HTG2.club

ถ้าผมลดไฟเลี้ยง+ ลดค่า impedance ของ OPT+ ลด R คาโถด หลอดจะยัง classA ไหมครับ

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ MuhMuh

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,038
    • เพศ:ชาย
  • รถแก่ๆ แอมป์เก่าๆ เราDIYสบายใจ
ง่า..... :black_eye
ขอบคุณทุกท่านสำหรับความรู้และ link ต่อไปอีกนะครับ  O0
แต่ตอนนี้ผมต้องอาศัยเบียร์เป็นตัวช่วยหน่อยแล้วครับ  d_d
ข้อมูลตัวตนครับ http://www.htg2.net/index.php?topic=38750.0



ออฟไลน์ พี่ดุ้น

  • เบื่อ
  • ผู้สนับสนุน web
  • *
    • กระทู้: 436
    • เพศ:ชาย
ขอบคุณ คุณ Mr.Tube ที่มาช่วยถกกันเรื่องนี้

อย่างที่บอกครับ มาตรฐานในโลกนี้ที่ผมเห็น การกำหนด class ของวงจรขยาย เวลาคุยกันอธิบายกันตำราทุกเล่ม เห็นอธิบายการเรียก class ของวงจรขยายที่มุมการนำกระแสของ transistor ทั้งนั้น ในกรณีเริ่มเมื่อมีสัญญาณ input เข้ามา สัญญาณจะเข้ามากเข้าน้อยไม่เกี่ยว จะเป็น + เป็น - หรือ + อย่างเดียว ลบอย่างเดียว (เทียบกับ ground) ก็ช่าง ผมอยากให้ไปดู I-V curve ของอุปกรณให้ดี
ในบางกรณีมองแค่ transistor 1 ตัว แบบ npn ให้เป็นตัวขยายสัญญาณ (เอาแบบไม่ต่อ load ยังไม่คำนึงถึงเรื่อง load นั่นคือเสมือน load เป็นอากาศ) ถ้าคุณ bias เป็น class A แต่ไม่ได้อยู่ที่จุด optimum ถ้าอัดสัญญาณ input เข้าถึงระดับนึง สมมุติว่า bias กระแสมากเกิน สัญญาณมันก็จะโดนขลิบซีกบน ถ้า bias กระแสน้อยเกิน ก็จะขลิบซีกล่าง ถ้าอยู่ตรงจุดพอดี ขลิบพร้อมกันครับ

มองดูภาพง่ายๆคือ จุดที่ bias ให้ transistor ทำงาน คือ แรงดัน DC เมื่อมี input ที่เป็น DC ที่มีการเปลี่ยนแปลงตามเวลาเข้ามา แรงดัน DC ที่ output ก็แกว่งตาม แรงดัน input DC ที่มีการเปลี่ยนแปลงตามเวลา (การเปลี่ยนแปลงรับดับ DC ไปมา ก็คือ AC) และ ขนาด DC ที่ output ที่ได้ก็ขึ้นกับอัตราขยายซึ่งงสัมพันธ์กัยความชัน ของ I-V ของตัวอุปกรณ์ transistor เองด้วย เช่น ชันเยอะ gain เยอะ ชันน้อย gain น้อย และหาก  slope ไม่เป็นเส้นตรง สัญญาณออกมาก็เบี้ยวเกิด distortion ค่าอุกรณ์แฝงข้างในมีค่าสูง slew rate ก็ต่ำ ใช้งานความถี่สูงมากๆไม่ได้ คราวนี้จะเลือก transistor มาใช้เป็น o/p stage ของ amp ใน class A ถ้าถามผมผมจะเลือกหา ตัวที่ให้ dynamic range สูงๆ และ I-V เป็นเชิงเส้น ค่าอุปรณ์แฝงในตัวไม่ต้องต่ำเว่อ oscilate เอาง่ายๆ ถ้าเป็น class AB ก็ลำบากหน่อยตรงช่วงรอยต่อ

ผมว่าถ้าคุยกันเรื่องนี้ ไม่ควรจะเอาตัวเลขไดไดมาคุยกัน จะงงซะเปล่าๆ แค่ concept ก็พอ กลัวเด็กจะจำไปผิดๆ เหมือน diode หรือ transister ที่ขา Vbe แรงดันตกคร่อม ต้องประมาณ 0.6 volt ทำให้เป็น 1V ก็ได้นี่ครับ ถ้ามันไม่ใหม้ซะก่อน
อย่าไปมองที่ volt ต้องเท่าไหร่ เพราะว่า อุปกรณ์แต่ละตัว มันไม่เหมือนกัน

อีกอย่าง ผมไม่ได้สนใจเลยว่ามันจะ on จะ off อยากให้มองไปที่ I/V curve และจุด bias ที่เรากำหนดด้วย ตามที่ผมได้กล่าวไปข้างต้น อยากให้มองเริ่มจาก DC นิ่งๆไม่มีการแกว่ง เสร็จแล้ว มี DC ที่เกว่งเข้ามาทาง input (ก็คือ i/p AC) มาทำให้ DC ที่ output แกว่ง (ก็คือ o/p AC)
คราวนี้ ถ้าไป bias เป็น class A มันก็จะเรียกว่า on ตลอดก็ได้ แต่ถ้าเป็น class AB หรือ B ให้ดูว่าจุด bias อยู่ตรงไหนของ IV curve หากำหนดสมมุติให้ transistor ตัวนึง vbe ช่วง -10 ถึง 0.6 กระแสที่ได้ 0A เปะๆ แล้วจาก vbe 0.6 ขึ้นไป ความสัมพันธ์ระหว่าง Vbe กับ IC เป็นเส้นตรงเด่ๆ มี slope เท่ ค่าๆนึง) ถ้าแรงดัน DC เข้ามายังไม่ถึงระดับ 0.6 ก็ได้ 0A แต่พอ Vbe เกิน 0.6 ก็เริ่มมี Ic ไหล ค่าที่ได้ตาม slope ของ IV นะครับ มองแบบนี้น่าจะช่วยให้เข้าใจมากกว่า ไม่อยากให้มองว่ามัน on หรือ off เพราะจริงๆ ถ้าเป็น class AB หรือ B มันก็ on อยู่ของมันดีดี แหละครับ

"ก็เรียกว่า Class AB ครับ หมายความว่าถ้าระดับสัญญาณต่ำๆ มันจะเป็น Class A และเมื่อสัญญาณแรงขึ้นมันจะเป็น Class AB" <--- มองอย่างนี้ก็ได้นะครับ แต่ก็เคยเห็นมีใครเขามองกัน และในความรู้สึกผมมันก็ไช่นะครับเพราะจุดที่ bias มันอยู่จุดที่เราไม่ได้อยากให้มันเป็น class A แต่ถ้าคิดเป็นแบบภาษาตามกฎหมายแล้วไม่ผิดครับ ถูกครับ มันก็เป็น class A นะครับ เห็นมั๊ยครับกฎหมายก็มีช่องโหว่ 555555555555555555555555555
เบื่อ


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,849
ผมคิดว่าเราเข้าใจตรงกันนะครับ เพียงแต่มองเห็นภาพที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง คุณ RFlover มองในมุมของการนำกระแส ส่วนผมมองในมุมของรูปคลื่นสัญญาณ ขออธิบายเพิ่มเติมในมุมมองรูปคลื่นสัญญาณที่ผมมองเห็นนะครับ ค่าที่ผมยกมาเป็นค่าสมมุตินะครับ จุดประสงค์เพื่ออธิบายเรื่องรูปคลื่นเป็นหลักครับ

สมมุติวงจร Ideal PP ขึ้นมาวงจรหนึ่ง มีอัตราขยายแรงดัน 10 เท่า และจะไม่มีอุปกรณ์ตัวไหน Off เลยถ้าสัญญาณ Input ไม่เกิน 1V (เปรียบได้กับการ Bias อุปกรณ์นะครับ) เมื่อเอาสัญญาณ Input 0-1V [หรือ (-0.5) ถึง (+0.5) ถ้าจะมองเป็นรูปคลื่นบวก-ลบ] ป้อนเข้าไป ก็จะได้ Output ตกคร่อม Load 0-10V [(-5) ถึง (+5)] ใน Class A มุมการนำกระแสของอุปกรณ์เป็น 360 องศา ตามที่คุณ RFlover กล่าวไว้

ถ้าผมเพิ่มแรงดันจ่ายไฟของวงจรนี้ขึ้นไปอีกเท่าตัว และภาคจ่ายไฟผมจ่ายกระแสได้ไม่จำกัด ในขณะที่ผมปรับจุดทำงานไว้ให้เหมือนเดิมทุกประการ เมื่อมี Input เข้ามา 0-1V วงจรผมก็ยังคงทำงานแบบ Class A อยู่ ถูกหรือไม่ครับ เพราะในขณะนั้นมุมการนำกระแสของอุปกรณ์เป็น 360 องศา สอดคล้องกับที่คุณ RFlover อธิบายไว้ และเมื่อใดก็ตามที่ Input แรงกว่า 1V ขึ้นไป ก็จะมีอุปกรณ์บางตัว Off ไป มุมการนำกระแสเหลือแค่ 180 องศา ก็จะสอดคล้องกับ Class B ครับ

อย่างไรก็ตาม มีส่วนที่ผมกล่าวผิดเช่นกันที่ว่าเป็น Class B อันที่จริงแล้วตามนิยามของคุณ RFlover ผมเห็นด้วยว่าควรจะบอกว่าเป็น Class AB ที่ระดับสัญญาณ Input สูงเกินระดับของ Class A ครับ เพราะช่วงที่รูปคลื่นสัญญาณค่อยๆ ไต่ระดับจาก 0-1V อุปกรณ์ขยายยังไม่ได้ Off จนกว่าจะเกิน 1V จึงจะ Off ก็ถือว่ามุมการนำกระแสมากกว่า 180 แต่น้อยกว่า 360 ควรจะเป็น Class AB ตามนิยามครับ ข้อนี้ผมอธิบายผิดไป ขออภัยด้วยครับ อย่างไรก็ตามผมก็ได้แสดงให้เห็นว่าใน Class AB เอง มี่ช่วงการทำงานที่เป็น Class A แฝงอยู่เช่นกัน

ขอแก้ไขประโยคที่คุณ RFlover Quote มานะครับ
"ก็เรียกว่า Class AB ครับ หมายความว่าถ้าระดับสัญญาณต่ำๆ มันจะเป็น Class A และเมื่อสัญญาณแรงขึ้นมันจะเป็น Class AB"

ขอบคุณที่เข้ามาทักท้วงนะครับ ทำให้ผมเข้าใจมากขึ้นเช่นกันครับ  :)


ออฟไลน์ พี่ดุ้น

  • เบื่อ
  • ผู้สนับสนุน web
  • *
    • กระทู้: 436
    • เพศ:ชาย
อ้อพูดผิดครับ ระดับแรงดัน swing p to p มันไม่มหึมาหรอกครับผมว่า แค่คิดว่าระดับแรงดันไฟ DC offset มันสูง แต่ Vp-p ที่ได้ทาง o/p มันก็คงเป็นปกติตามอัตราขยายคูณกับระดับสํญญาณ i/p ที่เข้ามา เพราะว่าหลอดใช้แรงดันไฟสูงในการยิง electron จากขั้วนึงไปอีกขั้ว ถ้ามีหลอดใช้แรงดันไฟต่ำกระแสเยอะๆได้คงดีน่าลองใช้
เบื่อ


ออฟไลน์ พี่ดุ้น

  • เบื่อ
  • ผู้สนับสนุน web
  • *
    • กระทู้: 436
    • เพศ:ชาย
ผมก็ไม่รู้เรื่องหลอดอะครับ เลยไม่รู้ว่ามันมี class ด้วยรึเปล่า

แต่ถ้าพูดถึง transistor พวก FET หรือ BJT ละก็น่าจะคล้ายๆหลอดนะครับ การแบ่ง class ของ transister เท่าที่ผมรู้ไม่ได้แบ่งที่การกินกระแส ความเป็นจริงจะแบ่งกันที่ มุมการนำกระแส

Class A คือ การ Bias ให้ transistor มีมุมการนำกระแสแบบเต็มๆลูกคลื่น เต็มๆ 360 องศา แบบนี้ก็จะได้ความเป็นเชิงเส้นมากที่สุด แต่ประสิทธิภาพต่ำสุดเพราะว่าถึงมีมีสัญญาณอะไรเข้ามาให้ขยาย ตัว transistor เองก็กินกระแสอยู่ตลอดเวลา (dairkไฟ)
Class B คือ การ Bias ให้ transistor มีมุมการนำกระแส ประมาณ 180 องศา
Class AB คือ การ Bias ให้ transistor มีมุมการนำกระแส ประมาณมากกว่า 180 องศา ก็คงเรียกได้ว่าอยู่ในช่วงระหว่าง class A กับ B แต่ว่าไกล้ class B มากกว่า แล้วแต่นะครับยังไงก็อยู่ในช่วงนี้
Class C คือ การ Bias ให้ transistor ถ้าจำไม่ผิดมีมุมการนำกระแส ต่ำกว่า 180 องศา ทั่วไปก็ประมาณ 90 มั้งครับหรือน้อยว่า ประสิทธิภาพสูงกินไฟต่ำ ความเป็นเชิงเส้นห่วยมาก ฮาโมนิคเพียบ เหมาะสำหรับใช้เครื่องส่งแบบพกพาแบบระบบFMอย่างเดียว(ประหยัดไฟ) ไม่สนใจเรื่องความเป็นเชิงเส้น เนื่องจาก demod ข้อมูลจากการเปลี่ยนแปลงความถี่ของคลื่นพาอย่างเดียว แต่ก็มีคนหลายคนดั้นเอาไปทำเครื่องส่ง FM วิทยุชุมชนขายกัน

ส่วนคำจำกัดความของ Pushpull ถ้าจำไม่ผิดก็ตามชื่อเลยนะครับ เอากรณีง่ายๆ 2 กรณีนะครับ
-กรณีแบบ ต่อแบบ complementary pair พอสัญญาณเข้ามาถ้าเป็นบวก NPN ตัวบนจะดัน push หรือ (source)  กระแสไปให้โหลด (ทิศกระแสไหลจาก node Vo ไป เข้าโหลด) พอสัญญาณเข้ามาทางซีกลบ PNP ตัวล่าง จะดึง pull (หรือ sink) กระแสจากโหลดมา (ทิศกระแสไหลจากโหลดไป node Vo ไป)
-กรณีต่อแบบ ใช้ NPN อย่างเดียว 2 ตัว แต่ต้องมีหม้อแปลงบาลันทางอินพุทและเอาต์พุท ทีเด็ดของแบบที่สองคือ ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามอุมคติเปะสามารถหักล้างฮาโมนิคเลคคู่ได้ โลกของความเป็นจริงได้แค่ลด

เน้นนะครับ class ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกินกระแส (ยกเว้นพวก class อื่นๆพวก D T H Z X Y ... อะไรนี่ไม่รวมนะครับที่ผมเข้าใจคนละ topology กัน) class คำจำกัดความขึ้นอยู่กับการมุมการนำกระแส

ไอ้สองตัวข้างบน จะไบอัสทรานซิสเตอร์ให้ทำงาน class A AB B C อะไรก็ได้ตามสบายแล้วแต่ชอบ แต่ก็เห็นมีคนพยายามไปขมขืน opamp ทางด้าน output ที่ต่อแบบ complementary จาก AB หรือ class B ให้เป็น class A ไม่รู้จะทำไปทำไม ถ้าอยากใช้ class A ก็ต่อแบบ single end ไปเลย มันเปล่าประโยชน์ กินไฟเพิ่ม noise ในวงจรขึ้นเปล่าๆ ถ้าจะทำ class B ให้เป็น AB ก็ว่าไปอย่าง ดันเอา opamp มาต่อกับ regular เข้า o/p ของ opamp แล้วเพื่อทำเป็น class A ผมเดาว่าน่าจะเสมือนการเอา current source ไปต่อเพื่อดึงกระแสเพิ่ม ดังนั้นถ้าเป็นจริงอย่างที่ว่าแรงดันตรงขา base ของ transistor ทั้ง npn และ pnp ภายใน opamp ต้องเปลี่ยน แต่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าตัว npn กับ pnp ทั้งคู่ turn on ตลอดเวลาจะเกิดอะไรขึ้น อิอิ
สมมุติว่าแนวทางข้างบนสามารถไปข่มขืน opamp ให้ complementary pair กินกระแสมากขึ้นได้จริง (ยังไม่เคยวิเคราะห์วงจรแบบละเอียด) ผมก็สงสัยอย่างนึงว่ารู้ได้ไงว่าจุดไบแอสมันเลื่อนไปอยู่ที่ตรงไหน ไบอัสมากไปรึเปล่ามีโอกาศจะโดนถูกขลิบมั๊ย

น่าสนใจนะครับ ผู้ผลิต opamp ไม่เคยเห็นมีใครทำ class A ออกมาขายเลย เห็นทำแต่ AB จริงๆอาจจะมีแต่ถ้ามี ก็น่าแปลกเรามีวงจร complementary ไว้เพื่ออะไรกัน วงจรขยาย push pull แบบใช้หม้อแปลงก็เหมือนกัน

สรุปคือ คำจำกัดความของ class คือ ขึ้นอยู่กับมุมการนำกระแสครับ จะไบแอสให้ได้กระแสเท่าไหร่ไม่สน ไม่มีค่ากระแสที่ตายตัว ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของตัวอุปกรณ์แต่ละตัว สุมมุติมั่วๆ transistor บางตัว bias 1A ไม่เป็น class A ก็ยังได้ครับ

15-20 ปีแล้วมั้งครับ เราได้ class ประหลาดๆใหม่มา แต่โดยรวมแล้ววงจรหลักการเดิมๆ

สำหรับหลอดผมไม่แน่ใจนะครับไม่เคยเล่น  ไม่รู้เหมือนกันว่าหลอดมีคำจำกัดความของ class ยังไง?
ถึงผมจะไม่รู้เรื่องหลอด มันก็ขัดๆนะครับคุณ Mr.Tube ที่บอกว่า "ก็เรียกว่า Class AB ครับ หมายความว่าถ้าระดับสัญญาณต่ำๆ มันจะเป็น Class A และเมื่อสัญญาณแรงขึ้นมันจะเป็น Class B" ผมว่าสัญญาณแรงหรือค่อยขึ้นมันก็ยัง class AB อยู่วันยังค่ำแหละครับ ซีกล่างไม่ได้ขยายหรอกครับ
ดูดีๆนะครับ ผมไม่อยากให้จำกันไปผิดๆ กับไอ้เรื่อง class เนี่ย หลอดผมก็ไม่รู้หลักการมันเป็นไงแต่ดูมั่วๆผ่านๆแล้วเขาก็ดู Ip-Vg curve ก็ไม่น่าจะต่างกับ transistor เท่าไหร่ เห็นต่างแค่ กระแส Ip น้อยแต่ ได้ voltage ที่ o/p swing แบบมหึมา ก็เลยต้องใช้หม้อแปลงแปลง volt ลงแล้วก็แปลง impedance ไปในตัวด้วย ผมอาจจะเข้าใจผิดก็ได้นะครับแค่เดา

ก็เห็นพูดกันมานานแล้ววันนี้พอพักจากการออกแบบ DAC เลย ขอแจมด้วยซักที
เบื่อ


ออฟไลน์ Eak-tubeamp

  • วันนี้ไม่เริ่ม ก็ไม่มีวันสำเร็จ
  • Superstar...
  • ****
    • กระทู้: 4,849
    • เพศ:ชาย
  • ....ด้วยใจรัก....
มีระดับอาจารย์ทั้งสองท่านเข้ามาตอบ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งครับ คงต้องจดบันทึกเอาไว้ เพราะยังไม่เข้าใจการทำงานของมันเลย O0
tel 083-3887864


ข้อมูลส่วนตัว  http://www.htg2.net/index.php?topic=44962.0


ออฟไลน์ Karin Preeda

  • Superstar..
  • ***
    • กระทู้: 3,060
เข้าใจถูกต้องแล้วครับ

บางครั้งการลด  load impedance ลงก็ทำให้ linearity ของหลอดลดลงด้วย

หลอดบางหลอดอาจต้องการ bias สูงๆหน่อย ถึงจะทำงานได้ดีครับ

แต่ถ้าพูดถึงการฟังอย่างเดียว ก็สามารถปรับได้ตามใจชอบครับ


ออฟไลน์ MuhMuh

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,038
    • เพศ:ชาย
  • รถแก่ๆ แอมป์เก่าๆ เราDIYสบายใจ
ขอบคุณมากครับ  c)
งั้นก็แสดงว่าถ้าผมทำหลอด SE ซักตัว
แต่ใช้ไฟต่ำลง และแก้ไขค่าความต้านทานต่างๆ ให้วงจรทำงาน
มันก็ยังจะทำงานเป็น classA ได้จนกว่าจะ clip (ที่วัตต์ต่ำกว่าไฟสูงเดิม)  :victory
นอกจากวัตต์ต่ำลง จะมีข้อเสียอื่นไหมครับ   :secret :-\
ข้อมูลตัวตนครับ http://www.htg2.net/index.php?topic=38750.0


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,849
กลับมาดูอีกที คุณ nopphong กล่าวไว้ถูกต้องทั้งหมดแล้วนี่ครับ ขออภัยที่ทำให้สับสนครับ ผมคงอ่านแล้วเข้าใจผิดไปเองครับ  :bowdown  O0


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,849
ผมก็ งง งง กับ class A เหมือนกัน ในความคิดผม class A คือ แอมป์ที่ตัวขยายสัญญาณทาง output ไม่มีช่วงเวลาที่ off เลย คือ on ตลอด จะ on มาก on น้อยก็แล้วแต่ระดับสัญญาณ นัยว่าตัดความเพี้ยนในช่วงที่มีการตัดต่อสัญญาณเพื่อให้อุปกรณ์อีกตัวทำงาน และลดความเพี้ยนจากการที่อุปกรณ์สองตัวจะทำงานไม่เท่ากัน

เคยเห็นมีบางคนทำ pushpull class A บนแอมป์โซลิต คือปรับกระแส idle ให้มันสูงๆ ทำให้ที่ระดับสัญญาณต่ำๆไม่มีอุปกรณ์ตัวไหน off เลย on ทั้งคู่อยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าสัญญาณสวิงเกินกระแส idle มันถึงจะมีการ on แค่ซีกเดียว

ผมคิดว่ากระแสที่ไหล(ผ่านหลอด)ในช่วง idle น่าจะเป็นครึ่งนึงของกระแส PEAK ที่ไหลผ่านหลอดนะครับ คือช่วงที่สัญญาณสวิงมาเป็นลบ หลอด on น้อยลงระแสไหลผ่าน opt ก็จะน้อยลง พอสัญญาณสวิงบวกมากขึ้น กระแสมากขึ้น กระแสไหลผ่าน opt ก็จะมากขึ้นด้วย  ไม่รู้คิดแบบนี้ถูกหรือเปล่านะครับ

นอกจากประโยคที่ 2 นอกนั้นถูกทั้งหมดครับ

จริงๆ แล้วการปรับ Idle Current เป็นการทำให้วงจร PP ทำงานเข้าไปใน Class A มากขึ้นครับ ยิ่ง Idle Current สูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีช่วงการทำงานที่เป็น Class A มากเท่านั้นครับ Idle Current = 0 ก็คือ Class B ครับ พอเริ่มมี Idle Current ก็เรียกว่า Class AB ครับ หมายความว่าถ้าระดับสัญญาณต่ำๆ มันจะเป็น Class A และเมื่อสัญญาณแรงขึ้นมันจะเป็น Class B ครับ ยิ่งเพิ่ม Idle Current มากขึ้น ความเป็น Class A ก็ยิ่งครอบคลุมกำลังขับที่สูงขึ้นครับ พอ Idle Current = 1/2 Peak ก็เป็น Class A ทุกระดับสัญญาณครับ 

กรณีวงจร PP หลอดก็อยู่บนหลักการเดียวกันครับ :)


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,849
หวัดดีครับ
เด็ก solid เก่าอย่างผม  ;) สงสัยว่า
1) พวกวงจร SE เนี่ยมันเป็น classA ใช่ไหมครับ
2) ถ้าใช่ ความเป็น classA คือ idle current เท่าหรือเกือบเท่ากระแสขณะที่สัญญาณ peak ใช่ไหมครับ
3) ถ้างั้น ถ้าผมลดไฟเลี้ยง ลดค่า R คาโถด ลดค่า primary OPT ลงหน่อย ให้กระแสไหลเต็มที่เท่าที่ไฟเลี้ยงนั้นๆ จะแรงพอ SE นี้ยังเป็น classA อยู่ไหมครับ(แน่นอนว่า watt ต้องต่ำลงกว่าตอนใช้ไฟเลี้ยงสูงๆ)
ขอถามสามข้อก่อนครับ
แบบว่าผมอยากทำแอมป์ไฟไม่สูงมากอีกสักตัว(บ้านนอกหาหม้อแปลงยากครับ) ไฟเลี้ยงสัก 80-90 volts แต่จ่ายกระแสมากหน่อย(เล็งๆ หลอด PL500 อยู่ครับ)
ตามทฤษฎี จะให้เสียงที่ดีได้ไหมครับ

1. ใช่ครับ Class A ได้เท่านั้นครับ
2. ความเป็น Class A ดูที่อุปกรณ์ขยายสัญญาณทำงานตลอดรอบของสัญญาณครับ คุณ nopphong อธิบายไว้ถูกแล้วครับ ในแง่ของวงจร Tr จุดทำงานสงบ (Idle) จะอยู่ที่ประมาณ 1/2 ของ Peak Current ครับ กรณีหลอดอาจจะแกว่งจาก 1/2 ไปบ้างครับ
3. SE เป็น Class A แน่นอนครับ ประเด็นเรื่องปรับค่าไฟเลี้ยงหรือ Load ไม่ได้ทำให้ความเป็น Class A เปลี่ยนไปครับ แต่ทำให้คุณได้กำลังขับและความเพี้ยนแตกต่างกันไปครับ


ออฟไลน์ nopphong

  • *****
    • กระทู้: 915
ผมก็ งง งง กับ class A เหมือนกัน ในความคิดผม class A คือ แอมป์ที่ตัวขยายสัญญาณทาง output ไม่มีช่วงเวลาที่ off เลย คือ on ตลอด จะ on มาก on น้อยก็แล้วแต่ระดับสัญญาณ นัยว่าตัดความเพี้ยนในช่วงที่มีการตัดต่อสัญญาณเพื่อให้อุปกรณ์อีกตัวทำงาน และลดความเพี้ยนจากการที่อุปกรณ์สองตัวจะทำงานไม่เท่ากัน

เคยเห็นมีบางคนทำ pushpull class A บนแอมป์โซลิต คือปรับกระแส idle ให้มันสูงๆ ทำให้ที่ระดับสัญญาณต่ำๆไม่มีอุปกรณ์ตัวไหน off เลย on ทั้งคู่อยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าสัญญาณสวิงเกินกระแส idle มันถึงจะมีการ on แค่ซีกเดียว

ผมคิดว่ากระแสที่ไหล(ผ่านหลอด)ในช่วง idle น่าจะเป็นครึ่งนึงของกระแส PEAK ที่ไหลผ่านหลอดนะครับ คือช่วงที่สัญญาณสวิงมาเป็นลบ หลอด on น้อยลงระแสไหลผ่าน opt ก็จะน้อยลง พอสัญญาณสวิงบวกมากขึ้น กระแสมากขึ้น กระแสไหลผ่าน opt ก็จะมากขึ้นด้วย  ไม่รู้คิดแบบนี้ถูกหรือเปล่านะครับ


ออฟไลน์ MuhMuh

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,038
    • เพศ:ชาย
  • รถแก่ๆ แอมป์เก่าๆ เราDIYสบายใจ
หวัดดีครับ
เด็ก solid เก่าอย่างผม  ;) สงสัยว่า
1) พวกวงจร SE เนี่ยมันเป็น classA ใช่ไหมครับ
2) ถ้าใช่ ความเป็น classA คือ idle current เท่าหรือเกือบเท่ากระแสขณะที่สัญญาณ peak ใช่ไหมครับ
3) ถ้างั้น ถ้าผมลดไฟเลี้ยง ลดค่า R คาโถด ลดค่า primary OPT ลงหน่อย ให้กระแสไหลเต็มที่เท่าที่ไฟเลี้ยงนั้นๆ จะแรงพอ SE นี้ยังเป็น classA อยู่ไหมครับ(แน่นอนว่า watt ต้องต่ำลงกว่าตอนใช้ไฟเลี้ยงสูงๆ)
ขอถามสามข้อก่อนครับ
แบบว่าผมอยากทำแอมป์ไฟไม่สูงมากอีกสักตัว(บ้านนอกหาหม้อแปลงยากครับ) ไฟเลี้ยงสัก 80-90 volts แต่จ่ายกระแสมากหน่อย(เล็งๆ หลอด PL500 อยู่ครับ)
ตามทฤษฎี จะให้เสียงที่ดีได้ไหมครับ
ข้อมูลตัวตนครับ http://www.htg2.net/index.php?topic=38750.0