เอาเท่าที่ทราบนะครับ
เมื่อก่อนระบบไฟหลักๆ เลยก็จะเป็นไฟฟ้ากระแสสลับแรงดัน 220 V (โวล์ต) ความถี่ของกระแสสลับ (ความถี่รูป sine) 50Hz (เฮิร์ท หรือ ครั้งต่อวินาที) กับ 110 V ความถี่ 60 Hz ในการทำระบบ TV เพื่อแสดงผล ก็ต้องทำให้สอดคล้องกับสัญญาณความถี่ของไฟด้วย หลักๆ ก็จะมีระบบ PAL ที่สอดคล้องกับความถี่บ้าน 50Hz และก็ NTSC สอดคล้องกับความถี่ 60 Hz ส่วนระบบ SECAM หรือ PAL-M อะไรนี้ไม่ค่อยได้ใช้ในบ้านเรา อันนี้ไปศึกษาต่อเอาเองก็แล้วกัน หลักๆ เลย NTSC ก็ใช้ในอเมริกาให้สอดคล้องกับไฟ 110V 60 Hz (ของญี่ปุ่นเป็น 110V แต่ 50 Hz) ของบ้างเราก็เป็น PAL ก็สอดคล้องกับไฟ 220V 50Hz สำหรับระบบ NTSC เพื่อทำให้สอดคล้องกับ 60Hz เขาก็ทำให้ภาพในการส่งสัญญาณ TV เป็น 30frames (หรือภาพ) ต่อวินาที ส่วน PAL ก็เป็น 25 frames ต่อวินาที ตอนหลัง technology ดีขึ้น TV ก็ทำให้มาให้รองรับรูปแบบได้หลายอย่างในเครื่องเดียวกันเลยครับ คราวนี้โดยหลักการทำงานของจอ TV รุ่นเก่า (จอ CRT หรือจอหลอดสูญญากาศ หรือ จอแก้วปกติที่เรารู้จักกัน) จะมีหลักการทำงานคือ เอาปืนอิเล็กตรอนยิงไปที่หน้าจอตำแหน่งต่างๆ เมื่อไปชนแผงหน้าจอที่เป็นฟอสฟอรัส ก็จะเรืองแสงออกมาเป็นภาพให้เราเห็น โดยการยิงจะกวาดหน้าจอจากซ้ายไปขวา เมื่อจบ 1 บรรทัด ก็จะลงล่าง พอครบ 1 หน้าจอ ก็นับว่าเป็น 1 frames หรือ 1 ภาพ ต้องทำอย่างนี้วินาทีละ 25 หรือ 30 ครั้ง ตามระบบ PAL หรือ NTSC ด้วยเทคโนโลยีที่ไม่ดีนักในสมัยก่อน โดยปัญหาทางเทคนิค ก็เลยเป็นว่าในการยิงลำแสงเพื่อแสดงผลต้องทำทีละครึ่งนั่นคือ ในการยิงลำแสงจากกวาดจากซ้ายไปขวา บรรทัดที่ 1,3,5,7,9 ไปเรื่อยจน บรรทัดที่ 625 (สำหรับ Pal) หรือ 525 (สำหรับ NTSC) ก่อน แล้วค่อยกลับมายิงลำแสงในบรรทัดที่ 2,4,6,8,... จนครบ 1 หน้า เราก็เรียกระบบนี้ว่า interlace หรือ non progressive สิ่งที่ได้ก็คือ ภาพจะกระพริบ ถ้าสังเกตดู TV รายการปกติ ตรงบริเวณ logo ตรงขอบบนหรือล่าง จะกระพริบสลับไป สลับมานิดๆ ด้วยเหตุผลนี้ ภายหลัง philips พยายามพัฒนาให้ภาพดีขึ้นก็เพิ่มระบบ 100Hz ขึ้นไปก็คือระหว่างรอยต่อระหว่างแต่ละภาพหรือ frames ก็แทรกภาพขึ้นไปอีก 1 ภาพ ทำให้ภาพนิ่งขึ้น (ถ้าเป็นไฟ 60Hz ก็จะได้ TV ระบบภาพ 120Hz) ภายหลัง technology ดีขึ้นก็ต้องการให้มีการยิงลำแสงกวาดแต่ละบรรทัดต่อเนื่องเลยเป็น 1,2,3,4,5,... อันนี้เรียกว่าระบบ Progressive scan ครับ ต้องเป็น TV ที่รองรับระบบนี้ถึงจะดูได้ ตัวprogressive เองก็เหมาะกับภาพจาก DVD เพราะว่า DVD ในระบบ pal ก็จะมีความละเอียด 720จุด คูณ 576 บรรทัด หรือ NTSC ก็ 720จุด คูณ 480 บรรทัด ถ้าเป็น VCD ก็แค่ 320จุด คูณ 240 เส้น คราวนี้ปัจจุบันเทคโนโลยีดีขึ้นกว่าเดิมมาก (และถูกลงด้วย) ก็เลยมีความต้องการภาพที่ดีกว่าเดิม ก็ขยายไปสู่ระบบ High definition ก็เพิ่มความละเอียดจากที่กล่าวมาเป็น 1280x720 และ 1920x1080 เราจะเห็นกันในรูปของ 720i 720p 1080i และ 1080p นั่นเอง ส่วน 750 (720) และ 1125 (1080) คำว่า 750 และ 1125 เป็นปัญหาทางเทคนิคในการจัดทำพวกระบบภาพจริงๆ จะที overscan หรือ ตัวสัญญาณที่สร้างเผื่อขอบบนขอบล่างเอาไว้ ก่อนที่จะตัด เพื่อแสดงให้เห็น 720 หรือ 1080 นั่นเอง แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นที่เข้าใจว่า 720 กับ 1080 เป็น standard ของขนาดภาพที่จะแสดงออกมา ส่วนคำว่า i กับ p ก็เป็นเหมือนเดิม interlace หรือ progressive อย่างที่อธิบายเอาไว้ก่อนหน้านี้ ในข้อมูลจาก wikipedia ก็จะแสดงให้เห็นถึงระบบ การส่งสัญญาณเรื่องเดียวกันนี้แหละครับ แต่ว่าอธิบายละเอียดกว่าถึง SECAM (ใช้แถวยุโรปตะวันออก พวกรัสเซียมั๊งครับ เท่าที่จำได้) แล้วก็บอกให้เห็นถึงว่า เมื่อเราสร้างภาพยนต์ ก็จะบันทึกด้วยฟิล์ม เพราะเมื่อเอามาฉายด้วยเครื่องฉาย ก็จะฉายได้ใหญ่มากตามที่ต้องการ ส่วนระบบฟิลม์ภาพยนต์นี้เป็นการเอาภาพ slide มาเปิดต่อเนื่อง 24 ภาพต่อวินาที (แน่นอนว่าไม่มีการยิงลำแสงอิเลคตรอน เพราะว่าคนละเทคโนโลยี เป็นการเอาภาพ slide มาวางหลังไฟ ก็เห็นเป็นรูปๆ เลย) ภาพ 24 ภาพต่อวินาทีนี้คือภาพที่เชื่อกันว่าตาของคนไม่สามารถแยกการกระพริบออก เลยเห็นเป็นภาพต่อเนื่อง ดังนั้น TV ที่รองรับ 24P คือ พยายามปรับสัญญาณภาพทุกอย่าง กลับมาแสดงเป็นภาพต่อเนื่องแค่ 24 ภาพต่อวินาทีเหมือนกับโรงภาพยนตร์ แน่นอนว่าที่ทำได้เพราะใช้เทคโนโลยีต่างจาก TV รุ่นเก่าที่มีการยิงลำแสงไปทีละจุด จนกว่าจะครบ 1 ภาพ เป็นเทคโนโลยี Plasma หรือ LCD ที่แสดงภาพแต่ละจุดได้อิสระแยกออกจากกันเลย
คราวนี้ที่เห็นว่า 29.97p หรือ 59.94i, 59.94p นี้คืออะไร คือว่าพอจะจัดการให้ภาพ 24p จากภาพยนตร์ มาเข้ากับระบบ pal หรือ ntsc นี้ มันก็ไม่ค่อยจะลงนัก (เลขมันหารไม่ลงตัว) ก็ต้องมีการสร้างภาพแฝง หรือ เพิ่มภาพ เข้าไปบ้าง เพื่อให้ลงตำแหน่งพอดี แต่บางทีก็ยังเลื่อนๆ กันอยู่นิดหน่อยเป็นทศนิยมให้เห็น สำหรับการเพิ่มภาพจาก 24p ในระบบ film ภาพยนต์เพื่อให้ลงไปสู่ pal หรือ ntsc ในระบบ TV นี้เอง เป็นเหตุที่ผู้เชี่ยวชาญสังเกตได้ว่า ภาพมันแปลกตาออกไปนิดหน่อย ไม่เหมือนต้นฉบับ รับไม่ได้ เลยพยายามผลักดัน 24p ออกมา
สำหรับรายละเอียดอื่นมากกว่านี้เดี๋ยวมีผู้เชียวชาญมาต่อให้ภายหลังมั๊งครับ