HTG2.club

เขาว่าหลอดไม่ได้ทำให้เสียงอุ่น "warm" หรอก

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
ถ้าผมเข้าใจได้ถูกทาง ผมคาดว่าความเพี้ยนฮาร์โมนิก น่าจะเป็นเหมือนที่ผมเขียนไว้คือมีการขยายปริมาณ ที่ตัวคูณ x เท่าของความถี่เดิมมากหรือน้อยเกินจากต้นฉบับ ผมก็คิดว่าตามที่บทสัมภาษณ์ Mr.Manly น่าจะผิดไปไม่มาก เพราะเวลาเราดู spec เครื่องเสียงที่อ้างถึง THD (Total Harmonic Distortion) มันรวมทุก x หรือ order  แต่เครื่องเสียงหลอดที่มี THD สูงกลับให้เสียงที่ฟังสบายและสมจริงกว่าเครื่องเสียงโซลิด  และในคู่มือการคำนวนออกแบบวงจรหลอดก็จะพูดเน้นถืงแต่ 2nd Harmonic และจากการเลือก loadline ก็จะเน้นการลด THD ในการออกแบบวงจร

Harmonic Distortion ก็แปลตรงๆ ตัวเลยครับ ความเพี้ยนแบบฮาร์โมนิกครับ เนื่องจากโครงสร้างของอุปกรณ์ขยายสัญญาณ (ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม) ทำให้วงจรพวกนี้สร้างความเพี้ยนฮาร์โมนิกให้สัญญาณที่เข้ามาครับ อย่างเช่นสมมุติผมป้อน Sine Wave 440Hz เข้าไปในปรีหลอด เป็น Single Tone ไม่มีฮาร์โมนิกเลย Output ที่ได้ก็ยังคงเป็น 440Hz แต่จะมีความเพี้ยนฮาร์โมนิกปนออกมาด้วย หรือถ้าสัญญาณมีฮาร์โมนิกอยู่แล้ว ก็จะทำให้ฮาร์โมนิกนั้นเปลี่ยนไปจากสัญญาณต้นแบบครับ คือเรายังรับรู้ว่านี่คือเสียงกีต้าร์ นี่คือเสียงไวโอลิน แต่เราอาจจะรับรู้ผิดในประเด็นอื่นๆ เช่น ตอนบันทึกใช้กีต้าร์ Les Paul แต่ตอนเล่นกลับเราอาจจะฟังเป็น Baracuda ก็เป็นได้ เคยไม๊ครับ เวลาเราฟังเพลงกับ System เรา แล้วเราไม่รู้ว่าเครื่องดนตรีที่เค้าเล่นคืออะไร แต่พอเอาไปเล่นกับ System ที่ดีกว่า บอกได้เลยว่านี่เป็นซออู้ของจีน ทำในนานกิงเมื่อ 1500 ปีก่อน ใช้ไม้.... และคันชักทำจาก... และคนสีถนัดซ้ายแถมนิ้วก้อยที่กดสายด้วนไปข้อนึงด้วย (แล้วใครจะรู้ล่ะว่าจริงรึเปล่า :D) คืออันนี้เจตนาประชดนักวิจารณ์เครื่องเสียงนิดหน่อยนะครับ  :yucky จริงๆ ต้องการจะสื่อว่า Harmonic Distortion ของเครื่องขยายใดๆ มีผลต่อการรับรู้ (ฟัง) ของเราในหลายๆ ลักษณะครับ ถ้าต้องการขยายความจากตรงนี้ ลองศึกษาเรื่อง Physcoacoustic กันต่อครับ มีบทความมากมายให้อ่านครับ  ;)


ออฟไลน์ pride

  • *****
    • กระทู้: 518
  • พ่อค้า & ซาเล้ง
    • www.pridediyjunk.com
ลองคิดในแง่กลับกันไหมครับ ถ้าเอาฟิสิกส์ว่ากันละก็ เครื่องที่เป็นไฟฟ้าสามารถให้กำเนิดความถี่ใดๆก็ได้ เช่นผมยกตัวอย่างป้อน Function Gen 1 kHz มันก็ออกมา 1 kHz ผมอ้างอิง คุณ gai ที่ว่า สร้าง harmonic ที่ปริมาณและจำนวน x ออกมาได้ทุกครั้ง ในขณะที่ เล่นดนตรีสด เอาเป็นกีต้าร์โปร่งที่ Mr.ธูป ( เรียกตามคำเรียกร้อง  ;D ) กำลังเล่นในวงเหล้า ถามหน่อยเหอะ ว่าดีดไป 10 ครั้ง แน่ใจนะว่า ได้ความถี่เดียวกันออกมาทุกครั้ง ผมกำลังจะสื่อว่า เครื่องดนตรีที่กำลังถูกเล่นอยู่เนี่ยะ มันมี Harmomic Distortion เพียบ ดังนั้นเราฟังเครื่องเสียงยังไงๆ ก็ไม่เหมือนเล่นสด คิดเล่นๆนะครับ ผมอาจจะคิดผิดก็ได้ แต่ชอบครับ ถก กันแบบนี้ ยินดีรับฟังครับ จริงๆ ง่าวฟิสิกส์ อ่ะ มั่วๆไป เดี๊ยวค่อยไปถกเรื่องหลอดต่อ  :)

แวะมาหรือน้อง ไม่รู้จักนอนนะเรา 

อ่านหนังสือสอบครับ ฮือๆ

อย่าพึ่งรีบจบเล้ยยย จบมาก็ตกงาน  ;D ;D ;D ;D ;D  เรียนๆไปก่อน     ^-^
welcomeani" border="0 <a href="http://www.pridediyjunk.com/catalog/index.php?language=TH" >www.pridediyjunk.com [/url]


ออฟไลน์ Era

  • *****
    • กระทู้: 975
    • เพศ:ชาย

ออฟไลน์ Withaya

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,390
 :clap นานๆจะมีเนื้อซะที

ทำไม่กีตาร์ Gibson Les Paul 40,000 เสียงไม่เหมือน Baracuda 3,500 (กราฟ FFT ต้องไม่เหมือนกันด้วย)   ในทางกลับกัน ถ้ากราฟเหมือนกันเป๊ะเนี่ย เสียงจะเหมือนกันหรือปล่าว


เครื่องดนตรีแต่ละชิ้น ก็เสียงไม่เหมือนกัน ผมเชื่อว่าเพราะโครงสร้างทางฮาร์โมนิคมันไม่เหมือนกันครับ  เช่น Gibson H2=24% H3=3% H4=9% H5=1%  Baracuda 3500 H2=23% H3=3% H4=8.5% H5=0.5% เป็นต้นครับ 

และถ้ากราฟเหมือนกันเป๊ะ ก็น่าจะเสียงเหมือนกันครับ  ถ้าเครื่องวัดสามารถวัดออกมาได้ละเอียดเทียบเท่าหูมนุษย์ และสมองสามารถทำได้นะครับ  เพียงแต่ตอนนี้เทคโนโลยีที่เรามียังเลียนแบบความสามารถของคนคิด ไม่ได้เท่านั้นเองครับ

กลับมาที่หลอดอีกทีว่า หลอดแต่ละหลอด เบอร์เดียวกัน แต่ต่างยี่ห้อ ต่างปีกัน แต่ทำไมเสียงไม่เหมือนกัน ผมเชื่อว่าก็เพราะผลลัพท์เสียงของโครงสร้างทางฮาร์โมนิคมันออกมาไม่เหมือนกันครับ  (จริงๆมันมีมากกว่านี้อีกนะครับ  หลอดต่างยี่ห้อ ต่อให้เบอร์เดียวกัน แต่นิสัยมันไม่เหมือนกัน เพราะมันอาจจะออกแบบให้ plate curve ต่างกันนิดนึงก็ได้ ไม่เชื่อลองวัด กระแส กับโวลท์ เวลาเปลี่ยนหลอดต่างยี่ห้อกันดูสิครับ  มันจะต่างกันนิดนึง)

กระทู้ดีๆครับ  :clap

แวะมาหรือน้อง ไม่รู้จักนอนนะเรา 



ออฟไลน์ Martra

  • www.vonorfivestars.com
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,390
    • เพศ:ชาย
  • "One Stop Solution for Bed and Bedding Products"
    • http://www.vonorfivestars.com
พยายามไปหาเรื่อง EQ แล้วก็ฮาร์โมนิค ไปเจอโฆษณามิ๊กเซ่อร์ Pioneer DJM800 เขาว่าไปอย่างนี้ อ่านแล้วไม่รู้ว่ามันคืออะไร 

เอฟเฟคทางเสียงหลากแบบเพื่อการมิกซ์เสียงรูปแบบใหม่

เครื่องดีเจมิกเซอร์แรกของโลกที่มีฟังก์ชั่น Harmonic Tuning อัตโนมัติที่ตรวจจับคีย์เพลงและปรับให้ตรงตามคีย์ที่ถูกต้องมากที่สุดโดยอัตโนมัติ ในด้านทฤษฎีเพลง ขณะที่ดีเจยกระดับพิทช์ของเพลงในคีย์ C ขึ้นสามเปอร์เซ็นต์ จะทำให้เพลงไม่อยู่ในคีย์ C แต่อยู่ระหว่างคีย์ C และ C ชาร์ป จึงทำให้ไม่สามารถมิกซ์เสียงอย่างลงตัวได้

ฟังก์ชั่นปรับเสียง (Harmonic Tuning) ใหม่ของไพโอเนียร์จะปรับคีย์ในเสียงต้นแบบในส่วนของพิทช์จนกระทั่งได้โน๊ตมาตรฐานและแน่นอนว่า ควรมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเพลงบ้าง เช่นคีย์ที่เข้ากันได้ เพื่อให้ได้เสียงที่ผสมผสานอย่างลงตัวมากที่สุด

ในปัจจุบัน ดีเจระดับโลกใช้เวลานานนับพันชั่วโมงเพื่อเรียนรู้คีย์เพลงและการปรับโทนไฟล์เสียงให้ได้ "พิทช์ที่สมบูรณ์แบบ" ในวันนี้ เครื่อง DJM-800 ทำให้ง่ายที่จะทำการ "มิกซ์เสียงที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว"



ฟังก์ชั่นนี้คือการ ช่วยปรับเสียงที่เพี้ยนไปเพราะ รอบหมุน (Speed) มันเพี้ยนครับ ถ้ามันหมุนเร็วเกินไป เสียงก็จะเพี้ยน ตัวโน้ตในบทเพลงก็จะเลื่อนยกสูงขึ้นทั้งกะบิ (รอบหมุนเร็วไปเป็นเปอร์เซนต์ไม่เยอะ)
ในทางกับกันถ้าหมุนช้าเกินไปเสียงก็หน่วงลงจนเพี้ยนต่ำ คีย์โน้ตก็จะลดลงทั้งกะปิ ถ้ารอบช้าสุดๆก็จะไม่ต่างอะไรกับการที่เทปยืดครับ

เคยไปร้องคาราโอเกะไหมครับ บางเครื่องมีตัวปรับคีย์เสียงให้เล่นด้วย ปรับคีย์ขึ้นเพลงก็จะยกเสียงสูงขึ้น แต่ทำนองยังเหมือนเดิม แต่เอาคนร้องหลงเลย ถ้าเพื่อนแกล้ง.... :)
Vinyl Sound = Toe Tapping and Heaven on Earth...:dj


ออฟไลน์ gai

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,318
    • เพศ:ชาย
ถ้าผมเข้าใจได้ถูกทาง ผมคาดว่าความเพี้ยนฮาร์โมนิก น่าจะเป็นเหมือนที่ผมเขียนไว้คือมีการขยายปริมาณ ที่ตัวคูณ x เท่าของความถี่เดิมมากหรือน้อยเกินจากต้นฉบับ ผมก็คิดว่าตามที่บทสัมภาษณ์ Mr.Manly น่าจะผิดไปไม่มาก เพราะเวลาเราดู spec เครื่องเสียงที่อ้างถึง THD (Total Harmonic Distortion) มันรวมทุก x หรือ order  แต่เครื่องเสียงหลอดที่มี THD สูงกลับให้เสียงที่ฟังสบายและสมจริงกว่าเครื่องเสียงโซลิด  และในคู่มือการคำนวนออกแบบวงจรหลอดก็จะพูดเน้นถืงแต่ 2nd Harmonic และจากการเลือก loadline ก็จะเน้นการลด THD ในการออกแบบวงจร

ผมยอมรับว่าผมเข้าใจ THD ผิดมาตลอด  เมื่อก่อนคิดว่าเป็นความเพี้ยนทางความถี่เสียง  K]  K]  แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าเป็นความเพี้ยนทางปริมาณของ order ของความถี่ ต้องขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่กรูณาแนะนำครับ  :bowdown


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
ได้รับความรู้มากขึ้นเยอะเลยเกี่ยวกับทฤษฎีดนตรี  หลังจากอ่านแล้วผมก็เกิดความคิดความเข้าใจขึ้นเองว่า  Harmonic ไม่ใช่ความเพี้ยน มันเป็น resonance ของความถี่เสียงที่เกิดจากชิ้นส่วนอุปกรณ์ของแต่ละเครื่องดนตรีที่เกิดขึ้นจากพลังงานเสียงของแหล่งกำเนิดไปตกกระทบแล้วสะท้อนออกมา  ความถี่ที่เกิดจะต้องมีความสัมพันธ์กับความถี่เดิม เป็นจำนวน x เท่า  เครื่องดนตรีแต่ละชนิดสร้าง harmonic ที่ปริมาณและจำนวน x ที่ต่างกันจึงทำให้เกิดเสียงเฉพาะของเครื่องดนตรีนั้นๆ  ความไพเราะของเสียงโน๊ตจะเกิดขึ้นเมื่อความลงตัวของปริมาณ และค่าตัวคูณ x ที่ลงตัว กล่าวคือรวมกับเสียงต้นกำเนิดแล้ว หูคนฟังชอบ  เครื่องดนตรีที่ชนิดเดียวกันก็อาจไม่สร้างโน๊ตดนตรีที่ให้ความไพเราะเท่ากันเพราะอุปกรณ์ชิ้นส่วน ไม่สร้างปริมาณและค่าตัวคูณ x ที่เหมือนกัน 100%

คราวนี้ความเพี้ยนที่เกิดขึ้น ก็น่าจะเป็นเพราะปริมาณ harmonic และค่าตัวคูณ x นี่แหละ ที่เกิดขึ้นภายในวงจรเครื่องเสียง  ถ้ามันเกิดในปริมาณที่พอเหมาะเหมือนกับเครื่องดนตรีจริง มันก็ให้เสียงสมจริง  แต่ถ้ามันปริมาณมากไป น้อยไป ที่ค่าตัวคูณ x ที่ไม่เหมือนกับเครื่องดนตรีต้นกำเนิด มันก็คือความเพี้ยน (ในกรณีนี้พิจารณาที่โน๊ตดนตรีไม่มีความผิดพลาด-ผิดคีย์เลย)  เมื่อมันเพี้ยนจากเครื่องดนตรีเดิม มันก็ฟังแล้วขัดความรู้สึกว่า มันไม่ใช่

อ่านจาก 2 ย่อหน้านี้เราเข้าใจตรงกันครับ และตอนนี้เราก็แยก ความเพี้ยน และ ฮาร์โมนิก ออกจากกันได้แล้ว ว่ามันเป็นคนละเรื่องกันครับ ความเพี้ยน ก็คือความไม่ตรงกับต้นแบบ ส่วนฮาร์โมนิกเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เสียงเครื่องดนตรีมีเอกลักษณ์ แล้วถ้าเราเอามารวมกันเป็น -ความเพี้ยนฮาร์โมนิก- ล่ะครับ มันจะมีความหมายอย่างไร  :D

อ้างถึง
จากที่ Mr. Manly อธิบาย  ค่าความเพี้ยนของเครื่องโซลิตสเตทมันมีปริมาณที่ higher order นั่นคือตัวคูณ x สูง หูคนเราจะจับได้ง่าย  ส่วนความเพี้ยนของเครื่องหลอด มันมีที่ lower order นั่นก็คือตัวคูณ x ต่ำ ความที่มันน่าจะใกล้เคียงกับคลื่นเสียงเดิม หูตะกั่วอย่างผมเลยแยกแยะไม่ออก (หูทองคงฟังออก)  เครื่องหลอดก็เลยมีความไพเราะฟังสบายกว่า solid state  ที่ต้องลดค่าความเพี้ยนนี้ด้วยวงจรที่ซับซ้อนมากๆ ยิ่งซับซ้อนความเป็นธรรมชาติก็ยากที่จะทำให้เหมือน ฟังนานๆ ก็เลยเกิดอาการล้า

ความเข้าใจของผมตอนนี้ มีผิดถูกอย่างไร ช่วยกันวิจารณ์ด้วยครับ

จริงๆ แล้วในบทแปลข้างต้น ผมคิดว่าน่าจะมีการแปลความหมายผิดครับ ไว้ค่อยกลับมาสนทนาเรื่องนี้กันอีกทีนึงครับ  ;)



ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
มีคำถามว่าถ้าเราใช้ high-pass หรือ low-pass filter นี่มันจะกรองเฉพาะฮาร์โมนิก หรือว่า เสียงความถี่หลักออกไปด้วยคับ  ???

แล้วก็แอมป์กีต้าร์ไฟฟ้า มีลูกเล่นเรื่องฮาร์โมนิกทุกอัน ไม่นับเทคนิคการดีดและโย๊ก ไอ้เนี่ยมันอะไรกันแน่  >:(

วงจร High Pass / Low Pass ในวงจรไฟฟ้าจะมีการกำหนดว่า Cut-off Freq เป็นเท่าไหร่ครับ ไม่ว่าจะ Fundamental หรือ Harmonic ถ้ามาก (หรือน้อย) กว่า Freq cut-off ก็จะถูกลดทอนลงครับ จะลดทอนมากน้อยขึ้นกับความสามารถของวงจรกรองครับ

ส่วนเรื่องกีต้าร์ไฟฟ้านั้นผมไม่กระดิกเลยครับ เล่นเป็นแต่กีต้าร์วงเหล้าประกอบเสียงเคาะขวดเคาะจานครับ  :drunk :guitarist ;D

อ้างถึง
แล้วก็เวลาลำโพงหอนจากไมโครโฟน ก็ไปปรับลด EQ ตรงฮาร์โมนิกที่เป็น feed-back loop กลับเขามาก็หายหอน ไม่รู้อันนี้ยังไม่ใช่เรื่องน๊อยส์ใช่มั๊ยคับ

ขอความกระจ่างด้วย  :bowdown

เรื่องไมค์หอนเป็นผลจาก Positive Feedback ครับ คือไมค์รับสัญญาณจากลำโพงแล้วก็เอาไปขยายมาออกลำโพงอีกที มันก็ดังขึ้นเรื่อยๆ จนฟังเป็นเสียงหอนครับ เกี่ยวกับ Noise ไม๊ ก็ไม่เชิงครับ แต่อย่างที่คุณ redbook ว่าแหล่ะครับ Clear เรื่อง Harmonic กับ Harmonic Distortion กันก่อนดีกว่า เรื่อง Noise ไว้ว่ากันอีกที  :)


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
ปริมาณนี่หมายถึงความดัง (amplitude) หรือเปล่า  ??? แล้วมันจะมีไปจน H99 H100 H999 H1000000 นุ่นด้วยเลยมั๊ย

ใช่ครับ กรณีนี้ก็คือ Amplitude ครับ (จริงๆ แล้วหมายถึงพลังงานน่ะครับ แต่ก็ใช้แทนกันได้) เท่าที่ผมเคยเห็นผล FFT มา อย่างมากสุดก็แค่ H20 ครับ เข้าใจว่า H100 หรือสูงกว่ามีอยู่ แต่ปริมาณน้อยมากเมื่อเทียบกับ Fundamental จนไม่จำเป็นต้องพูดถึงครับ

อ้างถึง
มีคำถามคาใจอีกอัน ถ้า FFT เป็นการแยกความถี่แต่ละอัน (แต่ละฮาร์โมนิกนั่นเอง) ออกมาให้เห็น เช่น เป็นกราฟ



ทำไม่กีตาร์ Gibson Les Paul 40,000 เสียงไม่เหมือน Baracuda 3,500 (กราฟ FFT ต้องไม่เหมือนกันด้วย)   ในทางกลับกัน ถ้ากราฟเหมือนกันเป๊ะเนี่ย เสียงจะเหมือนกันหรือปล่าว    ??? 

น่าคิดเหมือนกันครับ ผมยังไม่เคยเห็นผลการวัดเสียงเครื่องดนตรีชนิดเดียวกัน แต่ต่างยี่ห้อแบบนี้เหมือนกันครับ

อ้างถึง
คลังเก่าเพียบ ขอถามต่อเลย อิอิ  เอาคอมพิวเตอร์มาเล่น VST/DXi มาหลายปีแล้ว หาไฟล์ midi เล่นออกมา เสียงดีใกล้เคียงเครื่องดนตรีจริง เขาใช้หลักการทำ Physical Modeling สร้างเสียงเครื่องดนตรี

อย่างเสียงเปียโน  >> http://www.af.lu.se/~fogwall/piano.htm

หลักการแค่สร้างฮาร์โมนิกให้ครบหรือป่าวครับ

ผมไม่เคยศึกษา Midi และไม่รู้จัก VST/DXi จึงไม่ทราบหลักการทำงานของมันครับ รบกวนผู้รู้ช่วยชี้แนะด้วยนะครับ ขอบคุณครับ


ออฟไลน์ redbook

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,265
อย่าเพิ่งไปเรื่องน๊อยส์ เอาเรื่องฮาร์โมนิกนี่ให้กระจ่างๆก่อน  K)

พยายามไปหาเรื่อง EQ แล้วก็ฮาร์โมนิค ไปเจอโฆษณามิ๊กเซ่อร์ Pioneer DJM800 เขาว่าไปอย่างนี้ อ่านแล้วไม่รู้ว่ามันคืออะไร  ???

เอฟเฟคทางเสียงหลากแบบเพื่อการมิกซ์เสียงรูปแบบใหม่

เครื่องดีเจมิกเซอร์แรกของโลกที่มีฟังก์ชั่น Harmonic Tuning อัตโนมัติที่ตรวจจับคีย์เพลงและปรับให้ตรงตามคีย์ที่ถูกต้องมากที่สุดโดยอัตโนมัติ ในด้านทฤษฎีเพลง ขณะที่ดีเจยกระดับพิทช์ของเพลงในคีย์ C ขึ้นสามเปอร์เซ็นต์ จะทำให้เพลงไม่อยู่ในคีย์ C แต่อยู่ระหว่างคีย์ C และ C ชาร์ป จึงทำให้ไม่สามารถมิกซ์เสียงอย่างลงตัวได้

ฟังก์ชั่นปรับเสียง (Harmonic Tuning) ใหม่ของไพโอเนียร์จะปรับคีย์ในเสียงต้นแบบในส่วนของพิทช์จนกระทั่งได้โน๊ตมาตรฐานและแน่นอนว่า ควรมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเพลงบ้าง เช่นคีย์ที่เข้ากันได้ เพื่อให้ได้เสียงที่ผสมผสานอย่างลงตัวมากที่สุด

ในปัจจุบัน ดีเจระดับโลกใช้เวลานานนับพันชั่วโมงเพื่อเรียนรู้คีย์เพลงและการปรับโทนไฟล์เสียงให้ได้ "พิทช์ที่สมบูรณ์แบบ" ในวันนี้ เครื่อง DJM-800 ทำให้ง่ายที่จะทำการ "มิกซ์เสียงที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว"


แล้วก็เรื่อง >> พื้นฐาน EQ ตอนที่ 1-3


Brickwall filter



Brickwall filter ใช้สำหรับตัดเสียงในย่านความถี่ที่ไม่ต้องการออกไป โดยปกติแล้ว brickwall filter จะถูกใช้ในการตัดสัญญาณรบกวนที่อยู่นอกย่านความถี่หลักของเครื่องดนตรี กรณีเครื่องดนตรีนั้น ๆ ไม่ได้ใช้ความถี่เต็มสเกล brickwall filter จะถูกวางไว้บริเวณขอบความถี่บนสุด-ล่างสุด ของย่านความถี่ที่เครื่องดนตรีนั้น ๆ ใช้ เพื่อตัดเสียงในความถี่ที่อยู่นอกช่วงทิ้งไป ตัวอย่างเช่น การนำไปใช้กับเสียงร้อง สามารถนำ brickwall filter ไปใช้ตัดสัญญาณเสียงที่ความถี่ต่ำกว่า 100 Hz และ สูงกว่า 8 kHz ได้

Brickwall filter ยังสามารถนำไปใช้วิเคราะห์เสียงในช่วงความถี่เฉพาะได้ เช่น การเลือกฟังเฉพาะย่านความถี่ overtone ของ organ หรือ ใช้แยกเสียง “คลิ๊ก” ของ kick-drum ออกมา เป็นต้น


มีคำถามว่าถ้าเราใช้ high-pass หรือ low-pass filter นี่มันจะกรองเฉพาะฮาร์โมนิก หรือว่า เสียงความถี่หลักออกไปด้วยคับ  ???

แล้วก็แอมป์กีต้าร์ไฟฟ้า มีลูกเล่นเรื่องฮาร์โมนิกทุกอัน ไม่นับเทคนิคการดีดและโย๊ก ไอ้เนี่ยมันอะไรกันแน่  >:(

Hartke Bass Attack VXL Tone-Shaper Preamp

- ปุ่ม Harmonic ที่ใช้ปรับควบคุมซาวด์ที่มีลักษณะคล้ายแอมป์หลอด นี่ก็สะใจวัยรุ่นดี
- ปุ่ม Mix ที่ใช้ผสมเสียงระหว่างเสียงจริงของตัวเบสกับเสียงที่ถูกปรับแต่งแล้วจากปุ่ม Harmonic


แล้วก็เวลาลำโพงหอนจากไมโครโฟน ก็ไปปรับลด EQ ตรงฮาร์โมนิกที่เป็น feed-back loop กลับเขามาก็หายหอน ไม่รู้อันนี้ยังไม่ใช่เรื่องน๊อยส์ใช่มั๊ยคับ

ขอความกระจ่างด้วย  :bowdown


ออฟไลน์ gai

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,318
    • เพศ:ชาย
ได้รับความรู้มากขึ้นเยอะเลยเกี่ยวกับทฤษฎีดนตรี  หลังจากอ่านแล้วผมก็เกิดความคิดความเข้าใจขึ้นเองว่า  Harmonic ไม่ใช่ความเพี้ยน มันเป็น resonance ของความถี่เสียงที่เกิดจากชิ้นส่วนอุปกรณ์ของแต่ละเครื่องดนตรีที่เกิดขึ้นจากพลังงานเสียงของแหล่งกำเนิดไปตกกระทบแล้วสะท้อนออกมา  ความถี่ที่เกิดจะต้องมีความสัมพันธ์กับความถี่เดิม เป็นจำนวน x เท่า  เครื่องดนตรีแต่ละชนิดสร้าง harmonic ที่ปริมาณและจำนวน x ที่ต่างกันจึงทำให้เกิดเสียงเฉพาะของเครื่องดนตรีนั้นๆ  ความไพเราะของเสียงโน๊ตจะเกิดขึ้นเมื่อความลงตัวของปริมาณ และค่าตัวคูณ x ที่ลงตัว กล่าวคือรวมกับเสียงต้นกำเนิดแล้ว หูคนฟังชอบ  เครื่องดนตรีที่ชนิดเดียวกันก็อาจไม่สร้างโน๊ตดนตรีที่ให้ความไพเราะเท่ากันเพราะอุปกรณ์ชิ้นส่วน ไม่สร้างปริมาณและค่าตัวคูณ x ที่เหมือนกัน 100%

คราวนี้ความเพี้ยนที่เกิดขึ้น ก็น่าจะเป็นเพราะปริมาณ harmonic และค่าตัวคูณ x นี่แหละ ที่เกิดขึ้นภายในวงจรเครื่องเสียง  ถ้ามันเกิดในปริมาณที่พอเหมาะเหมือนกับเครื่องดนตรีจริง มันก็ให้เสียงสมจริง  แต่ถ้ามันปริมาณมากไป น้อยไป ที่ค่าตัวคูณ x ที่ไม่เหมือนกับเครื่องดนตรีต้นกำเนิด มันก็คือความเพี้ยน (ในกรณีนี้พิจารณาที่โน๊ตดนตรีไม่มีความผิดพลาด-ผิดคีย์เลย)  เมื่อมันเพี้ยนจากเครื่องดนตรีเดิม มันก็ฟังแล้วขัดความรู้สึกว่า มันไม่ใช่

จากที่ Mr. Manly อธิบาย  ค่าความเพี้ยนของเครื่องโซลิตสเตทมันมีปริมาณที่ higher order นั่นคือตัวคูณ x สูง หูคนเราจะจับได้ง่าย  ส่วนความเพี้ยนของเครื่องหลอด มันมีที่ lower order นั่นก็คือตัวคูณ x ต่ำ ความที่มันน่าจะใกล้เคียงกับคลื่นเสียงเดิม หูตะกั่วอย่างผมเลยแยกแยะไม่ออก (หูทองคงฟังออก)  เครื่องหลอดก็เลยมีความไพเราะฟังสบายกว่า solid state  ที่ต้องลดค่าความเพี้ยนนี้ด้วยวงจรที่ซับซ้อนมากๆ ยิ่งซับซ้อนความเป็นธรรมชาติก็ยากที่จะทำให้เหมือน ฟังนานๆ ก็เลยเกิดอาการล้า

ความเข้าใจของผมตอนนี้ มีผิดถูกอย่างไร ช่วยกันวิจารณ์ด้วยครับ


ออฟไลน์ wicha1959

  • **
    • กระทู้: 86
สวัสดีครับ..เมื่อได้อ่าน ความเห็นและเว๊ปที่แนบมา....ช่วยมากครับ
เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเสียง+คลื่นเสียง+การได้ยิน(ฟัง)+การตอบสนอง +ระบบประสาทของหูฯลฯ

ความเข้าใจ เกี่ยวกับ คลื่นเสียง เสียงมาตราฐาน ความถี่ รวมทั้งขนาดของความดัง.ซึ่งเมื่อวัดด้วยเครื่องจับความสั่น-สะเทือน แล้วเป็นตัวเลขหรือกร๊าฟออกมา.
แถมยังไปถึงคลื่นที่รวมเป้นคลื่นเดียวกันด้วย..สะวิง-สะวายไปมา..ตามแรงกระเพื่อมและช่องห่างเวลา..รวมทั้งสัญญาณเสียงที่เป็นดนตรี ซึ่งแตกต่างจากสัญญาณรบกวนไม่ว่าจะเป็น  noise หรือ ham    ..โดยกลับมาที่หูและประสาท(การทำงานทั้งหมดของการได้ยินของคน) อย่างนี้ขอสรุปเองเลยว่า ฮาโมนิคที่ได้ยิน คือ ความอ่อนช้อย(ละเอียด)ของเสียงที่ประสาทสัมผัสของผู้ฟังยอมรับได้และชื่นชมน่ะครับ...ทีนี้ขอเป้นนักเรียนอย่างเดียวแล้วครับ.. :clap :clap :clap.

โดยขอฝากคำถามว่า.. หลอดที่เราใช้เป็นปรี +หลอดที่เราใช้เป็นพาวเวอร์ (ซึ่งหลอดออดิโอเหล่านี้ มีความเป็นฮาโมนิคอยู่.)มันทำให้เสียงจากแผ่นหรือต้นเสียงอื่นๆ..มาจนถึงลำโพง..มีการบิดเบือนของคลื่นเสียงหรือไม่??? ขอบคุณครับ.


ออฟไลน์ redbook

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,265
คุณ redbook นี่เป็นนักศึกษาตัวยงเลย  น่าจะแบ่งปันความรู้ให้สมาชิกได้มากนะครับ  O0
แบ่งอยู่  ^-^  หายคนช่วยติวด้วย  :help

อย่างเช่นไวโอลิน ก็จะมีฮาร์โมนิกของมันเอง เช่น มี H2 เป็นปริมาณ 50% ของความถี่มูลฐาน มี H3 2%, H4 17%, H88 33% หรือกีต้าร์มี H2 7%, H3 0%, H4 28%, H16 5%, เปียโนมี H2=..... ก็ว่ากันไป ด้วยเหตุนี้ เราจึงแยกเสียงเครื่องดนตรีแต่ละชนิดออกจากกันได้ถึงแม้จะเล่นโน๊ตเดียวกัน ก็เพราะว่ามันมีองค์ประกอบทางฮาร์โมนิกแตกต่างกันครับ :)

ปริมาณนี่หมายถึงความดัง (amplitude) หรือเปล่า  ??? แล้วมันจะมีไปจน H99 H100 H999 H1000000 นุ่นด้วยเลยมั๊ย 

มีคำถามคาใจอีกอัน ถ้า FFT เป็นการแยกความถี่แต่ละอัน (แต่ละฮาร์โมนิกนั่นเอง) ออกมาให้เห็น เช่น เป็นกราฟ



ทำไม่กีตาร์ Gibson Les Paul 40,000 เสียงไม่เหมือน Baracuda 3,500 (กราฟ FFT ต้องไม่เหมือนกันด้วย)   ในทางกลับกัน ถ้ากราฟเหมือนกันเป๊ะเนี่ย เสียงจะเหมือนกันหรือปล่าว    ??? 

คลังเก่าเพียบ ขอถามต่อเลย อิอิ  เอาคอมพิวเตอร์มาเล่น VST/DXi มาหลายปีแล้ว หาไฟล์ midi เล่นออกมา เสียงดีใกล้เคียงเครื่องดนตรีจริง เขาใช้หลักการทำ Physical Modeling สร้างเสียงเครื่องดนตรี

อย่างเสียงเปียโน  >> http://www.af.lu.se/~fogwall/piano.htm

หลักการแค่สร้างฮาร์โมนิกให้ครบหรือป่าวครับ

เจอบทความเอ็นจิเนียร์ๆ Sound Timbre Interpolation Based-on Physical Modeling ได้แต่ดูทำตาปริบๆ  :o

http://www.jstage.jst.go.jp/article/ast/22/2/101/_pdf
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16 ธันวาคม, 2008, 07:23:48 am โดย redbook »


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
สวัสดีเช่นกันครับคุณ Martra ไม่ได้คุยกันนานเลยนะครับ :)

แปลไม่ไหวละครับคุณ redbook มาเป็นชุดแบบนี้  :D ดูจากความเห็นและอ้างอิงต่างๆ ผมว่าเราคุยกันต่อได้แล้วละครับ  O0

เสียงเครื่องดนตรีแต่ละชนิด แม้จะเล่นโน๊ตเดียวกันก็ตาม แต่ผู้ฟังก็รับรู้ถึงชนิดของเครื่องดนตรีได้ ก็เพราะว่าแต่ละเครื่องดนตรีสร้างฮาร์โมนิกออกมาแตกต่างกันครับ ย้อนกลับไปที่อะไรคือฮาร์โมนิกซักนิดนะครับ ว่าฮาร์โมนิกก็คือความถี่ที่เป็นจำนวนเท่าของความถี่มูลฐาน ความถี่มูลฐานของ C กลาง (Middle C) จะอยู่ที่ 262Hz (จริงๆ แล้วมาตรฐานนับที่ Middle A = 440Hz ครับ) ฮาร์โมนิกที่สองของ 262Hz ก็คือ 524Hz ฮาร์โมนิกที่สิบก็คือ 2.62kHz แบบนี้เป็นต้นครับ ทีนี้กลับมาที่การสร้างฮาร์โมนิกของเครื่องดนตรี (หรือแม้แต่เสียงคน) อย่างเช่นไวโอลิน ก็จะมีฮาร์โมนิกของมันเอง เช่น มี H2 เป็นปริมาณ 50% ของความถี่มูลฐาน มี H3 2%, H4 17%, H88 33% หรือกีต้าร์มี H2 7%, H3 0%, H4 28%, H16 5%, เปียโนมี H2=..... ก็ว่ากันไป ด้วยเหตุนี้ เราจึงแยกเสียงเครื่องดนตรีแต่ละชนิดออกจากกันได้ถึงแม้จะเล่นโน๊ตเดียวกัน ก็เพราะว่ามันมีองค์ประกอบทางฮาร์โมนิกแตกต่างกันครับ จริงๆ มีเรื่องอื่นด้วย แต่หลักๆ เลยก็คือฮาร์โมนิกครับ  :)

คุณ redbook มีพูดถึงเรื่อง Fourier Transform ด้วย ลองดูจากในรูปนั้นเลยครับ รูปที่เป็นคลื่นสัญญาณรูปบน เราจะเห็นว่ามันไม่เหมือน Sine wave ที่เราเห็นๆ กันเป็นรูปคลื่นโค้งสวยงาม แต่นี่คือลักษณะสัญญาณจากเครื่องดนตรีจริงๆ ครับ จะเห็นว่าถึงแม้ไม่เป็นสัญญาณ Sine สวยงาม แต่มันก็มีคาบของมันแน่นอน คือคลื่นแต่ละลูกนั้นเหมือนกันและห่างเท่าๆ กัน Fourier Transform เป็นวิธีทางคณิตศาสตร์ที่ทำให้เราเห็นองค์ประกอบของมันครับ ถอดออกมาได้เป็นรูปด้านล่างก็คือกราฟแท่งแสดงปริมาณของคลื่นแต่ละความถี่ครับ กราฟแท่งแรกก็คือความถี่มูลฐานครับ แท่งจึงสูงที่สุด ส่วนแท่งอื่นๆ คือความถี่อื่นที่แฝงมาด้วยครับ

เรื่องทฤษฏีดนตรีผมก็งูๆ ปลาๆ ครับ แต่พอจะทราบว่าระบบโน๊ต 7 ตัว จะมีแบ่งชุดโน๊ตออกเป็น Octave ซึ่ง Octave ก็คือช่วงห่างของความถี่ 1 เท่าตัวครับ Octave ที่เป็นค่ากลางจะอยู่ที่ความถี่ราวๆ 300Hz นี่แหล่ะครับ ผมไม่แน่ใจว่าเค้าอ้างอิงยังไง แต่จำได้ว่าจาก C4 (Middle C) ถึง C5 คือ 262 - 524Hz C6 ก็จะเป็นอีก 1 Octave คือ 1048Hz หมายความว่า ช่วง 262-524 จะมีโน๊ต 7 ตัวหลักไม่นับพวกครึ่งเสียง และ 524-1048 ก็จะมีอีก 7 ตัวซ้ำกับชุดแรก แต่สูงกว่าเดิมอยู่ 1 Octave อย่างเปียโนนี่ผมจำได้ลางๆ ว่ามี 8 Octave ครับ (ไม่แน่ใจนัก รบกวนผู้รู้ช่วยแก้ให้ด้วยนะครับ) ส่วนเรื่อง Key นั้นเป็นการกำหนดโน๊ตตัวหลักในการเล่นครับ เสียงอื่นๆ ก็จะต้องสอดคล้องตามระบบโน๊ต 7 ตัว ยกตัวอย่างข้างต้น Key C ก็คือ 262-524 ถ้าเป็น Key A ก็จะเป็น 440-880 ครับ

ที่ว่ามาตะกี้เป็นเรื่องความถี่มูลฐานในทฤษฏีดนตรีครับ กลับมาเรื่องของเราก็คือเรื่องฮาร์โมนิกและความเพี้ยนฮาร์โมนิกครับ ตอนนี้เราพอทราบแล้วว่าฮาร์โมนิกคืออะไร แล้วความเพี้ยนฮาร์โมนิกคืออะไรน่าจะเป็นประเด็นที่เราจะคุยกันต่อได้ครับ ช่วยกันแสดงความคิดเห็นกันครับ  ;)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 ธันวาคม, 2008, 01:05:08 am โดย Mr. Tube »


ออฟไลน์ gai

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,318
    • เพศ:ชาย
ลืมไปอีกอัน เคยพยายามอ่าน เรื่อง standing wave ของเครื่องดนตรี  ตัวอย่าง harmonics ของขลุ่ยและเครื่องดนตรีอื่นๆ

http://www.rmutphysics.com/charud/virtualexperiment/labphysics1/wave/StandingWaves/StandingWave1/StandingWavesthai1.html


คุณ redbook นี่เป็นนักศึกษาตัวยงเลย  น่าจะแบ่งปันความรู้ให้สมาชิกได้มากนะครับ  O0


ออฟไลน์ redbook

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,265
ลืมไปอีกอัน เคยพยายามอ่าน เรื่อง standing wave ของเครื่องดนตรี  ตัวอย่าง harmonics ของขลุ่ยและเครื่องดนตรีอื่นๆ

http://www.rmutphysics.com/charud/virtualexperiment/labphysics1/wave/StandingWaves/StandingWave1/StandingWavesthai1.html



ออฟไลน์ Martra

  • www.vonorfivestars.com
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,390
    • เพศ:ชาย
  • "One Stop Solution for Bed and Bedding Products"
    • http://www.vonorfivestars.com
มาขอความกระจ่างหน่อย เพราะทฤษฎีดนตรีเนี่ยไม่กระดิกหูเลย  :cry2

เสียงเครื่องดนตรีเขาเรียกว่า Timbre ซึ่งประกอบด้วย  pitch, loudness, และ quality บทความข้างล่างอธิบายว่า

Timbre
Timbre is mainly determined by the harmonic content of a sound and the dynamic characteristics of the sound such as vibrato and the attack-decay envelope of the sound.

ผมคิดว่าประโยคข้างบน เอาข้างล่างอธิบายได้เลยนะครับ

จากนั้นคำว่าฮาร์โมนิกมันจะมาจากไหน เวลาเราเล่นเครื่อง จะมีทั้งหัวโน้ตของเสียง ความกังวาลจากการสั่นของบอดี้ และหางเสียง
ผมว่าไอ้เจ้าความกังวาลจากตัวเครื่องที่กระเพื่อมหรือสั่น มันก่อให้เกิดฮาร์โมนิกความมีชีวิตชีวา ซึ่งสังเกตุได้จากการฟังดนตรีสดครับ
ใครมีเครื่องกีตาร์อยู่ใกล้ๆลองดีดสายสักเส้น แล้วลองสังเกตุการ เกิด อยู่ และจางหายของเสียง...
นึกภาพตะเกียบเหล็กตัวยู ที่ทดลองวิทยศาสตร์ตอนเด็กๆ ดีดปุ๊ปจุ่มน้ำจะเห็นวงน้ำวงแรกที่ชัดมาก แล้ววงที่สองสาม (ฮาร์โมนิกคู่คี่?) ตามมาเรื่อยจนจางหาย....
การสั่นจากตัวบอดี้ไม้ (กีต้าร์ ไวโอลิน)  การสั่นจากตัวบอดี้ทองเหลือง (ทรัมเป็ต ทรอมโบน) การสั่นจากฆ้อนเคาะสาย (เปียโน) จึงให้เสียงหลักกับเสียงที่ตามมา (ฮาร์โมนิก)
ไม่เหมือนกัน และสมองเราก็แยกแยะและจำไว้ว่าเสียงนี้คือเครื่องนี้ จากการเรียนรู้และจดจำ

และต้องถามกลับว่าทำไมคุณจึงรู้ว่า เสียงนี้คือกีต้าร์ เสียงนี้คือกีต้าร์เบส เสียงนี้คือแซ็กโซโฟน?
เพราะทุกเสียงมีคุณลักษณะทางเสียง (timbre) พิเศษที่ทำให้เรารู้ว่าอ๋อเสียงนี้ คือเครื่องดนตรีชนิดนี้
เมื่อแยกออกมาเป็น Harmonic content คนที่อยู่ใกล้ชิดกับเครื่องดนตรีน่าจะฟังออกได้ว่าในหนึ่งโน้ตหลัก มันมีความถี่เสริมประกอบอยู่
the dynamic characteristics of the sound คุณลักษณะความดังเบา หรือในบทความจะยก ตย.ว่า Vibrato หรือที่เรารู้จักกันดีว่าเป็น ลูกคอ นั่นเอง นักร้องลูกทุ่งชอบสั่นคอชัดมาก
attack-decay แปลตรงตัวก็คือการจางหายไป....
ส่วนที่วัดเครื่องออกมาไม่มีความเห็นครับเพราะมันเป็นเรื่องของไฟฟ้า...แต่มองได้ว่าเป็นการวัดพลังงานอย่างหนึ่งก็คงไม่ผิด
ที่เห็นความถี่ขึ้นๆลงๆ อย่าลืมนะครับว่า เสียงจากเครื่องดนตรีธรรมชาติ มาจากการ ดีด สี ตี เป่า ซึ่งมันก็คือการสั่นสะเทือน
เมื่อมันไปกระทบกับความเป็นกล่อง เช่นไวโอลิน หรือกีต้าร์ ความสั่นโดยรวมน่าจะก่อให้เกิดความถี่เป็นแผงขึ้นลง อย่างนั้น
ส่วนที่บอกว่าบางเครื่องที่ไม่มี ฮาร์โมนิกเลย ผมไม่เห็นด้วยบางตัวอย่างตัว Triangle นี่เคาะทีนึงมันมีความฟุ้ง ตามเสียงหลักมาเยอะมาก
พวกแผ่นออดิโอไฟล์ก็ชอบโชว์ เหมือนกัน (เค้าว่าประกายมันเจิดจรัสและทิ้งตัวลงสงบอย่าสง่างาม...เป็นไงสำนวนนักวิจารณ์ ^-^)

แล้วพวกเราจะทำอย่างไรดี? ง่ายสุดก็หาโอกาสไปฟังเพลงจากเครื่องดนตรีธรรมชาติจริงๆในสถานที่ดีๆ
เพื่อให้เราคะเนได้ว่าเสียงสดๆจริงๆ กลับเครื่องเสียงของเรามันห่างกันแค่ไหน?
สุดท้ายเป็นความเห็นส่วนตัวคร้าบบบบบ พี่น้อง.....แต่การถกประเด็นเพื่อการฟังเพลงนี่ผมก็ชอบครับ
Vinyl Sound = Toe Tapping and Heaven on Earth...:dj


ออฟไลน์ redbook

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,265
อ่านบทความนี้มาหลายครั้ง แต่ก็งูๆปลาๆ  ช่วยแปลให้อีกอัน  :bowdown

http://www.cco.caltech.edu/~boyk/spectra/spectra.htm

There's Life Above 20 Kilohertz !
A Survey of Musical Instrument Spectra to 102.4 KHz




Instruments With Harmonics

Fig.   Instrument                SPL     Harmonics       Percentage
                                       (dB)    Visible To        of Power
                                                 What Freq.?    Above 20 kHz

1. Trumpet (Harmon mute)     96.     >50 kHz        0.5
2. Trumpet (Harmon mute)     76.     >80  "           2.
3. Trumpet (straight mute)     83.     >85  "           0.7
4. French horn (bell up)          113.    >90  "          0.03
5. French horn (mute)            99.     >65  "           0.05
6. French horn                       105.    >55  "          0.1
7. Violin (double-stop)             87.     >50  "          0.04
8. Violin (sul ponticello)            77.     >35  "          0.02
9. Oboe                                84.      >40  "          0.01

 
Instruments Without Harmonics

Fig.   Instrument           SPL   10 dB     Above           Percentage
                                 (dB)   Bkgnd.    to                of Power
                                                       What Freq.?   Above 20 kHz

10. Speech Sibilant        72.                >40 kHz         1.7
11. Claves                    104.               >102  "          3.8
12. Rimshot                  73.                >90  "            6.
13. Crash Cymbal           108.               >102  "         40.
14. Triangle                  96.                 >90  "          1.
15. Keys jangling           71.                 >60  "          68.
16. Piano                     111.                >70  "          0.02


งงว่า harmonics ที่เขาว่าในบทความนี้เหมายถึงอะไร แล้วมันคือตัวที่ทำให้เสียงเครื่องดนตรีต่างกันด้วยป่าว  ???  ในกราฟมี harmonics ที่ 100th ด้วย  :o อะไรกันเนี่ย แล้วทำไมเขาต้องพูดถึงที่ไม่มี harmonics ด้วย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 ธันวาคม, 2008, 09:22:09 pm โดย redbook »


ออฟไลน์ redbook

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,265
มาขอความกระจ่างหน่อย เพราะทฤษฎีดนตรีเนี่ยไม่กระดิกหูเลย  :cry2

เสียงเครื่องดนตรีเขาเรียกว่า Timbre ซึ่งประกอบด้วย  pitch, loudness, และ quality บทความข้างล่างอธิบายว่า

Timbre

Sounds may be generally characterized by pitch, loudness, and quality. Sound "quality" or "timbre" describes those characteristics of sound which allow the ear to distinguish sounds which have the same pitch and loudness. Timbre is then a general term for the distinguishable characteristics of a tone. Timbre is mainly determined by the harmonic content of a sound and the dynamic characteristics of the sound such as vibrato and the attack-decay envelope of the sound.

Harmonic Content
 
The primary contributers to the quality or timbre of the sound of a musical instrument are harmonic content, attack and decay, and vibrato. For sustained tones, the most important of these is the harmonic content, the number and relative intensity of the upper harmonics present in the sound.

Some musical sound sources have overtones which are not harmonics of the fundamental. While there is some efficiency in characterizing such sources in terms of their overtones, it is always possible to characterize a periodic waveform in terms of harmonics - such an analysis is called Fourier analysis. It is common practice to characterize a sound waveform by the spectrum of harmonics necessary to reproduce the observed waveform.


ดูรูปแนบ

http://hyperphysics.phy-astr.gsu.edu/hbase/Sound/timbre.html

รบกวนขยายความเป็นไทยให้ด้วย  :bowdown


ออฟไลน์ Martra

  • www.vonorfivestars.com
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,390
    • เพศ:ชาย
  • "One Stop Solution for Bed and Bedding Products"
    • http://www.vonorfivestars.com
อึม...ตรงนี้ผมต้องขอทบทวนหน่อยว่าคิดเหมือนกันหรือเปล่า?? เท่าที่ผมเข้าใจ คือ ตัวโน๊ตบันไดเสียงมันต้องเป็นมาตราฐานน่ะครับ คือ เสียงแต่ล่ะตัวจะต้องมีระยะห่างระหว่างกัน แน่นอน เช่น 
C ..C# Db.. D.. D#Eb.. E  F .. F#Gb.. G. G#Ab... A  ..A# Bb... B   C....
โดยเสียงห่างครึ่งเสียงกับหนึ่งเสียงเป็นมาตราฐานน่ะครับ..ระหว่าง ซีไปดี ห่าง1ช่อง มีซีชร๊าปหรือดีแฟรท เป็นครึ่งเสียงระหว่าง ซีกับ ดี แต่สำหรับอีกับเอฟและบีกับซี จะห่างครึ่งช่องเสียง..ไม่มี อีช๊ราบ หรือ บีชร๊าบ..ส่วนคีย์จะเริ่มตรงตัวไหนก่อน อันนั้นก็ว่าไปตามคียร์ แต่ระยะห่างของช่องเสียงที่ขึ้นลงตามบันไดเสียงมันต้องแน่นอน จึงจะเรียกว่าเสียงไม่เพี้ยน
ฉะนั้น เวลาเล่นดนตรีร่วมกัน ต้องปรับเสียงให้เท่ากัน ถ้าเสียงที่ปรับไม่เท่ากัน มันจะแปร่ง..เสียงแปร่งตรงนี้ ผมว่าไม่ใช่ฮาโมนิคแน่ๆเลย..เป็นเสียงเพี้ยน
เสียงมาตรฐานและช่องห่างระหว่าง เสียง  มันมีอยู่น่ะครับ..(หากผิดพลาดก็ขอเพิ่มเติมให้ครับ)

ใช่ครับ ตามที่คุณ Wicha บอกมา บันไดเสียงมันมีช่องว่างเป๊ะๆ เหมือนกันหมดสุดแท้แต่ จะเอาบันไดเสียง เมเจอร์ หรือไมเนอร์ หรือที่เรียกว่าสเกล

แต่ที่จะชี้แจงคือ เสียงโดของแต่ละเครื่องดนตรี จะไม่เหมือนกันถ้าอยู่ละกลุ่มคีย์ เช่น เสียงโดจาก บีแฟลต ทรัมเป็ท
ก็จะคนละตัวกับเสียงโด เครื่องอื่นที่อยู่คีย์ซี หรือคีย์ อีแฟลต ซึ่งจูนเสียงมาจากโรงงานผลิตแล้ว
สุดท้ายการที่จะให้ทุกเครื่องเล่นกลมกลืนกันก็อยู่ที่การประพันธ์เพลงครับ
อย่างที่ Mr.Tube ถามมากรณีนี้ เราจะยึดเครื่องคีย์ C เป็นหลักซึ่งก็คือไวโอลิน ที่นี้ถ้าเรามี บีแฟลตทรัมเป็ต
จะทำอย่างไรให้ได้ความถี่เสียงเดียวกับ เสียงโดของไวโอลิน...ในกรณีนี้ทรัมเป็ทต้องเป่าเสียง เรย์ ของทรัมเป็ทนะครับ
(ปรับขึ้นหนึ่งเสียง)เพื่อให้ได้เสียงเท่ากัน ไม่ใช่โดของทรัมเป็ท...ถ้าหากมีนักดนตรีคลาสสิกอ่านอยู่ก็ช่วยอธิบายให้เห็ฯภาพได้ง่ายกว่านี้ก็ดีครับ  :)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 ธันวาคม, 2008, 09:02:36 pm โดย Martra »
Vinyl Sound = Toe Tapping and Heaven on Earth...:dj


ออฟไลน์ gai

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,318
    • เพศ:ชาย
ได้ความกระจ่างขึ้นเยอะเลยครับ  เมื่อสมัยเรียนฟิสิกข์ และหัดเล่นกีต้าร์ ผมเรียกอาการนี้ว่า resonance การดีดสายกีต้าร์ตัวโน๊ตนึง ผมจะได้เห็นและได้ยิน ตัวโน๊ตเดียวกันของสายอื่นซึ่งอยู่คนละคีย์ดังที่คุณ Matra อธิบายสั่นตามสร้างความกังวานและการทอดยาวของเสียง  เพิ่งเข้าใจว่าที่จริงเค้าเรียก harmonic  ;D ผมคงต้องหัดฟังดนตรีให้ลึกซึ้งมากขึ้นอีกกว่านี้อีกมากเลยครับ  ;D


ออฟไลน์ wicha1959

  • **
    • กระทู้: 86
C ของแต่ละเครื่องจะไม่สามารถให้เสียงโน้ตที่ความถี่ C (โน้ตตัวโด)
ได้เท่ากันเพราะมันยังมี Key เสียงกำกับอยู่ เครื่องแต่ละเครื่องจะผลิตออกมาพร้อมทั้ง Key กำกับในเครื่องตัวนั้น
นึกภาพง่ายๆเช่น บันไดขั้นที่หนึ่ง ถึงแม้จะอยู่ชั้นหนึ่ง สอง หรือสาม แต่ละชั้นจะมีบันไดขั้นแรกอยู่(โน้ตตัวโด)
แต่มันก็ไม่ใช่บันไดขั้นเดียวกันเพราะมันอยู่คนละชั้นกัน (คีย์เสียงของเครื่อง) ดังนั้นเสียงตัวโดของ ไวโอลิน เปียโน และทรัมเป็ต
ก็จะไม่ใช่โน้ตความถี่เดียวกัน ผู้หญิงกับผู้ชาย ร้องตัวโดก็ไม่ใช่ความถี่เดียวกัน (จะเป็นโดสูงกับโดต่ำ)


อึม...ตรงนี้ผมต้องขอทบทวนหน่อยว่าคิดเหมือนกันหรือเปล่า?? เท่าที่ผมเข้าใจ คือ ตัวโน๊ตบันไดเสียงมันต้องเป็นมาตราฐานน่ะครับ คือ เสียงแต่ล่ะตัวจะต้องมีระยะห่างระหว่างกัน แน่นอน เช่น 
C ..C# Db.. D.. D#Eb.. E  F .. F#Gb.. G. G#Ab... A  ..A# Bb... B   C....
โดยเสียงห่างครึ่งเสียงกับหนึ่งเสียงเป็นมาตราฐานน่ะครับ..ระหว่าง ซีไปดี ห่าง1ช่อง มีซีชร๊าปหรือดีแฟรท เป็นครึ่งเสียงระหว่าง ซีกับ ดี แต่สำหรับอีกับเอฟและบีกับซี จะห่างครึ่งช่องเสียง..ไม่มี อีช๊ราบ หรือ บีชร๊าบ..ส่วนคีย์จะเริ่มตรงตัวไหนก่อน อันนั้นก็ว่าไปตามคียร์ แต่ระยะห่างของช่องเสียงที่ขึ้นลงตามบันไดเสียงมันต้องแน่นอน จึงจะเรียกว่าเสียงไม่เพี้ยน
ฉะนั้น เวลาเล่นดนตรีร่วมกัน ต้องปรับเสียงให้เท่ากัน ถ้าเสียงที่ปรับไม่เท่ากัน มันจะแปร่ง..เสียงแปร่งตรงนี้ ผมว่าไม่ใช่ฮาโมนิคแน่ๆเลย..เป็นเสียงเพี้ยน
เสียงมาตรฐานและช่องห่างระหว่าง เสียง  มันมีอยู่น่ะครับ..(หากผิดพลาดก็ขอเพิ่มเติมให้ครับ)


ออฟไลน์ Martra

  • www.vonorfivestars.com
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,390
    • เพศ:ชาย
  • "One Stop Solution for Bed and Bedding Products"
    • http://www.vonorfivestars.com
ดูเหมือนในวงสนทนาของเราจะมีความเข้าใจในเรื่องฮาร์โมนิกและดนตรีไม่ตรงกัน ก่อนที่ผมคุยกันไปลึกกว่านี้ถึงฮาร์โมนิกและความเพี้ยนฮาร์โมนิก ผมมีคำถามฝากไว้ให้ก่อนครับ

เคยสงสัยไม๊ครับว่า ทำไมเครื่องดนตรีแต่ละอย่างเล่นโน๊ตเดียวกันแล้ว ถึงให้เสียงไม่เหมือนกัน ทั้งๆ ที่เล่นโน๊ตเดียวกัน โน๊ตเดียวกันก็คือความถี่เดียวกัน แต่เราก็ยังฟัง C ของเปียโน ต่างจาก C ของไวโอลิน และต่างจาก C ของทรัมเป็ต

ฝากไว้แค่นี้ก่อนครับ ช่วยๆ กันแสดงความคิด-ออกความเห็นกันครับ เดี๋ยวค่อยมาคุยกันเรื่องฮาร์โมนิกกันต่อหลังจากได้คำตอบ  ;)

สวัสดีทุกท่าน รวมถึงพี่ Mr. Tube แหมพลาดกระทู้นี้ไปได้อย่างไร
ก่อนอื่น ขอตอบคำถามแบบกว้างๆก่อนครับ...
C ของแต่ละเครื่องจะไม่สามารถให้เสียงโน้ตที่ความถี่ C (โน้ตตัวโด)
ได้เท่ากันเพราะมันยังมี Key เสียงกำกับอยู่ เครื่องแต่ละเครื่องจะผลิตออกมาพร้อมทั้ง Key กำกับในเครื่องตัวนั้น
นึกภาพง่ายๆเช่น บันไดขั้นที่หนึ่ง ถึงแม้จะอยู่ชั้นหนึ่ง สอง หรือสาม แต่ละชั้นจะมีบันไดขั้นแรกอยู่(โน้ตตัวโด)
แต่มันก็ไม่ใช่บันไดขั้นเดียวกันเพราะมันอยู่คนละชั้นกัน (คีย์เสียงของเครื่อง) ดังนั้นเสียงตัวโดของ ไวโอลิน เปียโน และทรัมเป็ต
ก็จะไม่ใช่โน้ตความถี่เดียวกัน ผู้หญิงกับผู้ชาย ร้องตัวโดก็ไม่ใช่ความถี่เดียวกัน (จะเป็นโดสูงกับโดต่ำ)

จากนั้นคำว่าฮาร์โมนิกมันจะมาจากไหน เวลาเราเล่นเครื่อง จะมีทั้งหัวโน้ตของเสียง ความกังวาลจากการสั่นของบอดี้ และหางเสียง
ผมว่าไอ้เจ้าความกังวาลจากตัวเครื่องที่กระเพื่อมหรือสั่น มันก่อให้เกิดฮาร์โมนิกความมีชีวิตชีวา ซึ่งสังเกตุได้จากการฟังดนตรีสดครับ
ใครมีเครื่องกีตาร์อยู่ใกล้ๆลองดีดสายสักเส้น แล้วลองสังเกตุการ เกิด อยู่ และจางหายของเสียง...
นึกภาพตะเกียบเหล็กตัวยู ที่ทดลองวิทยศาสตร์ตอนเด็กๆ ดีดปุ๊ปจุ่มน้ำจะเห็นวงน้ำวงแรกที่ชัดมาก แล้ววงที่สองสาม (ฮาร์โมนิกคู่คี่?) ตามมาเรื่อยจนจางหาย....
การสั่นจากตัวบอดี้ไม้ (กีต้าร์ ไวโอลิน)  การสั่นจากตัวบอดี้ทองเหลือง (ทรัมเป็ต ทรอมโบน) การสั่นจากฆ้อนเคาะสาย (เปียโน) จึงให้เสียงหลักกับเสียงที่ตามมา (ฮาร์โมนิก)
ไม่เหมือนกัน และสมองเราก็แยกแยะและจำไว้ว่าเสียงนี้คือเครื่องนี้ จากการเรียนรู้และจดจำ   

ทีนี้เวลาแปลงเสียงจากธรรมชาติให้การเป็นไฟฟ้า จากประสบการณ์ตระเวนฟังของแพง(แต่ไม่มีปัญญาซื้อ)
ทั้งเครื่องโซลิต และเครื่องหลอดที่ดีมากๆ ก็ให้เสียงความถี่หลัก และฮาร์โมนิกที่ตามมาได้อย่างใกล้เคียงเสียงธรรมชาติ
แต่ผมไม่รู้ว่าไอ้เครื่องที่วัดฮาร์โมนิกคู่คี่ มันจะเกี่ยวเนื่องกับ ฮาร์โมมิกจากของจริงมากแค่ไหน และไอ้ความเพี้ยนฮาร์โมนิกนี่ ของจริงจากธรรมชาติจะมีหรือไม่....
แต่ผมมั่นใจว่าเครื่องวัดสร้างมาเพื่อวัดความผิดพลาดของสิ่งที่มนุษย์พยายามสร้างเลียนแบบธรรมชาติ
ซึ่งสุดท้ายผมใช้หูวัดเอาครับ
Vinyl Sound = Toe Tapping and Heaven on Earth...:dj


ออฟไลน์ wicha1959

  • **
    • กระทู้: 86
ตรงนั้นแหล่ะครับ ที่ เวลาเปลี่ยนหลอด ความเป็นฮาโมนิค-ไดนามิค ..ของหลอดแต่ล่ะหลอด..ทำให้รู้สึกต่างกัน..นั่นเป็นเสน่ห์ ที่ทำให้ผมหันมาหาหลอดและเล่นเครื่องหลอด..เพราะฟังแล้วนุ่ม สบาย ไม่เหมื่อยหูและฟังได้นานกว่า แอมป์ทรานซิสเตอร์.. Y] Y]


ออฟไลน์ wicha1959

  • **
    • กระทู้: 86
ทีนี้กลับมาที่หัวข้อ ว่าหลอดทำให้เสียงอบอุ่น นุ่มนวล-จริงหรือเปล่า??ต่อน่ะครับ

(อย่าหาว่าเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนน่ะครับ..)

แต่ผมขอแสดงความเห็นตามประสบการณ์ที่เข้าใจเอง..โดยขอจูนความคิดให้ตรงกันในระดับหนึ่งก่อน..คือ..เวลาเราทดสอบเครื่องเสียงหรือเวลาเราจัดเครื่องเสียงที่เราใช้ฟังเป็นความบันเทิงส่วนตัวนั้น..อุปกรณ์ทุกอย่าง ตลอดรวมไปถึงห้อง -ทิศทาง-มุมเฉียงของลำโพงที่วาง-ระยะห่างของผู้ฟังกับลำโพง ความก้องของผนัง..หรือการดูดซับเสียง..การป้องกัน เสียงรบกวน..ฯลฯ..ทั้งหมดนี้ มีผลต่อเสียงดนตรีที่เราฟังทั้งสิ้น...วัตถุประสงค์ก้อเพื่อเสียงดนตรีที่สมจริง ฟังสบาย มีความสุขกับเสียงที่ได้ยิน...

เมื่อทุกอย่างพร้อม..ในการทดสอบ ก็มาถึงหัวใจของการสนทนา..เครื่องแอมป์หลอดตัวเก่งที่ใช้ทดสอบ..ทุกอย่างเหมือนกัน..เปลี่ยนหลอด เสียงเปลี่ยน..หรือเปล่า??ถ้าตอบว่าเปลี่ยน..แสดงว่า หลอดมีผลต่อเสียงโดยตรง..ก็คงจะเหมือนที่คุณMR.TUBE ถามนั่นแหล่ะครับว่า เสียงโน๊ตเดียวกัน แต่เครื่องดนตรีต่างกัน ทำไมทำให้รุ้สึกเสียงไม่เหมือนกัน...


ออฟไลน์ wicha1959

  • **
    • กระทู้: 86
สวัสดีครับ..จากการอ่านความเห็น..ทำให้ได้ข้อมูลทางศาสตร์เยอะ..แต่ตัวเอง..เป็นคนที่ไม่ค่อยเก็บรายละเอียดเท่าไร.. :) :)

ต่อข้อที่ถามว่า โน๊ตเดียวกัน ทำไมได้ยินเสียงดนตรีต่างชนิดกัน.เหมือนกับเสียงไม่เหมือนกัน...ผมตอบก่อนน่ะครับว่า ในระดับการสั่นของเสียง ต้องได้เท่ากันครับ จึงจะเรียกว่าโน๊ตเดียวกัน...แต่ความทุ่ม-แหลม.. ต่างกันตามวัสดุและชนิดของเครื่องดนตรี..ตรงนี้ ผมเรียกมันว่า มิติเสียงของเครื่องดนตรี แต่ล่ะชนิด..(ผิดถูกอย่างไรไม่ทราบ ...เข้าใจเองดังนี้..  Y] Y])




ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
ดูเหมือนในวงสนทนาของเราจะมีความเข้าใจในเรื่องฮาร์โมนิกและดนตรีไม่ตรงกัน ก่อนที่ผมคุยกันไปลึกกว่านี้ถึงฮาร์โมนิกและความเพี้ยนฮาร์โมนิก ผมมีคำถามฝากไว้ให้ก่อนครับ

เคยสงสัยไม๊ครับว่า ทำไมเครื่องดนตรีแต่ละอย่างเล่นโน๊ตเดียวกันแล้ว ถึงให้เสียงไม่เหมือนกัน ทั้งๆ ที่เล่นโน๊ตเดียวกัน โน๊ตเดียวกันก็คือความถี่เดียวกัน แต่เราก็ยังฟัง C ของเปียโน ต่างจาก C ของไวโอลิน และต่างจาก C ของทรัมเป็ต

ฝากไว้แค่นี้ก่อนครับ ช่วยๆ กันแสดงความคิด-ออกความเห็นกันครับ เดี๋ยวค่อยมาคุยกันเรื่องฮาร์โมนิกกันต่อหลังจากได้คำตอบ  ;)


ออฟไลน์ gai

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,318
    • เพศ:ชาย
อ่านบทสัมภาษณ์ Mr. Luke Manley  แล้วได้ความกระจ่างขึ้นมากเลยครับ  และก็รู้ตัวอีกว่า ผมนั้นห่างไกลกับเขาลิบโลกเลย  2f  2f  2f  แต่ก็จะพยายามคลานตามเขาไปเรื่อยๆ  ;D


ออฟไลน์ redbook

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,265
มาปั่นกระทู้ต่ออีกหน่อย ฮาร์โมนิกนี่มีทั้งที่เป็นคุณและที่เป็นโทษใช่ไหมครับ  อย่างสายกีต้าร์นี่เป็นฮาร์โมนิคที่สูงขึ้นตามรูปข้างล่าง  แต่พวก harmonic distortion เนี่ย ยังงงอยู่เลย ว่ามันคืออะไรกันแน่ มันจะเหมือนโน๊ตเดียวกันแต่คีย์สูงขึ้นแบบเสียงกีต้าร์ป่าว  แล้วก็พวก ฮาร์โมนิคลำดับคู่ ลำดับคี่ ของหลอดกะทรานซิสเตอร์ นี่ยังไม่รวม ฮาร์โมนิคที่มากะสายไฟฟ้าเอซีที่กวนเข้าไปในเครื่องเล่นด้วย ???


What Hi-Fi (Thailand): VTL มีปรัชญาในการออกแบบเครื่องเสียงอย่างไร

บทสัมภาษณ์ Mr. Luke Manley >> http://www.audio-teams.com/audionews/vtl/1.shtml

ผมอยากจะกล่าวถึงเรื่องความผิดเพี้ยนของเสียงอีกสักหน่อย  โดยทั่วไปแล้วหลอดจะมีความผิดเพี้ยนของความถี่ในสัญญาณฮาร์โมนิคลำดับคู่ที่ต่ำ (Low Even Order Harmonic)   จึงเป็นเหตุผลที่เรายอมให้มีความผิดเพี้ยนที่สูงกว่า  เพราะว่าในความเป็นจริงแล้ว  หากดูตามสายตา  ความผิดเพี้ยนจะมีค่าสูงในสัญญาณความถี่ฮาร์โมนิคลำดับต่ำกว่า (Lower Order Harmonic)

สำหรับ Transistor โดยทั่วไปแล้ว จะมีความผิดเพี้ยนในสัญญาณความถี่ฮาร์โมนิคลำดับที่สูงกว่า (High Order Harmonic)  ซึ่งมีความผิดเพี้ยนน้อยกว่าเมื่อมองตามสายตา  แต่หูจะจับความผิดเพี้ยนได้เร็วกว่า

ในแอมป์ประเภท Transistor จึงไม่ยอมให้มีความผิดเพี้ยนของสัญญาณเกินกว่า 1 เปอร์เซนต์  โดยจะยอมให้มีความผิดเพี้ยนของสัญญาณสูงสุดเพียง 1 เปอร์เซนต์เท่านั้น  แต่ในแอมป์หลอดนั้นค่าความผิดเพี้ยนสามารถมีได้ถึง 3 เปอร์เซนต์  เพราะว่าความเพี้ยนมีค่ามากกว่าเมื่อมองดูตามสายตา   

นั่นเป็นประเด็นแรกเกี่ยวกับความเพี้ยนของเสียงของแอมป์หลอดซึ่งมองดูสูงตามสายตา  แต่เมื่อฟังด้วยหูจะรู้สึกถึงความผิดเพี้ยนน้อยกว่า

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14 ธันวาคม, 2008, 08:09:26 pm โดย redbook »


ออฟไลน์ gai

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,318
    • เพศ:ชาย
แน่นอนเลยครับว่าหลอดที่ผลิตมาต้องมีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเหมือนกัน  แต่จะให้เท่ากันเหมือนที่คุณ Mr.Tube ว่าไว้ในตอนแรกว่ามันไม่น่าจะใช่ครับ  ไม่งั้นคงจับหลอดที่ผลิตในแต่ละครั้งมาเข้าคู่กันได้เลย แต่ในความเป็นจริงแม้จะผลิตในคราวเดียวกัน (lot เดียวกัน) ยังต้องเอาหลอดมาวัดให้ได้ค่าใกล้เคียงกัน แล้วเอามาขายเป็น match pair เลยครับ  แต่ถ้าเอาหลอดที่ผลิตต่างรุ่นต่างบริษัทมาวัดค่าใกล้เคียงกัน ผมว่ามันก็ยังไม่ใช่ match pair ที่แท้จริงได้อีก เพราะมันจะตอบสนองต่อสัญญาณไฟฟ้าไม่เท่ากัน  ตามที่ Mr.Patrick Turner ขยายความในหนังสือ Electron handbook และทำการทดลองโดยเอาหลอดเบอร์เดียวกัน ผลิตตาม spec เดียวกันมาทดสอบหาค่า THD แล้วมา plot graph พบว่าหลอดผลิตรุ่นใหม่กับรุ่นเก่ามีความแตกต่างกันพอสมควร  แถมยังตั้งข้อสังเกตุว่า curve ของ GE ในปี 1950 น่าจะมีความผิดพลาดพอสมควร

ถ้างั้นเราก็เข้าใจตรงกันว่าหลอดเป็นอุปกรณ์ที่มีคุณภาพไม่สม่ำเสมอ แม้จะผลิตจากโรงงานเดียวกัน พนักงานผลิตคนเดียวกัน เครื่องจักรเดียวกัน วัสดุเดียวกัน หรือแม้แต่หลอดที่ผลิตออกมาลำดับติดๆ กัน ใช่ไม๊ครับ?
ผมว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นครับ  เพราะเทคโนโลยีและขบวนการผลิตเมื่อ 5-60 ปีที่แล้ว ทำได้ดีที่สุดประมาณนั้น  แต่ก็ยังแปลกใจที่พอมาเป็นทุกวันนี้ หลอดที่ผลิตใหม่ (จากรัสเซียหรือจีน) ที่น่าจะมีการพัฒนาการผลิตให้ได้คุณภาพทันสมัยขึ้น  กลับได้รับความนิยมน้อยกว่าหลอดเก่าๆ บางรุ่นบางปี  อีกทั้งเสียงเพลงที่ได้มาคนส่วนใหญ่ฟังแล้วสู้หลอดเก่าไม่ได้ (เป็นความรู้สึกอีกแล้ว)  ผมว่าที่หลายๆ คนยกให้เป็นเพราะสาเหตุจาก 2nd หรือ 3rd harmonic มันอาจจะมีส่วนเป็นไปได้  เพราะเสียงธรรมชาติมันมีความก้องกังวาน จากการสะท้อนกลับ (อันนี้ก็ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่ เพราะไม่ทราบจะอธิบายเป็นคณิตศาสตร์อย่างไร) ที่ว่าเช่นนี้ เพราะหลอดใหม่ นักฟังจะบอกว่ามันเสียงแห้ง (ซึ่งก็น่าจะเป็นเพราะมันไม่มีความผิดเพี้ยน ทำงานดีเกินไป)  หรืออาจจะเป็นเพราะวัสดุ (ซึ่งอันที่จริง ถ้าตลาดมีความสามารถรองรับ เค้าก็น่าจะผลิตวัสดุดีๆ ออกมาขาย โดยดูราคาหลอดนิยมที่มหาโหดเป็นเกณฑ์)

เรื่องศาสตร์และศิลป์นี่มันเข้ากันได้ลำบากครับ  แต่ในหลายๆ ขอบเขตมันอยู่ร่วมกัน   ผมขอเล่าเรื่องเมื่อปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสไปคุยกับนักผลิตเครื่องเสียงระดับมืออาชีพท่านหนึ่ง เพราะสาเหตุผมต้องการเครื่องกันไฟกระชากให้กับชุดเครื่องเสียงของผม  ผมก็ไปเดินแถวบ้านหม้อดูชุดสำเร็จที่มีวางขาย ปะกับชุดลงปริ๊นชุดหนึ่งที่ดูค่อนข้างดี ราคาหลักร้อย เกิดความสนใจถามรายละเอียดคนขาย คนขายไม่สามารถอธิบายได้เลยให้ไปคุยกับผู้ผลิต  จากการพูดคุยท่านค่อนข้างเก่งในด้านฟิสิกข์-ไฟฟ้า  เข้าใจในเรื่องสนามแม่เหล็ก คลื่นไฟฟ้า ค่อนข้างดี (เกินเลยไปถึงฟิสิกข์ของจักรวาล  ;D)  แต่พอถามถึงคุณภาพของเครื่องกรองไฟกันไฟกระชาก ท่านกลับบอกว่า ของ hi-end ที่วางขายราคาหลักพัน หลักหมื่น เป็นเรื่องของการหลอกฟันหมู ในมุมมองของท่าน เวลาใช้ของเหล่านั้น แล้วรู้สึกว่าเสียงดี มันเป็นแค่ความรู้สึก  ทางไฟฟ้ามันทำงานเหมือนกับของราคาไม่กี่ร้อย (ซึ่งก็จริงในบางส่วน)   ในความเข้าใจผม ท่านมีความสามารถที่จะปรับส่วนอื่นแล้ว ให้เสียงที่ดีในระดับหนึ่งได้  แต่ว่าท่านไม่สามารถแยกความแตกต่างของเสียงเพลงเมื่อใช้อุปกรณ์ที่มีวัสดุต่างกันได้  สังเกตุได้จากท่านไม่เห็นข้อแตกต่างของเครื่องเสียงหลอด กับโซลิดสเตท ระดับ mid-end  ซึ่งจะใช้อะไรอธิบายได้นอกจากความรู้สึก  ถ้าจะอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ มันก็มีทางเป็นไปได้ แต่ผมว่ามันจะต้องไม่ simple  แต่เป็น complex ค่อนข้างมาก  ยากแก่การเข้าใจง่ายๆ ครับ

เรื่องหลอดนี่มีน้องคนหนึ่งที่รักการเล่นหลอดมาก ขยันหาของดีๆ เลยได้มีโอกาสพบปะกับนักฟังระดับหูทอง  ครั้งหนึ่งเค้าโทรฯ มาเล่าให้ผมฟังว่า เค้าไปเจอหลอดระดับเทพ และได้มีโอกาสฟังเปรียบเทียบกับหลอดที่ถูกกว่า  เจ้าของหลอดถามเค้าว่า เค้าฟังออกไหม เค้าก็รู้สึกว่ามันต่างกัน แต่ไม่สามารถแยกแยะได้มาก  เจ้าของบอกว่าคุณโชคดีที่ฟังไม่ออก เพราะถ้าฟังออกอย่างเค้าก็ต้องหาทางหาเงินมาซื้อหลอดที่แพงระยับนั้น  เคยเห็นโพสต์ของคนระดับหูเทพ วิจารณ์เครื่องเสียง diy อ่านแล้วตอนแรกรู้สึกขัดๆ เพราะเค้าว่าเครื่องเสียงระดับ diy เสียงน่ะมีแต่ความเป็นดนตรีคนละชั้น ซึ่งตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจ เพราะมันฟังต่างกันจริงๆ (ซึ่งอธิบายเป็นศาสตร์ยาก ต้องอธิบายเป็นศิลป์เท่านั้น)  ผมค่อนข้างโชคดี ที่หูตะกั่ว (แต่ชักจะมีส่วนผสมอื่นปนเข้ามาบ้าง  ;D)  ฟังแล้วเครื่องเสียง mid-end ก็มีความสุขแล้ว  ถ้าเป็นระดับหูทอง ผมคงต้องเสียเงินอีกมากเพื่อที่จะฟังเพลงอย่างมีความสุขเท่าตอนนี้  2f


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
แน่นอนเลยครับว่าหลอดที่ผลิตมาต้องมีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเหมือนกัน  แต่จะให้เท่ากันเหมือนที่คุณ Mr.Tube ว่าไว้ในตอนแรกว่ามันไม่น่าจะใช่ครับ  ไม่งั้นคงจับหลอดที่ผลิตในแต่ละครั้งมาเข้าคู่กันได้เลย แต่ในความเป็นจริงแม้จะผลิตในคราวเดียวกัน (lot เดียวกัน) ยังต้องเอาหลอดมาวัดให้ได้ค่าใกล้เคียงกัน แล้วเอามาขายเป็น match pair เลยครับ  แต่ถ้าเอาหลอดที่ผลิตต่างรุ่นต่างบริษัทมาวัดค่าใกล้เคียงกัน ผมว่ามันก็ยังไม่ใช่ match pair ที่แท้จริงได้อีก เพราะมันจะตอบสนองต่อสัญญาณไฟฟ้าไม่เท่ากัน  ตามที่ Mr.Patrick Turner ขยายความในหนังสือ Electron handbook และทำการทดลองโดยเอาหลอดเบอร์เดียวกัน ผลิตตาม spec เดียวกันมาทดสอบหาค่า THD แล้วมา plot graph พบว่าหลอดผลิตรุ่นใหม่กับรุ่นเก่ามีความแตกต่างกันพอสมควร  แถมยังตั้งข้อสังเกตุว่า curve ของ GE ในปี 1950 น่าจะมีความผิดพลาดพอสมควร

ถ้างั้นเราก็เข้าใจตรงกันว่าหลอดเป็นอุปกรณ์ที่มีคุณภาพไม่สม่ำเสมอ แม้จะผลิตจากโรงงานเดียวกัน พนักงานผลิตคนเดียวกัน เครื่องจักรเดียวกัน วัสดุเดียวกัน หรือแม้แต่หลอดที่ผลิตออกมาลำดับติดๆ กัน ใช่ไม๊ครับ?


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
สวัสดีครับ...การที่จะคุยเรื่องสัญญาณเสียงโดยตัดประเด็นเรื่องความรู้สึก..ผมว่ามันจะลำบากน่ะครับ เพราะเราจะได้เพียงการใช้เหตุและผลที่เป็นตัวเลขและเป็นทฤษฎีห้วนๆ

ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยเรื่องอะไรก็ตาม เหตุและผลเป็นสิ่งที่โต้แย้งกันได้โดยเท่าเทียมกันครับ แต่ถ้าเอาเรื่องความรู้สึกมาเกี่ยว ก็ไม่มีใครเข้าถึงความรู้สึกใครหรอกครับ

อ้างถึง
ผมขอตั้งประเด็นดังนี้ว่า ถ้าเราพูดว่า ฮาโมนิค คือ ความเพี้ยน(ความผิดพลาด) และวัดค่าความเพี้ยนเป็นเปอร์เซนต์..เราจะได้ค่า ความผิดเพี้ยนมาก-น้อยเป้นตัวเลขในแง่ของคณิตศาสตร์...
แต่ถ้าเราพูดว่า ฮาโมนิค คือ ความอ่อนช้อยของเสียง..เราจะได้ค่าความอ่อนช้อยเป็นเปอร์เซนต์

OK ครับ เริ่มจาก ฮาร์โมนิกคืออะไร? ก็ได้ครับ ฮาร์โมนิก (Harmonic) คือความถี่ที่เป็นจำนวนเท่าของความถี่มูลฐาน (Fundamental Freq) ถ้าความถี่มูลฐานคือ 100Hz ฮาร์โมนิกที่ 2 ของ 100Hz ก็คือ 200Hz ฮาร์โมนิกที่ 10 ก็คือ 1,000Hz อันนี้เป็นที่เข้าใจตรงกันทั้งโลกครับ ถ้าจะมีนิยามใหม่ๆ อย่างเช่น ฮาร์โมนิก คือ ความเพี้ยน หรือ ฮาร์โมนิก คือ ความอ่อนช้อยของเสียง อันนี้เกินจากความรู้ที่ผมมีครับ ไม่รู้ว่าจะสนทนาด้วยอย่างไรได้ เพราะไม่มีความรู้จริงๆ ครับ

อ้างถึง
เหตุผลที่ผมไม่สามารถแยกเครื่องเสียงออกจากศิลปะ..เพราะดนตรีเป็นศิลปะ....และเจ้าอุปกรณ์ที่เรากำลังตั้งข้อสังเกตุเหล่านี้ มันเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่นำเสนอการจำลองงานศิลปะคือ บทเพลง มาสู่ห้องนั่งเล่นหรือห้องฟังของเรา...มันเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่พยายามตอบสนองการฟังซึ่งเป็นความรู้สึกสัมผัสของมนุษย์...
แอมป์+ลำโพง+อุปกรณ์ทั้งหมด..ทำให้เราได้ยินเสียงจำลอง...เสียงจำลองนี้ ไม่ใช่ของจริง ไม่ใช่ดนตรีจริง แต่มันนำมาสู่ความเสมือนจริง..ดังนั้นสิ่งที่นำมาสู่ความเสมือนจริง ได้มากกว่า..คือ เจตนาและเป้าหมายของเครื่องเสียง..เห้นด้วยไหมครับ??
ถ้าเห้นด้วย.
อาโมนิคที่ 2นี้..จะไม่ใช่การคิดแบบคณิตศาสตร์ ว่า..ตัวเลขบิดเบือน ผิดเพี้ยน กี่มากน้อย
แต่มันจะกลายเป็นความอ่อนช้อย ที่ทำให้เกิดความรู้สึกเสมือนจริง กี่มากน้อยต่างหาก..(ผมแสดงความเห็นต่างเพื่อการต่อยอดความคิดต่อไปน่ะครับ..ขออภัยด้วย..     :) :)

ผมยินดีรับทราบความรู้สึกหรืออารมณ์ศิลปินของคุณ wicha1959 นะครับ แต่ฮาร์โมนิกที่ 2 ก็คือความถี่เป็น 2 เท่าของความถี่มูลฐาน ไม่มีอะไรมากหรือน้อยไปกว่านี้ครับ  :)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 ธันวาคม, 2008, 01:03:46 am โดย Mr. Tube »


ออฟไลน์ gai

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,318
    • เพศ:ชาย
แน่นอนเลยครับว่าหลอดที่ผลิตมาต้องมีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเหมือนกัน  แต่จะให้เท่ากันเหมือนที่คุณ Mr.Tube ว่าไว้ในตอนแรกว่ามันไม่น่าจะใช่ครับ  ไม่งั้นคงจับหลอดที่ผลิตในแต่ละครั้งมาเข้าคู่กันได้เลย แต่ในความเป็นจริงแม้จะผลิตในคราวเดียวกัน (lot เดียวกัน) ยังต้องเอาหลอดมาวัดให้ได้ค่าใกล้เคียงกัน แล้วเอามาขายเป็น match pair เลยครับ  แต่ถ้าเอาหลอดที่ผลิตต่างรุ่นต่างบริษัทมาวัดค่าใกล้เคียงกัน ผมว่ามันก็ยังไม่ใช่ match pair ที่แท้จริงได้อีก เพราะมันจะตอบสนองต่อสัญญาณไฟฟ้าไม่เท่ากัน  ตามที่ Mr.Patrick Turner ขยายความในหนังสือ Electron handbook และทำการทดลองโดยเอาหลอดเบอร์เดียวกัน ผลิตตาม spec เดียวกันมาทดสอบหาค่า THD แล้วมา plot graph พบว่าหลอดผลิตรุ่นใหม่กับรุ่นเก่ามีความแตกต่างกันพอสมควร  แถมยังตั้งข้อสังเกตุว่า curve ของ GE ในปี 1950 น่าจะมีความผิดพลาดพอสมควร

การที่หลอดแต่ละหลอดใน lot เดียวกันมีความแตกต่างกัน ทั้งๆ ที่มีโครงสร้างเหมือนกัน และใช้วัสดุเดียวกันผมว่าน่าจะมาจากการที่เป็น handmade ระยะห่างของแต่ละชิ้นส่วนน่าจะมีผลต่อการตอบสนองต่อการไหลของ electron ที่ต่างกันบ้างครับ  ผิดถูกอย่างไรใครทราบช่วยแก้ไขด้วยนะครับ

ตามที่คุณ redbook นำความเห็นของเพื่อนมาลง คล้ายๆ กับที่ Mr.Patrick Turner อธิบายมาเกี่ยวกับหลอด Triode ไว้ว่า การตอบสนองสัญญาณไฟฟ้าไของหลอด Triode มีความเป็น linear เพราะการไหลของ electron ในหลอดมีการเปลี่ยนแปลงคล้ายกับมี NFB ภายในหลอด  การต่อวงจรแบบ Triode จึงไม่มีความจำเป็นต้องต่อ NFB กลับ  ยิ่งถอดเอา Ck ออก ทำให้ volt ที่ cathode ไม่คงที่  NFB ภายในหลอดยิ่งสูงขึ้น  แต่อัตราการขยายลดลง  หลอดยิ่งมีเสียงที่นุ่มนวลชวนฟังขึ้น แต่ในวงจรต่อแบบ pentode ที่มีอัตราการขยายสูง เค้าแนะนำให้ต่อ NFB  เพื่อลด THD ในเรื่อง THD แล้วมีผลต่อเสียงผมเองก็ไม่แน่ใจนัก  เพราะหูผมเองก็ยังสัมผัสกับ 2nd harmonic ไม่ลึกซึ้ง  สิ่งที่ได้มาเกิดจากความรู้สึก  จะใช้เครื่องมือไหนวัดผมเองก็ไม่ทราบได้ครับ  เลยลำบากที่จะแสดงความคิดเห็นได้ครับ   ผิดถูกอย่างไร รบกวนช่วยกันแนะนำด้วยนะครับ  


ออฟไลน์ redbook

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,265
รบกวนคุณ redbook ช่วยลงคำถามไว้ ประกอบกับคำตอบจากเพื่อนด้วยนะครับ ขอบคุณครับ  :)

ผมหมายถึงมาฟังคำตอบเรื่อง 2nd-order harmonic ที่ว่าไว้ละครับ  ;) อยากรู้มานานแล้ว โดยเฉพาะเป็นภาษาไทยดีเลย  :bowdown


ออฟไลน์ MrHelix

  • เกรียนแห่งที่ราบสูง
  • *****
    • กระทู้: 937
    • เพศ:ชาย
  • DIY สไตล์เกรียน
    • Vmodtech.com :: Increase Your Force
ไม่ทำให้เสียงอุ่น แต่ทำให้บรรยากาศการฟังอบอุ่นครับ  :cold
เพราะความเพี้ยนไม่ได้เป็นตัวชี้วัดคุณภาพเสียง ผมเลยกลายเป็นผู้เสพหลอดไปแล้วครับ อิอิ
รายละเอียดที่อยู่ของผมครับ: http://www.htg2.net/index.php?topic=38515.0


ออฟไลน์ wicha1959

  • **
    • กระทู้: 86
สวัสดีครับ...การที่จะคุยเรื่องสัญญาณเสียงโดยตัดประเด็นเรื่องความรู้สึก..ผมว่ามันจะลำบากน่ะครับ เพราะเราจะได้เพียงการใช้เหตุและผลที่เป็นตัวเลขและเป็นทฤษฎีห้วนๆ

ผมขอตั้งประเด็นดังนี้ว่า ถ้าเราพูดว่า ฮาโมนิค คือ ความเพี้ยน(ความผิดพลาด) และวัดค่าความเพี้ยนเป็นเปอร์เซนต์..เราจะได้ค่า ความผิดเพี้ยนมาก-น้อยเป้นตัวเลขในแง่ของคณิตศาสตร์...
แต่ถ้าเราพูดว่า ฮาโมนิค คือ ความอ่อนช้อยของเสียง..เราจะได้ค่าความอ่อนช้อยเป็นเปอร์เซนต์
เหตุผลที่ผมไม่สามารถแยกเครื่องเสียงออกจากศิลปะ..เพราะดนตรีเป็นศิลปะ....และเจ้าอุปกรณ์ที่เรากำลังตั้งข้อสังเกตุเหล่านี้ มันเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่นำเสนอการจำลองงานศิลปะคือ บทเพลง มาสู่ห้องนั่งเล่นหรือห้องฟังของเรา...มันเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่พยายามตอบสนองการฟังซึ่งเป็นความรู้สึกสัมผัสของมนุษย์...
แอมป์+ลำโพง+อุปกรณ์ทั้งหมด..ทำให้เราได้ยินเสียงจำลอง...เสียงจำลองนี้ ไม่ใช่ของจริง ไม่ใช่ดนตรีจริง แต่มันนำมาสู่ความเสมือนจริง..ดังนั้นสิ่งที่นำมาสู่ความเสมือนจริง ได้มากกว่า..คือ เจตนาและเป้าหมายของเครื่องเสียง..เห้นด้วยไหมครับ??
ถ้าเห้นด้วย.
อาโมนิคที่ 2นี้..จะไม่ใช่การคิดแบบคณิตศาสตร์ ว่า..ตัวเลขบิดเบือน ผิดเพี้ยน กี่มากน้อย
แต่มันจะกลายเป็นความอ่อนช้อย ที่ทำให้เกิดความรู้สึกเสมือนจริง กี่มากน้อยต่างหาก..(ผมแสดงความเห็นต่างเพื่อการต่อยอดความคิดต่อไปน่ะครับ..ขออภัยด้วย..     :) :)


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
รบกวนคุณ redbook ช่วยลงคำถามไว้ ประกอบกับคำตอบจากเพื่อนด้วยนะครับ ขอบคุณครับ  :)


ออฟไลน์ redbook

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,265
เรื่อง ความเพี้ยนฮาร์โมนิกที่ 2 ทำให้เสียงเพราะหรือเสียงเพี้ยน กันก่อนดีไม๊ครับ ว่ามันคื่ออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร และมีผลต่อการวัดและการรับฟังอย่างไร ขออธิบายเพิ่มเติมว่าความเพี้ยนมีหลายแบบนะครับ ความเพี้ยนฮาร์โมนิก ก็เป็นความเพี้ยนแบบหนึ่งเท่านั้น และเป็นชนิดเดียวที่เราเอามาคุยกันครับ  d_d

ปูเสื่อรอ กะข้าวโพดคั่วถุงนึง  :clap


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
เท่าที่ผมเคยทราบมา Plate curve ไม่ใช่ spec ในการผลิตหลอดครับ  แต่เป็นการเอาหลอดที่ผลิตแล้วมา plot curve เพื่อให้ได้ curve ที่ช่วยในการเอาหลอดไปออกแบบวงจร  

ใช่ครับ Plate Curve ไม่ใช่ Spec ในการผลิตหลอด แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า Plate Curve ไม่ใช่คุณสมบัติที่สำคัญของหลอด ซึ่งเราก็พอจะเข้าใจได้ว่าเทคโนโลยีในสมัยก่อนยังไม่ดีพอที่จะควบคุมคุณสมบัติของหลอดได้ตามที่อยากให้เป็น สมัยนั้นทำได้แค่การควบคุมระยะห่างของชิ้นส่วนต่างๆ ในหลอดให้เป็นไปตาม Drawing แต่ไม่สามารถควบคุมคุณสมบัติทางไฟฟ้าได้ ซึ่งสิ่งที่เราจะใช้งานคือคุณสมบัติทางไฟฟ้า ไม่ใช่รูปลักษณ์ของมัน จริงไม๊ครับ? ในเมื่อไม่ได้ควบคุม แล้วผลิตออกมา 10,000 หลอด มันจะมีคุณสมบัติเหมือนกันทั้ง 10,000 หลอดหรือไม่? แทบเป็นไปไม่ได้เลย จริงไม๊ครับ?

เราซื้อหลอดมาทำวงจรไฟฟ้า เราประกอบวงจรโดยคาดหวังให้หลอดทำงานตามค่าไฟฟ้าที่เราต้องการ แต่ผู้ผลิตหลอดไม่ได้ควบคุม Spec การทำงานทางไฟฟ้าให้เรา มันฟังดูแปลกๆ ไม๊ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 ธันวาคม, 2008, 11:34:30 am โดย Mr. Tube »


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
ผมว่าเราคุยกันเรื่องที่เป็นข้อเท็จจริง ที่มันเป็นศาสตร์ ที่มันเป็น Logic จะดีกว่าครับ ถ้าเอา -ฉันรู้สึกว่า- มาเป็นประเด็นด้วย คงหาความเข้าใจร่วมกันได้ยากครับ  :)

ก่อนที่จะแตกประเด็นออกไปเรื่องอื่น ขอให้มีความเข้าใจร่วมในเรื่อง ความเพี้ยนฮาร์โมนิกที่ 2 ทำให้เสียงเพราะหรือเสียงเพี้ยน กันก่อนดีไม๊ครับ ผมว่าเราต้องรู้จักกับความเพี้ยนฮาร์โมนิกกันก่อน ว่ามันคื่ออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร และมีผลต่อการวัดและการรับฟังอย่างไร เราจึงจะได้ข้อสรุปที่เป็นเหตุเป็นผลนะครับ

ขออธิบายเพิ่มเติมว่าความเพี้ยนมีหลายแบบนะครับ ความเพี้ยนฮาร์โมนิก ก็เป็นความเพี้ยนแบบหนึ่งเท่านั้น และเป็นชนิดเดียวที่เราเอามาคุยกันครับ  d_d



ออฟไลน์ redbook

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,265
ถามเพื่อนไปแล้วเขาตอบว่างี้คับ

That is a wrong statement. Triodes are very linear with "small signal". They are not linear whenit comes to high level signals, when the grid voltage swings manyvolts, as is the case with power amps. Under these conditions, thegain at the positive peak of the signal is different than the gain atthe negative peak, therefore generating a predominant second-orderharmonic distortion.

The main difference between tube and transistor circuits comes fromthe fact that transistors are imdeed less linear, therefore require agood amount of negative feedback to linearize their response anminimize distortion.If you apply the same levels of feedback to a wideband tube amplifieryou will get a very similar sound to the transistor amp. You don;thave to go far. Just listen to Audio Research tube amps next to theirsolid-state units.

 O0 O0 O0


ออฟไลน์ wicha1959

  • **
    • กระทู้: 86
สวัสดีครับคุณgai   ..อึมผมได้แง่มุมที่น่าสนใจมาก ความเพี้ยนที่นำไปสู่ความทุกข์และความเพี้ยนที่นำไปสู่ความสุข..ขอบคุณครับ Y] Y]


ออฟไลน์ gai

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,318
    • เพศ:ชาย
ผมกำลังคิดว่า ถ้าเราความเข้าใจว่าหลอดทำให้เสียงเพี้ยนแล้วฟังเพราะกว่า งั้นถ้าผมเอาแอมป์หลอดไปขยายสัญญาณดนตรีที่เล่นสดอยู่ ก็ต้องยิ่งเพิ่มความไพเราะกว่าการเล่นสดด้วยรึเปล่า?
ช่วยกันคิดช่วยกันเขียนนะครับ  
เกี่ยวกับการแสดงสดแล้วเอาเครื่องหลอดไปขยาย เพื่อให้เกิดความเพี้ยนเพื่อความไพเราะขึ้น..ตรงนี้ผมมองแบบกว้างๆว่า..น่าสนใจและเป็นความจริงมากครับ..เท่าที่เคยฟังการแลกเปลี่ยนความเห็นกันมา..การแสดงดนตรี..เขาควรพิถีพิถันมาก..ไม่ว่าจะเป้นเครื่องดนตรี เป็นแอมป์ ไมค์และลำโพงและอุปกรณ์เชื่อมอื่นๆ..ทุ่มเทไป ก้อเพื่อคอนเสริตท์นั้นจะเป้นที่ประทับใจผู้ฟัง...เคยมีคนแซวว่า เสียงนักร้องอย่างกับแหกปาก แต่พอผ่านไมค์ เสียงนุ่มก้องกังวาล..ชวนเคิ้มฝัน)...นั่นแสดงว่า เครื่องเสียงเครื่องดนตรีและอุปกรณ์อื่นๆ..สร้างความเพี้ยนแบบฮาโมนิค(ความอ่อนช้อย เพื่อให้ได้ผลลัพท์ที่เห็นว่าน่าจะดีที่สุด..แต่ยังต้องไม่ลืมสิ่งที่สำคัญคือ ความ สมจริง)

อันนี้เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ  นิยามของเพื้ยนคือไม่เหมือนต้นฉบัน  แต่การเพี้ยนมันเป็นไปได้ทั้งทางเพี้ยนแล้วแย่ลง (นั่นเป็นความรู้สึกของคนทั่วไปเมื่อได้ยินคำว่าเพี้ยน) กับ เพี้ยนไปในทางที่ดีขึ้น  ทุกวันนี้เสียงเพลงที่มีการตลาดมาเกี่ยวข้องเป็นเสียงเพี้ยนทั้งนั้นครับ  เพราะมีการปรับแต่งอย่างมากๆ จนบางครั้งไปฟังสดๆ แล้วไม่น่าเชื่อว่า เพลงที่ว่าฟังจากแผ่นไพเราะ จะเป็นนักร้องหรือวงนี้เล่น  2f  2f  2f  2f  2f


ออฟไลน์ wicha1959

  • **
    • กระทู้: 86
หัวข้อของกระทู้...คือ เขาว่าหลอดเองไม่ได้ทำให้เสียงนุ่มนวล.ในขณะที่นักดีไอวาย ปักใจมั่นว่า หลอดเป็นหัวใจของความนุ่มนวล.ในแอมป์ที่สร้างขึ้นมาอย่างบรรจง..

ผมขอเรียนถามปรมาจารย์ผุ้สรรสร้างแอมป์หลอดและงานศิลปะชิ้นเหล่านี้น่ะครับว่า...แอมป์หลอดที่สร้างขึ้นมาและประสบผลสำเร็จถูกใจนั้น..เริ่มจากการหาหลอดให้ตรงกับอุปกรณ์และวงจรประกอบที่มีอยู่ หรือการหาอุปกรณ์และวงจรประกอบอื่นๆเพื่อให้หลอดที่ตั้งใจไว้ทำงานอย่างได้ประสิทธิภาพสูงสุดของมัน...ตรงนี้คำตอบน่าจะมีทั้งสองแบบ...แต่ผมฟันธงเองเลยน่ะครับ..แบบหลังเป็นเจตนาของแอมป์ดีไอวายมากกว่า และเป็นงานที่ประกอบด้วยศาสตร์และศิลป์อย่างสมดุลที่สุด...


ออฟไลน์ gai

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,318
    • เพศ:ชาย
Spec ในความหมายของผมคือ Plate Characteristic ครับ หรือที่เราเห็นกันในรูปของ Plate Curve น่ะครับ ตามความหมายเลยก็คือ -ลักษณะเฉพาะของหลอด- ครับ เป็นการบอกลักษณะการทำงานของหลอดทั้งด้าน Dynamic และ Static ครับ ซึ่ง Characteristic นี่ไม่มีค่า Min/Max (Tolerance) มีแค่ว่า ถ้า Vp 100V, Vg -5V กระแสจะต้องไหล 5mA ถ้ามันจะไหล 5.1mA หรือ 4.9mA ก็ต้องเป็นลักษณะเฉพาะของหลอดอื่นๆ จริงไม๊ครับ? ถ้ามองว่าวัสดุต่างกัน ทำให้หลอดมีการปล่อย Electron ต่างกัน งั้นมันก็ต้องมีที่ถูกอยู่อันหนึ่ง แล้วที่เหลือผิด Spec ผมคิดแบบนี้ครับ เห็นว่าอย่างไรกันบ้างครับ  

เท่าที่ผมเคยทราบมา Plate curve ไม่ใช่ spec ในการผลิตหลอดครับ  แต่เป็นการเอาหลอดที่ผลิตแล้วมา plot curve เพื่อให้ได้ curve ที่ช่วยในการเอาหลอดไปออกแบบวงจร  

To be able to establish these curves in the 1950s a curve plotter machine was used to draw the curves on paper
while someone worked a calibrated analog electronic circuit for testing the tubes.
Another way it may have been done was by photographing an oscilliscope screen and making a black ink on white paper
drawing by tracing over the photo. All these methods were prone to errors, but despite errors there was enough information in the curves to design any circuit using the tube.

จะเห็นว่า curve ที่ได้จะค่อนข้างหยาบและได้ตัวเลขที่ค่าประมาณ  ดังที่ อ.ฆฤณ ได้กรุณาอธิบายให้ผมเข้าใจในบทความที่ท่านได้สละเวลาสอนพื้นฐานตาม link นี้ครับ
http://www.thaidiyaudio.net/index.php/topic,1436.0.html


ออฟไลน์ wicha1959

  • **
    • กระทู้: 86
สวัสดีตอนเช้าน่ะครับ...อยากจะคุยแลกเปลี่ยนความคิดและเรียนรู้ต่อน่ะครับ...
อย่างไรก็ตาม วงจรขยายเองก็ควรทำหน้าที่แค่ขยายเหมือนกับเลนส์ ถ้าเราเอาเลนส์นูนไปส่องมด ก็ต้องได้มดยักษ์ มันไม่ควรจะเป็นด้วง หรือมดแดงกลายเป็นมดดำไปได้ ถ้าเห็นเป็นอย่างอื่นนอกจากมดยักษ์ก็ต้องเรียกว่าเพี้ยนสิครับ เทียบกับวงจรหลอด ถึงเราจะเรียกว่าความเพี้ยนฮาร์โมนิกไม่ได้ แต่ก็ต้องถือว่าเพี้ยน ใช่ไม๊ครับ

เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ ว่าเมื่อเรามองดูมดผ่านทางแว่นขยาย..มดก้อต้องเป็นมด..และภาพที่เห็นต้องเป็นภาพมด..แต่ในแง่ปรัชญา มดที่เราเห็นผ่านแว่นขยาย เป็นภาพจำลองของมดตัวจริงที่อยู่ข้างหน้าที่มองไม่ค่อยเห็นน่ะครับ...ทำนองเดียวกัน แอมป์คือตัวขยายคลื่น-เส้น เสียง..เส้นสัญญาณ..ที่จำลองจากของจริงที่เล็กมากๆ..

ผมกำลังคิดว่า ถ้าเราความเข้าใจว่าหลอดทำให้เสียงเพี้ยนแล้วฟังเพราะกว่า งั้นถ้าผมเอาแอมป์หลอดไปขยายสัญญาณดนตรีที่เล่นสดอยู่ ก็ต้องยิ่งเพิ่มความไพเราะกว่าการเล่นสดด้วยรึเปล่า?
ช่วยกันคิดช่วยกันเขียนนะครับ 

เกี่ยวกับการแสดงสดแล้วเอาเครื่องหลอดไปขยาย เพื่อให้เกิดความเพี้ยนเพื่อความไพเราะขึ้น..ตรงนี้ผมมองแบบกว้างๆว่า..น่าสนใจและเป็นความจริงมากครับ..เท่าที่เคยฟังการแลกเปลี่ยนความเห็นกันมา..การแสดงดนตรี..เขาควรพิถีพิถันมาก..ไม่ว่าจะเป้นเครื่องดนตรี เป็นแอมป์ ไมค์และลำโพงและอุปกรณ์เชื่อมอื่นๆ..ทุ่มเทไป ก้อเพื่อคอนเสริตท์นั้นจะเป้นที่ประทับใจผู้ฟัง...((เคยมีคนแซวว่า เสียงนักร้องอย่างกับแหกปาก แต่พอผ่านไมค์ เสียงนุ่มก้องกังวาล..ชวนเคิ้มฝัน)...นั่นแสดงว่า เครื่องเสียงเครื่องดนตรีและอุปกรณ์อื่นๆ..สร้างความเพี้ยนแบบฮาโมนิค(ความอ่อนช้อย เพื่อให้ได้ผลลัพท์ที่เห็นว่าน่าจะดีที่สุด..แต่ยังต้องไม่ลืมสิ่งที่สำคัญคือ ความ สมจริง)

ความสมจริงนี้แหล่ะครับ ที่นำกลับมาสู่ความสุขและความปวดหัวของนักดีไอวาย..เพราะเรากำลังพยายามหา พยามสร้าง..เครื่องแอมป์ที่ให้เสียงสมจริง...
และเสียงสมจริงนี้ จะเลียนแบบคล้ายคลึงเสียงธรรมชาติให้ได้มากที่สุด..การเลียนแบบตรงนี้ ในความเห็นของผม มันเป็นผลพวงหนึ่งของฮาโมนิคน่ะครับ..


ออฟไลน์ wicha1959

  • **
    • กระทู้: 86
สวัสดีครับ..เพื่อนร่วมเดินทางทุกๆท่าน..
สนุกดีครับที่ได้แลกเปลี่ยนความรู้..พอดี เมื่อสายส่งข้อความออกไปแล้ว ก้อเผ่นไปทำธุระของตนเอง..แต่ก้อมีหลายอย่างค้างอยุ่ในสมอง(อาจเป็นกระแสที่ไม่ยอมหลุดออกไปจากหัวน่ะครับ) :) :)

(ผมเองก้อไม่รู้ว่าตัวเองเวอร์ไปหรือเปล่าน่ะครับ?? )แต่เห็นว่า ในการวิจารณ์นี้ ยังต้องอาศัยคำอีกสองคำช่วยเหลือด้วย คือ คำว่า ศาสตร์(Science )และคำว่าศิลป์(Art )
ชีวิตประจำวันของผม ผมใช้ทั้งศาสตร์และใช้ทั้งศิลป์.ในสรรพสิ่งรอบตัว...บางเรื่องให้ศาตร์เป็นตัวนำ บางเรื่องให้ศิลป์เป็นตัวนำ มีทั้งศาสตร์มากกว่าศิปล์และมีทั้งศิลป์มากกว่าศาสตร์..
ยกตัวอย่าง(อย่าว่านอกเรื่องน่ะครับ แต่พยายามเปรียบเทียบ)ให้เราเอาเด็ก สี่คน (ชายสองหญิงสอง)อายุ13 ปี เรียนผ่านเปียโนเกรด 7เล่นเพลงเดียวกัน โน๊ตเดียวกันและใช้เครื่องเปียโนตัวเดียวกัน..ในทางศาสตร์..เพลงที่เด็กทั้งสี่เล่น ผลลัพท์ต้องเหมือนกัน..แต่ในทางศิลป์...ผลลัพท์เพลงออกมาต่างกัน..แล้วความจริงคืออะไร?ความจริงคือเมื่อแต่ล่ะคนฟังเพลงที่เด็กทั้งสี่เล่น..จะรู้สึกต่างกัน..
ผมเองเห็นว่างาน ดีไอวาย เป็นทั้งศาสตร์ และเป็นทั้งศิลป์..และตัวเองสนับสนุนให้ศิลป์ในงานดีไอวายมากกว่าศาตร์..โลกปัจจุบันนี้ อุตสาหกรรม การผลิต การตลาด ทำให้งานศิลป์หายไป...(ก้อถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนและเสนอมุมมองด้วยความเคารพศรัทธาเพื่อนๆทุกๆคนน่ะครับ)


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
ขอแจมด้วย อันนี้ถึงจะมีสเปคกำหนด มาให้แต่ปกติแล้วก็มักจะมี tolerance มากน้อยแล้วแต่ว่ากันไป ประกอบกับ พวก วัสดุศาสตร์ด้วย ที่เราวัดๆกันมันเป็นการวัดสเปคทางด้านไฟฟ้า ว่า Bias เท่าไหร่ ควรจะได้เท่าไหร่ แต่ถ้าลองมามองว่าหลอดที่ใช้วัสดุ A จ่าย electron ให้มากกว่า B กี่หน่วยว่าไป ถ้ามีวัดแบบนี้น่าจะเข้าไปหาพวกฟิสิกส์ซึ่งคำนวนกันออกมาเป็นความถี่แบบนี้พอจะเข้าท่าบ้างไหมครับ  :)

พี่หมายถึงว่า วัสดุที่ต่างกัน ทำให้คุณสมบัติของหลอดเปลี่ยนไปตามความถี่การใช้งาน และไม่สม่ำเสมอกันในแต่ละผู้ผลิตเพราะแต่ละผู้ผลิตก็ใช้วัสดุต่างกัน ใช่ไม๊ครับ? ผมว่าก็เป็นไปได้นะครับพี่ บางทีความรู้ทางไฟฟ้าของเมื่อ 50 ปีก่อนยังจำกัดอยู่ และไม่สามารถกำหนดค่าพวกนี้ได้ เลยต้องสุ่มๆ ผลิตกันไป เป็นเรื่องของตัวแปรคุณภาพที่เราไม่รู้จักและไม่สามารถควบคุมได้ ก็อาจเป็นได้ครับ  ;)

อ้างถึง
อืมมม์ กับความเห็นที่ผมมองไปอีกทางมาตลอด เหมือนกับ Mr.Tube ที่ผมไปมองมันเป็นแค่อุปกรณ์ 1 ตัว หรือว่าถ้าหากเรามองเป็นวงจรแล้วละก็ พวก IC หรือ solid-state device ทั้งหลายก็น่าจะต้องไปมองเป็นวงจรมากกว่าอุปกรณ์เหมือนกันนะซิครับ  :)

อ้าว รอบนี้ไม่เป็น Mr.ธูปหรือครับ  ;D






ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
สวัสดีครับคุณ Mr.Tubeและคุณ Gai ขอบคุณมากครับสำหรับการอธิบาย ทั้งในแง่ของวิศวกร รูปแบบแผนการสร้างและวัสดุในการสร้าง...สิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องยังมีทฤษฎี -มาตราฐานการผลิตและอุปกรณ์การตรวจวัดคุณภาพ..ให้ได้มาสำหรับหลอดแต่ล่ะหลอด หลอดแต่ล่ะเบอร์..แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นความจริงคือ หลอดเบอร์เดียวกันผลิตในวันเดียวกันด้วยมือเดียวกันและวัสดุเหมือนกัน.(กรณีใช้มือทำสมัยก่อน)คุณภาพเสียงเมื่อใช้ร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆเพื่อทำงานได้..ยังให้เอกลักษณ์เสียงที่แตกต่าง..จนเราสามารถพูดว่าหลอดแต่ล่ะหลอด มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมัน..ซึ่งตรงนี้เครื่องโสลิดติค ทำให้เราไม่ได้หรือเกือบจะได้แต่ก้อไม่ใช่...

โดยหลักสากลแล้ว ของที่ผลิตจำนวนมากควรจะมีระดับคุณภาพเดียวกัน เป็นไปได้ว่าการผลิตในสมัยก่อนที่ผลิตด้วยมือ ความแม่นยำต่ำ การควบคุมคุณภาพก็ต่ำ ทำให้ของที่ออกมามีทั้งได้คุณภาพและไม่ได้คุณภาพ ผมคิดถึงลูกอมครับ ถ้าเม็ดแรกหวาน เม็ดที่ 2 หวานกว่า และเม็ดที่ 3 หวานน้อยกว่าเม็ดแรก Ok ลูกอมควรจะหวาน แต่เราก็ยังบอกว่าลูกอมนี้มีคุณภาพไม่สม่ำเสมอ แต่หลอดเรากลับบอกว่ามันเป็นเอกลักษณ์  :D

อ้างถึง
สำหรับเรื่องฮาโมนิคนั้น.มันไม่ใช่เรื่องความถูกหรือผิด..แต่มันเป็นเรื่องการเหนี่ยวนำสัญญาณหรือถ่วงเวลา ดังที่คุณgai  ได้แสดงความเห็นไว้..ตรงนี้ถ้าเปรียบเป็นคนเล่นดนตรี..มัน คือ อารมณ์ของคนเล่น..เช่น..อยากลากเสียง  อยากเอื้อน อยากกระแทกเสียง..เป็นต้น.. :) :)ตรงนี้ ทรานซิสเตอร์ก็ทำให้ไม่ได้...

ผมขอพูดถึงเรื่องเครื่องวัดสัญญาณ..ซึ่งเปรียบเหมือน เครื่องชั่งแสดงมาตราฐาน.. ความละเอียดของเครื่องวัดนั้นมันเป็นช่องห่าง..ระหว่างขีดหนึ่งไปถึงขีดหนึ่ง..มนุษย์เราสามารถทำช่องห่างได้ละเอียดแค่ไหน??แต่ความเป็นจริง..มันก้อยังมีช่องว่างอยู่ดี..ตรงนี้แหล่ะคือ..ฮาโมนิคของหลอดที่ผมเองเข้าใจว่า..โสลิสติคทำให้เราไม่ได้..คอมพิวเตอร์อาจใส่ความเพี้ยนที่เป็นตัวเลขคำนวณเป็นเปอร์เซนต์ให้เพลงและดนตรีได้..แต่นั่นผมฟันธงเลยครับว่า เป็นคนล่ะเรื่องกับความเพี้ยนที่เกิดจากสัญญาณหลอด..

ต้องออกตัวก่อนน่ะครับว่า สิ่งที่ผมสันนิษฐานหรือคะเน ก็เป็นการเรียนรู้ประการหนึ่งในชีวิต..เท่านั้น..ผมหวังว่า..ถ้าช่วยกันแย้ง ช่วยกันวิเคราะห์..ผลลัพท์จะช่วยให้เกิดความกว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งน่ะครับ.. Y] Y]

ความเพี้ยนฮาร์โมนิกเป็นค่าที่วัดทางไฟฟ้า เท่าที่ผมทราบ มีการกำหนดวิธีการวัดและแปรผลไว้แบบเดียวครับ ก็คือเอาสัญญาณที่ผ่านการกระทำแล้วมาเทียบกับสัญญาณที่ยังไม่ผ่านการกระทำ แล้วเปรียบเทียบระดับแรงดันกัน แต่แสดงผลเป็น % เพราะเข้าใจได้ง่ายกว่า ทีนี้ความเพี้ยนฮาร์โมนิกที่คอมเพิ่มเข้าไปในสัญญาณมันเกิดทีหลังการบัญญัติคำว่า ความเพี้ยนฮาร์โมนิก เพราะฉะนั้นสิ่งที่คอมใส่ให้กับสัญญาณก็น่าจะเป็น ความเพี้ยนฮาร์โมนิก ตามนิยาม และถ้ามันไม่ตรงกับความเพี้ยนจากหลอด หลอดก็ไม่ควรใช้คำว่าความเพี้ยนฮาร์โมนิกสิครับ ต้องเป็นความเพี้ยนแบบอื่น

อย่างไรก็ตาม วงจรขยายเองก็ควรทำหน้าที่แค่ขยายเหมือนกับเลนส์ ถ้าเราเอาเลนส์นูนไปส่องมด ก็ต้องได้มดยักษ์ มันไม่ควรจะเป็นด้วง หรือมดแดงกลายเป็นมดดำไปได้ ถ้าเห็นเป็นอย่างอื่นนอกจากมดยักษ์ก็ต้องเรียกว่าเพี้ยนสิครับ เทียบกับวงจรหลอด ถึงเราจะเรียกว่าความเพี้ยนฮาร์โมนิกไม่ได้ แต่ก็ต้องถือว่าเพี้ยน ใช่ไม๊ครับ

ผมกำลังคิดว่า ถ้าเราความเข้าใจว่าหลอดทำให้เสียงเพี้ยนแล้วฟังเพราะกว่า งั้นถ้าผมเอาแอมป์หลอดไปขยายสัญญาณดนตรีที่เล่นสดอยู่ ก็ต้องยิ่งเพิ่มความไพเราะกว่าการเล่นสดด้วยรึเปล่า?

ช่วยกันคิดช่วยกันเขียนนะครับ  d_d


ออฟไลน์ aphiphot

  • Super Star.
  • **
    • กระทู้: 2,814
    • เพศ:ชาย
  • คุณพ่อขาอย่ามัวแต่ D.I.Y.จนลืมหนูนะคะ
ผมขอเสนอความคิดในเชิงวิศวกรรมอีกแง่หนึ่ง คือด้านวัสดุศาสตร์  ถึงแม้หลอดแต่ละหลอดจะมี spec มีโครงสร้างเดียวกัน แต่ถ้าใช้วัสดุต่างกัน ประสิทธิภาพการทำงานมันก็จะต่างกัน  spec ส่วนใหญ่ที่กำหนดในการผลิตหลอดจะเป็น spec ด้าน static และ maximum rating  แต่วัสดุมันจะให้ผลด้าน dynamic (ซึ่งมีการตอบสนองต่อเวลามาเกี่ยวข้อง)  ดังนั้นวัสดุต่างกันมันจึงทำให้ผลที่ได้ออกมาต่างกันครับ  มองในแง่นี้มันไม่ได้มีถูกผิด แต่เป็นการตอบสนองต่อสัญญาณไฟฟ้าได้ไม่เท่ากันมากกว่าครับ  ผิดถูกยังไงช่วยกรุณาแก้ไขด้วยนะครับ

จริงๆ แล้วผมไม่ทราบหรอกว่าอันไหนถูกผิดครับ ผมเห็นว่าประเด็นแบบนี้ยิ่งคุย ยิ่งคิด ยิ่งเกิดปัญญาครับ เพราะฉะนั้นคุยกันต่อเถอะ  8)

Spec ในความหมายของผมคือ Plate Characteristic ครับ หรือที่เราเห็นกันในรูปของ Plate Curve น่ะครับ ตามความหมายเลยก็คือ -ลักษณะเฉพาะของหลอด- ครับ เป็นการบอกลักษณะการทำงานของหลอดทั้งด้าน Dynamic และ Static ครับ ซึ่ง Characteristic นี่ไม่มีค่า Min/Max (Tolerance) มีแค่ว่า ถ้า Vp 100V, Vg -5V กระแสจะต้องไหล 5mA ถ้ามันจะไหล 5.1mA หรือ 4.9mA ก็ต้องเป็นลักษณะเฉพาะของหลอดอื่นๆ จริงไม๊ครับ? ถ้ามองว่าวัสดุต่างกัน ทำให้หลอดมีการปล่อย Electron ต่างกัน งั้นมันก็ต้องมีที่ถูกอยู่อันหนึ่ง แล้วที่เหลือผิด Spec ผมคิดแบบนี้ครับ เห็นว่าอย่างไรกันบ้างครับ  :)
ในความเห็นของผมเรื่องวัสดุน่าจะมีส่วนในเรื่องของเสียง แต่ในเรื่องของSpecของอุปกรณ์นั้นปกติจะมีค่าความคลาดเคลื่อนอยู่ใช่มั้ยครับ เช่น +-5%,+-1%หรือในกรณีที่ต้องการความแม่นยำสูงๆก็+-0.1%ขึ้นอยู่กับว่าSpecที่เรากำหนดนั้นเรากำหนดให้ยอมรับที่เท่าไร  แต่ที่ฝรั่งคนนี้เค้าเสนอแนวคิดแบบนี้เกิดจากการที่เค้าได้ลองทดสอบและเกิดเป็นผลออกมาจุดมุ่งหมายผมว่าก็เหมือนการทำวิจัยเมื่อได้ผลก็มีการนำเสนอผลการวิจัยเพื่อที่จะให้ผู้อื่นนำไปทำตามหรือพัฒนาต่อยอด  ในมุมของผมผมมองว่าถ้าเค้าทดลองแล้วเจอผลแบบนี้ต่อไปเราก็เอาเครื่อSolidมาเพิ่มความเพี้ยนที่สองเข้าไปเพื่อให้ได้เสียงที่ใกล้เคียงกับหลอดมากขึ้นถึงจะไม่เหมือนเลยทีเดียวแต่ก็น่าให้ผลดีในเรื่องของขนาดและราคาซึ่งหลอดยังแพงมากถ้าเป็นหลอดจากเจ้าที่ติดตลาด  ก็เป็นความเห็นที่ไม่ทราบว่าผิดหรือถูกครับแต่ผลจากการที่เราได้ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันแบบนี้เป็นสิ่งที่ดีครับเพราะจะได้เกิดองค์ความรู้ใหม่ๆบางทีผมว่าน่าสนใจและสามารถนำไปต่อยอดสร้างประโยชน์ได้ด้วยครับ :clap :clap :clap
ข้อมูลส่วนตัวครับ==>> 
นายอภิภช เจริญกิจ
270 ม.3 ต.เนินทราย อ.เมือง จ.ตราด 23000
eptrattc@hotmail.co.th
Tel.08186220-เจ็ด-หนึ่ง
Line id: aphiphot


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
ผมขอเสนอความคิดในเชิงวิศวกรรมอีกแง่หนึ่ง คือด้านวัสดุศาสตร์  ถึงแม้หลอดแต่ละหลอดจะมี spec มีโครงสร้างเดียวกัน แต่ถ้าใช้วัสดุต่างกัน ประสิทธิภาพการทำงานมันก็จะต่างกัน  spec ส่วนใหญ่ที่กำหนดในการผลิตหลอดจะเป็น spec ด้าน static และ maximum rating  แต่วัสดุมันจะให้ผลด้าน dynamic (ซึ่งมีการตอบสนองต่อเวลามาเกี่ยวข้อง)  ดังนั้นวัสดุต่างกันมันจึงทำให้ผลที่ได้ออกมาต่างกันครับ  มองในแง่นี้มันไม่ได้มีถูกผิด แต่เป็นการตอบสนองต่อสัญญาณไฟฟ้าได้ไม่เท่ากันมากกว่าครับ  ผิดถูกยังไงช่วยกรุณาแก้ไขด้วยนะครับ

จริงๆ แล้วผมไม่ทราบหรอกว่าอันไหนถูกผิดครับ ผมเห็นว่าประเด็นแบบนี้ยิ่งคุย ยิ่งคิด ยิ่งเกิดปัญญาครับ เพราะฉะนั้นคุยกันต่อเถอะ  8)

Spec ในความหมายของผมคือ Plate Characteristic ครับ หรือที่เราเห็นกันในรูปของ Plate Curve น่ะครับ ตามความหมายเลยก็คือ -ลักษณะเฉพาะของหลอด- ครับ เป็นการบอกลักษณะการทำงานของหลอดทั้งด้าน Dynamic และ Static ครับ ซึ่ง Characteristic นี่ไม่มีค่า Min/Max (Tolerance) มีแค่ว่า ถ้า Vp 100V, Vg -5V กระแสจะต้องไหล 5mA ถ้ามันจะไหล 5.1mA หรือ 4.9mA ก็ต้องเป็นลักษณะเฉพาะของหลอดอื่นๆ จริงไม๊ครับ? ถ้ามองว่าวัสดุต่างกัน ทำให้หลอดมีการปล่อย Electron ต่างกัน งั้นมันก็ต้องมีที่ถูกอยู่อันหนึ่ง แล้วที่เหลือผิด Spec ผมคิดแบบนี้ครับ เห็นว่าอย่างไรกันบ้างครับ  :)


ออฟไลน์ pride

  • *****
    • กระทู้: 518
  • พ่อค้า & ซาเล้ง
    • www.pridediyjunk.com
เรื่องตามหัวข้อ ขอไว้ไปอ่านให้ครบๆก่อน ตอนนี้แอบหลบงานมาเล่น Board อยู่  ;D
welcomeani" border="0 <a href="http://www.pridediyjunk.com/catalog/index.php?language=TH" >www.pridediyjunk.com [/url]


ออฟไลน์ pride

  • *****
    • กระทู้: 518
  • พ่อค้า & ซาเล้ง
    • www.pridediyjunk.com

ส่วนเรื่องหลอดนี่ ผมกลับคิดในแง่วิศวกรรมว่า ในเมื่อแต่ละเบอร์มีการระบุคุณสมบัติทางไฟฟ้าไว้แล้ว ไม่ว่าใครจะผลิตก็ตามก็ต้องได้คุณสมบัติตามเบอร์ ไม่งั้นก็ต้องเรียกว่าผิด Spec จริงไม๊ครับ เพราะฉะนั้นมันก็ต้องไม่มีผลต่อการทำงานทางไฟฟ้าสิ ในเมื่อเราเปลี่ยนแต่หลอดอย่างเดียววงจรเหมือนเดิมเลย ถ้าเปลี่ยนหลอดแล้วมันมีผลต่อการทำงาน ก็แสดงว่ามันมีอันนึงที่ทำงานถูก และอีกอันทำงานผิด แล้วอันไหนถูกอันไหนผิดล่ะ  :D :D

ขอแจมด้วย อันนี้ถึงจะมีสเปคกำหนด มาให้แต่ปกติแล้วก็มักจะมี tolerance มากน้อยแล้วแต่ว่ากันไป ประกอบกับ พวก วัสดุศาสตร์ด้วย ที่เราวัดๆกันมันเป็นการวัดสเปคทางด้านไฟฟ้า ว่า Bias เท่าไหร่ ควรจะได้เท่าไหร่ แต่ถ้าลองมามองว่าหลอดที่ใช้วัสดุ A จ่าย electron ให้มากกว่า B กี่หน่วยว่าไป ถ้ามีวัดแบบนี้น่าจะเข้าไปหาพวกฟิสิกส์ซึ่งคำนวนกันออกมาเป็นความถี่แบบนี้พอจะเข้าท่าบ้างไหมครับ  :)

สำหรับผม..ผมมองว่าหลอดแต่ล่ะหลอดเป็นมากกว่าอุปกรณ์ไฟฟ้าแต่ล่ะชิ้นครับ..หลอดแต่ล่ะหลอด เป็นวงจรไฟฟ้า.1 วงจรครับ..ฉะนั้นมื่อหลอดแต่ล่ะหลอดเป็นวงจรไฟฟ้าแต่ล่ะวงจร...การทำงานของวงจรหลอดแต่ล่ะตัว เมื่อทำงานร่วมกับวงจรอื่นๆที่ปรับให้ทำงานร่วมกันได้..ย่อมมีผลต่อการเคลื่อนตัวของประจุไฟฟ้าในวงจร..และนี่เป็นสาเหตุสำคัญของสัญาณไฟฟ้าที่ออกมา..จึงทำให้เมื่อเปลี่ยนหลอด เราสามารถสัมผัสถึงความแตกต่างได้ตั้งมากไปหาน้อย...นั่นเอง....

อืมมม์ กับความเห็นที่ผมมองไปอีกทางมาตลอด เหมือนกับ Mr.Tube ที่ผมไปมองมันเป็นแค่อุปกรณ์ 1 ตัว หรือว่าถ้าหากเรามองเป็นวงจรแล้วละก็ พวก IC หรือ solid-state device ทั้งหลายก็น่าจะต้องไปมองเป็นวงจรมากกว่าอุปกรณ์เหมือนกันนะซิครับ  :)





welcomeani" border="0 <a href="http://www.pridediyjunk.com/catalog/index.php?language=TH" >www.pridediyjunk.com [/url]


ออฟไลน์ wicha1959

  • **
    • กระทู้: 86
สวัสดีครับคุณ Mr.Tubeและคุณ Gai ขอบคุณมากครับสำหรับการอธิบาย ทั้งในแง่ของวิศวกร รูปแบบแผนการสร้างและวัสดุในการสร้าง...สิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องยังมีทฤษฎี -มาตราฐานการผลิตและอุปกรณ์การตรวจวัดคุณภาพ..ให้ได้มาสำหรับหลอดแต่ล่ะหลอด หลอดแต่ล่ะเบอร์..แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นความจริงคือ หลอดเบอร์เดียวกันผลิตในวันเดียวกันด้วยมือเดียวกันและวัสดุเหมือนกัน.(กรณีใช้มือทำสมัยก่อน)คุณภาพเสียงเมื่อใช้ร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆเพื่อทำงานได้..ยังให้เอกลักษณ์เสียงที่แตกต่าง..จนเราสามารถพูดว่าหลอดแต่ล่ะหลอด มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมัน..ซึ่งตรงนี้เครื่องโสลิดติค ทำให้เราไม่ได้หรือเกือบจะได้แต่ก้อไม่ใช่...

สำหรับเรื่องฮาโมนิคนั้น.มันไม่ใช่เรื่องความถูกหรือผิด..แต่มันเป็นเรื่องการเหนี่ยวนำสัญญาณหรือถ่วงเวลา ดังที่คุณgai  ได้แสดงความเห็นไว้..ตรงนี้ถ้าเปรียบเป็นคนเล่นดนตรี..มัน คือ อารมณ์ของคนเล่น..เช่น..อยากลากเสียง  อยากเอื้อน อยากกระแทกเสียง..เป็นต้น.. :) :)ตรงนี้ ทรานซิสเตอร์ก็ทำให้ไม่ได้...

ผมขอพูดถึงเรื่องเครื่องวัดสัญญาณ..ซึ่งเปรียบเหมือน เครื่องชั่งแสดงมาตราฐาน.. ความละเอียดของเครื่องวัดนั้นมันเป็นช่องห่าง..ระหว่างขีดหนึ่งไปถึงขีดหนึ่ง..มนุษย์เราสามารถทำช่องห่างได้ละเอียดแค่ไหน??แต่ความเป็นจริง..มันก้อยังมีช่องว่างอยู่ดี..ตรงนี้แหล่ะคือ..ฮาโมนิคของหลอดที่ผมเองเข้าใจว่า..โสลิสติคทำให้เราไม่ได้..คอมพิวเตอร์อาจใส่ความเพี้ยนที่เป็นตัวเลขคำนวณเป็นเปอร์เซนต์ให้เพลงและดนตรีได้..แต่นั่นผมฟันธงเลยครับว่า เป็นคนล่ะเรื่องกับความเพี้ยนที่เกิดจากสัญญาณหลอด..

ต้องออกตัวก่อนน่ะครับว่า สิ่งที่ผมสันนิษฐานหรือคะเน ก็เป็นการเรียนรู้ประการหนึ่งในชีวิต..เท่านั้น..ผมหวังว่า..ถ้าช่วยกันแย้ง ช่วยกันวิเคราะห์..ผลลัพท์จะช่วยให้เกิดความกว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งน่ะครับ.. Y] Y]



ออฟไลน์ gai

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,318
    • เพศ:ชาย
ส่วนเรื่องหลอดนี่ ผมกลับคิดในแง่วิศวกรรมว่า ในเมื่อแต่ละเบอร์มีการระบุคุณสมบัติทางไฟฟ้าไว้แล้ว ไม่ว่าใครจะผลิตก็ตามก็ต้องได้คุณสมบัติตามเบอร์ ไม่งั้นก็ต้องเรียกว่าผิด Spec จริงไม๊ครับ เพราะฉะนั้นมันก็ต้องไม่มีผลต่อการทำงานทางไฟฟ้าสิ ในเมื่อเราเปลี่ยนแต่หลอดอย่างเดียววงจรเหมือนเดิมเลย ถ้าเปลี่ยนหลอดแล้วมันมีผลต่อการทำงาน ก็แสดงว่ามันมีอันนึงที่ทำงานถูก และอีกอันทำงานผิด แล้วอันไหนถูกอันไหนผิดล่ะ   

ผมขอเสนอความคิดในเชิงวิศวกรรมอีกแง่หนึ่ง คือด้านวัสดุศาสตร์  ถึงแม้หลอดแต่ละหลอดจะมี spec มีโครงสร้างเดียวกัน แต่ถ้าใช้วัสดุต่างกัน ประสิทธิภาพการทำงานมันก็จะต่างกัน  spec ส่วนใหญ่ที่กำหนดในการผลิตหลอดจะเป็น spec ด้าน static และ maximum rating  แต่วัสดุมันจะให้ผลด้าน dynamic (ซึ่งมีการตอบสนองต่อเวลามาเกี่ยวข้อง)  ดังนั้นวัสดุต่างกันมันจึงทำให้ผลที่ได้ออกมาต่างกันครับ  มองในแง่นี้มันไม่ได้มีถูกผิด แต่เป็นการตอบสนองต่อสัญญาณไฟฟ้าได้ไม่เท่ากันมากกว่าครับ  ผิดถูกยังไงช่วยกรุณาแก้ไขด้วยนะครับ


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
สำหรับผม..ผมมองว่าหลอดแต่ล่ะหลอดเป็นมากกว่าอุปกรณ์ไฟฟ้าแต่ล่ะชิ้นครับ..หลอดแต่ล่ะหลอด เป็นวงจรไฟฟ้า.1 วงจรครับ..ฉะนั้นมื่อหลอดแต่ล่ะหลอดเป็นวงจรไฟฟ้าแต่ล่ะวงจร...การทำงานของวงจรหลอดแต่ล่ะตัว เมื่อทำงานร่วมกับวงจรอื่นๆที่ปรับให้ทำงานร่วมกันได้..ย่อมมีผลต่อการเคลื่อนตัวของประจุไฟฟ้าในวงจร..และนี่เป็นสาเหตุสำคัญของสัญาณไฟฟ้าที่ออกมา..จึงทำให้เมื่อเปลี่ยนหลอด เราสามารถสัมผัสถึงความแตกต่างได้ตั้งมากไปหาน้อย...นั่นเอง....

ผมเห็นว่าหลอดน่าจะเป็นอุปกรณ์มากกว่าเป็นวงจรครับ เพราะลำพังตัวมันเองทำงานไม่ได้ ถ้าไม่เป็นวงจรครับ (รู้จักคำว่าวงจรมาหลายปี เพิ่งจะมาซึ้งเอากับคำนี้ก็เพราะคุณ wicha1959 นี่แหล่ะ ขอบคุณนะครับ วง-จร เดินเป็นรอบ เออ เห็นภาพดี คนบัญญัติคำนี้ต้องเข้าใจมันดีมากๆ เลยนะเนี่ย คารวะ 1 ทีเลย  :bowdown)

ส่วนเรื่องหลอดนี่ ผมกลับคิดในแง่วิศวกรรมว่า ในเมื่อแต่ละเบอร์มีการระบุคุณสมบัติทางไฟฟ้าไว้แล้ว ไม่ว่าใครจะผลิตก็ตามก็ต้องได้คุณสมบัติตามเบอร์ ไม่งั้นก็ต้องเรียกว่าผิด Spec จริงไม๊ครับ เพราะฉะนั้นมันก็ต้องไม่มีผลต่อการทำงานทางไฟฟ้าสิ ในเมื่อเราเปลี่ยนแต่หลอดอย่างเดียววงจรเหมือนเดิมเลย ถ้าเปลี่ยนหลอดแล้วมันมีผลต่อการทำงาน ก็แสดงว่ามันมีอันนึงที่ทำงานถูก และอีกอันทำงานผิด แล้วอันไหนถูกอันไหนผิดล่ะ  :D :D

คือว่าผมเข้าใจเรื่องการเปลี่ยนหลอดแล้วเสียงเปลี่ยนไปดีพอสมควรครับ แต่อยากเสนอให้มองแง่ของเหตุด้วยอย่างที่อธิบายมาครับ  :)

อ้างถึง
ในความเห็นของผม.เจ้าฝรั่งคนที่วิจารณ์หลอดและเรื่องความเพี้ยน(ฮาโมนิค)..ผมมองว่า เป็นไปได้ว่าเขาอยากนำเสนอความเห็นเรื่องหนึ่งเพื่อไปสู่อีกเรื่องหนึ่ง หรืออาจจริงๆเขาไม่ได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับหลอดเท่าไรน่ะครับ..ผมอาจจะดูแคลนเขาสักเล้กน้อย..การพุดถึงเรื่องการเอาโปรแกรมคอมสร้างความเพี้ยนในเพลง..(ตามตัวอย่าง )ผมว่าเขาเอาทฤษฎีมาพิสูจน์ใช้แบบดื้อๆโ ดยไม่ได้คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างสัญญาณอะนาล๊อคกับดิจิตอลเลยน่ะครับ.. :) :).

นักเล่นหลอดส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า เครื่องหลอดให้เสียงดีเพราะมันทำให้เสียงเพี้ยน เท่าที่ผมทราบ มันมาจากนักวิจารณ์เครื่องเสียงแล้วก็พูดต่อๆ กันมา ทีนี้เค้าไม่เห็นด้วยกับประโยคนี้ ก็เลยเสนอวิธีการทดลองให้ สมมุติฐานคือ เครื่องหลอดให้เสียงดีเพราะมันเพี้ยนแบบฮาร์โมนิกที่สอง งั้นถ้าเราทำให้เสียงเพี้ยนแบบฮาร์โมนิกที่สองได้ เสียงมันก็ต้องเหมือนเครื่องหลอดสิ นี่คือสิ่งที่เค้าเสนอครับ อย่างไรก็ตาม เค้าทดลองมาแล้ว และบอกข้อสรุปมาให้ด้วย ก็เป็นเรื่องของพวกเราที่จะลองทดสอบดูว่าเห็นด้วยกับข้อสรุปของเค้ารึเปล่า

ทีนี้วิธีการทดสอบ เค้าเอาสัญญาณไปเพิ่มความเพี้ยนด้วยคอมฯ แล้วเอามาฟังเทียบกับสัญญาณที่ไม่เพิ่มความเพี้ยนครับ ทั้งหมดเป็นสัญญาณ Analog ทั้งหมดครับ จริงๆ ถ้าจะให้แฟร์ เราใช้คอมเป็น Source ในการทดลองเลยก็ได้ครับ Source จะได้เป็น Digital และผ่าน DAC ที่ Soundcard ตัวเดียวกัน ผมว่าถ้ามี Meeting กันครั้งหน้า ถ้าไม่ลำบากเกินไปก็น่าจะทดลองกันดูนะครับ ฟังกันหลายๆ คน ช่วยกันออกความเห็น ;)


ออฟไลน์ wicha1959

  • **
    • กระทู้: 86
สวัสดีครับ..เพื่อนๆร่วมเดินทางทุกๆท่าน
ต่อความเห็นในเรื่องนี้ ..ผมขอแสดงความเห็นบ้างน่ะครับ..ผิดถูกอย่างไร..ก็ยินดีรับคำชี้แนะครับ...

สำหรับผม..ผมมองว่าหลอดแต่ล่ะหลอดเป็นมากกว่าอุปกรณ์ไฟฟ้าแต่ล่ะชิ้นครับ..หลอดแต่ล่ะหลอด เป็นวงจรไฟฟ้า.1 วงจรครับ..ฉะนั้นมื่อหลอดแต่ล่ะหลอดเป็นวงจรไฟฟ้าแต่ล่ะวงจร...การทำงานของวงจรหลอดแต่ล่ะตัว เมื่อทำงานร่วมกับวงจรอื่นๆที่ปรับให้ทำงานร่วมกันได้..ย่อมมีผลต่อการเคลื่อนตัวของประจุไฟฟ้าในวงจร..และนี่เป็นสาเหตุสำคัญของสัญาณไฟฟ้าที่ออกมา..จึงทำให้เมื่อเปลี่ยนหลอด เราสามารถสัมผัสถึงความแตกต่างได้ตั้งมากไปหาน้อย...นั่นเอง....

ในความเห็นของผม.เจ้าฝรั่งคนที่วิจารณ์หลอดและเรื่องความเพี้ยน(ฮาโมนิค)..ผมมองว่า เป็นไปได้ว่าเขาอยากนำเสนอความเห็นเรื่องหนึ่งเพื่อไปสู่อีกเรื่องหนึ่ง หรืออาจจริงๆเขาไม่ได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับหลอดเท่าไรน่ะครับ..ผมอาจจะดูแคลนเขาสักเล้กน้อย..การพุดถึงเรื่องการเอาโปรแกรมคอมสร้างความเพี้ยนในเพลง..(ตามตัวอย่าง )ผมว่าเขาเอาทฤษฎีมาพิสูจน์ใช้แบบดื้อๆโ ดยไม่ได้คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างสัญญาณอะนาล๊อคกับดิจิตอลเลยน่ะครับ.. :) :).


ออฟไลน์ aphiphot

  • Super Star.
  • **
    • กระทู้: 2,814
    • เพศ:ชาย
  • คุณพ่อขาอย่ามัวแต่ D.I.Y.จนลืมหนูนะคะ
 :clap :clap :clapขอบคุณมากครับได้ความรู้อีกเยอะเลยครับ Y] Y] Y] Y]
ข้อมูลส่วนตัวครับ==>> 
นายอภิภช เจริญกิจ
270 ม.3 ต.เนินทราย อ.เมือง จ.ตราด 23000
eptrattc@hotmail.co.th
Tel.08186220-เจ็ด-หนึ่ง
Line id: aphiphot