อันดามันสุวรรณภูมิ
ในประวัติศาสตร์อุษาคเนย์ โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ
หนังสือพร้อมซีดีเพลง ๑ แผ่น
ซีดีบรรจุเพลง ๓ เพลง
รายชื่อนักร้องและนักดนตรี
ขลุ่ย นายสมจิตร สมพงษ์
ซออู้ นายถาวร รักษาวงษ์
ระฆัง นายชัยยันต์ คลังศรี
ระราดเอก,ระนาดทุ้ม นายไชยชนะ เต๊ะอ้วน, นายสกล บุญศิริ
ฆุ่ย, เบ็ดเตล็ด นายนุกูล ทัพดี
ฆ้องวงใหญ่ นายปรีชา นุชทรัพย์
แคน นายพงศธร พันธ์ผาด
ฆ้องวงใหญ่,ฆ้องวงเล็ก นายสุวรรณ โตล่ำ
ฉิ่ง นายธนพัชร ทัพดี
กลอง นายสมพงษ์ พงษ์ธรรม
กลอง,เบ็ดเตล็ด นายหาญณรงค์ ทองงาม
กลอง นายมงคล ชะเอม
กรับ,เบ็ดเตล็ด นายชาญชัย เดชแจ่ม
ร้องนำหญิง ครูกัญญา โรหิตาจล
ร้องนำชาย นายนพพร เพริศแพร้ว
ลูกคู่ นางสาว สุภางค์พักตร์ เต๊ะอ้วน
ผู้ช่วยควบคุมการบรรเลง นายสุทัศน์ แก้วกระหนก
เรียบเรียงเพลง, ควบคุมการบรรเลง นายชาตรี อบนวล
๑ คลื่นสังหาร ประกอบด้วยเพลง
คลื่นสังหาร เป็นเพลงเล่าเรืองเหตุการณ์ภัยพิบัติครั้งประวัติศาสตร์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ที่ทำลายชีวิติของชาวโลกนับแสนและทรัพย์สินเสียหานจนมิอาจประมาณมิได้
เพลงเล่าเรื่อง ในประเพณีโบราณเรียกว่า"เพลงเรื่อง" ที่จัดทำจากการเลือกสรรเพลงต่างต่างเท่าที่มีอยู่ และทำนองลีลาตรงกันกับโครงเรื่องที่ตั้งไว้มาเรียงต่อกันด้วยเจตนาให้บอกเล่าเรื่องราวนั้น
เดรื่องดนตรี ที่ใช้บรรเลงในการเล่าเรื่องคลื่นสังหาร เป็นเครื่องดนตรีร่วมกันโดยไม่ระบุชาติพันธ์ใดตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ และถือว่าเป็นเครื่องดนตรีศักดิ์สิทธิ์ เครื่องดนตรีชิ้นนี้คือ "ฆ้อง"
เพลงดนตรีไทย เลือกสรรที่มีทำนองเพลงเกี่ยวกับน้ำ เช่น คลื่นกระทบฝั่ง ฟองน้ำ เป็นต้น
เพลงคลื่นสังหาร ประกอบด้วยเพลงที่มีทำนองเกี่ยวกับ คลื่น ลม น้ำ จำนวน ๑๐ เพลง และแบ่งกันเล่าเรื่องในเหตุการณ์ วันที่ ๒๖ ธันวาคม พงศ. ๒๕๔๗ เริ่มตั้งแต่ก่อนเกิด "สึนามิ" เป็นช่วงลำดับคือ เช้า สาย สังหาร และ ซาก
๑ เช้า เริ่มด้วยฆ้องวงใหญ่ ด้วยเพลงคลื่นกระทบฝั่งแสดงถึงคลื่นที่สาดซัดเข้าหาฝั่งแบบเบาเบา จากนั้นฆ้องวงเล็กบรรเลงเป็นเสียงคลื่นกระทบฝั่งอย่างมีชีวิตชีวา ขลุ่ยแทนสายลม ซออู้แทนเสียงคลื่นที่ใหญ่และหนาขึ้น และระนาดทุ้มบรรยายความหนาแน่นของคลื่นที่สาดซัดฝั่งอย่างสนุกสนาน ต่อมาฆ้องวงใหญ่และขลุ่ยหยอกล้อกันในเพลงท่าน้ำ น้ำลอดใต้ทราย ฟองน้ำ และมีลม
๒ สาย ระนาดทุ้มและกลองแขกบรรเลงเพลงแขกอาหวัง(ทางขวา)เล่าถึงสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ฆ้องหุ่ยให้เสียงที่สร้างความลึกลับซ้อนเล้น
๓ สังหาร ระนาดเอกบรรเลงเพลงทะเลบ้าอย่างก้าวร้าวและรุนแรง ถาโถมเข้ามา กลองทัตให้ความรู้สึกประหนึ่งคลื่นยักษ์ที่ถาโถมเข้ามาสร้างความวิบัติฉิบหายโดยมิได้มีใครรู้ตัว
๔ ซาก ใช้เพลงแขกสุโงะเล่าเรื่องเกี่ยวกับความสูญเสียอันมหาศาลหลังจากที่ทุกสิ่งถูกทำลายโดยธรรมชาติที่มิได้มีใครคาดคิดและระวังตัว
เพลงคลื่นกระทบฝัง
๑.เพลงอัตราจังหวะสองชั้น ทำนองเก่า รวมอยู่ในเรื่องเพลงฉิ่งโบราณ มีเพลงฟองน้ำ เพลงฝั่งน้ำ และเพลงคลื่นกระทบฝั่ง บรรเลงติดต่อกัน สำหรับทำนองเพลงคลื่นกระทบฝั่งที่มีทำนองและเรียกชื่อในปัจจุบันนี้ เป็นเพลงที่มีลีลาเดียวกับเพลงฝั่งน้ำในเรื่องเพลงฉิ่งโบราณ สังคีตาจารย์ท่านหนึ่ง ได้นำทำนองเพลงฝั่งน้ำมาบรรเลงขับร้องครั้งแรกได้เรียกชื่อเพลงว่า คลื่นกระทบฝั่ง คนทั่วไปจึงเรียกชื่อตามจนกลายเป็นชื่อเพลงว่า 'คลื่นกระทบฝั่ง' นับเป็นชื่อเพลงที่คลาดเคลื่อนจากทำนองเดิมตั้งแต่นั้นมา เพลงนี้ได้นำไปขับร้องและบรรเลงประกอบการแสดงโขนละครกันอย่างแพร่หลายนกจากนี้ยังได้บรรจุไว้ในเพลงตับวิวาห์พระสมุทร ซึ่งเป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย
๒. เพลงโหมโรง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้นำเพลงคลื่นกระทบฝั่งสองชั้นทำนองเก่ามาพระราชนิพนธ์เป็นเพลงโหมโรง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔ เพื่อใช้เป็นเพลงโรงเสภาและนับเป็นอันดับที่ ๓ ซึ่งทรงพระราชนิพนธ์ ลีลาทำนองเพลงนี้ทรงสอดแทรกลูกล้อ ลูกขัด ลูกเหลี่ยมตลอดทั้งเพลงเพื่อให้เกิดความคึกคัก รุกเร้าอารมณ์ บรรยายธรรมชาติของคลื่นลมในทะเลอย่างกลมกลืน เพลงนี้ใช้กับหน้าทับสองไม้
เพลงท่าน้ำ
เพลงอัตราสองชั้น ประเภทเพลงฉิ่ง เป็นทำนองเพลงเก่ารวมอยู่ในเพลงฉิ่งเรื่องจิ้งจกทอง
เพลงน้ำลอดใต้ทราย
เพลงเถา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิตทรงนำเพลงน้ำลอดใต้ทรายสองชั้น ทำนองเก่าซึ่งใช้ประกอบละครมาพระนิพนธ์ขยายและตัดครบเป็นเพลงเถา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑ ได้แต่งเป็นเพลงเถาไว้ทางหนึ่ง นายบุญยงค์ เกตุคง แต่งเป็นเพลงเถาไว้อีกทางหนึ่ง
เพลงฟองน้ำ
เพลงฟองน้ำ เป็นเพลงทำนองเก่าสมัยอยุธยา เป็นเพลงประเภทฉิ่ง อัตราสองชั้น รวมอยู่ในเพลงเรื่องจิ้งจกทอง
เพลงมีลม
เพลงทำนองเก่าสมัยอยุธยา เป็นเพลงอันดับที่ ๒๔ ในชุดเพลงมอญนอกเรื่อง
เพลงเพลงแขกอาหวัง(ทางชวา)
๑. เพลงอัตราจังหวะสองชั้นและชั้นเดียว ประเภทหน้าทับปรบไก่ มี ๒ ท่อน ท่อนละ ๔ จังหวะ เป็นทางชวา หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) แต่งขึ้นเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เครื่องปี่พาทย์ชวาที่ประเทศอินโดนีเซียถวายเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๑ เพลงนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เพลงแขกตาเสือ
๒. เพลงเถา นายมนตรี ตราโมท ได้นำเพลงแขกอะหวังสองชั้นของหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) มาแต่งขยายเป็นสามชั้น ครบเป็นเพลงเถา มีสำเนียงชวาและใช้บรรเลงด้วยวงปี่พาทย์ชวา ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ นายมนตรี ตราโมท ก็ได้แต่งอีกทางหนึ่ง โดยมุ่งให้เป็นเพลงที่มีทำนองในเชิงชมธรรมชาติป่าเขาลำเนาไพร นอกจากนี้ยังมีนักดนตรีอื่นแต่งเป็นเพลงเถาอีกหลายทาง เช่น ทางนายเขียน ศุขสายชล ทางนายเฉลิม บัวทั่ง โดยทำเป็นจังหวะวอลซ์ท เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๘ เพื่อใช้บรรเลงด้วยวงอังกะลุง นอกจากนี้ นายเขียน ศุขสายชล ยังได้แต่งขึ้นเป็นเพลงเถาอีกทางหนึ่งด้วย
เพลงทะเลบ้า
เพลงทะเลบ้าอัตราสองชั้น ทำนองเก่า ประเภทหน้าทับสองไม้ มี ๒ ท่อน เป็นเพลงสมัยอยุธยา รวมอยู่ในเพลงเรื่องฉิ่งใหญ่ ใช้ประกอบการแสดงละคร ในบทที่ตัวละครโกรธ เกรี้ยวกราด นายสิน ศิลปบรรเลง ได้นำเพลงทะเลบ้าสองชั้นทำนองเก่ามาแต่งขยายเป็นสามชั้น ต่อมา พ.ศ. ๒๔๙๑ หลวงประดิษฐ์ไพเราะ ได้แต่งตัดลงเป็นอัตราชั้นเดียว ครบเป็นเพลงเถา นอกจากนี้ในทำนองอัตราสองชั้นทางร้องได้มีนักดนตรีไม่ทราบนาม แต่งขยายทางร้องเป็นอัตราสามชั้น ดัดแปลงทำนองไปจากเดิมเรียกว่า เพลงอกทะเล ต่อมานายช้อย สุนทรวาทิน ได้แต่งทำนองทางดนตรีขึ้นสำหรับบรรเลงรับและใช้เป็นเพลงลา ทำนองของนายช้อย สุนทรวาทิน นี้นายมนตรี ตราโมท ได้แต่งตัดในอัตราสองชั้นและชั้นเดียว ครบเป็นเพลงเถา เรียกว่าเพลงอกทะเลเถา ตามชื่อที่มีผู้ทำทางร้องไว้
เพลงโหมโรงคลื่นกระทบฝั้ง(เฉพาะลูกคลื่น)
๑.เพลงอัตราจังหวะสองชั้น ทำนองเก่า ประเภทหน้าทับสองไม้ มี ๒ ท่อน รวมอยู่ในเรื่องเพลงฉิ่งโบราณ มีเพลงฟองน้ำ เพลงฝั่งน้ำ และเพลงคลื่นกระทบฝั่ง บรรเลงติดต่อกัน สำหรับทำนองเพลงคลื่นกระทบฝั่งที่มีทำนองและเรียกชื่อในปัจจุบันนี้ เป็นเพลงที่มีลีลาเดียวกับเพลงฝั่งน้ำในเรื่องเพลงฉิ่งโบราณ สังคีตาจารย์ท่านหนึ่ง ได้นำทำนองเพลงฝั่งน้ำมาบรรเลงขับร้องครั้งแรกได้เรียกชื่อเพลงว่า คลื่นกระทบฝั่ง คนทั่วไปจึงเรียกชื่อตามจนกลายเป็นชื่อเพลงว่า 'คลื่นกระทบฝั่ง' นับเป็นชื่อเพลงที่คลาดเคลื่อนจากทำนองเดิมตั้งแต่นั้นมา เพลงนี้ได้นำไปขับร้องและบรรเลงประกอบการแสดงโขนละครกันอย่างแพร่หลายนกจากนี้ยังได้บรรจุไว้ในเพลงตับวิวาห์พระสมุทร ซึ่งเป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย
๒. เพลงโหมโรง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้นำเพลงคลื่นกระทบฝั่งสองชั้นทำนองเก่ามาพระราชนิพนธ์เป็นเพลงโหมโรง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔ เพื่อใช้เป็นเพลงโรงเสภาและนับเป็นอันดับที่ ๓ ซึ่งทรงพระราชนิพนธ์ ลีลาทำนองเพลงนี้ทรงสอดแทรกลูกล้อ ลูกขัด ลูกเหลี่ยมตลอดทั้งเพลงเพื่อให้เกิดความคึกคัก รุกเร้าอารมณ์ บรรยายธรรมชาติของคลื่นลมในทะเลอย่างกลมกลืน เพลงนี้ใช้กับหน้าทับสองไม้
เพลงแขกสุโงะ
เป็นเพลงทำนองเก่าไม่ทราบนามผู้แต่ง
๒ สู่ขวัญอันดามัน
นาคคือผู้ที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติ การสู่ขวัญด้วยเพลงนางนาคที่บรรเลงโดยเครื่องดนตรีศักดิ์สิทธิ์ที่มีมาแต่โบราณนั้นคือ ฆ้อง นั้นเพื่อเรียกขวัญให้กลับมา
เพลงนางนาค
๑.เพลงอัตราจังหวะสองชั้น ทำนองเก่าสมันอยุธยาเป็นเพลงหน้าทับปรบไก่ มี๒ ท่อน ท่อนละ ๔ จังหวะ ประกอบการเวียนเทียน การทำขวัญต่างๆอยูในเพลงเรื่องทำขวัญหรือเรื่องเวียนเทียนโดยเป็นเพลงแรกของเพลงเรื่องในชุดนี้ ในปัจจุบันมี ๕ เพลง คือ นางนาค พัดชา กราวรำมอญ ลีลากระทุ่ม โล้ และเพลงสี่กลอนนอกจากนี้ยังเป็นเพลงในตำราเพลงมโหรีทำนองเก่าสมัยอยุธยา ประเภทเพลงตับเรื่อง ชื่อว่าเพลงตับมโหรีเรื่องกากีมี ๓ เพลงคือ นางนาคน้อย คู่นางนาค และนกร่อน ใช้ประกอบการแสดงละครตลอดจนเป็นเพลงระบำอำนวยพรต่างๆ
๒.เพลงอัตราจังหวะสามชั้น มีนักดนตรีไม่ทราบนามนำเพลงนางนาคสองชั้นไปแต่งขยายเป็นอัตราจังหวะสามชั้น เรียก เพลงนางนาคสามชั้น
๓.เพลงตับ พระประดิษฐไพเราะ(มี ดุริยางกูร) แต่งทำนองและปรับปรุงเพลงกราวรำมอญ ได้นำรวมเป็นเพลงตับร้องส่งมโหรี โดยนำเพลงอัตราจังหวะสามชั้นมาเรียบเรียงเป็นเพลงตับเรียก ตับนางนาค เพราะมีเพลงนางนาคเป็นเพลงแรก ตับชุดนี้ประกอบด้วยเพลงนางนาคสามชั้นพัดชาสามชั้น ลีลากระทุ่มสามชั้น กราวรำมอญสามชั้น และประพาสเภตราสามชั้น รวม ๕ เพลง ประกอบด้วย
เพลงนางนาค พัดชา ลีลากระทุ่ม กราวมอญ และโล้
๓ กล่อมอันดามัน
เมื่อสู่ขวัญแล้วก็ปลอบโดยการเห่กล่อม ปลอบประโลมให้คลายทุกข์
เกริ่นและสอดแทรก
นายชาตรี อบนวล ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ใช้ในเพลงกล่อมอันดามัน
สร้อย
ทำนองร้องเมื่อเห่เรือพระราชพิธี
แหล่
ทำนองขับลำร้องเล่นของชาวบ้าน ต่อมาพระสงฆ์เอาไปใช้เล่านิทานชาดกเป็นทำนองในการเทศน์มหาชาติ
ฆ้อง 'Gong culture in Southeast Asia' ธิติพล กันตีวงศ์
Gong culture in Southeast Asia
ฆ้อง เครื่องดนตรีประเภทตีสร้างโดยวิธีการหล่อโลหะ หรือการตีขึ้นรูป พบเห็นได้ทั่วไปในหลายพื้นที่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้นกำเนิดการใช้ฆ้องของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พบหลักฐานที่สำคัญทางโบราณคดีจากการขุดค้นพบกลองมโหระทึก หรือ ฆ้องกบ พบแพร่หลายในพื้นที่ทั้งในพื้นที่แผ่นดินใหญ่(Main Land) และพื้นที่หมู่เกาะ (Peninsular) ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฆ้องกบมีลักษณะที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่พบ ตัวอย่างรูปแบบที่สำคัญของฆ้องกบ พบที่เมืองดองซอน บนฝั่งขวาของแม่น้ำซองมา ในจังหวัดถั่นหัว (Thanh-hoa) ตอนเหนือของประเทศเวียตนาม ในปี ค.ศ. ๑๙๒๔ ฆ้องกบ มีองค์ประกอบที่สำคัญ ๓ ส่วน ประกอบด้วย ส่วนบน ด้านข้างจะโค้งออกเล็กน้อย ด้านบนเป็นหน้ากลองรูปกลมที่มีลายตกแต่ง ส่วนกลาง เป็นรูปกระบอกตัด และส่วนล่าง ด้านข้างผายออก ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เชื่อว่าเมื่อตีฆ้องกบในพิธีกรรมจะเกิดความอุดมสมบูรณ์ในชุมชน ปัจจุบันยังคงปรากฏพิธีกรรมที่ใช้กลองมโหระทึกในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญของไทย ฆ้องกบยังเปรียบเสมือนสิ่งที่แสดงฐานะของผู้ที่ครอบครอง ชาวเขาบางกลุ่มนิยมสะสมฆ้องกบในช่วงชีวิตของตน และจะทำลายบริเวณส่วนล่างของฆ้องกบนำส่วนที่กะเทาะออกฝังไปพร้อมกันกับศพ จากวิธีการนี้เองทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับรูปร่างรูปทรงของฆ้องในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การทำลายฆ้องกบนิยมทำลายในบริเวณส่วนล่างของฆ้องกบ เมื่อนำฆ้องกบวางในแนวขวางแล้วตัดบริเวณส่วนฐานออกไปรูปทรงที่เกิดขึ้นมีลักษณะเป็นฆ้องรูปแบบ(Flat Gong) ปัจจุบันพบการใช้ฆ้องแบนในกลุ่มชนบางกลุ่มแถบประเทศเวียตนาม และบางส่วนของประเทศฟิลิปปินด์ ช่วงเวลาต่อมาพัฒนาการของฆ้องแบนพัฒนารูปทรงเป็นแบบฆ้องแบบมีปุ่ม(Knob Gong) ซึ่งสามารถพบฆ้องแบบมีปุ่มทั่วไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่เกาะต่างๆของประเทศอินโดนิเซีย วงดนตรีที่ใช้ฆ้องแบบมีปุ่มได้แก่วงกาเมลัน (Gamelan) รูปทรงของฆ้องแบบมีปุ่มมีลักษณะแตกต่างจากฆ้องแบนโดยที่บริเวณตรงกลางมีปุ่มนูนขึ้นมา ปุ่มที่นูนขึ้นมานี้ทำหน้าที่สร้างเสียงสะท้อนที่มีระดับเสียงที่ต่ำกังวานกว่าเดิม ฆ้องแบบมีปุ่มมีขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกันไป ในบางวัฒนธรรมใช้ฆ้องเรียงกันตีเพื่อเกิดระดับเสียงที่แตกต่างเกิดเป็นทำนอง นอกจากนั้นเสียงเครือ(Drone) ที่เกิดจากการตีฆ้อง ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เชื่อว่าเป็นเสียงที่สามารถติดต่อกับเทพเจ้าได้ เสียงเครือเป็นเสียงที่เหนือเสียง ด้วยเหตุนี้ลักษณะดนตรีของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงมีลักษณะรูปแบบดนตรีที่แตกต่างจากตะวันตกโดยไม่ยึดติดในระบบเสียงประสาน(Harmony) แบบดนตรีตะวันตก หากแต่รูปแบบดนตรีที่เกิดขึ้นนิยมใช้เสียงแบบ ๕ เสียง(Pentatonic) และเสียงแบบ ๗ เสียง (Heptatonic) โดยมีสียงเครือ(Drone) สร้างมิติในทางดนตรี ฆ้อง เป็นเครื่องดนตรีที่สำคัญในวัฒนธรรมดนตรีชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ข้อมูลเกี่ยวข้องกับบทความพิเศษ:pdf: article49006.pdf web site:
http://www.finearts.cmu.ac.th อีเมล์: thitipol@finearts.cmu.ac.th
ฆ้อง
ตัวฆ้องทำด้วยโลหะแผ่นรูปวงกลมตรงกลางทำเป็นปุ่มนูน เพื่อใช้รองรับการตีให้เกิดเสียงเรียกว่า ปุ่มฆ้อง ต่อจากปุ่มเป็นฐานแผ่ออกไป แล้วงองุ้มลงมาโดยรอบเรียกว่า 'ฉัตร' ส่วนที่เป็นพื้นราบรอบปุ่มเรียกว่า 'หลังฉัตร' หรือ ' ชานฉัตร' ส่วนที่งอเป็นขอบเรียกว่า 'ใบฉัตร' ที่ใบฉัตรนี้จะมีรูเจาะสำหรับร้อยเชือกหรือหนังเพื่อแขวนฆ้อง ถ้าแขวนตีทางตั้งจะเจาะสองรู ถ้าแขวนตีทางนอนจะเจาะสี่รู
ฆ้องใช้ในการบรรเลงได้สองลักษณะคือ ใช้ตีกำกับจังหวะ และใช้ตีดำเนินทำนอง
ฆ้องที่ใช้ตีกำกับจังหวะได้แก่ ฆ้องหุ่ย หรือฆ้องชัย ฆ้องโหม่ง ฆ้องเหม่ง ฆ้องระเบ็ง และฆ้องคู่
ฆ้องที่ใช้ตีดำเนินทำนอง ได้แก่ ฆ้องราง ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก ฆ้องมโหรี ฆ้องมอญ ฆ้องกะแตและฆ้องหุ่ย หรือฆ้องชัย
ฆ้องคู่ ใช้ตีกำกับจังหวะ ชุดหนึ่งมีสองสูก ลูกใหญ่ให้เสียงต่ำ ลูกเล็กให้เสียงสูง ไม้ตีทำด้วย แผ่นหนังวัว หรือหนัง ควายตัดเป็นวงกลม เจาะรูตรงกลางใส่ก้านไม้ เป็นเครื่องดนตรีประกอบการแสดงมโนราห์ และละครชาตรี และนิยม เล่นประกอบการแสดงหนังตะลุง เป็นฆ้องขนาดเล็กจำนวน ๒ ใบ ขนาดไม่เท่า กัน ใบหนึ่งเสียงสูง ใบหนึ่งเสียงต่ำ ใช้ผูกคว่ำไว้บนรางมีลักษณะเป็นหีบไม้
โหม่ง คือ ฆ้องคู่ เสียงต่างกันที่เสียงแหลม เรียกว่า 'เสียงโหม้ง' ที่เสียงทุ้ม เรียกว่า 'เสียงหมุ่ง' หรือ บางครั้งอาจจะเรียกว่าลูกเอกและลูก ทุ้มซึ่งมีเสียงแตกต่างกันเป็น คู่แปดแต่ดั้งเดิมแล้วจะใช้คู่ห้า
ฆ้องมอญ เป็นฆ้องวงที่ตั้งโค้งขึ้นไปทั้งสองข้าง ไม่วางราบเหมือนฆ้องไทย มีลูกฆ้อง ๑๕ ลูก ใช้บรรเลงใน วงปีพาทย์มอญ ตัวรางประดิษฐ์ตกแต่งงดงาม
ฆ้องมอญวงใหญ่
ฆ้องมอญวงเล็ก
ฆ้องมโหรี
เป็นฆ้องวงที่ใช้บรรเลงในวงมโหรีโดยเฉพาะ มีอยู่สองขนาด คือฆ้องวงใหญ่มโหรีและฆ้องวงเล็กมโหรี ฆ้องวงใหญ่มโหรีเดิมมีลูกฆ้อง ๑๗ ลูก ต่อมานิยมใช้ ๑๘ ลูก
ฆ้องวงใหญ่มโหรี
ฆ้องวงเล็กมโหรี
ฆ้องระเบ็ง
ใช้ตีประกอบการและแสดงระเบ็ง ชุดหนึ่งมีสามลูก มีขนาดและให้เสียงสูง-ต่ำ ต่างกัน มีชื่ออีกอย่างหนึ่งตามลักษณะว่า 'ฆ้องราว'
ฆ้องราว ลักษณะ ลุกฆ้องมี ๓ ใบ ขนาดใหญ่ กลาง เล็ก ที่สำคัญเสียงจากลูกฆ้องจะมีเสียงที่ได้ระดับคือ โม้ง โมง หมุ่ย ฆ้องลูกที่ใหญ่ที่สุด บางครั้งจะใช้ฆ้องชัย กระจังโหม่งที่เป็นส่วนขาตั้งจะทำประดับตกแต่ง เมื่อแขวนลูกฆ้องแล้วจะดูเด่นสวยงาม ไม้ตีมีด้ามเป็นไม้จริง หัวไม้พันด้วยผ้าให้นุ่มแล้วถักเชือกพันเพื่อสวยงาม และกันลุ่ย บางครั้งใช้ไม้ตี ๒ อัน ประวัติ มี 3 ใบ ใช้กระจังโหม่งอันใหญ่สำหรับตั้ง นำลูกฆ้องทั้ง 3 ใบ แขวนเพื่อตีได้สะดวกและสวยงาม สมัยโบราณใช้ตีประกอบการละเล่นของหลวง คือ "ระเบง" บางครั้งนิยม
ฆ้องราง
ใช้ตีดำเนินทำนอง ชุดหนึ่งมี ๗-๘ ลูก เสียงลูกที่ ๑ กับลูกที่ ๘ เป็นเสียงเดียวกัน แต่ต่างระดับเสียง ปัจจุบันไม่มีการใช้ในวงดนตรีไทย (ไม่มีภาพ)
ฆ้องหุ่ย
ใช้ตีกำกับจังหวะ เป็นฆ้องที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ในวงดนตรีไทย มีอีกชื่อว่า ฆ้องชัย อาจเป็นเพราะสมัย
โบราณ ใช้ฆ้องชนิดนี้ตีเป็นสัญญาณในกองทัพ ปัจจุบันใช้ตีใน งานพิธี งานมงคลต่าง ๆ
ฆ้องโหม่ง
ใช้ตีกำกับจังหวะ มีขนาดใหญ่ รองลงมาจากฆ้องหุ่ย ได้ชื่อนี้ตามเสียงที่เกิดจากการตี
ฆ้องเหม่ง
ใช้ตีกำกับจังหวะ ขนาดเล็กกว่า ฆ้องโหม่ง ได้ชื่อนี้ตามเสียงที่เกิดจากการตี
chavapan piriyapong chavapan_1@hotmail.com