HTG2.club

ซีดีและสกอร์เพลงพระนิพนธ์ ทูลกระหม่อมบริพัตรฯ

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Help !!!

  • Guest (บุคคลทั่วไป)
  • Superstar...
  • *
    • กระทู้: 5,866
  • Please Help Thanks
จอมพลเรือ จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์
กรมพระนครสวรรค์วรพินิต หรือ ทูลกระหม่อมบริพัตรฯ
พระผู้ทรงมีอัจฉริยภาพทางดนตรีอย่างสูงได้ทรงนิพนธ์เพลงไทยและเพลงสากลไว้เป็นจำนวนมาก
อันปรากฏเป็นหลักฐาน ณ กองดุริยางค์แห่งราชนาวี กองดุริยางค์กรมตำรวจ
สำนักดนตรีแห่งตระกูลพาทยโกศล ปี่พาทย์ไม้แข็งวงพาทยรัตน์
มูลนิธิจุมภฏ-พันธุ์ทิพย์จึงได้รวบรวมงานเพลงพระนิพนธ์เหล่านี้จัดทำเป็นซีดีและสกอร์เพลงพระนิพนธ์ของทูลกระหม่อมบริพัตรฯ อันเป็นการส่งเสริมและอนุรักษ์ดนตรีไทย
และนับเป็นประวัติศาสตร์ของประเทศไทยที่จะทำการเผยแพร่ดนตรีไทยซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาติให้เป็นที่ประจักษ์แก่นานาประเทศ
พระประวัติ
จอมพลเรือ จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต
           จอมพลเรือ จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์
กรมพระนครสวรรค์วรพินิต
ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
และสมเด็จพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี ประสูติเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๒๔
และสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๗ มีพระนามเรียกขานกันว่าทูลกระหม่อมบริพัตรฯ
พระองค์ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์
เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พ.ศ. ๒๔๕๔ ทรงเลื่อนขึ้นเป็นกรมพระนครสวรรค์วรพินิต
และทรงดำรงตำแหน่งต่างๆ ตามลำดับ ดังนี้ ตำแหน่งเสนาธิการทหารบก ผู้บัญชาการกรมทหารเรือ
องคมนตรีในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ เสนาธิการทหารบก
องคมนตรีใน
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว อภิรัฐมนตรีสภาในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
เสนาบดีกระทรวงกลาโหม ผู้แทนเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย
และผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร
ทูลกระหม่อมบริพัตรฯ ทรงโปรดใช้เวลาว่างส่วนพระองค์ในการศึกษาวิชาดนตรีทั้งด้านประสานเสียง
และการประพันธ์เพลง จนทรงสามารถประพันธ์เพลง และทำหน้าที่เป็นวาทยากรได้อย่างคล่องแคล่ว
เคยทรงเล่าประทานพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอินทุรัตนา พระธิดา ฟังว่า "…ถ้าพ่อเลือกได้
พ่อจะเรียนดนตรีและภาษา และจะทำงานด้านดนตรีอย่างเดียว แต่พ่อเลือกไม่ได้
เพราะพ่อบังเกิดมามียศตำแหน่ง ต้องทำงานให้ประเทศชาติ ทูลหม่อม (รัชกาลที่ ๕)
สั่งให้พ่อไปเรียนวิชาทหารเพื่อกลับมาปรับปรุงกองทัพไทย พ่อก็ไปเรียนวิชาทหาร
บางครั้งพ่อเบื่อบางวิชาที่ต้องเรียนจนทนไม่ไหว ต้องเก็บพ็อกเก็ตมันนี่เอาแอบไปเรียนดนตรี
แอบไปเรียนเพราะพวกผู้ใหญ่สมัยนั้นเห็นว่าวิชาดนตรีไม่เหมาะกับชายชาติทหาร
เมื่อได้เรียนดนตรีที่พ่อรักก็สบายใจ เกิดความอดทนที่จะเรียนและทำงานที่พ่อเบื่อ…"

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ประธานมูลนิธิจุมภฏ-พันธุ์ทิพย์
        "ในวโรกาสเฉลิมฉลองครบรอบคล้ายวันประสูติ ๑๒๐ ปี ของ จอมพลเรือ จอมพล
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต หรือ
ทูลกระหม่อมบริพัตรฯ ในวันที่ ๒๙ มิถุนายน
พ.ศ. ๒๕๔๔ มูลนิธิจุมภฏ-พันธุ์ทิพย์ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี ที่พระราชทานพระราชานุญาตนำแถบบันทึกเสียงเพลงพระนิพนธ์ ของ
ทูลกระหม่อมบริพัตรฯ ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บันทึกเสียงไว้เนื่องในโอกาสครบรอบ ๑๐๐ ปี
คล้ายวันประสูติ ณ ศาลาดุสิตาลัยนำมาประสานเสียงใหม่และบันทึกลงแผ่นซีดี
             มูลนิธิฯ
รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสจัดทำซีดีเพลงพระนิพนธ์ของทูลกระหม่อมบริพัตรฯ
และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ที่ทรงเป็นองค์ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ในการดำเนินงานครั้งนี้ มูลนิธิฯ
จึงได้ดำเนินการจัดทำเป็นซีดีเพลงพระนิพนธ์ ชุด เทิดพระเกียรติ ๑๒๐ ปี ทูลกระหม่อมบริพัตรฯ
พระบิดาแห่งเพลงไทยเดิม เพื่อร่วมน้อมรำลึกในวโรกาสครบรอบคล้ายวันประสูติ ๑๒๐ ปี
ทูลกระหม่อมบริพัตรฯ พร้อมกันนี้ได้จัดทำสกอร์พระนิพนธ์
นับว่าเป็นประวัติศาสตร์ของวงการดนตรีที่ได้จัดทำโน้ตรวมเพลงพระนิพนธ์ไว้ให้ปรากฏเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจศึกษารายละเอียด--ของเพลงต่อไป
การจัดทำซีดีและสกอร์เพลงพระนิพนธ์ของทูลกระหม่อมบริพัตรฯ ครั้งนี้
ประกอบด้วยคณะทำงานผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ ศ.น.พ.พูนพิศ อมาตยกุล, ม.ร.ว.จักรรถ
จิตรพงศ์, ร.ท. พิฑูร บุณยะปานะ ร.น. , คุณสินนภา สารสาส, อาจารย์สมาน น้อยนิตย์, พ.ท.วิชิต
ให้ไทย และน.ว.ท. สราญ เรืองณรงค์ นอกจากนี้ยังได้รับความร่วมมืออย่างดีจากดุริยางค์กองทัพบก
กองทัพเรือ กรมตำรวจ ผมต้องขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย"
ซีดีเทิดพระเกียรติ ๑๒๐ ปี ทูลกระหม่อมบริพัตรฯ พระบิดาแห่งเพลงไทยเดิม ๑ ชุด ประกอบด้วยซีดี
๕ แผ่น บรรจุเพลงอันทรงคุณค่า ได้แก่ เพลงครอบจักรวาล เถา, พวงร้อย เถา, แขกมอญบางขุนพรหม
เถา เป็นต้น บรรเลงโดยวงโยธวาทิตกรมตำรวจ โยธวาทิตกองทัพเรือ โยธวาทิตกองทัพบก
วงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องใหญ่คณะพาทยโกศล และวงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องใหญ่ คณะพาทยรัตน์
บรรจุอยู่ในรูปเล่มสวยงาม ควรค่าแก่การเป็นของขวัญ ของที่ระลึก หรือของสะสมที่หายาก
เนื่องจากจะจัดทำขึ้นเพียง ๒,๐๐๐ ชุดเท่านั้น นอกจากนี้ยังได้จัดทำสกอร์เพลงพระนิพนธ์
ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ของวงการดนตรีที่ได้จัดทำโน้ตรวมเพลงพระนิพนธ์ไว้ให้ปรากฏเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจศึกษารายละเอียดของเพลงต่อไป
ซีดีเพลงพระนิพนธ์ ทูลกระหม่อมบริพัตรฯ ชุดละ ๑,๔๙๙ บาท
สกอร์เพลงพระนิพนธ์ ทูลกระหม่อมบริพัตรฯ
- วงโยธวาทิต กองทัพเรือ
# เพลงบุหลันชกมวยเถา (ราคาเล่มละ ๒๘๐ บาท)
# เพลงพวงร้อยเถา (ราคาเล่มละ ๒๘๐ บาท)

- วงโยธวาทิต กองทัพบก
# เพลงแขกสาหร่ายเถา (ราคาเล่มละ ๒๘๐ บาท)
# เพลงทยอยนอก ๓ ชั้น (ราคาเล่มละ ๒๘๐ บาท)

- วงโยธวาทิต กรมตำรวจ
# เพลงครอบจักรวาลเถา (ราคาเล่มละ ๒๘๐ บาท)
# เพลงทยอยในเถา (ราคาเล่มละ ๒๘๐บาท)

พิเศษ สกอร์เพลงพระนิพนธ์ของทูลกระหม่อมบริพัตรฯ ทั้งชุด (รวมทั้งหมด ๖ เพลง) ราคา ๑,๘๙๐ บาท
ผู้สนใจสามารถหาซื้อได้ที่พิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาด วังบางขุนพรหม ศูนย์หนังสือจุฬา
ร้านน้องท่าพระจันทร์ และร้านนายอินทร์ทุกสาขา
รายได้ทั้งหมดเข้ากองทุนเทิดพระเกียรติ ทูลกระหม่อมบริพัตรฯ เพื่อการศึกษาการดนตรี
ติดต่อ : ฝ่ายวิชาการและประชาสัมพันธ์ มูลนิธิจุมภฏ-พันธุ์ทิพย์ โทร. (๐๒) ๒๔๖-๑๗๗๕-๖,
๒๔๕-๐๕๖๘ และ ๒๔๕-๒๘๕๒ ต่อ ๒๒๕
http://www.chumbhot-pantip.org/index.php?f=prnewsและ
http://www.suanpakkad.com/whatnews-t.html

ซีดีเพลงพระนิพนธ์ ทูลกระหม่อมบริพัตรฯ มี ๕ แผ่น
แผ่นที่ ๑ โดยวงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องใหญ่คณะพาทยโกศล
หัวหน้าวง          ร้อยเอกอุทัย  พาทยโกศล
ประกอบด้วยเพลง ๔ เพลง

๑ โหมโรงประแสบัน
        เพลงโหมโรง
เพลงนี้ในอัตราสองชั้นเป็นเพลงจากเพลงช้าเรื่องต้นแขกไทรเป็นเพลงบรรเลงไม่มีทำนองทางร้อง
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต
ทรงพระนิพนธ์เป็นเพลงโหมโรงเสภา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑ โปรดให้นายเทวาประสิทธิ์  พาทยโกศล ต่อไว้
เพลงนี้นิพนธ์ขณะที่มีพระชนมายุ ๕๗ พรรษา ๓๓ วัน
ซึ่งทรงมีพระชนมายุเสมอด้วยสมเด็จพระบรมชนกนาถ  พระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ขณะที่ประทับ  ณ  พระตำหนักประแสบัน เมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย ทรงหารือ
นายเทวาประสิทธิ์  พาทยโกศล ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร นายเทวาประสิทธิ์  พาทยโกศล
ทูลเสนอชื่อว่า “เพลงโหมโรงประแสบัน” จึงใช้เป็นชื่อเพลงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

๒อาถรรพ์เถา
        เพลงอาถรรพ์ สองชั้น เป็นเพลงทำนองเก่าสมัยอยุธยา ประเภทหน้าทับปรบไก่มี ๓ ท่อน ท่อนละ ๔
จังหวะ ใช้บรรเลงขับร้องในการแสดงละคร และในเพลงมโหรี  พระยาประสานดุริยศัพท์(แปลก
ประสานศัพท์)  นำทำนองมาแต่งขยายเป็นอัตราสามชั้น และแต่งตัดเป็นอัตราชั้นเดียว
ครบเป็นเถาทางหนึ่ง  ทางนี้นิยมบรรเลงขับร้องในวงมโหรี  นอกจากนี้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงพระนิพนธ์ขยายเป็นอัตราสามชั้น
และตัดทำนองเป็นอัตราชั้นเดียว ครบเป็นเถา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๑ โดยทรงนิพนธ์ทางดนครี
ส่วนทางร้อง นางเจริญ  พาทยโกศล แต่ง เพลงอาถรรพ์เถา ทางนี้ ทรงนิพนธ์เป็นทางปี่พาทย์
ประทานให้ร้อนเอกนพ  ศรีเพชรดี กับนายสาลี่  มาลัยมาลย์
เพื่อนำไปต่อให้กับวงปี่พาทย์วงบางขุนพรหม

๓ แขกบอญบางขุนพรหม
        เพลงแขกมอญบางขุนพรหมสองชั้น ทำนองเก่า ที่มีชื่อว่า เพลงมอญตัดแตง  ประเภทหน้าทับปรบไก่ มี
๓ ท่อน ท่อน ๑ มี ๔ จังหวะ ท่อนที่ ๒ มี ๔ จังหวะ และท่อน ๓ มี ๖ จังหวะ
นิยมใช้บรรเลงต่อจากเพลงกราวใน ละเพลงพม่าห้าท่อน สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิตทรงพระนิพนธ์ขึ้นจากเพลงมอญเก่า
อัตราจังหวะสองชั้นเชื่อเพลงมอญตัดแตง เพลงนี้ทรงนิพนธ์ เมื่อ พ.ศ.๒๔๕๓ ที่พระราชวังบ้านปืน
จังหวัดเพชรบุรี นับว่าเป็นเพลงไทยเพลงแรก โดยทรงพระนิพนธ์สำหรับให้วงโยธาวาทิตบรรเลง
ทางร้องทรงให้ นางเจริญ พาทยโกศล ปรับปรุงและให้จางวางทั่ว
พาทยโกศลปรับทำนองเป็นทางสำหรับปี่พาทย์บรรเลง เพลงแขกมอญบางขุนพรหมนี้นับประทานเชื่อว่า
เพลงแขกมอญบางขุนพรหม เพื่อเป็นอนุสรณ์ตามชื่อตำบล และวังที่ประทับของพระองค์ เพลงนี้มี ๓
ท่อน ทรงพระนิพนธ์ตามแบบแผนของเพลงแขกมอญทุกประการ คือ
        ๑. มีลักษณะเป็นเพลง ๓ ท่อน
        ๒. ทำนองของเพลงต้องสอดแทรกสำเนียงมอญ
        ๓. ในจังหวะสุดท้ายของแต่ละคนจะต้องมีทำนองซ้ำกัน

๔ แขกสาหร่ายเถา
        เพลงอัตราจังหวะสองชั้น ประเภทหน้าทับปรบไก่ มี ๓ ท่อน ท่อนที่ ๑ และ ๒ มี ๔ จังหวะ ท่อนที่
๓ มี ๖ จังหวะ เป็นเพลงสำหรับร้องตอนต้น (ตอนเกริ่น) ในการเล่นสักวาสมัยโบราณเพลงหนึ่ง
จ่าเผ่น  ผยองยิ่ง(โคม) แต่งทั้งทำนองและบทร้อง  ในปัจจุบันบทร้องที่แต่งไว้สูญหายแล้ว
คงเหลือแต่ทำนองซึ่งเป็นที่นิยมของนักดนตรีไทยอย่างแพร่หลาย เพลงแขกสาหร่ายสองชั้นที่
จ่าเผ่น  ผยองยิ่ง(โคม) แต่งขึ้นนี้เป็นเพลงที่ใช้บทสร้อยทำนองท่อน ๑ กับท่อน ๒ ใช้บทกลอน
ท่อนละ ๑ คำกลอน ท่อน ๓ ใช้บทร้องเป็นสร้อย เฉพาะท่อนที่ ๓ มีลักษณะพิเศษ  กล่าวคือ
จะร้องและบรรเลงแยกออกแตกต่างกันได้ ๓ แบบ คือ
                แบบที่ ๑ มี ๖ จังหวะหน้าทับ ทำนองมี”เท่า” ตอนต้นจังหวะที่ ๒
        แบบที่ ๒ มี ๖ จังหวะ ทำนองตอนต้นจังหวะที่ ๒ ไม่มี “เท่า” แต่จะ”เท่า”
จะไปมีในตอนท้ายของจังหวะที่ ๑
แบบที่ ๓ มี ๗ จังหวะหน้าทับ ทำนองมี”เท่า” ตรงจังหวะที่ ๒ ซ้อนกัน ๒ ครั้งและมี “เท่า”
ในตอนท้ายจังหวะที่ ๔ อีกครั้งหนึ่ง
หลวงประดิษฐไพเราะ(ศร  ศิลปบรรเลง) ได้นำเพลงแขกสาหร่ายสองชั้นของ จ่าเผ่น  ผยองยิ่ง(โคม)
แบบที่ ๑ มาแต่งขยายเป็นอัตราสามชั้นโดยทำนองเพลงในท่อนที่ ๓ จะมี ๖ จังหวะ
และมีเท่าตอนต้นจังหวะที่ ๒ แต่ง เสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๖ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๗๐
ได้แต่งตัดเป็นอัตราชั้นเดียว  ครบเป็นเพลงเถา  นอกจากนี้จางวางทั่ว  พาทยโกศล
ยังได้แต่งขยายและแต่งตัด  ครบเป็นเพลงเถาอีกทางหนึ่ง

รายนามนักดนตรี
ซอสามสาย                รองศาสตราจารย์ อารดา  กิระนันท์
ปี่ใน                        จ่าสิบเอกช้อย  เพิ่มผล,  จ่าเอกอารี  ศุขสายชล
ระนาดเอก                สิบเอกพัฒน์  บัวทั่ง,เรือเอกเล็ก  เกตรา
ระนาดทุ้ม                นายสละ  จอมแจ้งจันทร์,นายประวิทย์  เชยนิ่ม
ระนาดทอง                นายบุญช่วย  ชิตท้วม,นายเอื้อน  กรเกษม
ระนาดทุ้มเหล็ก                นายศร  อยู่ประคอง,นายสุชีพ  จันทร์เพ็งฉุย
ฆ้องวงใหญ่                ร้อยโทอุทัย  พาทยโกศล(หัวหน้าวง),นาวาโทอรุณ  พาทยกุล,
                                               นายทองใบ  คล่องฝีมือ
ฆ้องวงเล็ก                นายสมศักดิ์  ไตรวาส,นายฉ่ำ  เกิดใจตรง
ฉิ่ง ฉาบ                        นายบรรยงค์  น้อยอรุณ
กรับ                        นายจันทร์  จิตอรุณ
โหม่ง                        นายกิ่ง  คชาไพร
กลองแขก                นายมาสก  อนันตศัพท์,สิบเอกไพศาล  ปั่นอยู่
กลองสองหน้า                ร้อยตรีบุญรอด  ทองวิวัฒน์
ไกวบัณเฑาะว์                นายธวัช  รอดทัศนา

ประวัติของวง
คณะพาทยโกศล เป็นคณะดนตรีเก่าแก่ เดิมตั้งรกรากอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
แล้วย้ายมาตั้งรกรากอยู่ที่หลังวัดกัลยาณมิตร
เมื่อประมาณรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย หัวหน้าคณะที่ปรากฏนาม
เท่าที่สืบค้นได้คือ หลวงกัลยาณมิตตาวาส (ทับ)
ซึ่งมีชีวิตอยู่ราวรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เดิมคณะพาทยโกศลได้รับพระกรุณาอยู่ในพระอุปถัมภ์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ แต่หลังจากทรงเลิกพิณพาทย์แล้ว สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์ วรพินิต ได้ทรงอุปถัมภ์ต่อมา
และได้ทรงพระกรุณาประทานนามสกุลแก่หลวงกัลยาณ์ฯ ว่า "พาทยโกศล" เมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์
พ.ศ.๒๔๖๐ ทางคณะจึงได้ใช้นามสกุลนี้มาเป็นชื่อคณะจนถึงปัจจุบัน
จางวางทั่ว  พาทยโกศล บุตรชายของหลวงกัลยาณ์ฯ
ได้ควบคุมคณะพาทยโกศลถวายการรับใช้สนองพระเดชพระคุณทางด้านดนตรีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นับแต่รัชกาลที่ ๕ มาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ยังได้รับใช้เจ้านายและข้าราชการอีกมาก เช่น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ เจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ (ม.ร.ว.หลาน  กุญชร) เป็นต้น สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศฯ ได้ทรงพระกรุณาออกแบบลายสำหรับประดับมุกที่เครื่องดนตรีประจำคณะ
และทางคณะได้เชิญมาเป็นตราประจำวงด้วย
ในรัชกาลปัจจุบัน นายเทวาประสิทธิ์  พาทยโกศล และคุณหญิงไพฑูรย์  กิตติวรรณ
บุตรและธิดาของจาวางทั่ว  พาทยโกศล ก็ยังคงถวายการรับใช้เบื้องพระยุคลบาทอีกเป็นอเนกประการ
เช่น ถวายคำแนะนำทางด้านดนตรีไทยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ถวายการสอนดนตรีแด่พระโอรสและพระราชธิดาทุกพระองค์ และยังได้รับใช้เจ้านายหลายพระองค์ เช่น
พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฎพงศ์บริพัตร กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิ์พินิต
แห่งวังสวนผักกาด พระโอรสและพระธิดาของเจ้าพระยาเทเวศน์วงศวิวัฒน์ แห่งวังบ้านหม้อ เป็นต้น
นอกจากนี้ นายเทวาประสิทธิ์และคุณหญิงไพฑูรย์ยังได้รับเชิญไปสอนดนตรีไทย
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญพิเศษของสถาบันการศึกษาต่างๆ ด้วย เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โรงเรียนสตรีวิทยา เป็นต้น
ปัจจุบันคณะพาทยโกศลตั้งอยู่ ณ บ้านเลขที่ ๘๙๔ หลังวัดกัลยาณมิตร บุปผาราม กรุงเทพฯ
โทรศัพท์ ๐๒-๔๖๕-๐๔๙๕  ร้อยตรีอุทัย  พาทยโกศล เป็นหัวหน้าวง

แผ่นที่ ๒ โดยวงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องใหญ่ คณะพาทยรัตน์
ประกอบด้วยเพลง ๔ เพลง
หัวหน้าวง                  นางสังเวียน  เกิดผล
ขับร้องโดย                นางมาลี  เกิดผล
๑ สุรางค์จำเรียงเถา
        เพลงสุรางค์จำเรียงสามชั้น  เป็นเพลงทำนองเก่าประเภทหน้าทับสองไม้ มี ๒ ท่อน ท่อน ๑ มี ๕
จังหวะ ท่อน ๒ มี ๖ จังหวะ เป็นเพลงคู่กับเพลงอัปสรสำอาง ไม่ทราบนามผู้แต่ง  ใน พ.ศ. ๒๔๘๓
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต
ขณะที่ประทับอยู่ที่เมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย
ทรงนิพนธ์ตัดเป็นอัตราสองชั้นและชั้นเดียว ครบเป็นเพลงเถา
ทรงพระกรุณาส่งโน้ตเพลงมาทางไปรษณีย์  ประทานให้นายเทวาประสิทธิ์  พาทยโกศล
เพื่อนำบรรเลงออกอาศทางวิทยุกระจายเสียง

๒ อัปสรสำอางเถา
        เพลงอัปสรสำอาง ทำนองเดิมเป็นเพลงอัตราสามชั้น  ประเภทหน้าทับปรบไก่ มี ๒ ท่อน ท่อนละ ๔
จังหวะ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต
ทรงนิพนธ์ตัดเป็นอัตราสองชั้นและชั้นเดียว ครบเป็นเพลงเถาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓
ขณะที่ประทับอยู่ที่เมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย  ทรงพระกรุณาส่งโน้ตเพลงมาทางไปรษณีย์
ประทานให้นายเทวาประสิทธิ์  พาทยโกศล  เพื่อนำบรรเลงออกอาศทางวิทยุกระจายเสียง  ใน พ.ศ. ๒๕๐๙
นายบุญยงค์  เกตุคง
ได้นำทำนองสองชั้นของเดิมมาแต่งขยายเป็นอัตราสามชั้นและแต่งตัดเป็นอัตราชั้นเดียว
ครบเป็นเพลงเถาอีกทางหนึ่ง

๓ ครวญหาเถา
        เพลงครวญหาสองชั้น เป็นเพลงทำนองเก่าสมัยอยุธยา ประเภทหน้าทับสองไม้ มี ๕ ท่อน
ใช้เป็นเพลงสองไม้ต่อจากเพลงช้า เรื่องเขมรใหญ่  บรรเลงร่วมอยู่ในเพลงเรื่องบัวลอย
เป็นเพลงพวกเดียวกับเพลงนางโหย นางไห้ และนางหน่าย นอกจากนี้ยังนำมาขับร้องเป็นเพลงอวยพร
เมื่อนำบรรเลงเอกเทศนิยม  บรรเลงเฉพาะ ๓ ท่อนแรก พระยาประสานดุริยศัพท์(แปลก  ประสานศัพท์)
ได้นำทำนองมาแต่งขยายเป็นอัตราสามชั้น  ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๘๑ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต  ทรงนิพนธ์ เป็นเพลงเถา
ทางปี่พาทย์ทั้งทำนองดนตรีและทำนองร้องทางหนึ่ง ใน พ.ศ. ๒๔๙๐ หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร
ศิลปบรรเลง)
ได้นำทำนองสองชั้นมาแต่งขยายเป็นสามชั้นและแต่งตัดเป็นอัตราชั้นเดียวครบเป็นเพลงเถาอีกทางหนึ่ง
เพื่อให้เป็นเพลงคู่กับเพลงครวญหาเถา

๔ จีนลั่นถัน ๓ ชั้น(บรรเลง)
๑. เพลงอัตราจังหวะสองชั้น ทำนองเก่าสมัยอยุธยา นิยมนำมาร้องขับลำนำ ในสมัยรัชกาลที่ ๔
นักดนตรีนำเพลงจีนลั่นถันไปเล่นเป็นชุด ในการบรรเลงชุดนี้นิยมบรรเลงด้วยปี่คู่
คือปี่ในและปี่นอกเพลงนี้จึงมีชื่อเรียกอีก ๒ ชื่อว่า เพลงจีนสองเลาและเพลงจีนสาธุการจีน
สำหรับเพลงที่รวมอยู่ในชุดนี้มี ๔ เพลงคือ เพลงจีนลั่นถัน เพลงจีนขวัญอ่อน
เพลงจีนดาวดวงเดียวและเพลงจีนใหญ่
๒. เพลงอัตราจังหวะสองชั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์
กรมพระนครสวรรค์วรพินิตทรงพระนิพนธ์ขยายขึ้นเป็นอัตราจังหวะสามชั้น
โดยทรงเป็นทำนองแบบลูกล้อลูกขัดและเดินทำนองสำเนียงจีนทั้ง ๓ ท่อน เพลงนี้ทรงพระนิพนธ์เมื่อ
พ.ศ. ๒๔๘๑ ขณะประทับ ณ เมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย
๓. เพลงเถา ในสมัยรัชกาลที่ ๖ หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง)
ได้นำเพลงจีนลั่นถันสองชั้นมาแต่งขยายเป็นอัตราจังหวะสามชั้นและแต่งตัดเป็นอัตราจังหวะชั้นเดียวเป็นเพลงเถา และเป็นเพลงหนึ่งที่ใช้บรรเลงถวายการต้อนรับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ (ขณะดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ) เสด็จกลับจากยุโรปครั้งที่ ๒ เมื่อ พ.ศ.
๒๔๖๗

ประวัติของวง
วงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องใหญ่ คณะพาทยรัตน์ได้ครูคนสำคัญที่เป็นศิษย์เอกของจางวางทั่ว
พาทยโกศล คือครูฉัตร  สุนทรวาทอน,  ครูช่อ  สุนทรวาทิน และครูอาจ  สุนทร  เดิมมีนายสังเวียน
เกิดผล เป็นหัวหน้าวง  ใช้ชื่อว่า”วงปี่พาทย์บ้านใหม่”  เพราะอยู่ที่ตำบลบ้านใหม่
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  จนต่อมาได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ทำการบันทึกเสียงเพลงพระนิพนธ์ของทูลกระหม่อมบริพัตรฯ ในปี พ.ศ.
๒๕๒๔ซึ่งปรากฏในซีดีชุดที่นำมาเผยแพร่ครั้งนี้  จากนั้นจึงได้พระราชทานนามคณะว่า”พาทยรัตน์”
เพื่อให้คล้องจองกับชื่อพาทยโกศล
ครูสำราญ เกิดผล
              เกิดวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2470 เป็นเจ้าของวงดนตรีไทยคณะ “พาทยรัตน์” อำเภอบางบาล
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
เป็นครูดนตรีไทยที่มีฝีมือและทรงภูมิความรู้ด้านการบรรเลงและการประพันธ์เพลงที่โดดเด่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูมิรู้เกี่ยวกับเพลงทางฝั่งธนบุรี
ปัจจุบันเป็นครูผู้เชี่ยวชาญดนตรีไทยประจำวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล

รายนามนักดนตรี
ปี่ใน                        นายผจญ  บุญจำเริญ, นานเทียมเทพ  บุญจำเริญ
ระนาดเอก                นายวิเชียร  เกิดผล
ระนาดทุ้ม                นายสำราญ  เกิดผล
ระนาดทอง                นายธวัชชัย  สุขเสียงศรี
ระนาดทุ้มเหล็ก                นายวรเทพ  บุญจำเริญ
ฆ้องวงใหญ่                นายวัฒนา  เกิดผล
ฆ้องวงเล็ก                นายสังวาล  สอนป้องกัน,นายจำลอง  เกิดผล, นายนพรัตน์  สุขเสียงศรี
ฉิ่ง                         นายสำเริง  เกิดผล
ฉาบเล็ก                        นายเรืองศักดิ์  สุขเสียงศรี
กลองแขกและกลองสองหน้า        นายร้อยตรี ฟื้น  เฉลยอาจ
ตะโพนไทย                นายกระแสร์  แก้วกำเหนิด




แผ่นที่ ๓ โดยวงโยธวาทิต กองทัพเรือ
หัวหน้าวง          นาวาตรี นิคม  พงษ์ไชย
อำนวยเพลง        น.อ. สราญ  เรืองณรงค์

ประกอบด้วยเพลง ๒ เพลง
๑ เพลงบุหลันชกมวยเถา
เพลงอัตราจังหวะสองชั้นทำนองเก่า ใช้ประกอบการแสดงละครโดยเฉพาะ ละครนอก เดิมเรียกเพลงนี้ว่า
เพลงชกมวย ภายหลังครูทัต นักดนตรีในวงของ สมเด็จพระจ้าบรมมหาศรีสุริยวงศ์
ได้แต่งเป็นอัตราจังหวะสามชั้นและเรียกชื่อใหม่ว่า บุหลัน
เพลงนี้ในอัตราจังหวะสองชั้นของเดิมจึงเรียกรวมกันว่า เพลงบุหลันชกมวย

๒ เพลงพวงร้อยเถา
เพลงพวงร้อยสองชั้น  เป็นเพลงทำนองเก่าประเภทหน้าทับปรบไก่ มี ๒ ท่อน ท่อนละ ๖ จังหวะ
ทำนองเพลงอยู่ในเพลงช้า  เรื่อง”สร้อยสน” ในจำนวน ๔ ท่อน ของเพลง ท่อน ๑ และ ๒ มีชื่อว่า
“สร้อยสน” ส่วนท่อนที่ ๓ และ ๔ มีชื่อว่า “พวงร้อย” สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์  กรมพระนครสวรรค์วรพินิต
ทรงนิพนธ์ขยายเป็นอัตราสามชั้นและตัดเป็นอัตราชั้นเดียว  ครบเป็นเถา สำหรับให้วงโยธวาทิต
และวงปี่พาทย์ไม้แข็งบรรเลง  ทางร้องนางเจริญ  พาทยโกศล
แต่งนอกจากนี้ยังมีนักดนตรีนำไปแต่งขยายและแต่งตัดเป็นเพลงเถาอีกหลายทางเช่น
ทางจมื่นมานิตย์นเรศวร์(เฉลิม  เศวตนันท์)  ทางหนึ่ง  ทางจ่าเอกกมล(เจียน  มาลัยมาลย์)
ทางหนึ่ง  จางวางทั่ว  พาทยโกศล  ทางหนึ่ง  และทางนายสมาน  ทองสุโชติ ทางหนึ่งเป็นต้น
เครื่องดนตรี                        นักดนตรี
ปิคโคโล่                                ร.อ. ถาวร  เหมจั่น
ฟลู้ท                                ร.อ. นรินทร์  ชลทานนท์
โอโบ                                ร.ท. ชาญณรงค์  แดงกูร
พ.จ.อ. หญิง สุกัญญา  อ่องเอี่ยม
อีแฟลท(Eb) คาลิเน็ท                ร.อ. บุญส่ง  เหมือนแย้ม
                                น.ท. ภาสกร  สุวรรณพันธุ์
                                จ.อ. วิเชษฐ์  ถิ่นวงศ์เย็น
                                พ.จ.อ. นิพนธ์  แปลงมาลย์
                                น.อ. ฉะอ้อน  สิทธิโชค
                                พ.จ.อ. เดชา  สังข์ทอง
พ.จ.อ. อัทฒวรรษ  วุฒิกุล
                                พ.จ.อ. พนม ศุกรสุต
                                น.ต. นิคม  พงษ์ไชย(หัวหน้าวง)
แซ็กโซโฟน                        ร.ต. โอด  ศรีคงรักษ์
                                พ.จ.อ. ปราโมทย์  บุญสมาน
บาสซูน                                พ.จ.อ. วัลลภ  ถิ่นดวงจันทร์
ร.ท. ยุทธนา  อ่องเอี่ยม
เอฟ(F) ฮอร์น                        ร.อ. ทองเจือ  เผคิมรอด
ร.ต. สุทัศน์  ศิริประทุม
พ.จ.อ. เฉลิม  สมพิทักษ์
บีแฟลท(Bb) ทรัมเป็ท                พ.จ.อ. ชาย  แสงศรี
                                ร.อ. เฉลิมชัย  รัตนแสนสุข
น.ต. ฉลอง  ป้อมไทย
ร.ท. วีระพันธ์  รุ่งโรจน์
ทรอมโบน                        พ.จ.อ. ปรีชา  ทองอร่าม
                                จ.อ. กนก  นกขุนทอง
                                พ.จ.อ. สมพงษ์  จรสาย

บีแฟลท(Bb) บาริโทน                ร..ต. เสน่ห์  มณฑาสุวรรณ
ยูโฟเนียม                                ร..ท. วิชาญ  อรุณสุขรัตน์
                                ร..อ. โอภาส  มาตรง
เบส                                จ.ส.อ. สมภพ  สุขมาก
น.ท. ประดิษฐ์  เล้งรักษา
จ.ส.อ. สมคิด  ประสบเนตร
กลองเล็ก                                พ.จ.อ. สุเทพ  แหลมหลัก
กลองใหญ่                        ร.ต. ธงชัย  คำมี
ฉาบ                                พ.จ.อ. วิเชียร  สุวรรณวัมน์
โหม่ง                                ร.ท. หญิง  ลำเจียก  วงษ์ไทย
กลองแขก                        ร.ต. ธวัช  รัตนโพธิ์
                                พ.จ.อ. สนอง  อ่ำแดง

แผ่นที่ ๔ โดยวงโยธวาทิต กองทัพบก
หัวหน้าวง          พันตรี สนม  น้อยเล็ก
อำนวยเพลง        พันโท วิชิต  ให้ไทย

ประกอบด้วยเพลง ๒ เพลง
๑ เพลงแขกสาหร่ายเถา
เพลงอัตราจังหวะสองชั้น ประเภทหน้าทับปรบไก่ มี ๓ ท่อน ท่อนที่ ๑ และ ๒ มี ๔ จังหวะ ท่อนที่
๓ มี ๖ จังหวะ เป็นเพลงสำหรับร้องตอนต้น (ตอนเกริ่น) ในการเล่นสักวาสมัยโบราณเพลงหนึ่ง
จ่าเผ่น  ผยองยิ่ง(โคม) แต่งทั้งทำนองและบทร้อง  ในปัจจุบันบทร้องที่แต่งไว้สูญหายแล้ว
คงเหลือแต่ทำนองซึ่งเป็นที่นิยมของนักดนตรีไทยอย่างแพร่หลาย เพลงแขกสาหร่ายสองชั้นที่
จ่าเผ่น  ผยองยิ่ง(โคม) แต่งขึ้นนี้เป็นเพลงที่ใช้บทสร้อยทำนองท่อน ๑ กับท่อน ๒ ใช้บทกลอน
ท่อนละ ๑ คำกลอน ท่อน ๓ ใช้บทร้องเป็นสร้อย เฉพาะท่อนที่ ๓ มีลักษณะพิเศษ  กล่าวคือ
จะร้องและบรรเลงแยกออกแตกต่างกันได้ ๓ แบบ คือ
                แบบที่ ๑ มี ๖ จังหวะหน้าทับ ทำนองมี”เท่า” ตอนต้นจังหวะที่ ๒
        แบบที่ ๒ มี ๖ จังหวะ ทำนองตอนต้นจังหวะที่ ๒ ไม่มี “เท่า” แต่จะ”เท่า”
จะไปมีในตอนท้ายของจังหวะที่ ๑
แบบที่ ๓ มี ๗ จังหวะหน้าทับ ทำนองมี”เท่า” ตรงจังหวะที่ ๒ ซ้อนกัน ๒ ครั้งและมี “เท่า”
ในตอนท้ายจังหวะที่ ๔ อีกครั้งหนึ่ง
หลวงประดิษฐไพเราะ(ศร  ศิลปบรรเลง) ได้นำเพลงแขกสาหร่ายสองชั้นของ จ่าเผ่น  ผยองยิ่ง(โคม)
แบบที่ ๑ มาแต่งขยายเป็นอัตราสามชั้นโดยทำนองเพลงในท่อนที่ ๓ จะมี ๖ จังหวะ
และมีเท่าตอนต้นจังหวะที่ ๒ แต่ง เสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๖ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๗๐
ได้แต่งตัดเป็นอัตราชั้นเดียว  ครบเป็นเพลงเถา  นอกจากนี้จางวางทั่ว  พาทยโกศล
ยังได้แต่งขยายและแต่งตัด  ครบเป็นเพลงเถาอีกทางหนึ่ง

๒ เพลงทยอยนอก ๓ ชั้น
        ๑. เพลงอัตราจังหวะสามชั้น พระประดิษฐไพเราะ (มี ดุริยางกูร) แต่งเมื่อปลายสมัยรัชกาลที่ ๔
โดยแต่งขยายเฉพาะในอัตราจังหวะสามชั้นจากเพลงทยอยสองชั้น
ทำนองเก่าซึ่งมีลักษณะเป็นเพลงหน้าพาทย์ประกอบกิริยาเดินของตัวละครที่มีอารมณ์โศกเศร้าวิปโยคอาลัยลา ผู้แต่งได้เปลี่ยนเสียงให้อยู่ในระดับ "ทางนอก" จึงเรียกว่า "ทยอยนอก" เพลงนี้มีลูกล้อลูกเล่นแพรวพราว จัดเป็นเพลงแม่แบบของเพลงประเภทลูกล้อลูกขัด ทั้งยังเป็นเพลง ใหญ่ที่นักดนตรีใช้บรรเลงอวดความสามารถของตนเพลงนี้ใช้หน้าทับทยอยสองไม้กำกับจังหวะสำหรับอัตราจังหวะชั้นเดียวมีนักดนตรีไม่ทราบนาม
นำไปแต่งตัดครบเป็นเพลงเถา
        ๒. เพลงเถา หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) นำเพลงทยอยนอกสามชั้นของพระประดิษฐไพเราะ (มี
ดุริยางกูร) มาแต่งเป็นอัตราจังหวะสองชั้นและชั้นเดียวทั้งทางดนตรีและทางร้องเป็นเพลงเถา
พร้อมทั้งได้ต่อเพลงนี้ให้กับวงเครื่องสายของคุรุสภา เมื่อพ.ศ.๒๔๙๓
เครื่องดนตรี                        นักดนตรี
ปิคโคโล่                                จ.อ. สุพิศ  วิศวามิตร
ฟลู้ท                                 จ.อ. ประโยขน์  กิจวิธี
โอโบ                                จ.อ. สมัคร  กรานแหยม
อีแฟลท(Eb) คาลิเน็ท                ร.ต. สมพร  จิตตานนท์
บีแฟลท(Bb)คาลิเน็ท                พ.ต. มานิตย์  พ่วงเจริญ
                                ร.อ. ณรงค์  คำเวียงจันทร์
                                ส.อ. ประสิทธิ์  สมิตผลิน
                                ร.ต. ชอบ  เกาะแก้ว
                                ร.ต. วินัย  ชำนาญสุธา
อีแฟลท(Eb) อัลโต้ แซ็กโซโฟน        จ.อ. ชวลิต  เสีอสีห์
                                พ.ท. วีระพรรณพลีวรรณ
บีแฟลท(Bb) เทเนอร์ แซ็กโซโฟน        จ.อ. ประยุทธ  ฝุ่นสุวรรณ
อีแฟลท(Eb) บาริโทน แซ็กโซโฟน        จ.อ. สิน  รัตนันท์
อีแฟลท(Eb) ฮอร์น                จ.อ. เงิน  ครอบตะคุ
                                จ.อ. นิกร  มโนษร
บีแฟลท(Bb) คอร์เน็ต(ควบคุมวง)        พ.ต. สนม  น้อยเล็ก
บีแฟลท(Bb) ทรัมเป็ท                ส.อ. สุเทพ  แก้วน้ำเย็น
                                จ.อ. วิเชียร  เกิดคล้าย
                                จ.อ.พินิจ  ภู่กรรณ์
บีแฟลท(Bb) ทรอมโบน                ร.ท. ธวัช  ปานกุล
                                จ.อ. วชิระ  ลวสุต
                                จ.อ. ชาตรี  กาบแก้ว
ยูโฟเนียม                                จ.อ. พงษ์  บัญชา
                                จ.อ. เกียรติชัย  โสดทนง
เบส                                ร.ต. สมจิตร์  พึ่งจันทร์
ฉิ่ง                                จ.อ. วิเชียร  กองโชค
ฉาบเล็ก                                ร.ต. ฉลอง  เอี่ยมสอาด
กรับ                                ส.อ. ประสิทธิ์  แจ้งจรัส
กลองแขก                        ส.อ. ไพศาล  ปั้นบุญ
                                ร.ต. บุญรอด  ทองวิวัฒน์
                                ร.ต. เกษม  พงษ์ทองดี
กลองใหญ่                        ร.ต. ทองหล่อ  กัญญาพันธ์
ฉาบใหญ่                                จ.อ. องอาจ  โปร่งน้ำใจ
ร้องประกอบ                        ร.อ.  ศรีนาค  ชูวัน
                                จ.อ. ม้วน  สังขวรรณ
                                จ.อ. จักรี  กรมวังก้อน






แผ่นที่ ๕ โดยวงโยธวาทิต กรมตำรวจ
หัวหน้าวง          พันตำรวจโท ฑีฆา  โพธิเวส
อำนวยเพลง        ร้อยตำรวจโท อเนก  คงเฟื่อง
ขับร้องโดย        นายดาบตำรวจหญิง วัชรีย์  อรรถกฤษณ์
ประกอบด้วยเพลง ๒ เพลง
๑ เพลงครอบจักรวาลเถา
๑. เพลงโหมโรง นายซ้อย สุนทรวาทิน ได้นำเพลงครอบจักรวาลสองชั้นทำนองเก่า ประเภทหน้าทับปรบไก่
มี ๒ ท่อน ท่อน ๑ มี ๔ จังหวะ ท่อน ๒ มี ๖ จังหวะ มาแต่งขยายเป็นอัตราจังหวะสามชั้น
เพื่อใช้เป็นเพลงโหมโรงเสภาของวงปี่พาทย์พระอินทราธิบดีสีหราชรองเมือง (เนียม
ภายหลังเป็นพระยาจิรายุมนตรี) โดยบรรเลงออกด้วยเพลงม้าย่องซึ่งเป็นเพลงที่นายซ้อยสุนทรวาทิน
แต่งเช่นเดียวกัน
๒. ต่อมาเมื่อราว พ.ศ. ๒๔๖๔-๒๔๖๘ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์6
กรมพระนครสวรรค์วรพินิตเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารบก
ได้นำเพลงครอบจักรวาลสามชั้นทางร้องของนายซ้อย
สุนทรวาทินมาดัดแปลงและทรงพระนิพนธ์ตัดลงเป็นเพลงเถาทั้งทางดนตรีและทางร้อง
เพื่อให้แตรวงทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์บรรเลง

๒ เพลงทยอยในเถา
เพลงเถา ครูเพ็ง
นำเพลงทยอยสองชั้นซึ่งเป็นเพลงหน้าพาทย์สำหรับประกอบการเดินทางอย่างเศร้าสร้อยของตัวละครมาแต่งขยายเป็นเพลงอัตราจังหวะสามชั้นและแต่งตัดเป็นอัตราจังหวะชั้นเดียวครบเป็นเพลงเถาเมื่อสมัยรัชกาลที่ ๓ ในวงการดนตรีไทยจัดว่า ครูเพ็งเป็นผู้ริเริ่มการแต่งเพลงเป็น "เพลงเถา" ท่านแรก
โดยมีเพลงทยอยเป็นเพลงเถาเพลงแรก
เครื่องดนตรี                        นักดนตรี
ปิคโคโล่                                ร.ต.ต. มานพ เทศสุข
โอโบ                                ด.ต. จำเนียร  สอาดเอี่ยม
อีแฟลท(Eb) คาลิเน็ท                จ.ต. วรรณะ  จันทกูล
บีแฟลท(Bb) คาลิเน็ท(หัวหน้าวง)        ร.ต.ท. อเนก  คงเฟื่อง
บีแฟลท(Bb) คาลิเน็ท                ร.ต.ต. รงค์  ชนะโชติ
                                ร.ต.ต. รวม  ครองพล
                                ด.ต. ชาญยุทธ  ทองสงวน
บีแฟลท(Bb) เทเนอร์ แซ็กโซโฟน        ด.ต. สุทิน  โสวัตร
บีแฟลท(Bb) บาริโทน                จ.ต. วิรัช  ม่วงกำจัด
                                ร.ต.ท. จำรัล  เรืองฉาย
อีแฟลท(Eb) ฮอร์น                ร.ต.ต. อนงค์  พานิชผล
บีแฟลท(Bb)คอร์เน็ต                จ.ต.สมศักดิ์  สมยาประเสริฐ
                                จ.ต.ยัน  แก้วประสิทธิ์
บีแฟลท(Bb) ทรัมเป็ท                ร.ต.ต. เนียม  คงชาติ
                                ด.ต. บุญสม  ไวยฉาย
ทรอมโบน                        ร.ต.ต.สมจิตร์  คุ้มเครือ
                                ร.ต.ต.ทองขาว  สมสิบ
ยูโฟเนียม                                ร.ต.ต.พิทักษ์  นุชเกษม
                                ร.ต.ต. อรุณ  ไทยโต
เบส                                ร.ต.ต. หรวน  ขำประสาท
ฉิ่ง                                ร.ต.ต. เถา ปี่เพราะ
กรับ                                ด.ต. สนั่น  พุ่มพวง
กลองแขก                        นายจงกล  เพียรพงษ์
                                นายสุนทร  มาประสพ
                                นายสอาด  รอดสวัสดิ์

พระประวัติ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต
ทรงมีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้าชายบริพัตรสุขุมพันธ์ ดิลกจันทรนิภาพงศ์
มหามกุฎวงศ์นราธิราช จุฬาลงกรณนาถราชวโรรส อดุลยยศอุภโตพงศ์พิสุทธิ์ นรุตมรัตนขัตติยราชกุมาร
ประสูติเมื่อวันพุธ เดือน ๘ ขึ้น ๓ ค่ำ ปีมะเส็ง ตรีศก จุลศักราช ๑๒๔๓ ตรงกับวันที่ ๒๙
มิถุนายน พ.ศ.๒๔๒๔ มีพระนามเรียกขานอย่างลำลองกันว่าทูลกระหม่อมบริพัตรฯ
ทรงเป็นพระราชโอรสลำดับที่ ๓๓ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕

ที่ประสูติแต่สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี
ทรงมีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ สุขุมขัติยกัลยาวดี
กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร์ เป็นพระเชษฐภคินีร่วมพระชนนีเพียงพระองค์เดียว

ทูลกระหม่อมบริพัตรฯ ทรงฉายร่วมกับ สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี และกรมหลวง
ศรีรัตนโกสินทร์

เมื่อทรงเจริญพระชันษาได้ ๘ พรรษา ทรงเข้ารับการศึกษาตามแบบอย่างของพระราชกุมารในสมัยนั้น
โดยทรงศึกษาวิชาภาษาไทย ณ โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ และวิชาภาษาอังกฤษกับ นายโรเบิร์ด
มอแรนด์ (ปริญญา เอ็ม.เอ.ออกฟอร์ด)
ที่โรงเรียนพระราชกุมารในพระบรมมหาราชวังร่วมกับบรรดาพระราชกุมาร พระราชกุมารี
และเจ้านายพระองค์อื่นๆเมื่อมีพระชนม์ได้ ๑๓ พรรษา ภายหลังจากได้มีการพระราชพิธีโสกันต์แล้ว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็โปรดเกล้า ฯให้พระองค์เสด็จไปทรงศึกษาต่อในยุโรป
ในตอนแรกได้ทรงเข้าร่วมสถานที่ประทับ และทรงรับการศึกษาร่วมกับ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ที่ตำบลแอสคอท มณฑลเซอร์รีย์ ประเทศอังกฤษ ในสำนักของนายแบร์ซิล ทอมสัน
และต่อมาในสำนักของ พันตรี ซี วี ฮูย์ม ที่ตำบลแคมเบอร์ลี มณฑลเซอร์รีย์ ประเทศอังกฤษ
ตามลำดับ ทรงศึกษาวิชาเบื้องต้นที่จะต้องทรงศึกษาพร้อมกับธรรมเนียมและกีฬาของชาวยุโรปนานถึง
๒ ปี รวมทั้งพระองค์ได้ทดลองศึกษาภาษาเยอรมันดู ปรากฏว่าทรงภาษาได้ดีแม้ในระยะเวลาอันสั้น
ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ
ให้ทรงศึกษาต่อในวิชาการทหารบกที่ประเทศเยอรมนีเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๔
สมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ ฯ ทรงลาพักและเสด็จกลับประเทศไทย จนถึงเดือนมีนาคม พ.ศ.
๒๔๔๕ จึงได้เสด็จกลับไปทรงศึกษาต่อประเทศเยอรมนีอีกครั้งหนึ่ง
โดยในการกลับไปทรงศึกษาในครั้งที่ ๒ นี้ ก็เพื่อเร่งรัดให้ทรงเรียนวิชาการที่สำคัญ ๆ
ให้เสร็จภายใน ๑ ปี ก่อนจะเสด็จกลับประเทศไทย รวมเวลาที่ทรงศึกษาอยู่ในต่างประเทศนานถึง ๙
ปีด้วยเหตุที่เมื่อครั้งเสด็จกลับใน พ.ศ. ๒๔๔๔ นั้น
ได้ทรงเฝ้าสมเด็จพระบรมชนกนาถที่เมืองนครสวรรค์ จึงได้รับพระราชทานเปลี่ยนพระนามกรม
จากเดิมที่ทรงเป็น กรมขุนมไหสูริยสงขลา (โปรดเกล้าฯ สถาปนาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๔) ให้เป็น
กรมขุนนครสวรรค์วรพินิต ดังมีประกาศว่า “...พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ ฯ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขมพันธ์
ได้ทรงรับพระสุพรรณบัฏเฉลิมพระนามกรม เปนกรมขุนมไหสูริยสงขลานั้น
ยังหาสมควรแก่พระเกียรติยศไม่
ในการเสด็จกลับเข้ามาจากการที่ไปทรงเล่าเรียนที่ประเทศยุโรปครั้งนี้
ได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทประสบสมัยเมื่อเสด็จพระราชดำเนินประทับอยู่ ณ
เมืองนครสวรรค์อันเปนเมืองใหญ่ในมณฑลนั้น จึงทรงพระราชดำริว่า
ในมณฑลนี้เคยมีสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอครองเมืองมาก่อน
สมควรที่จะเปลี่ยนพระนามกรมให้เปนพระเกียรติยศยิ่งขึ้น…”เมื่อเสด็จกลับประเทศไทย
ทรงเข้ารับราชการเป็นนายพลตรี ราชองครักษ์ ตำแหน่งเสนาธิการทหารบก
แต่ยังไม่ทันทรงงานได้ครบปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงโปรดเกล้า ฯ
ให้ดำรงตำแหน่ง นายพลเรือโท สมุหราชองครักษ์ผู้บัญชาการกรมทหารเรือ
แทนสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภานุพันธุวงษ์วรเดช
ที่กราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการกรมทหารเรือ เนื่องจากทรงพระประชวร
พระราชกรณียกิจในขณะทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกรมทหารเรือ (พ.ศ. ๒๔๔๗ - พ.ศ. ๒๔๕๓)

๑ ทรงจัดระเบียบราชการในทหารเรือให้รัดกุม โดยจัดแบ่งส่วนราชการเป็น กรมบัญชาการกลาง
มีผู้บัญชาการกรมทหารเรือเป็นประธาน
มีหน้าที่รับผิดชอบงานราชการซึ่งเกี่ยวข้องกับกรมทหารเรือทั่วไป

๒. ทรงส่งเสริมความสมัครสมานสามัคคีระหว่างทหารเรือรุ่นเก่าและทหารเรือรุ่นใหม่
เพื่อประสานรอยร้าวที่ได้รับการศึกษาแบบเก่า และแบบสมัยใหม่

๓. ทรงจัดทำข้อบังคับสำหรับทหารเรือ โดยทรงจัดทำข้อบังคับทหารเรือ (ข.ท.ร.)
ข้อบังคับหน้าที่ราชการเรือ (ข.น.ร.) และข้อบังคับหน้าที่ราชการกลจักร (ข.น.จ.)
ขึ้นใช้เป็นหลักฐานในการปฏิบัติราชการสืบมาจนถึงทุกวันนี้
๔. ทรงจัดระเบียบเกี่ยวกับการเงิน โดยทรงการแต่งตั้งกรรมการตรวจเงินและควบคุมเงิน
รวมทั้งให้มีการกำหนดอัตราเงินเดือนข้าราชการทหารเรือ
ทั้งในและต่างประเทศขึ้นไว้เป็นหลักฐานด้วย
๕. ทรงเปลี่ยนยศข้าราชการกรมทหารเรือ แผนกผู้ช่วยรบ
เนื่องจากประกาศลำดับยศข้าราชการกรมทหารเรือแผนกผู้ช่วยรบ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๗ มีความสับสน
โดยใช้ตำแหน่งเป็นยศ ทำให้เกิดความเข้าใจผิด จึงได้เปลี่ยนใช้แบบเดียวกับราชการแผนกรบ
๖. ทรงกำหนดระยะเวลาและวิธีรับคนเข้าราชการในกรมทหารเรือ
เนื่องจากมีผู้หนีราชการเป็นจำนวนมาก เมื่อถูกเกณฑ์เข้ารับราชการ
๗. ทรงจัดตั้งโรงเรียนนายเรือ โดยทรงริเริ่มร่วมกับเสด็จในกรมหลวงชุมพร
รองผู้บัญชาการทหารเรือและพระยาวิสุทธิสุริยศักดิ์ (ม.ร.ว. เปีย มาลากุล)
เสนาบดีกระทรวงธรรมการ
๘. ทรงสร้างอู่ต่อเรือ อู่ต่อเรือนี้ต่อมาได้วิวัฒนาการเป็นกรมอู่ทหารเรือในปัจจุบัน
๙. ทรงวางแบบแผนการยิงสลุต โดยร่างข้อบังคับว่าด้วยการยิงสลุต พ.ศ. ๒๔๔๙
๑๐. ทรงกำหนดเครื่องแต่งตัวทหารเรือ โดยได้ทรงร่างพระราชกำหนดเครื่องแต่งตัวทหารเรือ ร.ศ.๑๒๔
และได้ประกาศใช้ราวเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๐ ตามที่ พลเรือตรี กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์
ทรงเสนอ
๑๑. ทรงจัดให้มีพระธรรมนูญศาลทหารเรือและกรมพระธรรมนูญทหารเรือ
เพื่อดูแลงานด้านเกี่ยวกับกฎหมายและคำสั่งต่าง ๆ
๑๒.ทรงปรับปรุงการสหโภชน์และจัดตั้งโรงเรียนสูทกรรม เพื่อให้ทหารรู้จักการปรุงอาหาร
การจัดโต๊ะและมารยาทในการเสริฟทั้งอาหารไทยและฝรั่ง
๑๓. ทรงก่อตั้งกองดุริยางค์ทหารเรือ ด้วยทรงโปรดการดนตรีไทยและดนตรีสากล
และได้ทรงสนพระทัยกองแตรวงทหารเรือตั้งแต่แรกเริ่ม ทรงควบคุมการฝึกซ้อม
ทรงพระนิพนธ์เพลงให้กองแตรวงฝึกจนมีความสามารถ
ซึ่งต่อมาได้พัฒนามาเป็นกองดุริยางค์ทหารเรือในปัจจุบัน
๑๕. ทรงสนับสนุนความก้าวหน้าและเพิ่มพูนรายได้ของผู้ใต้บังคับบัญชา
โดยทรงเปิดโอกาสให้ทุกคนได้เรียนและสอบเพื่อแสดงความรู้ของตนเองในรัชกาลที่ ๖
ทรงได้เป็นเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ
พระราชกรณียกิจในตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ (๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ - ๑๘ มิถุนายน พ.ศ.
๒๔๖๓)
พระกรณียกิจที่สำคัญในตำแหน่งนี้พอประมาณได้พอสังเขป ดังนี้
๑.        ทรงสำรวจและจัดทำแผนที่น่านน้ำสยามขึ้นใหม่ โดยทรงมอบให้กองแผนที่ทางทะเลเป็นผู้สำรวจ
(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นกองอุทกศาสตร์ ในปี พ.ศ.๒๔๕๘ และเป็นกรมอุทกศาสตร์ ในปี พ.ศ.๒๔๖๔)
๒.        ทรงตั้งคลังแสงทหารเรือขึ้นที่บางนา จ . สมุทรปราการ ต่อมาเรียกว่า กรมสรรพาวุธทหารเรือ
๓.        ทรงให้มีกฎข้อบังคับการปฏิบัติในเวลาสงครามไว้ใช้ในกระทรวงทหารเรือ
ขณะที่กำลังเกิดสงครามในยุโรป (ก.ย. – ต.ค. ๒๔๕๗)
โดยทรงให้กรรมการร่างกฎหมายของกระทรวงยุติธรรม
ร่างกฎว่าด้วยการใช้ธรรมนิยมกฎหมายนานาประเทศในเวลาเกิดสงครามขึ้น
๔.        ทรงเสริมสร้างแสนยานุภาพของกองทัพเรือ โดยนอกจากการสั่งสร้างเรือรบจากต่างประเทศ
เข้าประจำการในกอง
๕.        ทัพเรือเป็นจำนวนมากแล้ว ยังได้ทรงร่วมกับเสด็จในกรมหลวงชุมพร
ดำเนินการฝึกและศึกษาของทหารเรือไทยทุกระดับให้มีสมรรถภาพ
สามารถปฏิบัติหน้าที่ราชการได้ทันความเจริญก้าวหน้าวิทยาการทหารเรือและอาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่ รวมทั้งการส่งนายทหารเรือไปศึกษาต่อในต่างประเทศทรงปรับปรุงการแพทย์ทหารเรือให้เจริญ ได้ทรงสร้างตึก ๖ หลัง ที่ปากคลองมอญ ด้านเหนือตรงข้ามท่าราชวรดิฐ (ที่ตั้งโรงพยาบาลทหารเรือกรุงเทพ ในปัจจุบัน) และมีการนำยารักษาโรคชนิดใหม่ ๆ
เข้ามาใช้
๖.        ทรงเห็นชอบให้เริ่มตั้งราชนาวิกสภา แต่งตั้งวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๙
และเป็นสถานที่พบปะสนทนา โดยมี พลเรือตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์
เป็นผู้อำนวยการ
๗.        ทรงมีดำริให้นำเรือเยอรมันที่กองทัพเรือทำการยึดในระหว่างสงครามโลกมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการรับส่งสินค้า ในรูปของบริษัท ในพระบรมราชูปถัมภ์ เรียกชื่อว่า บริษัทพาณิชย์นาวีสยามซึ่งเป็นต้นกำเนิดของบริษัทเดินเรือไทย
ในเวลาต่อมา
๘.        ทรงกำหนดรูปแบบริ้วกระบวนเรือพระราชพิธี ปรับปรุงเห่เรือ และสร้างเรือพระราชพิธีขึ้นใหม่
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
โดยทรงได้ขอพระราชทานวางริ้วกระบวนเรือพระราชพิธีซึ่งทรงปรับปรุงใหม่เป็น ๕ กระบวน
ซึ่งยึดถือปฏิบัติมาถึงปัจจุบัน
ใน พ.ศ. ๒๔๕๔ รัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนกรมเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวง
ต่อมาทรงเป็นนายพลเรือเอก แล้วเป็นจอมพลเรือ ราชองครักษ์ เป็นจอมพลตำแหน่งเสนาธิการทหารบก
เป็นอุปนายกแห่งสภากาชาดสยาม เมื่อปีวอก พ.ศ. ๒๔๖๓  เมื่อปีฉลู สัปตศก จุลศักราช ๑๒๘๗ พ.ศ.
๒๔๖๘ รัชกาลที่ ๗ โปรดเกล้าฯ ให้เป็นอภิรัฐมนตรี และทรงสถาปนาขึ้นเป็นเจ้าฟ้ากรมพระ
ทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงกลาโหม และใน พ.ศ. ๒๔๗๑ ทรงย้ายมาเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย



สมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ ฯ ทรงเข้าพิธีเสกสมรส
รับน้ำพระมหาสังข์กับหม่อมเจ้าหญิงประสงค์สม (ราชสกุลเดิม ไชยันต์) เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม
พ.ศ. ๒๔๔๖ ทั้งสองพระองค์มีพระโอรสและพระธิดาหลายองค์ ซึ่งได้รับพระราชทานพระนามอันไพเราะ
และคล้องจองกัน ดังนี้
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศิริรัตนบุษบง
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุทธวงษวิจิตร
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพิสิฐสบสมัย
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุไรรัตนศิริมาน
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจันทรกานต์มณี
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าน้อง (สิ้นพระชนม์แต่ยังพระเยาว์)
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปรียชาติสุขุมพันธ์ (สิ้นพระชนม์แต่ยังพระเยาว์)
และทรงมีพระโอรสและพระธิดาด้วยหม่อมสมพันธ์ (ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา)
ธิดาพระยาวทัญญูวินิจฉัยกับหม่อมหลวงชุ่ม อีก ๒ องค์ ได้แก่
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอินทุรัตนา
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุขุมาภินันท์
การเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ได้เกิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง
พระองค์จึงแปรนิวาสถานได้เสด็จไปประทับ ณ ตำหนักประเสนัน ถนนเนลันด์ ตำบลจีประกัน
เมืองบันดุง เกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย อย่างกระทันหัน ทรงเริ่มวิถีชีวิตใหม่ที่นี่
และทรงงานที่โปรดรวมถึงการที่ทรงนิพนธ์เพลงไทยไว้มาก
และหลังจากทรงนิพนธ์เพลงที่ดีที่สุดและประทานชื่อเพลงที่กินใจมากบทนี้ว่า “สุดถวิล” แล้ว
ก็ทรงประชวรด้วยพระโรคพระวักกะ ซึ่งมีผลข้างเคียงทำให้พระองค์มีสายพระเนตรมืดมัวลงไม่มาก
และในที่สุดก็สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๘ วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๗ พระชันษา ๖๓ ปี
พระญาติวงศ์ได้บรรจุพระศพไว้ที่สุสานเทศบาล ถนนปันดู จนต่อมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒
สงบแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า
ให้อัญเชิญพระศพกลับสู่พระนคร และโปรดให้ประดิษฐานไว้ ณ พระที่นั่งทรงธรรม
วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เมื่อได้บำเพ็ญกุศลพระราชกุศลตามพระราชประเพณีแล้ว
จึงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระราชทานเพลิงพระศพ ณ
เมรุท้องสนามหลวงและเสด็จไปพระราชทานเพลิงพระศพ เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๔๙๓ทรงเป็นต้นราชสกุล
“บริพัตร”

พระอัจฉริยะภาพในทางการดนตรี
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงสีซอได้ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
ต่อมาทรงต่อเพลงกับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นทิวากรวงศ์ประวัติ จนมีฝีพระหัตถ์ดีเยี่ยม
และทรงต่อเพลงกับเจ้าเทพกัญญา บูรณพิมพ์ เป็นครั้งคราว
พระองค์ทรงเครื่องดนตรีไทยได้หลายชนิด เช่น ฆ้องวงใหญ่ ระนาด ซอ
ทั้งยังทรงเปียโนได้ดีอีกด้วย เมื่อพระองค์เสด็จมาประทับที่วังบางขุนพรหม
ทรงมีทั้งวงปี่พาทย์และวงเครื่องสายประจำวังวงปี่พาทย์นั้นเริ่มแรกทรงใช้วงดนตรีมหาดเล็กเรือนนอก ซึ่งเป็นของตระกูลนิลวงศ์จากอัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ต่อมาทรงได้วงดนตรีของหลวงกัลยาณมิตตาวาส (ทับ พาทยโกศล) และจางวางทั่ว พาทยโกศล ซึ่งมีนักดนตรีและนักร้องที่มีชื่อเสียงประจำวง
เช่น
นายทรัพย์  เซ็นพานิช  ระนาดเอก
จ่าเอก กมล  มาลัยมาลย์  ระนาดเอก
นายสาลี่  มาลัยมาลย์  ระนาดเอก ฆ้องวง
จ่าโทฉัตร  สุนทรวาทิน  ระนาดทุ้ม
นายศิริ  ชิดท้วม  ระนาดทุ้ม
นายช่อ  สุนทรวาทิน  ฆ้องวงใหญ่
ร้อยเอก นพ  ศรีเพชรดี  ฆ้องวงใหญ่
จ่าสิบเอก พังพอน  แตงสืบพันธุ์  ฆ้องวงเล็ก
นายละม้าย  พาทยโกศล  เครื่องหนัง
จ่าสิบเอก ยรรยง  โปร่งน้ำใจ  เครื่องหนัง
นายเทวาประสิทธิ์  พาทยโกศล  ปี่ใน ซอสามสาย
นางเจริญ  พาทยโกศล  นักร้อง
จ่าเอก อิน  อ๊อกกังวาล  นักร้อง
นางสาวสอาด  อ๊อกกังวาล  นักร้อง
นางเทียม  เซ็นพานิช  นักร้อง
คุณหญิงไพฑูรย์  กิตติวรรณ  นักร้อง
นางสว่าง  คงลายทอง  นักร้อง
ส่วนวงเครื่องสายนั้นเป็นวงที่ทรงบรรเลงร่วมกับพระราชธิดา พระประยุรญาติ และผู้ใกล้ชิด
มีนายสังวาล กุลวัลกี เป็นผู้ฝึกสอน นักดนตรีและนักร้อง เช่น
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต  ซอสามสาย
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศิริรัตนบุษบง  ซอด้วง
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจันทรกานต์มณี  ซอด้วง
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุทธวงศ์วิจิตร  ซออู้
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุไรรัตนศิริมาน  ซออู้
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพิสิฐสบสมัย  จะเข้
คุณร่ำ  บุนนาค  จะเข้
หม่อมสมพันธุ์  บริพัตร  ซออู้
คุณบุญวิจิตร  อมาตยกุล  ซออู้
คุณสุดา  จาตุรงคกุล  ขลุ่ย
คุณหญิงแฉล้ม  เดชประดิยุทธ์  โทน รำมะนา
คุณหญิงไพฑูรย์  กิตติวรรณ  นักร้อง
นางหอม  สุนทรวาทิน  นักร้อง
นางเทียม  กรานต์เลิศ  นักร้อง
นางสว่าง  คงลายทอง  นักร้อง

ในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖
และพระบาทสมเด็จปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ นั้น
วังบางขุนพรหมเป็นศูนย์กลางการประชันวงปี่พาทย์ การแสดงดนตรี และการละเล่นต่างๆ
และเป็นที่เกิดของเพลงที่มีชื่อเสียงเป็นจำนวนมาก ส่วนวงปี่พาทย์วังบางขุนพรหมนั้น
ก็เป็นวงที่มีชื่อเสียงมาก และได้เข้าร่วมในการประชันวงที่วังบางขุนพรหมเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๖
ซึ่งได้รับการตัดสินให้ชนะเลิศ เป็นต้นตำรับการขับร้องที่สืบทอดมาแต่โบราณ
ทูลกระหม่อมบริพัตรฯ ทรงโปรดใช้เวลาว่างส่วนพระองค์ในการศึกษาวิชาดนตรี ทั้งด้านประสานเสียง
และการประพันธ์เพลง จนทรงสามารถประพันธ์เพลง และทำหน้าที่เป็นวาทยกรได้อย่างคล่องแคล่ว
เคยทรงเล่าประทานพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอินทุรัตนา พระธิดา ฟังว่า “…ถ้าพ่อเลือกได้
พ่อจะเรียนดนตรีและภาษา และจะทำงานด้านดนตรีอย่างเดียว แต่พ่อเลือกไม่ได้
เพราะพ่อบังเกิดมามียศตำแหน่ง ต้องทำงานให้ประเทศชาติ ทูลหม่อม (รัชกาลที่ ๕)
สั่งให้พ่อไปเรียนวิชาทหารเพื่อกลับมาปรับปรุงกองทัพไทย พ่อก็ไปเรียนวิชาทหาร
บางครั้งพ่อเบื่อบางวิชาที่ต้องเรียนจนทนไม่ไหว ต้องเก็บพ็อกเก็ตมันนี่เอาแอบไปเรียนดนตรี
แอบไปเรียนเพราะพวกผู้ใหญ่สมัยนั้นเห็นว่าวิชาดนตรีไม่เหมาะกับชายชาติทหาร
เมื่อได้เรียนดนตรีที่พ่อรักก็สบายใจ เกิดความอดทนที่จะเรียนและทำงานที่พ่อเบื่อ…”
ทรงเริ่มแต่งเพลงสากลก่อนเพลงไทย เพลงชุดแรกๆ มีเพลงวอลทซ์โนรี และเพลงจังหวะโปลก้า
ชื่อเพลงมณฑาทอง เป็นต้น ทรงนิพนธ์เพลงไทยประสานเสียงแบบเพลงสากล เช่น เพลงมหาฤกษ์
เพลงมหาชัย เพลงสรรเสริญเสือป่า เพลงสาครลั่น
และทรงแยกเสียงประสานเพลงไทยสำหรับบรรเลงด้วยวงโยธวาฑิต ทำให้แตรวงบรรเลงเพลงไทยได้ไพเราะ
มีหลักการประสานเสียงดียิ่งขึ้น ได้ทรงประดิษฐ์เพลงแตรวงไว้หลายเพลง เช่น โหมโรงสะบัดสะบิ้ง
เพลงเขมรใหญ่ เถา เพลงแขกมัสหรี เถา เพลงแขกสี่เกลอ เถา
เพลงที่ทรงนิพนธ์ไว้ทั้งสำหรับวงโยธวาฑิตและปี่พาทย์ เช่น เพลงแขกมอญบางขุนพรหม เถา
(พ.ศ.๒๔๕๓) เพลงพม่าห้าท่อน เถา เพลงแขกสาย เถา (พ.ศ.๒๔๗๑) เพลงพ่าห้าท่อน เถา เพลงพวงร้อย
เถา ทรงนิพนธ์เพลงเถาสำหรับปี่พาทย์ไว้เป็นจำนวนมาก เช่น เพลงเทวาประสิทธิ์ เถา (พ.ศ.๒๔๗๑)
เพลงอาถรรพ์ เถา (พ.ศ.๒๔๗๑) เพลงสมิงทองเทศ เถา (พ.ศ.๒๔๗๓)
และภายหลังเมื่อเสด็จไปประทับที่เมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซียแล้ว
ยังได้ทรงนิพนธ์เพลงสำหรับวงปี่พาทย์ไม้แข็งขึ้นอีกหลายเพลง เช่น เพลงน้ำลอดใต้ทราย เถา
(พ.ศ.๒๔๘๐) เพลงนารายณ์แปลงรูป เถา (พ.ศ.๒๔๘๐) และเพลงสุดถวิล เถา
(พ.ศ.๒๔๘๔)ในขณะที่ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ
ทรงปรับปรุงวงดนตรีสากลของกองดุริยางค์ทหารเรือ
จนสามารถบรรเลงเพลงประเภทซิมโฟนีได้ดีเป็นที่ยอมรับมาจนถึงปัจจุบัน

สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต
ทรงได้รับยกย่องว่าเป็นนักดนตรีและนักแต่งเพลงยอดเยี่ยมของกรุงรัตนโกสินทร์
ทรงเป็นคนไทยคนแรกที่แต่งเพลงไทยสากล
และทรงเป็นคนไทยคนแรกที่เรียนรู้และแต่งเพลงโดยวิธีการเขียนเป็นโน้ตสากล
โดยแยกเสียงประสานถูกต้องตามหลักสากลนิยม เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๒๔
สำนักงานคณะกรรมการเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติได้จัดงานเฉลิมพระเกียรติในวาระครบรอบวันประสูติ ๑๐๐
ปีขึ้นที่กรมศิลปกร
กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่เพื่อนๆที่ยังไม่ได้สมัครสมาชิกฝากถามมา ก็ขอความอนุเคราะห์จากเพื่อนๆสมาชิก ช่วยตอบให้ด้วยนะคร๊าบผม...ขอบคุณมั่กๆครับ...