HTG2.club

หามาให้อ่านกันครับ ข้อมูลความรู้เรื่องเทคโนโลยี SED ที่ดีกว่าจอ LCD และ พลาสม่า

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ กัมปนาท KK

  • สมาชิกรุ่น Classic
  • Superstar...
  • *****
    • กระทู้: 4,044
โชคดีหรือโชคร้ายครับผมยังไม่ได้ซื้อทั้ง LCD และ plasma
SED คงจะเป็นคำตอบยสุดท้ายของห้องนั่งเล่นบ้านผมแน่ดำดีจริงๆ


ออฟไลน์ Golf

  • สมาชิกรุ่น Classic ..
  • Superstar..
  • **
    • กระทู้: 3,981
    • เพศ:ชาย
    • HiFiBug.com
เห็นว่าตอนนี้มีเทคโนโลยีใหม่กว่า SED มาอีกแล้วครับ ... laser tv  :D

เห็นว่าที่ SED ควรจะแจ้งเกิดมาตั้งแต่ปีก่อน (CES 2006) แต่ไม่เกิดสักที ... อาจเพราะ laser tv กำลังจะเกิดก็เป็นได้  :-X

http://www.aelon.net/2006/10/laser-tv/

    * Laser TV is brighter even than Plasma, something SED is not capable of (yet)
    * It is not only thin but very light, which should be useful for wall mounting
    * The manufacturing process is cheaper, meaning Laser TV could undercut SED prices on release
spec เป็นเพียงสิ่งที่สร้างความน่าสนใจให้เราไปลอง ... ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เราต้องตัดสินใจซื้อ

เลือกเครื่องเสียง ... "ลองให้เยอะ ซื้อให้น้อย จ่ายเมื่อมั่นใจ"

Merrex Kable มีจำหน่ายแล้วที่ http://www.hifibug.com/default.php?manufacturers_id=29

===============

http://www.HiFiBug.com





ออฟไลน์ RAK

  • สมาชิกรุ่น Classic
  • Super Star
  • *****
    • กระทู้: 1,723
    • เพศ:ชาย

ออฟไลน์ mcclain

  • **
    • กระทู้: 56
ข้อมูลสุดยอดเช่นเคยนะครับป๋า  นาน ๆ แวะมาที  มีแต่เรื่องดี ๆ ข้อมูลใหม่ ๆ มาฝากกัน  ..นับถือครับนับถือ   O0



ออฟไลน์ Lukjeab's Daddy

  • Lukjeab Hi Fi
  • Superstar...
  • ****
    • กระทู้: 11,132
  • รักวัวให้ผูก รักลูกให้ซื้อเครื่องเสียงให้ลูกฟัง

ออฟไลน์ JTR

  • สมาชิกรุ่น Classic
  • Super Star
  • *****
    • กระทู้: 1,030
    • เพศ:ชาย
    ภาพแสดงความหนาของจอภาพแบบ SED ที่ใช้ตัวยิงอีเลคตรอนขนาดเล็กหลายๆตัว (Emitter)ที่ยิงไปตกกระทบกับสารเรืองแสงที่ฉาบอยู่บนจอแสดงผล ซึ่งในแต่ละจุดภาพ (Pixel) จะมี Emitter 3 ตัวที่ทำหน้าที่แสดงผลในแม่สีหลัก (สีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน )ทำให้เกิดภาพขึ้นบนจอภาพ  ถ้ายังงงอยู่ ขอเวลาผมอีกซักหน่อย ขอพักยกกลับไปค้นข้อมูลรายละเอียดถึงโครงสร้าง และหลักการทำงานของ SED กลับมาให้อ่านกันอีกทีครับ

   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 พฤษภาคม, 2007, 01:21:30 pm โดย JTR »
ยังคง Anti  ปลาพะยูนแถวเจริญนครซอย 10 เหมียนเดิมเฟ๊ย !!



ออฟไลน์ WK

  • สมาชิกรุ่น Classic
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,376
    • เพศ:ชาย
  • ตราไก่


ออฟไลน์ JTR

  • สมาชิกรุ่น Classic
  • Super Star
  • *****
    • กระทู้: 1,030
    • เพศ:ชาย
      SED เป็นเทคโนโลยีการแสดงผลแบบใหม่ที่น่าจะมาแทนที่เทคโนโลยีการแสดงผลในปัจจุบันอย่าง LCD และ พลาสม่า ที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี ซึ่งแคนนอนกับโตชิบ้ากำลังซุ่มวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ให้ออกมาจำหน่ายในเชิงพานิชย์ ซึ่งมีรายละเอียดพอสังเขปดังต่อไปนี้
SED TV คืออะไร?
SED TV ย่อมาจากคำว่า surface-conduction electron-emitter display (SED) เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดสำหรับทีวีจอแบน ซึ่งเกิดจากความร่วมมือกันระหว่างบริษัทโตชิบาและบริษัทแคนนอน โดยทั้งสองบริษัทได้ร่วมกันพัฒนาทีวีจอแบนรุ่นใหม่ ที่อาศัยหลักการทำงานคล้ายกับจอภาพแบบ CRT (Cathode Ray Tube) แต่ว่ากินไฟน้อยกว่า ที่สำคัญคือมีน้ำหนักเบา และจอภาพบางเหมือนกับจอภาพแอลซีดีทั่วไป เทคโนโลยีที่ว่านี้จริงๆ แล้วก็มีการพัฒนามาตั้งแต่ปี 1986 โน่นแล้ว โดยทางแคนนอนและโตชิบาใช้เทคโนโลยีด้าน Inkjet Printing ซึ่งเป็นการสเปรย์อนุภาคอิเล็กตรอนไปยังกระจกแก้ว ด้วยหลักการดังกล่าวทำให้เกิดแนวคิดในการยิงอิเล็กตรอนไปยังจอภาพที่เป็นกระจกแก้วเช่นเดียวกับทีวีแบบหลอดคาโธดทั่วไป ซึ่งให้ความคมชัดที่สูง แต่ว่าจะมีน้ำหนักที่เบากว่าหลายเท่าตัว

ก่อนจะมาเป็น SED TV
ค่ายแคนนอนเป็นค่ายแรกที่เริ่มบุกเบิกพัฒนาและวิจัยเทคโนโลยีนี้ตั้งแต่ปี 1986 จนกระทั่งในปี 1999 จึงได้มีการร่วมมือกับค่ายโตชิบาเพื่อที่จะพัฒนาทีวีจอแบนนี้ให้ออกมาในเชิงพาณิชย์ จนกะทั่งในเดือนตุลาคม ปี 2004 ทั้งแคนนอนและโตชิบาก็ได้ควบรวมกิจการในชื่อใหม่ว่า SED Inc เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีนี้ให้ก้าวล้ำนำสมัยต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

หลักการทำงานของ SED TV ที่พัฒนามาจากเทคโนโลยี Injet
ด้วยความชำนาญเป็นทุนเดิมของค่ายแคนนอนในการผลิตเครื่องพิมพ์อิงค์เจตที่ให้ความละเอียดของภาพค่อนข้างสูง จึงทำให้เกิดแนวคิดที่จะใช้ตัวยิงอิเล็กตรอนขนาดเล็กที่เรียงกันเป็นแผงจำนวนมากมาทำเป็นตัวยิงอนุภาคอิเล็กตรอนแทนปืนยิงอิเล็กตรอนแบบเดิม ที่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าค่อนข้างสูงเพื่อปล่อยอิเล็กตรอนออกมากระทบที่จอภาพ แล้วผลที่ออกมาก็จะคล้ายกับภาพที่พิมพ์จากเครื่องพิมพ์อิงค์เจตรุ่นใหม่ที่ให้ความคมชัดของภาพที่สูง จุดภาพมีขนาดเล็กละเอียดแบบถี่ยิบ ซึ่งมองด้วยตาเปล่าจะไม่เห็นจุดของภาพเลยทีเดียว
และอย่างที่เรียนเอาไว้ในช่วงแรกแล้วว่า SED TV พัฒนาขึ้นมาโดยอาศัยหลักการที่คล้ายคลึงกับจอภาพแบบ CRT หลักการก็คือ SED TV จะมีการยิงอนุภาคอิเล็กตรอนให้วิ่งเข้าไปชนกับกระจกแก้วที่มีการเคลือบด้วยสารฟอสฟอรัส เมื่ออิเล็กตรอนวิ่งเข้าชนก็จะเกิดการคายพลังงาน แล้วเกิดการเรืองแสงของแม่สีบนหน้าจอโทรทัศน์ ซึ่งก็เป็นหลักการเดียวกันกับหลอดภาพแบบ CRT ที่ต้องอาศัยปืนยิงอิเล็กตรอนหรือ Electron Gun ยิงไปยังหน้าจอทีวีนั่นเอง แต่ทั้ง 2 ระบบนี้มีข้อแตกต่างกันตรงที่ว่า SED TV นั้นใช้เทคโนโลยี Nanogap เข้ามาช่วย หมายความว่าตัวยิงอิเล็กตรอน (Electron Emitter) ที่มีมากถึง 6,220,800 electron emitters หรือตัวยิงอิเล็กตรอนหนึ่งตัวต่อภาพ 1 พิกเซลเลยทีเดียว
ซึ่งตรงนี้ถือได้ว่าเป็นหัวใจหลักของเทคโนโลยีสำหรับการกำหนดระยะห่างระหว่างตัวยิงอิเล้กตรอนที่นับกันเป็นหน่วยนาโนมิเตอร์เลยทีเดียว (nm) แถมระยะทางจากตัวยิงอิเล็กตรอนไปยังกระจกเรืองแสงนั้นก็สั้นกว่าจอภาพแบบ CRT ทำให้จอภาพมีขนาดที่บางไม่หนาเตอะเหมือนทีวี CRT รุ่นเก่าๆ อีกต่อไป

การที่ระยะห่างของตัวยิงอิเล็กตรอนมีระยะที่สั้นลง และระยะทางในการยิงอิเล็กตรอนที่สั้นกว่าเดิมนี้ ทำให้แรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ต้องใช้ในการยิงอิเล็กตรอนมีขนาดที่ลดลงไปด้วย ระบบ SED TV จึงอาศัยแรงเคลื่อนไฟฟ้าเพียง 10 โวลต์เท่านั้น เพื่อยิงประจุอิเล็กตรอนออกจากฐานตัวยิงที่อยู่เรียงถี่ยิบอยู่อีกด้านหนึ่งของจอภาพ และทำให้เกิดภาพที่คมชัดขึ้นเนื่องจากไม่มีการสะท้อนของลำแสงอิเลคตรอนที่ต้องวิ่งออกมาในระยะทางไกลๆเหมือนเดิมอีก จึงส่งผลให้ภาพที่ปรากฏบนจอภาพนั้นมีความคมชัดเหนือกว่าจอภาพ LCD หรือเหนือกว่าภาพจากจอพลาสม่าเสียอีก แต่มีขนาดความหนาเพียงไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้นเอง

ที่สำคัญคือจากหลักการกระตุ้นและคายพลังงานของอิเล็กตรอนนี้เอง ทำให้จอภาพทีวีจอแบนแบบใหม่นี้สามารถแสดงผลทางจอภาพได้คมชัดมากๆ และกินไฟน้อยกว่าจอภาพพลาสม่าและแอลซีดี ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบอย่างมากสำหรับแนวโน้มของผู้บริโภคที่ต้องการทีวีจอแบนขนาดใหญ่ ( 40-50 นิ้วขึ้นไป) แต่ไม่ต้องการจ่ายค่าไฟแบบแพงหูฉี่เหมือนที่ต้องจ่ายมาแล้วในทีวีพลาสม่าและแอลซีดีทีวีจอยักษ์





ข้อได้เปรียบของ SED TV เมื่อเทียบกับทีวีจอแบนทั่วไป
1. ให้ความละเอียดของ Contrast Ratio ที่ระดับ 50,000:1 (สำหรับห้องที่ปิดไฟ) ถ้าเป็นจอภาพแบบพลาสม่าจะให้ Contrast Ration ที่ระดับ 3,000:1 ซึ่งเทคโนโลยีนี้ทางแคนนอนและโตชิบาคาดว่าจะพัฒนาออกมาให้ได้ถึงระดับ Contrast Ratio ที่ 100,000:1 เลยทีเดียว
2. มี Response time ที่ 1 ms ขณะที่ตอนนี้จอภาพแอลซีดีกำลังพัฒนามาที่ระดับ 5 ms
3. ค่าความสว่างหรือ Brightness อยู่ที่ 450 nits (cd/m2)
4. สามารถปรับมุมเอียงขององศาภาพได้สูงถึง 180 องศา

แหล่งที่มาของข้อมูล
  http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9500000024673
  http://www.sedtvguide.net/
  http://gear.ign.com/articles/679/679235p1.html
  http://www.toshiba.co.jp/about/press/2006_03/pr0801.htm
 
ยังคง Anti  ปลาพะยูนแถวเจริญนครซอย 10 เหมียนเดิมเฟ๊ย !!