี่ยนดีลเลอร์ไปหลายปีแล้ว ผมว่านี่เป็นวิธีการที่เขาจะปฏิเสธไม่บริการสินค้าที่เขาไม่ได้เป็นคนขาย แต่ปฏิเสธอย่างนุ่มนวลรักษาน้ำใจลูกค้า หากจะตรวจสอบการเข้ากันได้ระหว่างตัวขับรุ่นใหม่กับลำโพงรุ่นเก่าก็ไม่เห็นต้องใช้ซีเรียลนัมเบอร์ รู้รุ่นของลำโพงก็น่าจะพอแล้ว และก็เป็นตามที่ผมคาดการณ์ไว้ คือเรื่องเงียบหายไปเลย ซึ่งผมก็ไม่ได้ตำหนิเขาหรอกครับ ก็ผมไม่ได้ซื้อกับเขา จะให้เขามานั่งเซอร์วิสก็กระไรอยู่ ลำโพงก็รุ่นเก่าแล้วด้วย
ผมก็เลยคิดจะเปลี่ยนลำโพง ถามถึงลำโพงยี่ห้อเดิม ดีลเลอร์บอกว่ารุ่นที่เทียบเท่ากัน ตอนนี้ตกคู่ละ 80,000 บาท ผมก็เลยคิดว่าจะเปลี่ยนยี่ห้อ เนื่องจากผมซื้อแล้วใช้นาน ไม่ค่อยเปลี่ยนเครื่องเปลี่ยนรุ่น ไม่อยากเจอปัญหาแบบนี้อีก พอดีผมได้งบซื้อแอมป์ NAD เลยลองถามลำโพง NHT โคไนซ์ แจ้งว่าเขามีนโยบายสต๊อคอะไหล่ไว้ 10 ปี (ถ้าผมจำไม่ผิด) ซึ่งเท่าที่ผมใช้สินค้าอเมริกันตัวอื่น ๆ ก็สต๊อคไว้ 10 ปีหลังเลิกผลิตเช่นกัน แต่ผมว่าสต๊อคอะไหล่นานเท่าใดยังไม่สำคัญเท่ากับว่าสินค้าที่เราซื้อนั้นจะเปลี่ยนดีลเลอร์บ่อยหรือไม่ ตัวแทนปัจจุบันมีประวัติในการทำสินค้าอย่างไร ส่วนในกรณีที่เราซื้อสินค้า used และสินค้านั้นมีการเปลี่ยนตัวแทน ตัวแทนรายปัจจุบันมีการให้สัญญาหรือไม่ว่าจะให้บริการสินค้าที่ซื้อจากตัวแทนเดิม แต่ผมว่าสัญญายังไม่สำคัญเท่าการกระทำ คือเกียรติประวัติหรือ track record เดิม
ที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้ฟังตั้งยืดยาวคือจะให้ความเห็นว่า ถ้าท่านจะเอาบริการหลังขายจริง ๆ แล้ว หากเป็นไปได้ก็ลองตรวจสอบดูก่อนว่าดีลเลอร์หรือผู้นำเข้าของสินค้าที่ท่านหมายตาไว้นั้น เขาทำสินค้าตัวนั้นมานานเท่าใดแล้ว หากทำเฉพาะตัวนั้นมาไม่นาน ก็ลองดูประวัติการทำสินค้าตัวอื่น ๆ ของเขาว่ามีความรับผิดชอบสินค้าตัวนั้นดีแค่ไหน มี track record หรือเกียรติประวัติอันดีมาบ้างหรือไม่ สินค้าที่ผมนึกออกว่าทำตลาดในบ้านเรามานาน ก็มี NAD/NHT ของโคไนซ์ Denon/JBL/Harman-Kardon ของมหาจักรฯ Yamaha ของสยามกลการ Marantz ของ MRZ standard Accuphase ของไฮเอ็นด์ออดิโอ Acoustic Reasearch/Adcom/Mcintosh ของเคเอส ฯลฯ (ขออนุญาตเอ่ยชื่อสินค้าและตัวแทน แต่เป็นเรื่องดีน่ายกย่องชมเชยคงไม่เป็นไร) ยังมีสินค้ายี่ห้อมิดเอนด์หรือไฮเอนด์อื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่งที่ทำตลาดมานาน แต่ผมนึกไม่ออกเนื่องจากในตอนหลัง ๆ นี้ผมไม่ค่อยได้ติดตามสินค้าไฮเอนด์ (เมียไม่ยอมให้งบมาซื้อ) ยี่ห้อที่ว่ามานี้ผมพอจะจำได้ว่าตัวแทนทำตลาดมานานจนเชื่อถือได้ว่าไม่มีปัญหาการเปลี่ยนตัวแทนอย่างที่ผมว่ามาข้างต้น ทั้งนี้ ไม่นับที่ผู้ผลิตเข้ามาทำตลาดทำเซอร์วิสเองอย่างยี่ห้อดัง ๆ ของญี่ปุ่นหรือเกาหลี และทั้งหมดที่ว่ามาก็ยังไม่เคยได้ยินว่ามีปัญหาเรื่องบริการหลังขายแต่อย่างใด ที่ว่าอย่างนี้เพราะว่ามีสินค้าบางยี่ห้อเหมือนกันที่มีคนต่อว่าเรื่องบริการหลังขายอย่างหนาหู เล่าลือต่อ ๆ กันไป แต่ฝรั่งหรือญี่ปุ่นเจ้าของสินค้าเอาหูทวนลมหรือไม่รู้เรื่องจริง ๆ ก็ไม่ทราบได้ ก็เห็นเป็นตัวแทนอย่างยืนยงคงกระพันอยู่ตั้งแต่ผมหัดเล่นเครื่องเสียงเมื่อยี่สิบปีกว่าปีมาแล้ว ผมก็เลยไม่กล้าเล่นทั้ง ๆ ที่ชอบอยู่เหมือนกัน แต่ใจไม่ถึงพอ
สรุปแล้วผมก็ซื้อ NHT Classic 3, Classic 3C (เซ็นเตอร์) กะว่าจะเม้มเงินเมียเอาไปซื้อซับฯ Velodyne SLP-1000R อีก จะหาว่าเชียร์โคไนซ์ก็ยอมล่ะครับ แต่ผมสบายใจกับ record และ service ของเขา หลังจากที่ซื้อแอมป์ NAD แล้วโอเค คุณภาพอยู่ในเกณฑ์ดี และราคาไม่สูงมากเกินไป เมียยอมให้ซื้อ ส่วนสินค้าไฮเอนด์ ผมว่าหากจะเล่นโดยไม่ต้องกลัวเรื่องเซอร์วิสล่ะก็ น่าจะเล่นยี่ห้อยอดนิยมครับหากยอมรับเสียงยี่ห้อนั้นได้ คนเล่นกันมากน่าจะทำให้หาอะไหล่ได้ง่ายกว่า ยิ่งเดี๋ยวนี้มีช่างอิสระฝีมือดีคอยให้บริการเป็นทางเลือกอีกด้วย เพื่อน ๆ รุ่นน้องผมหลายคนที่หิ้วเครื่อง 110 Volt กลับมาสมัยเรียนหนังสือ ตอนนี้ก็ต้องพึ่งพาบริการช่างอิสระเหล่านี้ล่ะครับ หากอยากทราบว่าเป็นรายใดติดต่ออย่างไรลองหาข้อมูลในเว็บเกี่ยวกับเครื่องเสียงไทยทั้งหลายดูครับ เห็นมีกระทู้เดิมเรื่องนี้หลายกระทู้เหมือนกัน แต่ถ้ารักชอบตัวไหนจริง ๆ ก็เล่นไปเถิดครับ เรื่องเซอร์วิสว่ากันทีหลัง ของไฮเอนด์จริง ๆ ก็คงทนทานพอควร ไม่เสียง่าย ๆ หรอกครับถ้าใช้ถูกวิธีและดวงไม่จู๋จริง ๆ ประเภทเจอของหลุด QC (quality control) ซึ่งท่านก็คงไม่โดนขนาดนั้นกระมังครับ