ต้องว่ากันทีละเรื่องแล้วล่ะครับ
Output impedance คือค่าความต้านทานขาออกของวงจรขยายสัญญาณ ซึ่งเจ้าค่านี้ยิ่งต่ำยิ่งต่ำยิ่งดี มันจะสามารถขับโหลดได้โดยที่สัญญาณตกคร่อมโหลดไม่ตก .... ลองดูตัวอย่างครับ
-ตัวอย่างที่ 1 วงจรขยายมี Output impedance 10k ปล่อยสัญญาณขณะไม่ต่อโหลดออกมาเท่ากับ 1V ..... เมื่อนำไปขับโหลด 10k จะเหลือสัญญาณตกคร่อมโหลดเท่ากับ [(1*10k)/(10k+10k)] = 0.5V ..... สัญญาณตกคร่อมโหลดเหลือครึ่งเดียว
-ตัวอย่างที่ 2 วงจรขยายมี Output impedance 1k ปล่อยสัญญาณขณะไม่ต่อโหลดออกมาเท่ากับ 1V ..... เมื่อนำไปขับโหลด 10k จะเหลือสัญญาณตกคร่อมโหลดเท่ากับ [(1*10k)/(1k+10k)] = 0.9V ..... สัญญาณตกคร่อมโหลดเกือบเท่าที่วงจรขยายขับออกมา
-ในกรณีของหลอดสุญญากาศกับหูฟัง... หลอดแต่ละเบอร์จะมีค่า Plate resistance (rp) ที่แตกต่างกันไป หากนำหลอด 12AX7 ซึ่งมี rp สูงระดับร้อยกิโลโอห์ม ไปขับหูฟังที่มีค่าอิมพีแดนซ์ 32 โอห์ม เมื่อคำนวณตามตัวอย่างด้านบนจะเหลือแรงดันตกคร่อมหูฟังนิดเดียว แทบจะไม่มีเสียง .... ในกรณีของ HA1 ใช้หลอด 7044 ในภาคเอาต์พุต ตามสเปค HA1 มีค่าเอาต์พุตอิมพีแดนซ์ 35 โอห์ม เมื่อนำไปขับหูฟัง 32 โอห์ม ก็จะมีสัญญาณเสียงตกคร่อมหูฟังประมาณครึ่งหนึ่งที่หลอด 7044 ขับออกมา ความดังเสียงจึงมากกว่าตอนขับด้วยหลอด 12AX7 หลายขุม และหากนำไปใช้กับหูฟัง 600 โอห์ม ความดังที่ได้จะยิ่งมากขึ้นไปอีก และหากนำ HA1 ไปทำเป็นปรีแอมป์ เพื่อขับเพาเวอร์แอมป์ซึ่งมีค่าอินพุตอิมพีแดนซ์ระดับ 100k ด้วยแล้ว สัญญาณที่อินพุตของแอมป์จะสูงพอๆ กับที่หลอด 7044 จ่ายออกมาเลยทีเดียว ซึ่งเมื่อพิจจารณาเฉพาะเรื่องขนาดของสัญญาณแล้วเจ้า HA1 ทำได้ดีกว่าปรีแอมป์หลอดทั่วไป แต่เรื่องเสียงต้องว่ากันอีกทีครับ