HTG2.club

ขอความรู้ครับ

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ DS

  • มุ่งมั่น ทำให้มัน.....มีทั้งแสงและเสียง
  • Super Star.
  • **
    • กระทู้: 2,599
    • เพศ:ชาย
ขอถามหน่อยครับ แล้ว Parallel Single Ended ทำงานยังไงครับ

ทำงานเหมือน Single Ended  ทุกประการครับ
แต่เพิ่มหลอดขยาย ขนานเข้าไปอีก เพื่อเพิ่มกำลังขับ
จะเพิ่มเป็น 2 หลอด 3 หลอด 4 หลอดก็ได้
แต่ที่เห็นส่วนมากจะขนานเพิ่มอีกแค่ 1 หลอด รวมเป็น 2 หลอดเท่านั้น


ออฟไลน์ Tarsana

  • *
    • กระทู้: 24
ขอถามหน่อยครับ แล้ว Parallel Single Ended ทำงานยังไงครับ


ออฟไลน์ Mustang

  • *
    • กระทู้: 24
ขอบคุณครับผม เป็นความรู้จริงๆ ครับ เพราะผมได้แต่ชอบฟังในเรื่องเทคนิคนั้นยากเกินยิ่ง


ออฟไลน์ ทัศน์

  • ****
    • กระทู้: 307
    • เพศ:ชาย
  • หลอดสวยมาก่อนเสียง อิอิ
CLASS "D"
ตัว "D"ไม่ได้ย่อมาจากคำว่า DIGITAL อินพุทถูกแปลงเป็นออดิโอ เวฟฟอร์ม ไบนารี 2 สเตท ความแตกต่างเป็นเรื่องสำคัญ เพราะ CLASS D ออกแบบให้ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพ แทนที่จะต้องเสียกำลังไปในทรานซิสเตอร์ เอาท์พุทก็จะถูกไม่เปิดตลอด ไม่มีโวลเทจเสีย ก็ปิดตลอด ส่งผลให้ประสิทธิภาพเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ดังนั้นอินพุทออดิโอถูกแปลงเป็น PWM (PULSE WIDULATED) ร่องสีเหลืองที่อยู่ขางใต้คือ เอาท์พุทของแอมพ์ ร่องสีฟ้าคือ เวฟฟอร์ม PWM เวฟฟอร์มสีฟ้าจะถูกป้อนให้กับฟิลเตอร์เอาท์พุท ซึ่งให้ผลเป็นเวฟฟอร์มเอาท์พุทสีเหลือง สังเกตว่า เอาท์พุทจะดูเหมือนอะไรบางอย่างที่เสียไปสัญญาณที่เสีย และเสียงสวิทชิงทั้งหมดไม่สามารถเอาออกไปได้ และจะเห็นผลได้ที่นี่ เพราะขั้นตอนการแปลงสัญญาณอินพุทไปเป็น pwn และแปลงกลับไปเป็นแอนาลอก ทำให้เกิดการเสียของสัญญาณไป ฟีดแบคทั่วไปก็เหมือนกับที่ใช้ในการออกแบบแอมพ์ CLASS "AB" เพื่อลดการเสียของสัญญาณ มอสเฟทเป็นทางเลือกเดียวสำหรับการออกแบบ CLASS "D" ซึ่งการออกแบบส่วนใหญ่จะมีประโยชน์แต่กับเพียงเบสส์แอมพ์ เมื่อมันไม่สามารถสวิทช์ได้เร็วเพียงพอ กับการผลิตความถี่สูงอีกครั้ง การออกแบบ CLASS "D" ฟลูล์เรนจ์คุณภาพสูงยังคงหาได้ ในเครื่องเสียงระดับมืออาชีพ แต่มันจะซับซ้อนกับเอาท์พุทมัลทิเฟล
CLASS "T"
CLASS T (TRIPATH) เหมือนกับ CLASS D แต่ไม่ใช้ฟีดแบค แอนาลอก เหมือนกับ CLASS D ฟีดแบคจะเป็นสัญญาณดิจิทอล และเกิดกับส่วนบนของฟิลเตอร์เอาท์พุท เพื่อหลีกเลี่ยงการยกเฟสของฟิลเตอร์นี้เพราะการเสียของสัญญาณในแอมพ์ CLASS D และ CLASS T เกิดขึ้นจากไทมิงทำงานผิดจังหวะ แอมพ์ CLASS T จะป้อนข้อมูลในเรื่องจังหวะกลับไป ส่วนการเสียของสัญญาณ ยังเกิดจากที่เเอมพ์ใช้ตัวประมวลผลสัญญาณดิจิทอล เพื่อแปลงอินพุท แอนาลอกไปเป็นสัญญาณ PWM และประมวลผลข้อมูลก่อนจะส่งกลับ
การประมวลผล จะดูที่ข้อมูลฟีดแบค และทำการปรับแต่งจังหวะ เพราะลูพฟีดแบคไม่ได้รวมฟิลเตอร์เอาท์พุทเอาไว้ด้วย ในแอมพ์ CLASS T มั่นคงมาก และสามารถทำงานได้เต็มช่องสัญญาณเสียง ซึ่งผู้ฟังส่วนใหญ่ไม่สามารถได้ยินความแตกต่างระหว่าง CLASS T และ CLASS AB ที่ออกแบบดีๆได้
การออกแบบทั้ง CLASS Dและ CLASS T ต่างก็มีปัญหากันคนละอย่าง มันเกินกำลังมาก ที่รอบต่ำเพราะเวฟฟอร์มความถี่สูงๆ จะเกิดขึ้นตลอดเวลาแม้ในช่วงที่ไม่มีสัญญาณเสียงแอมพ์ก็ยีงมีความร้อนตกค้างหลงเหลืออยู่แอมพ์บางรุ่นจะมีการตัดการทำงานของเครื่องเมื่อหยุดพักใช้งาน และจะกลับมาทำงานใหม่ เมื่อใช้งานโดยอัตโนมัติ  เคดิส คุณ yut no.2291



ชอก.32   ชกน.46   สจพ./วทอ. ECT 09
ข้อมูล ส่วนตัวครับ http://www.htg2.net/index.php?topic=30465.0


ออฟไลน์ yoss

  • Super Star.
  • **
    • กระทู้: 2,170
ตอบเท่าที่รู้นะครับ :)

1. Push Pull : เป็นแอมป์ที่ใช้อุปกรณ์สองชุด(Transister/หลอด)ในการขยายสัญญาณโดยแยกกันทำงานซีกบวกและลบ

2. Single End : เป็นแอมป์ที่ใช้อุปกรณ์ชุดเดียว(Transister/หลอด)ในการขยายสัญญาณโดยทำงานทั้งสัญญาณซีกซีกบวกและลบ

3. Solid State : เป็นแอมป์ที่สร้างจากอุปกรณ์สารกึ่งตัวนำ (Transister/Fet/IC/IGBTฯลฯ)

4. Transistor : เป็นแอมป์ที่สร้างจาก Transister ซึ่งเป็นอุปกรณ์สารกึ่งตัวนำ ถือว่าเป็นแอมป์แบบ Solid State ชนิดหนึ่ง

5. Digital (class T) : ไม่รู้รายละเอียดหลักการทำงานลึกๆเหมือนกันครับ รอท่านอื่นมาตอบดีกว่า


ออฟไลน์ Mustang

  • *
    • กระทู้: 24
ขอความรู้หน่อยครับ ท่านสมาชิกขอคำอธิบายต่อไปนี้หน่อยนะครับ
1. Push Pull
2. Single End
3. Solid State
4. Transistor
5. Digital (class T)
(ทั้งหมดเป็น AMP. นะครับ)
ขอบคุณครับ