HTG2.club

ขอถามเรื่องการคำนวน C coupling

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Shevy

  • ***
    • กระทู้: 211
    • เพศ:ชาย
เนื้อหามันน่าสนใจดีครับ ขอขุดขึ้นมาให้ท่านอื่นได้อ่านครับ


ออฟไลน์ พี่ดุ้น

  • เบื่อ
  • ผู้สนับสนุน web
  • *
    • กระทู้: 436
    • เพศ:ชาย
เรื่อง cryogenic น่าสนใจดีครับ เห็นพูดถึงเรื่องนี้ผมก็เดาว่าเราน่าจะรู้จักกัน

ผมเพิ่งเปิด web หาข้อมอูลอ่านลวก เห็นเขาว่า... ขี้เกียจแปล copyมาเลยแล้วกัน

Problem:
It is well known that disparate materials used in connectors, solder joints, pc board circuitry as well as residual stresses and gaps within the lattice structure of materials all serve to degrade and/or hamper sound reproduction. These imperfections are caused by the un-even cooling and shrinkage of the liquid or molten material into a solid. All these imperfections cause noise. Electronic noise often contributes to a lack of focus, detail and resolution in audio and lack of sharpness and color definition in video.

ที่เหลือก็ลองดูในเวปนี้ http://www.cryogenicsinternational.com/audio.htm น่าเชื่อถือแค่ไหนผมไม่รู้อีกเรื่อง

อีกเวปนึงครับของ cardas
http://www.cardas.com/content.php?area=faqs&content_id=5&pagestring=Cable+Construction
 
เวปแรกก็น่าจะสัมพันกับสิ่งที่ผมรู้มาบ้างเล็กๆน้อยๆ  ซึ่งน่าจะสัมพันกับการเกิด noise ในอุปกรณ์ electronic เนื่องมาจาก galvanic action ระหว่าง materail ทั้งสองชนิด ซึ่งความชื้น ไอน้ำระหว่าง โลหะสองชนิดมันทำให้วัสดุทั้งสองที่มาประกบกันกลายเป็น cell เปียกทางเคมี เหมือนพวก battery ยังไงละครับ ซึ่งศักดาที่เกิดขึ้นระหว่างโลหะสองชนิดที่ต่างกันจะขึ้นอยู่กับค่า gavanic series ก็ต้องไปเปิดตารางดูกันเอาเอง
จะอธิบายให้เห็นภาพก็ใช้วิทยาศาสตร์พื้นฐานที่เกี่ยวกับการเกิดปฏิกริยาไฟฟ้าใน cell battery ก็น่าจะพอทำให้มองได้เห็นภาพบ้าง
ซึ่งผลจากการที่ผมอ่านคำอธิบายในเวปอย่างลวกๆ ก็ดูเหมือนว่าจะสัมพันธ์กับเรื่องนี้อยู่ ซึ่งผมก็แค่เดาของที่มาที่ว่า ต้องใช้ตะกั่วแบบโน้น contact แบบนี้ ซึ่งปัญหาของ noise ก็น่าจะมาจากผลเรื่อง galvanic คราวนี้ highlight ของผมคือ ถ้า volt ที่เกิดขึ้นระหว่างสองวัสดุมันคงที่ก็ดีซิครับแต่ในความเป็นจริงมันไม่ไช่ เวลาอุณหภูมิเปลี่ยนไปนิดๆหน่อย วัสดุสองตัวมันขยายตัวหดตัวไม่เท่ากัน มันก็คือเกิดการสั่น ไอ้สั่นนี่แหละครับทำให้ voltage จากที่อยู่นิ่งเป็น DC กลายเป็น AC นั่นก็คือ noise ซึ่งตรงนี้ผมไม่ได้เดา เจอมาแล้วแบบเต็มกับตัว กับ chip VCO โดยเฉพาะที่ขาที่จ่าย V เพื่อควบคุมความถี่ที่ต้องการ

ซึ่งหากเป็นอย่างผมเข้าใจก็คงต้องยัดเครื่องเสียงไปผลิตใน cryogenic process ทั้งระบบ โดยเฉพาะภาค front-end มีผลที่สุด

ถ้าไม่อยากใช้ cryogenic ชีวิตก็คงต้องลำบากขึ้นคือต้องใช้วัสดุเหมือนกันให้หมด แต่ก็น่าแปลกใจอยู่อย่างนึง ถ้าสายลำโพงมันเป็นโลหะชนิดเดียวมันจะทำ cryogenic ไปทำไม หรือว่ามันผสม?

แต่ที่แน่ๆจากที่อ่านดูจากเวป cardas เหมือน cardas จะไม่ได้ใช้ cryogenic process ในการทำโลหะ แต่จากที่อ่านดูก็รู้แล้วครับว่าทำไมราคามันถึงแพงเข้าใจว่าแพงที่ process ในการผลิต

คราวนี้พี่ kantang ถามก็ดีครับ ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน ถ้าไม่ถามผมคงไม่ไส่ใจไปเปิดเวปดู ผมคงคิดว่าเกี่ยวกับเรื่องสายลำโพงเป็นแน่ แล้วการที่เปลี่ยนสายลำโพงแล้วเสียงเปลี่ยนนี่ผมว่ามันมาจากหลายๆ factor เพราะสายลำโพงมันทำตัวเหมือน filter ยิ่งยาว สายเส้น+กับ-ไกล้กัน สายยิ่งใหญ่และหากยิ่งตีเกรียวกันพื้นผิวรหว่างสายเส้น+กับ- มันก็ทำตัวเป็นตัวเก็บประจุชั้นดีขนานกันไปตลอดทางนั่นเอง LPF ชั้นดี

แต่ที่แน่ๆ ผมชอบ paragraph นี้ที่ copy มาจากเวป cardas ขอเน้นที่ประโยคแรกเลยครับ

The most significant difference between cables is not in what they lose, but in what they store. To find the sonic differences we must look at self inductance and capacitance factors more than resistance. 
ชัดเจนมั๊ยครับ

Mechanical resonance and electro-mechanical resonance are also factors, if you are trying to build the perfect cable.
อ่ามันถึงได้มีคนเอาสากเอาหินไปทับ นี่ถ้า High-end คงต้องไปหาซื้อ shock absorber ที่ใช้ในงานพวก probe station ระดับ micron มาใช้แล้วละครับ
ลองไปดูเวปพวก www.suss.com หรือ www.cmicro.com/ มีขาย กันสั่นได้น่าจะเกือบ 100% เพราะถ้าไม่มีตัวนี้กระทืบเท้าที่พื้นทีเดียว หัว probe ขนาด 2 micron บิ่นหักคา chip

ผมเองก็ไม่รู้ว่าการเอาโลหะเข้าไปทำ cryogenic มันทำให้ค่า โล ของโลหะตัวนำต่ำลงรึเปล่าเมื่อกลับมาอยู่สภาวะอุณหภูมิห้องหรือว่าเพื่ออย่างอื่น อันนี้ไม่รู้ครับต้องลองถามนัก physic พวก mat'l sci ดู

ผิดถูกยังไงไม่รู้ครับคิดซะว่าเป็นแค่คำบอกเล่า ถ้าใครมีเหตุผลที่ดีมีหลักการที่พอจะ convince กันได้ก็พร้อมฟังครับเพราะอยากรู้ไอ้ที่ยังไม่รู้เหมือนกัน
เบื่อ


ออฟไลน์ พี่ดุ้น

  • เบื่อ
  • ผู้สนับสนุน web
  • *
    • กระทู้: 436
    • เพศ:ชาย

ออฟไลน์ kantang

  • Kantang LAB
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,569
    • เพศ:ชาย
อย่าลืมทำ C cryogennic มาลองเสียงดูบ้างนะครับ  :drunk
สมาชิกใหม่รายงานตัวครับ
http://www.htg2.net/index.php?topic=53597.0


ออฟไลน์ พี่ดุ้น

  • เบื่อ
  • ผู้สนับสนุน web
  • *
    • กระทู้: 436
    • เพศ:ชาย
ขอบคุณครับ

ไว้ว่างๆหลังจากผมออกแบบ DAC เสร็จหาของทำ DAC ได้เสร็จบางส่วน  ผมจะลองวัด C ค่าเดียวกันต่าง volt ต่างยี่ห้อ มาให้ดูคร่าวๆกัน ถ้ามีเวลาจะลองวัดค่าที่อุณภูมิติดลบ อุณหภูมิห้อง ไปถึงที่ร้อนประมาณ80 องศามาให้ลองดูกัน

เบื่อ


ออฟไลน์ kantang

  • Kantang LAB
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,569
    • เพศ:ชาย
คุณ RFlover ช่วยตอบกระทู้ได้ดีมากครับ อย่างนี้สิครับ รอมานาน มีประโยชน์มากๆครับ  O0 ได้แนวคิดเพิ่มแล้วขอบคุณมากๆครับ :headphone
สมาชิกใหม่รายงานตัวครับ
http://www.htg2.net/index.php?topic=53597.0


ออฟไลน์ pisit

  • ผู้สนับสนุน web ......
  • ******
    • กระทู้: 715
    • เพศ:ชาย
    • www.audio-hobby.com
แหะๆ ไม่เครียดครับคุณ ekkasit เพราะผมว่าเราว่าคุยกันเรื่องหลักการออกไปในเชิงวิชาการมากกว่า ซึ่งผสมปนเปกับในทางปฏิบัติ

อย่างที่บอกอะครับ สุดท้ายที่ ความถี่ไดๆ ค่าอิมพีแดนซ์ Z(f) จะเป็น function ของความถี่ ซึ่งจะมีค่าเท่ากับ R+jX อะครับ มันฟ้องอยู่แล้วในตัวครับ ต่อให้มีค่า ESL ผลสุดท้ายออกมาค่า jX ติดลบคือ +j(-X) มันก็ยังเป็น C ซึ่ง ท้ายสุด model ที่แสดงในหนังสือเรียนทั่วไปแค่แค่แบบจำลองง่ายๆมาอธิบายวงจรสมมูลให้เข้าใจว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

สมมุตินะครับ ถ้าใช้เครื่อง vector network analyzer (VNA) วัดค่า C     ผมก็จำไม่ได้แล้วว่า VNA วัดลงไปได้ต่ำสุดถึงได้ความถี่เท่าไหร่ เพราะตอนนี้เครื่องที่ใช้อยู่ลงไปได้ถึงแค่ 100k เอง ถ้าวัดใน mode S11 ไปดูที่ smith chart ก็จะแสดงค่า impedance ของ C ออกมาวิ่งอยู่บน chart ตั้งแต่ความถี่ต่ำสุดจนไปถึงสูงสุด เช่น

1. หากวัด C 0.1uF ที่ตัวไม่ใหญ่มาก volt ต่ำ สมมุติเริ่มจาก 100k เครื่องจะแสดงอัตโนมัติออกมาเลยว่า ที่ 100k R=100m C=0.110uF ,    200k R=100m C=0.105uF,   500k R=150m C=0.09uF ,     1meg R=1.02 C=0.02uF,   50meg R=25  C=0.004uF,    100meg R=250 C=0.0005uF,  500meg R=450 L=0.1nH    อะไรทำนองนี้ครับ ค่ายิ่งความถี่สูงขึ้นมันจะวิ่งไปเรื่อยเปื่อยครับ จะกลับไปเป็น C ที่มี R อนุกรม หรือ เป็น L ที่มี R อนุกรมก็ได้   

2. และถ้าหากวัด C อีกตัว 0.1uF เหมือนกัน ตัวใหญ่มากๆ สมมุติเริ่มจาก 100k เหมือนกัน ที่ 100k R=1 C=0.05uF ,    200k R=2.5 C=0.035uF,   500k R=4 C=0.01uF ,     1meg R=15 C=0.0005uF,   50meg R=525  C=0.00008uF,    100meg R=3000 C=0.000001uF,  500meg R=6500 L=10nH

3. หากวัด C อีกตัวสมมุติเป้น C ใช้งาน RF    100k R=100m C=0.009uF ,    200k R=105m C=0.105uF,   500k R=101m C=0.100uF ,     1meg R=103m C=0.11uF,   50meg R=110m  C=0.095uF,    100meg R=115m C=0.089uF,  500meg R=800m L=0.06uF

        จะเห็นว่า ตัวที่สอง self resonance มันห่วยกว่าตัวแรก
        คราวนี้สมมุติว่าถ้าเครื่องมือวัดผมลงไปไม่ถึง 20Hz ผมสามารถติ๊ต่างได้ว่า C ตัวที่ 3 ค่าที่ 20Hz ก็ต้องเท่ากับ 100k ที่ 200k ที่ 500k ที่ 1meg เพราะ จาก 100k ไปถึง 1meg ค่า Z ทั้ง 3 ความถี่นี้คงที่มาก

อย่างที่บอกไม่มีสูตรคำนวณครับ วัดสถานเดียว มีแต่ต้องจำลอง model ของตัวอุปกรณ์ขึ้นมาเท่านั้นแล้วพยายามเอาค่าที่วัดได้จริงมา fit curve กับโมเดลที่พยายามจำลองขึ้นมา ซึ่งผมก็ได้อธิบายไปหลายๆอย่างก่อนหน้านั้นแล้ว
อย่างผมเวลาออกแบบวงจร filter ที่เป็น lump element คึอใช้พวก L C ถ้าหากผมมี C มี L อยู่ในมือรู้ยี่ห้อแต่ไม่มี model ในโปรแกรม simulation ผมจับวัดดูก่อนเลยครับ ว่าใช้ได้ไม่ได้ ถ้าได้ก็เก็บค่า แต่ละความถี่ไว้มาใช้ในการคำนวณออกแบบ

สุดท้ายก็คือต้องประมาณครับแล้วก็ติ๊ต่างเอา เลือกของให้ถูกกับงาน ก็จะไม่มีปัญหา

มันก็เหมือนกับ opamp แหละครับ จับเสียบจับเสียบเปลี่ยนไปมา ตัวนี้ดีตัวนี้ไม่ดี ตัว spec โคตรดีแต่เสียงห่วย ผมว่าถ้าใช้งานตามที่เขา condition ที่เขา test มันคงไม่มีปัญหาหรอกครับ ของดีมันก็ดีอยู่ใน condition ที่เขา test คนบางคนเอาไปใช้มั่วจับเสียบจับเสียบไม่ดูตาม้าตาเรือแล้วก็บอกว่า spec ดีแต่ห่วย สู้ตัวที่ spec ต่ำกว่าไม่ได้ วงจรที่เราไปโมบางทีเขาออกแบบมาให้ใช้กับเบอร์ๆนึง คราวนี้เวลาเปลี่ยนเบอร์เนี่ยมันต้องดูวงจรด้วยดูตัว opaamp ด้วยว่ามันมีข้อจำกัดอะไรบ้าง  ส่วนมากที่เห็นรุ่นน้องทำ โน่นอัด i/p เข้าไปเกิน opamp บางตัวมันมี limitor อยู่ทางด้าน i/p ก็ไม่ได้ดู

อย่างที่บอกอะครับ ควรจะเลือกของให้ถูกกับงาน ถ้ามี C ที่มีค่า ESR น้อยมากและนิ่ง และ C มันนิ่ง ในตลอด 20Hz ถึง เป็นร้อยๆMHz แถมทนได้ 600V ชีวิตก็คงสบายขึ้นแหละครับ คงไม่มีใครต่อ C by pass ให้ supply หลายๆค่าพร้อมกัน เช่น 10u 1u 0.1u 0.001u หรอกครับ ไส่แค่ค่าเดียวตัวเดียวจบ ดังนั้น คุณ sapa2008 ครับ ไม่มีสูตรครับ วัดเอาอย่างเดียว สูตรหาค่า Z ของ C คือ Z=0-jXc จะใช้ได้ประมาณแค่กรณีเดียวคือ C ตัวที่ 3 ที่ผมสมมุติขึ้นข้างต้น ซึงหวังผลถูกต้องกับ C ตัวนี้ที่ความถี่ไม่เกิน 500MHz
ถ้าอยากคำนวณจริงต้องสร้างโมเดลขึ้นมาเองอย่างที่บอไปข้างต้น หรือ หาโปรแกรม simultion ที่มี model ของตัวเก็บประจุจากผู้ผลิตแต่ละค่าเอามา simulate ดู  ซึ่งพวกโปรแกรมใช้ออกแบบวงจรความถี่สูงมีโมเดลพวกนี้อยู่แต่ผมไม่แน่ใจว่ามันเก็บไว้ในรูปแบบอะไรลงไปใช้ความถี่ต่ำถึง 10Hz ได้หรือไม่ แต่ที่แน่ๆโปรแกรม orcad Pspice ไม่มีครับถ้าจำไม่ผิด

คุณ pisit ครับ การเดินเสายอย่างที่คุณ pisit ว่ามันเป็นเรื่องอื่น ถ้า layout วงจรไม่ถูกและโชคไม่ดีก็จะได้เสียงประหลาดโผล่ขึ้นมาจากผลของเรื่อง grounding












 






ก็เข้าใจล่ะครับ คุณ RFLover เรื่องอิมพีแดนซ์ของอุปกรณ์เวลาความถี่มันเปลี่ยนแปลง  Y]
ส่วนจะสัมพันธ์ยังไงกับ เสียงที่ได้ออกมา ก็เป็นเรื่องต่อไป
ก็ดีครับเป็นข้อมูลในการลองอุปกรณ์ ประเด็นเรื่องอัตราทนไฟ ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไร เดี๋ยวแงะมาลองมั่งดีกว่า  K)


เพียงแต่ว่าในเรื่องของเครื่องเสียง ผมคิดว่าบางทีมันก็ลี้ลับพอควร ยกตัวอย่างใหม่ขนาดพวกขั้วต่อสัญญาณ
เปลี่ยนยี่ห้อใหม่ตัวโตๆ ที่รูเดิม สายอะไรก็เหมือนเดิม นักฟังยังว่าเสียงเปลี่ยนไปมาก
ทั้งที่เป็นตัวนำสัญญาณ ไม่ใช่ C ที่สัญญาณต้องข้ามผ่านฉนวนหลายแบบใน C แต่ละชนิด
เพียงแต่ขั้วต่อใช้โละหะต่างชนิดกัน สุดแท้แต่จะคิดจะค้น   8)

หรือแม้แต่การบัดกรี ที่ใช้ตะกั่วบัดกรีที่มีูสูตรผสมต่างกัน ก็ว่าให้เสียงต่างกัน
นี่ว่ากันแบบตัวนำทั้งนั้น ถ้าวัดโอห์มคงอยู่แถว 0 วัด C และ  L แฝงในตัวนำพวกนี้คงระดับโมเลกุลละมั๊ง
ผมเองก็หมดปัญญาจะไปคิดไปวัดค่า  :giveup

เขาก็ยังว่ามันต่างกัน K) K)

ว่าแล้ววันนี้ไปหาซื้อตะกั่วแปลก ๆ มาลองดีกว่า

ขอบคุณมากครับคุณ RFLover สำหรับข้อมูลและผู้ตั้งกระทู้ดี ๆ ครับ  O0 O0



นอกจากทำเครื่องเสียงเป็นงานอดิเรก ผมยังเป็นพ่อค้าขายของซึ่งมีกำไรเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นข้อความที่ผมโพสต์ขอให้ผู้อ่านโปรดพิจารณาอย่างรอบด้านด้วยครับ
ชื่อ ที่อยู่


ออฟไลน์ พี่ดุ้น

  • เบื่อ
  • ผู้สนับสนุน web
  • *
    • กระทู้: 436
    • เพศ:ชาย
ยังไงขอเสริมอีกเรื่องครับ condition ในการ test C ใช้สัญญาณระบดับต่ำนะครับ คราวนี้กรณี C high volt นี่ถ้าเอาเข้าจริง ถ้าแรงดันที่ตกคล่อมตัวมันสูงนี้ผมก็ไม่รู้ว่า มันมีผลทำคุณคุณสมบัติค่า C เปลี่ยนด้วยรึเปล่า
เบื่อ


ออฟไลน์ พี่ดุ้น

  • เบื่อ
  • ผู้สนับสนุน web
  • *
    • กระทู้: 436
    • เพศ:ชาย
แหะๆ ไม่เครียดครับคุณ ekkasit เพราะผมว่าเราว่าคุยกันเรื่องหลักการออกไปในเชิงวิชาการมากกว่า ซึ่งผสมปนเปกับในทางปฏิบัติ

อย่างที่บอกอะครับ สุดท้ายที่ ความถี่ไดๆ ค่าอิมพีแดนซ์ Z(f) จะเป็น function ของความถี่ ซึ่งจะมีค่าเท่ากับ R+jX อะครับ มันฟ้องอยู่แล้วในตัวครับ ต่อให้มีค่า ESL ผลสุดท้ายออกมาค่า jX ติดลบคือ +j(-X) มันก็ยังเป็น C ซึ่ง ท้ายสุด model ที่แสดงในหนังสือเรียนทั่วไปแค่แค่แบบจำลองง่ายๆมาอธิบายวงจรสมมูลให้เข้าใจว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

สมมุตินะครับ ถ้าใช้เครื่อง vector network analyzer (VNA) วัดค่า C     ผมก็จำไม่ได้แล้วว่า VNA วัดลงไปได้ต่ำสุดถึงได้ความถี่เท่าไหร่ เพราะตอนนี้เครื่องที่ใช้อยู่ลงไปได้ถึงแค่ 100k เอง ถ้าวัดใน mode S11 ไปดูที่ smith chart ก็จะแสดงค่า impedance ของ C ออกมาวิ่งอยู่บน chart ตั้งแต่ความถี่ต่ำสุดจนไปถึงสูงสุด เช่น

1. หากวัด C 0.1uF ที่ตัวไม่ใหญ่มาก volt ต่ำ สมมุติเริ่มจาก 100k เครื่องจะแสดงอัตโนมัติออกมาเลยว่า ที่ 100k R=100m C=0.110uF ,    200k R=100m C=0.105uF,   500k R=150m C=0.09uF ,     1meg R=1.02 C=0.02uF,   50meg R=25  C=0.004uF,    100meg R=250 C=0.0005uF,  500meg R=450 L=0.1nH    อะไรทำนองนี้ครับ ค่ายิ่งความถี่สูงขึ้นมันจะวิ่งไปเรื่อยเปื่อยครับ จะกลับไปเป็น C ที่มี R อนุกรม หรือ เป็น L ที่มี R อนุกรมก็ได้   

2. และถ้าหากวัด C อีกตัว 0.1uF เหมือนกัน ตัวใหญ่มากๆ สมมุติเริ่มจาก 100k เหมือนกัน ที่ 100k R=1 C=0.05uF ,    200k R=2.5 C=0.035uF,   500k R=4 C=0.01uF ,     1meg R=15 C=0.0005uF,   50meg R=525  C=0.00008uF,    100meg R=3000 C=0.000001uF,  500meg R=6500 L=10nH

3. หากวัด C อีกตัวสมมุติเป้น C ใช้งาน RF    100k R=100m C=0.009uF ,    200k R=105m C=0.105uF,   500k R=101m C=0.100uF ,     1meg R=103m C=0.11uF,   50meg R=110m  C=0.095uF,    100meg R=115m C=0.089uF,  500meg R=800m L=0.06uF

        จะเห็นว่า ตัวที่สอง self resonance มันห่วยกว่าตัวแรก
        คราวนี้สมมุติว่าถ้าเครื่องมือวัดผมลงไปไม่ถึง 20Hz ผมสามารถติ๊ต่างได้ว่า C ตัวที่ 3 ค่าที่ 20Hz ก็ต้องเท่ากับ 100k ที่ 200k ที่ 500k ที่ 1meg เพราะ จาก 100k ไปถึง 1meg ค่า Z ทั้ง 3 ความถี่นี้คงที่มาก

อย่างที่บอกไม่มีสูตรคำนวณครับ วัดสถานเดียว มีแต่ต้องจำลอง model ของตัวอุปกรณ์ขึ้นมาเท่านั้นแล้วพยายามเอาค่าที่วัดได้จริงมา fit curve กับโมเดลที่พยายามจำลองขึ้นมา ซึ่งผมก็ได้อธิบายไปหลายๆอย่างก่อนหน้านั้นแล้ว
อย่างผมเวลาออกแบบวงจร filter ที่เป็น lump element คึอใช้พวก L C ถ้าหากผมมี C มี L อยู่ในมือรู้ยี่ห้อแต่ไม่มี model ในโปรแกรม simulation ผมจับวัดดูก่อนเลยครับ ว่าใช้ได้ไม่ได้ ถ้าได้ก็เก็บค่า แต่ละความถี่ไว้มาใช้ในการคำนวณออกแบบ

สุดท้ายก็คือต้องประมาณครับแล้วก็ติ๊ต่างเอา เลือกของให้ถูกกับงาน ก็จะไม่มีปัญหา

มันก็เหมือนกับ opamp แหละครับ จับเสียบจับเสียบเปลี่ยนไปมา ตัวนี้ดีตัวนี้ไม่ดี ตัว spec โคตรดีแต่เสียงห่วย ผมว่าถ้าใช้งานตามที่เขา condition ที่เขา test มันคงไม่มีปัญหาหรอกครับ ของดีมันก็ดีอยู่ใน condition ที่เขา test คนบางคนเอาไปใช้มั่วจับเสียบจับเสียบไม่ดูตาม้าตาเรือแล้วก็บอกว่า spec ดีแต่ห่วย สู้ตัวที่ spec ต่ำกว่าไม่ได้ วงจรที่เราไปโมบางทีเขาออกแบบมาให้ใช้กับเบอร์ๆนึง คราวนี้เวลาเปลี่ยนเบอร์เนี่ยมันต้องดูวงจรด้วยดูตัว opaamp ด้วยว่ามันมีข้อจำกัดอะไรบ้าง  ส่วนมากที่เห็นรุ่นน้องทำ โน่นอัด i/p เข้าไปเกิน opamp บางตัวมันมี limitor อยู่ทางด้าน i/p ก็ไม่ได้ดู

อย่างที่บอกอะครับ ควรจะเลือกของให้ถูกกับงาน ถ้ามี C ที่มีค่า ESR น้อยมากและนิ่ง และ C มันนิ่ง ในตลอด 20Hz ถึง เป็นร้อยๆMHz แถมทนได้ 600V ชีวิตก็คงสบายขึ้นแหละครับ คงไม่มีใครต่อ C by pass ให้ supply หลายๆค่าพร้อมกัน เช่น 10u 1u 0.1u 0.001u หรอกครับ ไส่แค่ค่าเดียวตัวเดียวจบ ดังนั้น คุณ sapa2008 ครับ ไม่มีสูตรครับ วัดเอาอย่างเดียว สูตรหาค่า Z ของ C คือ Z=0-jXc จะใช้ได้ประมาณแค่กรณีเดียวคือ C ตัวที่ 3 ที่ผมสมมุติขึ้นข้างต้น ซึงหวังผลถูกต้องกับ C ตัวนี้ที่ความถี่ไม่เกิน 500MHz
ถ้าอยากคำนวณจริงต้องสร้างโมเดลขึ้นมาเองอย่างที่บอไปข้างต้น หรือ หาโปรแกรม simultion ที่มี model ของตัวเก็บประจุจากผู้ผลิตแต่ละค่าเอามา simulate ดู  ซึ่งพวกโปรแกรมใช้ออกแบบวงจรความถี่สูงมีโมเดลพวกนี้อยู่แต่ผมไม่แน่ใจว่ามันเก็บไว้ในรูปแบบอะไรลงไปใช้ความถี่ต่ำถึง 10Hz ได้หรือไม่ แต่ที่แน่ๆโปรแกรม orcad Pspice ไม่มีครับถ้าจำไม่ผิด

คุณ pisit ครับ การเดินเสายอย่างที่คุณ pisit ว่ามันเป็นเรื่องอื่น ถ้า layout วงจรไม่ถูกและโชคไม่ดีก็จะได้เสียงประหลาดโผล่ขึ้นมาจากผลของเรื่อง grounding












 




เบื่อ


ออฟไลน์ aphiphot

  • Super Star.
  • **
    • กระทู้: 2,814
    • เพศ:ชาย
  • คุณพ่อขาอย่ามัวแต่ D.I.Y.จนลืมหนูนะคะ
ในมุมของผมเห็นว่าถ้าเราทำขายค่าต่างๆเหล่านี้สำคัญครับเพราะจะใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงหรือใช้บ่งบอกว่าข้าพเจ้าออกแบบและสร้างอย่างมีหลักการนะจ๊ะ แต่ถ้าทำเพื่อฟังเพื่อความบันเทิงในครอบครับ(ย้ำนะครับเพื่อความบันเทิงในครอบครับ)คงจะละค่าต่างๆเหล่านี้ได้มั้งครับ ไม่งั้นเวลาจูนเสียงแล้วลูกเปิดประตูเข้ามาเราคงต้องบอกลูกว่าลูกจ๋าออกจากห้องพ่อไปก่อนนะครับเพราะว่าอุณหภูมิของตัวลูกจะทำให้ค่าต่างๆของพ่อผิดเพี้ยน ;D ;D ;Dไม่เครียดกันนะครับ 2f 2f 2f 2f 2f
ข้อมูลส่วนตัวครับ==>> 
นายอภิภช เจริญกิจ
270 ม.3 ต.เนินทราย อ.เมือง จ.ตราด 23000
eptrattc@hotmail.co.th
Tel.08186220-เจ็ด-หนึ่ง
Line id: aphiphot


ออฟไลน์ pisit

  • ผู้สนับสนุน web ......
  • ******
    • กระทู้: 715
    • เพศ:ชาย
    • www.audio-hobby.com
มาช่วยให้งงเพิ่มว่า อย่าลืม ESL ด้วยนะครับ ทีนี้ ความถี่เชิงซ้อนบวกกันเข้าไป ทั้ง C L R  มันส์เลย

เรื่อง ซีถูกๆ กับ แพงๆ นั้น.. อย่าลืมว่าวัสดุที่เอามาใช้มีผลนะครับ อย่างน้อย ที่เห็นในดาต้าชีทก็จะบอกแล้วว่า แต่ละตัวที่แต่ละความถี่นั้น มีค่าไม่เท่ากันครับ

นั่นนะสิครับ ผมว่าใช้สูตรคณิตศาสตร์มาคำนวณให้ได้ผลตามองค์ประกอบที่มีทั้งหมดคงยาก

ขนาดสายแค่คืบ ต่อจากอินพุทเข้าโวลุ่มแล้วก็อีกคืบต่อจากโวลุ่มเข้าหลอด

แค่สองคืบนี้เป็นทองแดงกับเงิน หลายคนยังฟังออกว่ามันต่าง (แต่หูผมฟังไม่ต่าง)

ทั้ง ๆ ที่วัดคตท.ก็ 0.00 โอห์ม วัด C วัด L ก็แทบจะอ่านค่าไม่ได้เพราะมันไม่นิ่ง

 :black_eye :black_eye

นอกจากทำเครื่องเสียงเป็นงานอดิเรก ผมยังเป็นพ่อค้าขายของซึ่งมีกำไรเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นข้อความที่ผมโพสต์ขอให้ผู้อ่านโปรดพิจารณาอย่างรอบด้านด้วยครับ
ชื่อ ที่อยู่


ออฟไลน์ aphiphot

  • Super Star.
  • **
    • กระทู้: 2,814
    • เพศ:ชาย
  • คุณพ่อขาอย่ามัวแต่ D.I.Y.จนลืมหนูนะคะ
ถ้าคิดทั้งR L Cท่านทั้งหลายครับสนุกจริงๆครับ ต้องเทียบกับเวลา ฯลฯ นอนดีกว่านึกถึงสมัยเรียนแล้วง่วงนอนไม่ใช่คนเรียนเก่งด้วย ;D ;D ;D ;D
ข้อมูลส่วนตัวครับ==>> 
นายอภิภช เจริญกิจ
270 ม.3 ต.เนินทราย อ.เมือง จ.ตราด 23000
eptrattc@hotmail.co.th
Tel.08186220-เจ็ด-หนึ่ง
Line id: aphiphot


ออฟไลน์ Era

  • *****
    • กระทู้: 975
    • เพศ:ชาย
มาช่วยให้งงเพิ่มว่า อย่าลืม ESL ด้วยนะครับ ทีนี้ ความถี่เชิงซ้อนบวกกันเข้าไป ทั้ง C L R  มันส์เลย

เรื่อง ซีถูกๆ กับ แพงๆ นั้น.. อย่าลืมว่าวัสดุที่เอามาใช้มีผลนะครับ อย่างน้อย ที่เห็นในดาต้าชีทก็จะบอกแล้วว่า แต่ละตัวที่แต่ละความถี่นั้น มีค่าไม่เท่ากันครับ
ข้อมูลติดต่อครับ
http://www.htg2.net/index.php?topic=90857.0


ออฟไลน์ Eak-tubeamp

  • วันนี้ไม่เริ่ม ก็ไม่มีวันสำเร็จ
  • Superstar...
  • ****
    • กระทู้: 4,849
    • เพศ:ชาย
  • ....ด้วยใจรัก....
ที่คุณ RFLover อธิบายมา ผมได้เรียนตอน ปวส ตอนนี้คืนกลับอาจารย์หมดแล้ว แต่จำได้ว่ามีตาราเรื่องนี้เก็บเอาไว้ แต่ไม่แน่ใจว่าปลอกเข้าจับจองหรือยัง ;D
tel 083-3887864


ข้อมูลส่วนตัว  http://www.htg2.net/index.php?topic=44962.0


ออฟไลน์ sapa2008

  • *****
    • กระทู้: 536
ขอบคุณ Mr.Tube และ คุณ RFLover และท่านอื่นๆที่เผยแผ่ความรู้รวบยอดให้พวกเราๆครับ

ผมมี idea อย่างนี้ครับ
จากสูตรที่ Mr.Tube บอกเรื่องความถี่ cutoff เราก็สามารถหาค่า C ที่ควรจะมีค่าอย่างน้อยที่สุดเท่าใดจึงจะตอบสนองความถี่ได้ต่ำถึง 20Hz ได้แล้ว อันนี้ทางทฤษฎีคือ Xc อย่างเดียวเลย ซึ่งจะลดทอนสัญญานในแต่ละความถี่แตกต่างกันไป (frequency response)

ทีนี้คุณ RFLover บอกว่า เสียงที่เราได้ฟังผ่านจาก C นั้น มันมีผลจากทั้ง frequency response และ phase response แสดงว่า C ต่างยี่ห้อที่มีค่า C ค่าเดียวกันแต่ให้เสียงต่างกันนั้น ถ้าจะแปลงเป็นสูตรคณิตศาสตร์ ก็คือว่า เจ้าตัว phase response นั้นแตกต่างกันใช่ไหมครับ เพราะว่า Xc มันเท่ากันเสียแล้ว

มีสูตรทางคณิตศาสต์ไหมครับที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง ค่าประจำตัวของ C เช่น Xc, ESR หรือ Rc กับค่า phase response เนี่ยครับ บางทีเราอาจจะสามารถหาเอา C หลายตัวหลายยี่ห้อที่ราคาไม่แพงแต่มาขนานหรืออนุกรมกันแล้วได้คุณสมบัติทางเสียงเข้าหูได้เทียบเท่ากับ C ที่ราคาแพงมากๆก็ได้ โดยใช้สูตรคณิตศาสตร์นี้ครับ

คุณ RFLover มีสูตรอย่างที่ว่าไหมครับ


ออฟไลน์ pisit

  • ผู้สนับสนุน web ......
  • ******
    • กระทู้: 715
    • เพศ:ชาย
    • www.audio-hobby.com
ที่จริงก็ยังสงสัย ถ้าหา C ที่มีอิมพีแดนซ์เท่ากัน ค่าเท่ากัน แต่ต่างชนิดกัน จะให้เสียงเหมือนกัน  ???

หรือในความเป็นจริงหา C แบบนี้ไม่ได้  K)



นอกจากทำเครื่องเสียงเป็นงานอดิเรก ผมยังเป็นพ่อค้าขายของซึ่งมีกำไรเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นข้อความที่ผมโพสต์ขอให้ผู้อ่านโปรดพิจารณาอย่างรอบด้านด้วยครับ
ชื่อ ที่อยู่


ออฟไลน์ พี่ดุ้น

  • เบื่อ
  • ผู้สนับสนุน web
  • *
    • กระทู้: 436
    • เพศ:ชาย
สอบ มันเป็นเชิงวิชาการ ก็น่าจะพูดเป็นในเชิงรูปคลื่นสัญญาณมากกว่านะครับ แล้วอธิบายคุณสมบัติของ C แต่ละชนิดมันเป็นยังไง แล้วมันทำให้สัญญาณไฟฟ้าเปลี่ยนไปยังไงบ้างนะครับ
เบื่อ


ออฟไลน์ pisit

  • ผู้สนับสนุน web ......
  • ******
    • กระทู้: 715
    • เพศ:ชาย
    • www.audio-hobby.com
ค่า j ที่มาเขาคิดขึ้นมาได้ไงเมื่อไหร่ผมก็ไม่รู้นะครับ ผมแค่เป็น user ที่ดีเรียนรู้และจำเอามาใช้ให้มันเป็นเท่านั้นเอง

อยากอธิบายง่ายๆจากค่า impedance มันเป็นค่าจำนวนเชิงซ้อนนะครับ Z=R+jX
สำหรับ +jX ถ้าเป็น L ก็จะ +jXL ถ้าเป็น C ก็ -jXC

อธิบายให้เห็นภาพง่ายนะครับ ถ้าเป็นตัวต้านทานเพียวๆคือ
impedance Z=R+jX ซึง X มีค่าเท่ากับ 0
ดังนั้น  Z = R+jX = R+j0 = R หากมองในรูป phaser diagram ของความสัมพันระหว่าง V กับ I จะได้ว่า

Z=(|V|/|I|)*e^(-j*phase) ซึ่งกรณีที่เป็น R เพียวๆ phaseจะมีค่าเท่ากับ 0 
Z=(|V|/|I|)*e^(-j*0) = (|V|/|I|)*e^0 = (|V|/|I|)*1 = |V|/|I| = V/I ซึง  V/I ก็ = R อะครับ นั่นคื่อ Z=V/I=R นั่นเอง
Z=V/I=R นั่นคือกรณีตัวต้านทานเพียวๆ phase ของแรงดัน V จะมีค่าเท่ากับ phase ของกระแส I หรือ ความต่าง phase ของ V กับ I มีค่าเท่ากับ 0

คราวนี้ถ้าเป็น complex impedance ก็ใช้สูตรเดิม คือ Z=R+jX = (|V|/|I|)*e^(-j*phase)
ค่า X ถ้าเป็น C ก็ คือ -Xc และถ้าเป็น L ก็เป็น +XL ถ้าแปลงกลับไปอยู่ในรูป Z=(|V|/|I|)*e^(-j*phase) ความหมายของ impedance คือ phase ของ voltage นำ phase ของกระแสเท่าไหร่ ถ้าแปลงเป็น polar form จะดูออกเพราะสูตรที่ยกมามันอยู่ในรูป complex form

ปล. สูตรอาจผิดผมจำได้คร่าวแค่นี้ แนะนำให้เปิดตำราดูครับชัวว่า จริงๆเด็กปริญญาตรีไฟฟ้าปี 2 น่าจะรู้ดีกว่าผม เพราะผมลืมหมดแล้วววววววววว

คราวนี้ถ้าเป็น C ในอุดมคติ Z=0+j(-Xc) = -jXc นะครับ ซึ่งตัว C ในอุดมคติจะเป็นตัวกักเก็บพลังงานที่ไม่มีการสูญเสีย โดยมีค่าimpedance Z=-jXc
คราวนี้ถ้าไม่เป็น อุดมคติก็จะมีค่า R  series เป็นของแถมมาให้ ไอ้ของแถมนี่แหละครับ ESR คือตัวปัญหาทำให้เกิด loss ที่เปลี่ยนไปเป็นความร้อนขึ้นในตัวเก็บประจุ
ถ้าเอาตัวเก็บประจุตัวเล็กๆที่มันไม่สามารถทนกำลังงานการสูญเสียที่เปลี่ยนมาเป็นความร้อนได้ ไปใช้เป็นทางผ่านของสัญญาณที่กระแส AC ไหลผ่านหนัก มันก็บวม ใหม้ มีสารเคมีไหลเดือดปุดๆออกมา ควันขึ้น

ในโลกนี้ หามองอุปกรณ์เป็นตัว 1 port ค่าอิมพีแดนซ์มันก็มีแค่ Z(f)=R+jX เท่านั้น ให้มองว่า Z เป็น function ขึ้นกับความถี่ โดยแต่ละความถี่ค่า Z ก็เปลี่ยนไปเรื่อยเปื่อยตามคุณสมบัติของอุปกรณ์ 
ด้วยเหตุการณ์นี้เขาถึงได้พยายามจำลอง model ของอุปกรณ์แต่ละชนิดขึ้นมา เช่น model ของ transistor ตัวต้านทาน ตัวเก็บประจุ หรือ อื่นๆ มาช่วยใช้ในการออกแบบให้ได้ค่าไกล้เคียงที่สุด ซึ่งต้องต้องวัดค่าจริงออกมาแต่ละความถี่แล้วพยายามทำ model อุปกรณ์ โดย fit curve ให้มันได้ไกล้เคียงกับผลที่วัดได้จริงมากที่สุด ซึ่ง model จะ Robust เพียงไดต้องเทียบผลที่วัดได้จริง ซึ่งยิ่งความถี่สูงๆนี่ทำ model ยากมากเพราะ mode ของสนามไฟฟ้าสนามแม่เหล็กมันเปลี่ยน ดังนั้น model พวก R หรือ C หรือ L หรือ transistor ที่ความถี่สูงขึ้นทุกตัวจะเน่า


ส่วนคำถามคุณ Sarawut เปลี่ยนน้อยที่สุดเป็นดีที่สุดครับ ผมยกตัวอย่าง ผมเห็นวงจร DAC วงจรมัน low voltage บางคนไส่ C decoupling ค่าแค่ 0.1u Volt สูง ตัวเท่าควาย ลงไปเป็นตับ อย่างที่ได้อธิบายคุณสมบัติของ C ที่ใช้ในการ Decoupling ไปก่อนหน้านี้ ค่า Xc ในอุดมคติ คือ 0 ทุกความถี่ คราวนี้อยากให้ได้ไกล้เคียงอุดมคติ C ในโลกนี้ตัวไหนเหมาะสมบ้างค่ายิ่งใหญ่ยิ่ง Decoupling ดีที่ความถี่ต่ำแต่ความถี่สูงก็จะเน่าตามธรรมชาติ C ตัวเล็กๆท่เป็น chip พวก COG ใช้ไม่ได้เลยหรือไง ? เอา X7R ค่า เยอะๆมาขนาน COG ค่าต่ำจะไม่ได้เลยหรือไง ทำไมต้องใช้ C ราคาแพง high volt ตัวใหญ่ และแพงขนาดนั้น

ใช้เป็น filter ก็เหมือนกันครับ ถ้าเป็น passive สำหรับ LPF ความถี่ต่ำ ที่ใช้ทำ cross over ให้ลำโพง จุดไหนกระแส AC ถ้ามันไหลผ่าน C เยอะและต้องการ C ค่ามากๆ ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่ไช้ของแพงๆตัวใหญ่ๆ แต่ถ้าเป็น passive filter volt ต่ำ กระแสไหลน้อยยย C chip ทั่วไปยังใช้ได้เลยครับเลือกเกรดดีหน่อย

อย่างที่บอกไปกระทู้ก่อนหน้านี้สำหรับผม C มันไม่มีเอกลักษณ์ของเสียงหรอกครับ มันแค่มีเอกลักษณ์ค่า R+jX ของแต่ละความถี่ คราวนี้เวลาหยิบมามั่วๆยัดไส่เข้าไปในวงจรแล้วบอกว่าตัวนี้เสียงแนวนี้ตัวนี้เสียงแนวนั้น มันแค่ไปทำให้ freqeuncy response ของวงจรแตกต่างกันออกไปใน term ของ phase และ amplitude ซึ่งขึ้นกับวงจรนั่นคือ ไส่เข้าไปแล้วมัน compsate กันให้มั่วผลสุดท้ายออกมาตามความพอใจของแต่ละบุคคลซึ่งขึ้นกับทั้ง system เครื่องเสียงที่ใช้ด้วย

ถ้าผมเป็นอาจารย์แล้วมีเด็กมาสอบ project แล้ว บอกว่า C ตัวนี้เสียงหวาน ตัวนี้ทุ้มโด่ง ตัวนี้จัดจ้าน ตัวนี้...  ผมจะแจก F ครับ ถ้าเขาอธิบายไม่ได้ว่าทำไม แล้วเปลี่ยนหัวข้อโปรเจ็คให้ใหม่ให้ไปทำวิจัยให้ใช้ mic วัดเสียงแต่ละแบบที่ว่า เสียงเปิด หวาน จัดจ้าน อิ่มบุญ อบอุ่น ออกมาว่าหน้าตาเป็นยังไง  น่าทำเป็นสถิติเก็บไว้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับออกแบบระบบได้ถูกตามแนวทางความพอใจในแต่ละกลุ่มคน


คราวนี้อยากรูปว่า C ตัวใหนค่าทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิได้ดีก็เอาไฟเช็คลนเลยครับสนุกดี ไม่ก็ลองลน transistor ดูอันนี้ผมชอบทำสนุกดี

สายลำโพงก็เหมือนกันครับ เห็นคนขายและนักฟังหลายคนเขาบอกว่าเป็นศาสตร์ที่อธิบายไม่ได้ ผมก็เดาว่าถ้าผู้ผลิตเขาอธิบายคงไม่มีใครซื้อของแพงๆหรอกครับ ผมเองก็ไม่รู้สายลำโพงมันผลิตกันยังไงถึงได้เป็นหมื่นเป็นแสน ก็น่าแปลกที่ราคาสายลำโพงแพงกว่าหรือเท่ากับสาย microwave ซึ่งใช้ technology ใช้ mat'l ใช้ know how ในการผลิตออกแบบที่สูงและมีความแม่นยำสูง
ที่ความถี่ต่ำความยากที่ผมเห็นมีอยู่อย่างหนึ่งคือการพันหม้อแปลงให้ได้ wideband จาก 10Hz ถึง 20k แล้วจะเอาจะเอา power เยอะๆ


แล้วใช้อะไรอธิบายได้ครับ   ???

 :black_eye :black_eye

นอกจากทำเครื่องเสียงเป็นงานอดิเรก ผมยังเป็นพ่อค้าขายของซึ่งมีกำไรเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นข้อความที่ผมโพสต์ขอให้ผู้อ่านโปรดพิจารณาอย่างรอบด้านด้วยครับ
ชื่อ ที่อยู่


ออฟไลน์ พี่ดุ้น

  • เบื่อ
  • ผู้สนับสนุน web
  • *
    • กระทู้: 436
    • เพศ:ชาย
ค่า j ที่มาเขาคิดขึ้นมาได้ไงเมื่อไหร่ผมก็ไม่รู้นะครับ ผมแค่เป็น user ที่ดีเรียนรู้และจำเอามาใช้ให้มันเป็นเท่านั้นเอง

อยากอธิบายง่ายๆจากค่า impedance มันเป็นค่าจำนวนเชิงซ้อนนะครับ Z=R+jX
สำหรับ +jX ถ้าเป็น L ก็จะ +jXL ถ้าเป็น C ก็ -jXC

อธิบายให้เห็นภาพง่ายนะครับ ถ้าเป็นตัวต้านทานเพียวๆคือ
impedance Z=R+jX ซึง X มีค่าเท่ากับ 0
ดังนั้น  Z = R+jX = R+j0 = R หากมองในรูป phaser diagram ของความสัมพันระหว่าง V กับ I จะได้ว่า

Z=(|V|/|I|)*e^(-j*phase) ซึ่งกรณีที่เป็น R เพียวๆ phaseจะมีค่าเท่ากับ 0 
Z=(|V|/|I|)*e^(-j*0) = (|V|/|I|)*e^0 = (|V|/|I|)*1 = |V|/|I| = V/I ซึง  V/I ก็ = R อะครับ นั่นคื่อ Z=V/I=R นั่นเอง
Z=V/I=R นั่นคือกรณีตัวต้านทานเพียวๆ phase ของแรงดัน V จะมีค่าเท่ากับ phase ของกระแส I หรือ ความต่าง phase ของ V กับ I มีค่าเท่ากับ 0

คราวนี้ถ้าเป็น complex impedance ก็ใช้สูตรเดิม คือ Z=R+jX = (|V|/|I|)*e^(-j*phase)
ค่า X ถ้าเป็น C ก็ คือ -Xc และถ้าเป็น L ก็เป็น +XL ถ้าแปลงกลับไปอยู่ในรูป Z=(|V|/|I|)*e^(-j*phase) ความหมายของ impedance คือ phase ของ voltage นำ phase ของกระแสเท่าไหร่ ถ้าแปลงเป็น polar form จะดูออกเพราะสูตรที่ยกมามันอยู่ในรูป complex form

ปล. สูตรอาจผิดผมจำได้คร่าวแค่นี้ แนะนำให้เปิดตำราดูครับชัวว่า จริงๆเด็กปริญญาตรีไฟฟ้าปี 2 น่าจะรู้ดีกว่าผม เพราะผมลืมหมดแล้วววววววววว

คราวนี้ถ้าเป็น C ในอุดมคติ Z=0+j(-Xc) = -jXc นะครับ ซึ่งตัว C ในอุดมคติจะเป็นตัวกักเก็บพลังงานที่ไม่มีการสูญเสีย โดยมีค่าimpedance Z=-jXc
คราวนี้ถ้าไม่เป็น อุดมคติก็จะมีค่า R  series เป็นของแถมมาให้ ไอ้ของแถมนี่แหละครับ ESR คือตัวปัญหาทำให้เกิด loss ที่เปลี่ยนไปเป็นความร้อนขึ้นในตัวเก็บประจุ
ถ้าเอาตัวเก็บประจุตัวเล็กๆที่มันไม่สามารถทนกำลังงานการสูญเสียที่เปลี่ยนมาเป็นความร้อนได้ ไปใช้เป็นทางผ่านของสัญญาณที่กระแส AC ไหลผ่านหนัก มันก็บวม ใหม้ มีสารเคมีไหลเดือดปุดๆออกมา ควันขึ้น

ในโลกนี้ หามองอุปกรณ์เป็นตัว 1 port ค่าอิมพีแดนซ์มันก็มีแค่ Z(f)=R+jX เท่านั้น ให้มองว่า Z เป็น function ขึ้นกับความถี่ โดยแต่ละความถี่ค่า Z ก็เปลี่ยนไปเรื่อยเปื่อยตามคุณสมบัติของอุปกรณ์ 
ด้วยเหตุการณ์นี้เขาถึงได้พยายามจำลอง model ของอุปกรณ์แต่ละชนิดขึ้นมา เช่น model ของ transistor ตัวต้านทาน ตัวเก็บประจุ หรือ อื่นๆ มาช่วยใช้ในการออกแบบให้ได้ค่าไกล้เคียงที่สุด ซึ่งต้องต้องวัดค่าจริงออกมาแต่ละความถี่แล้วพยายามทำ model อุปกรณ์ โดย fit curve ให้มันได้ไกล้เคียงกับผลที่วัดได้จริงมากที่สุด ซึ่ง model จะ Robust เพียงไดต้องเทียบผลที่วัดได้จริง ซึ่งยิ่งความถี่สูงๆนี่ทำ model ยากมากเพราะ mode ของสนามไฟฟ้าสนามแม่เหล็กมันเปลี่ยน ดังนั้น model พวก R หรือ C หรือ L หรือ transistor ที่ความถี่สูงขึ้นทุกตัวจะเน่า


ส่วนคำถามคุณ Sarawut เปลี่ยนน้อยที่สุดเป็นดีที่สุดครับ ผมยกตัวอย่าง ผมเห็นวงจร DAC วงจรมัน low voltage บางคนไส่ C decoupling ค่าแค่ 0.1u Volt สูง ตัวเท่าควาย ลงไปเป็นตับ อย่างที่ได้อธิบายคุณสมบัติของ C ที่ใช้ในการ Decoupling ไปก่อนหน้านี้ ค่า Xc ในอุดมคติ คือ 0 ทุกความถี่ คราวนี้อยากให้ได้ไกล้เคียงอุดมคติ C ในโลกนี้ตัวไหนเหมาะสมบ้างค่ายิ่งใหญ่ยิ่ง Decoupling ดีที่ความถี่ต่ำแต่ความถี่สูงก็จะเน่าตามธรรมชาติ C ตัวเล็กๆท่เป็น chip พวก COG ใช้ไม่ได้เลยหรือไง ? เอา X7R ค่า เยอะๆมาขนาน COG ค่าต่ำจะไม่ได้เลยหรือไง ทำไมต้องใช้ C ราคาแพง high volt ตัวใหญ่ และแพงขนาดนั้น

ใช้เป็น filter ก็เหมือนกันครับ ถ้าเป็น passive สำหรับ LPF ความถี่ต่ำ ที่ใช้ทำ cross over ให้ลำโพง จุดไหนกระแส AC ถ้ามันไหลผ่าน C เยอะและต้องการ C ค่ามากๆ ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่ไช้ของแพงๆตัวใหญ่ๆ แต่ถ้าเป็น passive filter volt ต่ำ กระแสไหลน้อยยย C chip ทั่วไปยังใช้ได้เลยครับเลือกเกรดดีหน่อย

อย่างที่บอกไปกระทู้ก่อนหน้านี้สำหรับผม C มันไม่มีเอกลักษณ์ของเสียงหรอกครับ มันแค่มีเอกลักษณ์ค่า R+jX ของแต่ละความถี่ คราวนี้เวลาหยิบมามั่วๆยัดไส่เข้าไปในวงจรแล้วบอกว่าตัวนี้เสียงแนวนี้ตัวนี้เสียงแนวนั้น มันแค่ไปทำให้ freqeuncy response ของวงจรแตกต่างกันออกไปใน term ของ phase และ amplitude ซึ่งขึ้นกับวงจรนั่นคือ ไส่เข้าไปแล้วมัน compsate กันให้มั่วผลสุดท้ายออกมาตามความพอใจของแต่ละบุคคลซึ่งขึ้นกับทั้ง system เครื่องเสียงที่ใช้ด้วย

ถ้าผมเป็นอาจารย์แล้วมีเด็กมาสอบ project แล้ว บอกว่า C ตัวนี้เสียงหวาน ตัวนี้ทุ้มโด่ง ตัวนี้จัดจ้าน ตัวนี้...  ผมจะแจก F ครับ ถ้าเขาอธิบายไม่ได้ว่าทำไม แล้วเปลี่ยนหัวข้อโปรเจ็คให้ใหม่ให้ไปทำวิจัยให้ใช้ mic วัดเสียงแต่ละแบบที่ว่า เสียงเปิด หวาน จัดจ้าน อิ่มบุญ อบอุ่น ออกมาว่าหน้าตาเป็นยังไง  น่าทำเป็นสถิติเก็บไว้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับออกแบบระบบได้ถูกตามแนวทางความพอใจในแต่ละกลุ่มคน

คราวนี้อยากรูปว่า C ตัวใหนค่าทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิได้ดีก็เอาไฟเช็คลนเลยครับสนุกดี ไม่ก็ลองลน transistor ดูอันนี้ผมชอบทำสนุกดี

สายลำโพงก็เหมือนกันครับ เห็นคนขายและนักฟังหลายคนเขาบอกว่าเป็นศาสตร์ที่อธิบายไม่ได้ ผมก็เดาว่าถ้าผู้ผลิตเขาอธิบายคงไม่มีใครซื้อของแพงๆหรอกครับ ผมเองก็ไม่รู้สายลำโพงมันผลิตกันยังไงถึงได้เป็นหมื่นเป็นแสน ก็น่าแปลกที่ราคาสายลำโพงแพงกว่าหรือเท่ากับสาย microwave ซึ่งใช้ technology ใช้ mat'l ใช้ know how ในการผลิตออกแบบที่สูงและมีความแม่นยำสูง
ที่ความถี่ต่ำความยากที่ผมเห็นมีอยู่อย่างหนึ่งคือการพันหม้อแปลงให้ได้ wideband จาก 10Hz ถึง 20k แล้วจะเอาจะเอา power เยอะๆ
เบื่อ


ออฟไลน์ PAIPAI

  • ****
    • กระทู้: 257
ค่า -j  มันคือค่าอะไรหรอครับ 


ยิ่งตอบยิ่งลึกขึ้นเรื่อยๆ  ชอบบ :D
Chill......


ออฟไลน์ Sarawut

  • **
    • กระทู้: 98
    • เพศ:ชาย
ได้ความรู้ดีมากเลยครับ
  ขออนุญาติถามคุณ RFlover นิดนะครับ ในวงจรภาค Filter (ทั้ง Active และ Passive)
ตัวเก็บประจุที่ใช้ ควรจะเลือกที่ มีการเปลี่ยนแปลงตามอุณหภูมิ หรือ ตามความถี่ น้อยกว่ากัน ถึงจะดีกว่าครับ ? 
ขอบคุณครับ
ศราวุธ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 เมษายน, 2009, 09:23:56 am โดย Sarawut »
ข้อมูลที่อยู่ครับ.  http://www.htg2.net/index.php?topic=32909.0


ออฟไลน์ พี่ดุ้น

  • เบื่อ
  • ผู้สนับสนุน web
  • *
    • กระทู้: 436
    • เพศ:ชาย
ขอแจมด้วยคนนะครับ อ่านมาเยอะแล้วขอออกความเห็นส่วนตัวบ้าง

เริ่มกันที่ประเด็นที่เห็นถกเถียงกันมานานเรื่อง C แต่ละยี่ห้อให้เสียงที่ต่างกัน อันนี้ผมไม่เถียงครับจริง แต่ถ้าหากมีใครคนนึงคนไดมาบอกว่า C ตัวนี้ให้เสียงที่ดีกว่าอันนี้ถ้าหากเห็นตรงกันคงต้องใช้หูร่วมกันแล้วใช้ system เครื่องเสียงชุดเดียวกันแล้วละครับ ดังนั้นผมว่าประเด็นของผมจะอยู่ที่ ทำไม C ค่าเดียวกันถึงให้เสียงที่ต่างกัน ดังนั้นเสียงดีหรือไม่ดีไม่ไช่ประเด็นที่จะมาถกกัน

- ตัวเก็บประจุที่ดีที่สุดในโลก อยู่ในโปรแกรม Pspice ครับ หาซื้อได้ตามร้านขาย CD เถื่อนทั่วไปในราคาประมาณ 100 บาท หรือสามารถ download มาใช้ฟรีได้
- ตัวเก็บประจุที่ขายทั่วไป ราคา 1 บาท สองบาท ยันไปถึง เป็น 1000 บาท ผมมีคำถามว่าอะไรที่มันทำให้ C บางตัวมันแพงเหลือเกิน ใครตอบได้มั่งครับ เป้นเพราะ mat'l หรือว่า know how ทาง technology หรือว่า process การผลิต หรือว่า ความต้องการของตลาด หรือว่าอื่นๆ หรือว่าทุกอย่างรวมกันหมดเลย

- Xc=1/(2*pi*f*C) สูตรมาตรฐานโลกนี้ผมก็ชอบใช้ครับ แต่ใช้ประมาณได้ในกรณีที่ตัวเก็บประจุมีค่าความเก็บประจุค่อนข้างคงที่ตลอดช่วงความถี่ใช้งานที่เราสนใจ
- คำถามต่อไป แล้วทำไมเสียงมันต่างกัน ทั้งที่ volt เดียวกันค่าเดียวกัน แต่ยี่ห้อดันไม่เหมือนกัน หรืออาจจะยี่ห้อเดียวกันแต่ mat'l ที่ใช้ทำต่างกัน
ก็เห็นคนพูดกันถึงค่า ESR บ่อยซึงสำหรับผมเห็นด้วยครับยิ่งต่ำยิ่งดี เพียงแต่มีคำถามนึงถามว่า C แต่ละตัวที่ขาย spec ที่ show เขาวัดที่ความถี่ไหนบ้าง????? ความถี่เดียวหรือเปล่า หรือว่ายังไง แล้วค่า C ละคงที่มั๊ยตลอดช่วงความถี่ที่เราสนใจ???
สำหรับผม spec ที่เห็น show ก็มีหลากหลายซึ่งเป็นค่าไว้แสดงให้ตัดสินใจแบบโดยทั่วไป

- โดยทั่วไปถ้าหากจะใช้ C couling มาแค่กันไฟ DC ก็ควรจะใช้ค่ามากๆครับ มากที่สุดเท่าที่จะหาได้ แต่โชคไม่ดีนักในโลกของควมเป็นจริงตัวเก็บประจุที่มีค่ามากตัวก็จะใหญ่พอตัวใหญ่ก็จะมีค่าอุปกรณ์แฝงเยอะเป็นเงาตามตัวจริงวงจรสมมูลของตัวเก็บประจุแต่ละตัวก็ไม่เหมือนกัน และหากต้องการให้ตัวเก็บประจุที่มค่ามากนี้เล็กลงตัว dielectric mat'l ต้องมีค่าสูงซึ่งค่า tanD จะสูงตามก็จะได้ค่า ESR ที่สูงขึ้น แถมกับอื่นๆที่แย่ลงไปอีก ดังนั้นใช้ค่ามากไปได้ความถี่ต่ำก็อาจจะซวยได้ที่ความถี่สูงด้าน frequency และ phase response เพราะค่ามันอาจจะวิ่งเข้าป่าไปแล้ว
ถ้าค่า C น้อยไป ก็อย่างที่ทราบกันดี ความถี่ต่ำก็ไปทั้ง frequency และ phase response ดังนั้นเนี่ย หลบได้เป็นหลบครับไม่ใช้ C เป็นดีที่สุด

ผมก็ไม่ได้เป็นผู้เชียวชาญทางด้านตัวเก็บประจุ ผมเพียงเป็นผู้ใช้ก็แค่เลือกๆเอาว่าควรจะเอาแบบไหนมาใช้ให้เหมาะกับงาน ผมว่าของแพงก็ไม่ไช่ว่าดีเสมอไปนะครับถ้าเอามาใช้ผิดประเภท โดยเฉพาะไอ้ C ที่ตัวควายๆแพงๆ high volt อย่างเช่นพวก polypropylene volt สูงๆ ถ้าเล่นหลอดก็คงหลบไม่พ้น -แต่ผมเห็นคนบางกลุ่มทำวงจรประเภท low power low voltage ชอบใส่ C ราคาแพงแบบทรงกระบอกตัวใหญ่ๆเข้าไป แปลกดีเหมือนกัน

คุณสมบัติของ polypropylene เท่าที่รู้มาคือค่าความคลาดเคลื่อนของเก็บประจุมันต่ำซึ่งจะแปรผันตามอุณหภูมิน้อยมากเมื่อเทียบกับพวก C ห่วยๆอย่างพวก electrolyte ซึ่งของแถมที่ได้จากวัสดุ polypropylene คือ high volt ผมก็ไม่ไช่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านตัวเก็บประจุ ผมก็แค่อยากเดาง่ายๆ ตัววัสดุชนิด polypropylene น่าจะมีสัมประสิทธิ์การขยายตัวหดตัวที่ต่ำเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนไป ส่วนพวก C electrolyte ที่ทำมาจากกระดาษ(เดา)ซึ่ง dielectric mat'l ข้างในสถานะน่าจะเป็นของเหลวนั่นก็เดาได้ว่าถ้าเอาไปแข่แข็งที่ -10 องศา โครงสร้างโมเลกุลน่าจะเปลี่ยน กลายเป็นของข้นขึ้นหรือกลายเป็นของแข็ง(ซึ่งจะหดตัวหรือขยายตัวผมก็ไม่รู้)คุณสมบัติมันก็เปลี่ยน หรือ เอาไปอบใช้ที่ 80 องศา ของเหลวข้างในมันอาจจะขยายตัวทำให้คุณสมบัติเปลี่ยนได้เช่นกัน แต่ที่แน่ๆ หากวัสดุมีสัมประสิทธ์การขยายตัวต่ออุณหภูมิมาก โครงสร้างทางกายภาพเช่นระยะห่างของชั้นตัวเก็บประจุและพื้นที่มันก็ต้องเปลี่ยน ผมก็เลยขอเดาว่า ค่ามันเปลี่ยนเปลี่ยนเยอะ ผมว่าตัวอย่างตัวเก็บประจุ 2 ชนิดนี่ นี้น่าจะเปรียบเทียบโดยคร่าวๆให้เห็นภาพได้ง่ายสุด
ส่วนเรื่องของค่าความคลาดเคลื่อนของค่าความเก็บประจุที่ให้มาเช่น +-10% +-5% ก็เหมือนกัน สำหรับผมมันไม่ไช่สาระสำคัญอะไร เพราะวงจรที่ออกแบบที่จะนำมาใช้ ควรจะออกแบบไห้ไวหรือ sensitive ต่อค่าความเปลี่ยนแปลงนี้ ต้องทำ tolerance analysis ดูด้วยครับ อยากได้ค่าเปะๆคงต้องวัดละครับ แล้วก็ต่อต่อเพิ่มยังไงเพื่อ compensate มันให้ได้ค่าที่อยากได้ก็ทำกันไป   ในกรณีนี้ถ้าวงจรไวต่อตรงนี้มากๆ ต่อให้ C ค่าเดียวกันยี่ห้อเดียวกัน ซื้อมา 10 ตัว เสียงก็คงต่างกันทั้ง 10 ตัวเลยละครับ

-ค่า C ยิ่งเยอะตัวยิ่งใหญ่ หรือ ค่า C ยิ่งเยอะตัวยิ่งเล็ก(ใช้ วัสดุไดอิเล็คตริกค่ามาก) ทั่วไปที่ความถี่สูงเน่าทั้งคู่อะครับ ไม่งั้นพวก C decoulping ที่ใช้กับ supply เขาไม่ให้ต่อไล่ค่าขนานกันหรอกครับ ที่ผมเห็น C ที่คุณภาพดีๆแต่ค่าไม่ใหญ่มากมากสุดก็ 1000p อาจจะถึง 0.01u หรือ 0.1u ก็เห็นจะมีแต่ C ที่ใช้งานในย่าน RF เท่านั้นแหละครับ เช่นพวก C ที่ spec เขาบอกว่าใช้ได้ DC-5 ถึง 40GHz พวกนี้ใช้วัสดุ dielectric พิเศษโดยเฉพาะ C ที่ทน high power ได้สูงๆ ที่มันใช้ได้ความถี่สูงส่วนนึงคือ C หนึ่งตัวในหนึ่ง package จริงๆแล้วมันมีตัวเก็บประจุ 2 ตัวคนละค่าคือค่ามากกับค่าน้อยขนาดกันอยู่ซึ่งทำงานได้ดีคนละความถี่ พวกนี้ทนแรงดันได้ 500V ถึงเป็น 1000V ก็มี แต่ค่าจะไม่สูงมาก ถ้าใช้ค่าความจุระดับ nF pF พวกนี้แหละครับสุดยอดถูกกว่าด้วย ค่าความเก็บประจุคงที่ตั้งแต่ DC ยันไปถึงเป็น GHz ไม่ไวต่ออุณหภูมิ มีค่า ESR ต่ำ และ อื่นๆ

-โดยทั่วๆไป การที่ใช้เครื่องวัดค่า C, L ควรระวัง ทั่วไปมันวัดแค่ความถี่เดียวครับความถี่ไหนก็ไม่รู้ (แม่นยำรึเปล่าอีกด้วย) ก็จะได้ค่า R+-jX ออกมา แต่ที่แน่ๆเช่นถ้าเครื่องวัดใช้ความถี่ 10kHz คุณเอาค่า C ขนาดยักษ์มา คุณก็จะได้ค่า C ที่ 10kHz ต่ำ กว่าที่ 10Hz ซึ่งสมมุติว่าคุณเอาค่านี้ไปออกแบบหวังผลที่ 50Hz ก็จะซวยไปเพราะที่ 50Hz ค่า C มันจะสูงกว่า บางเครื่องก็เห็นปรับความถี่ได้นะครับ แต่ถ้าทำเองนี่ควรมียี่ห้อแพงๆไว้เทียบด้วยนะครับ
ผมก็บางคนวัดค่า ESR ของ C บางตัวออกมาได้ที่ความถี่ต่ำเป็นร้อยถึงเป็นพันๆ แต่พอความถี่สูงขึ้นไปอีกนิด ค่า ESR กลับลดลงมากในหลักสิบจนถึงหลักหน่อยต้นๆ ผมว่าแปลกดีเกิดมาไม่เคยเจอเหมือนกัน

-ไส่ค่า C น้อยเกินมันไม่ไช่แค่ loss ที่ความถี่ต่ำครับ มันมีผลต่อ phase shift ด้วยทำให้เพี้ยนกันเข้าไปใหญ่ คนส่วนมากชอบป้อนสัญญาณความถี่เดียวเข้าไปแล้วดูรูปสัญญาณออกมา แล้วก็บอกว่าสวยแต่ทำไมเสียงไม่ดี เทียบกับตัวที่สัญญาณออกมาแย่กว่า ยังไม่เคยเห็นใครลองป้อนสัญญาณเข้าไปซักหลายๆความถี่พร้อมกัน 10Hz 50Hz 100Hz 1k 10k 20k แล้วดูรูปคลื่นที่ออกมาหน้าตามันจะเหมือนเดิมรึเปล่า มีคลื่นลูกไหนมันเลื่อนไปอยู่ผิดที่ผิดทางบ้าง

-C ที่ดีสำหรับผม ผมไม่ค่อยได้ไส่ใจเรื่อง ESR เท่าไหร่ ผมสนแค่ความคงที่ของค่า C ตลอดช่วงความถี่ใช้งานจากต่ำสุดจนขึ้นไปสูงยิ่งสูงยิ่งดี ค่า R 1-2 ohm ให้มันคงที่อยู่อย่างนี้ ผมก็เอาแล้วครับขออย่างเดียว ทุกๆความถี่ ค่า R กับ C อย่าเปลี่ยนแล้วกัน

-คำนวณ Xc คำนวนเล่นๆก็สนุกดีครับ แต่สิ่งที่ทำให้เสียงเปลี่ยนคือ -j ที่เป็นค่าจิตภาพ อย่าลืมละครับ ซึ่ง ถ้า XC เท่ากับ 0 ทุกๆความถี่ ก็ไม่มีปัญหาเรื่อง phase distortion ของสัญญาณแน่นอน ถึง C คุณจะมีค่า ESR สูงเป็น 5-20 ohm แรงดันมันก็แค่ดรอปลงไปนิดหน่อย ซึ่งมัน drop เท่ากันหมดทุกความถี่ครับ ดังนั้นเสียงแค่เบาลงครับ ซึ่งความสัมพันธ์ของความต่าง phase ของสัญญาณความถี่เสียงทุกๆความถี่ที่มองใน time domain จะความต่าง phase ของสัญญาณแต่ละความถี่เท่าเดิมเพียงแต่ amplitude ของแต่ละความถี่ drop ลงมาในอัตราส่วนที่เท่ากันเท่านั้นเอง

ในความเห็นผม ผมคนไปทางที่ว่าไม่มีตัวเก็บประจุตัวไหนให้เสียงดีหรือไม่ดี มีก็เพียงแต่ว่าไส่เข้าไปในวงจรแล้วตลอดย่านความถี่มันทำให้ amplitude และ phase เปลี่ยนไปยังไงซึ่ง เสียงก็จะเปลี่ยนไปตามนั้นจะมากจะน้อยจะรู้สึกได้หรือไม่ ยอมรับได้หรือไม่ เป็นอีกเรื่องนึง
เครื่องเสียงไม่ไช่ art มันเป็นสิ่งที่คนจำลองสังเคราะห์ขึ้นมาเพื่อให้ได้เหมือนเสียงที่ฟังจากเครื่องเล่นดนตรีจริงมากที่สุด ผมมองว่าเป็น artificial และเพลงส่วนมากก็ mix มากันเกือบทั้งนั้น แต่การออกแบบเครื่องเสียงอาจมองศิลปะได้ในการ layout วงจร หรือการออกแบบรูปร่างตัวอุปกรณ์ให้สวยงาม การฟังผมก็มองเป็นศิลป ความชอบของแต่กลุ่มคนก็ไม่เหมือนกัน แต่สำหรับผมสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความภูมิใจที่ได้พยายามทำให้มันได้ดีที่สุดเท่าที่จะมีปัญญาทำโดยไม่หลงเข้าข้างตัวเองว่าของที่ตัวเองทำออกมาดี ซึ่งการออกแบบเครื่องเสียงที่ดีที่สุดต้อง match กันเป็น system รวมไปถึงห้องด้วย

พูดถึง Xc ก็อย่าลืม -j ด้วยละครับ เดี๋ยวมันจะน้อยใจ

















 


 



เบื่อ


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
:DFโห.....สาระน่าอ่านทั้งนั้น

แล้วผมสงสัยจัง ??? พวกวงจรที่ใช้ คลัปปลิ้งแบบอิเล็กโทรไลต์
เราจะเปลี่ยน มาใช้แบบ โพลี มันจะเป็นยังไงครับ (ค่าความจุเท่ากัน)

คลัปปลิ้งเครื่องหลอดหรือโซลิดครับถ้าโซลิดใช้ได้แต่อิเล็กโทรไลต์นาครับ ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดนะครับ :-\

ใช้ชนิดไหนก็ได้ครับ ตราบเท่าที่ค่า C เท่าเดิมและอัตราทนแรงดันเพียงพอ มันก็ทำงานเป็นปกติครับ 


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
:DFโห.....สาระน่าอ่านทั้งนั้น

แล้วผมสงสัยจัง ??? พวกวงจรที่ใช้ คลัปปลิ้งแบบอิเล็กโทรไลต์
เราจะเปลี่ยน มาใช้แบบ โพลี มันจะเป็นยังไงครับ (ค่าความจุเท่ากัน)

ไม่เป็นยังไงหรอกครับ ก็ ทำงานเป็นปกติ ครับ


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
เรียน Mr.tube จากกระทู้ที่ผ่านมา ที่ผมได้ให้สูตรมานั้น ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดนิดหนึ่ง Xc=0.1Rk เป็นการคำนวณหา Ck ครับ ส่วน C coupling Xc=0.1Rg ครับ เป็นบทความของอาจารย์ ถิรพันธ์ เป็งอินตา (ในตอนนั้นดำรงตำแหน่ง ผอ วิทยาสารพัดช่างลำปาง) 

เป็นการสรุปสูตรเพื่อให้ใช้งานง่ายๆ ครับ หลักการก็ตามสูตรคือ ที่ fc ให้ Xc มีค่า 1/10 ของ R ครับ ประมาณว่าให้มีการลดทอนประมาณ 9-10% ได้ที่ fc ครับ ถ้าความถี่สูงกว่านี้การลดทอนก็น้อยลง ทั้ง 2 สูตรอยู่บนพื้นฐานการคิดเดียวกันครับ  :)


ออฟไลน์ bb

  • Superstar..
  • ***
    • กระทู้: 3,674
    • เพศ:ชาย
:DFโห.....สาระน่าอ่านทั้งนั้น

แล้วผมสงสัยจัง ??? พวกวงจรที่ใช้ คลัปปลิ้งแบบอิเล็กโทรไลต์
เราจะเปลี่ยน มาใช้แบบ โพลี มันจะเป็นยังไงครับ (ค่าความจุเท่ากัน)

คลัปปลิ้งเครื่องหลอดหรือโซลิดครับถ้าโซลิดใช้ได้แต่อิเล็กโทรไลต์นาครับ ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดนะครับ :-\


ออฟไลน์ prasan

  • ...Back to the Basic...
  • Superstar...
  • ****
    • กระทู้: 5,086
    • เพศ:ชาย
:DFโห.....สาระน่าอ่านทั้งนั้น

แล้วผมสงสัยจัง ??? พวกวงจรที่ใช้ คลัปปลิ้งแบบอิเล็กโทรไลต์
เราจะเปลี่ยน มาใช้แบบ โพลี มันจะเป็นยังไงครับ (ค่าความจุเท่ากัน)


ซตพ. (ซึ่งต้องพิสูจน์ครับ)  :) อย่าเชื่อถ้าไม่ได้ทดสอบให้เห็นด้วยตัวเอง แล้วอย่าลืมมาแบ่งปันประสบการณ์ด้วยนะครับ  :secret
"I haven't failed. I've found 10,000 ways that don't work." - Thomas Edison
"Anyone who has never made a mistake has never tried anything new." - Albert Einstein


ออฟไลน์ jumper

  • ***
    • กระทู้: 138
    • เพศ:ชาย
 :DFโห.....สาระน่าอ่านทั้งนั้น

แล้วผมสงสัยจัง ??? พวกวงจรที่ใช้ คลัปปลิ้งแบบอิเล็กโทรไลต์
เราจะเปลี่ยน มาใช้แบบ โพลี มันจะเป็นยังไงครับ (ค่าความจุเท่ากัน)
ข้อมูลส่วนตัวครับhttp://www.htg2.net/index.php?topic=38857.0


ออฟไลน์ Eak-tubeamp

  • วันนี้ไม่เริ่ม ก็ไม่มีวันสำเร็จ
  • Superstar...
  • ****
    • กระทู้: 4,849
    • เพศ:ชาย
  • ....ด้วยใจรัก....
เรียน Mr.tube จากกระทู้ที่ผ่านมา ที่ผมได้ให้สูตรมานั้น ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดนิดหนึ่ง Xc=0.1Rk เป็นการคำนวณหา Ck ครับ ส่วน C coupling Xc=0.1Rg ครับ เป็นบทความของอาจารย์ ถิรพันธ์ เป็งอินตา (ในตอนนั้นดำรงตำแหน่ง ผอ วิทยาสารพัดช่างลำปาง) 
tel 083-3887864


ข้อมูลส่วนตัว  http://www.htg2.net/index.php?topic=44962.0


ออฟไลน์ kantang

  • Kantang LAB
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,569
    • เพศ:ชาย
ขอบคุณอ.มนสันต์ มากๆครับที่ช่วยแนะนำ+ไขข้อปัญหาต่างๆให้ครับ  :headphone
ยังมีอีกหลายคำถามเลยอะครับ แต่กลัวอ.เหนื่อย
อ.แวะมาช่วยพวกเราบ่อยๆนะครับ
 :headphone
kantang

ปล. ขอบคุณทุกท่านกับเจ้าของกระทู้มากๆครับ
สมาชิกใหม่รายงานตัวครับ
http://www.htg2.net/index.php?topic=53597.0


ออฟไลน์ prasan

  • ...Back to the Basic...
  • Superstar...
  • ****
    • กระทู้: 5,086
    • เพศ:ชาย
การเอา c มาต่อขนานกันหลายตัวทำ c coupling ( ซึ่งมีทั้ง L,c,r,R รวมกันอยู่ ปัจจัยที่ควบคุมได้ แต่บริษัทผลิต c อาจไม่บอกเราหมด) ก็จะส่งผลให้ factor ต่างๆทั้ง ESR, ESL dissipation fator ,etc. ผิดไปจาก c เพียงตัวเดียว
สรุปโดยรวมแล้วด้วยหลายๆปัจจัยข้างต้น
C 3.3 uf ย่อมไม่ท่ากับ C 1+1+1+0.3 uf ทั้งในแง่ของทฤษฎีที่อ. แนะนำไว้ และเสียงที่เราได้ยินใช่ไหมครับ

ขอแสดงความคิดเห็นครับ
1. ถ้าดูที่ค่า C อย่างเดียว C 3.3 uf ย่อมเท่ากับ C 1+1+1+0.3 uf
2. factor ต่างๆทั้ง ESR, ESL dissipation fator ,etc. มีค่าไม่คงที่เมื่อความถี่เปลี่ยนแปลง ตัวนี้แหละตัวร้ายที่ทำให้มีผลต่อเสียงและทำให้เสียงของ C อย่างเดียว C 3.3 uf  ไม่เท่ากับ C 1+1+1+0.3 uf
3. วัสดุที่ใช้ทำก็ทำให้ได้ค่า factor ต่างๆทั้ง ESR, ESL dissipation fator ,etc. สำหรับ C แต่ละตัวมีค่าไม่เท่ากันซึ่งส่งผลให้เป็นตามข้อ 2.

ขอบคุณครับ
"I haven't failed. I've found 10,000 ways that don't work." - Thomas Edison
"Anyone who has never made a mistake has never tried anything new." - Albert Einstein


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
ขอบคุณครับ Mr.Tube ผมต้องลองทดสอบ C ด้วยเครื่อง ESR meter ที่ผม DIY ไว้ใช้งานเองบ้างแล้วจำได้ว่าความถี่ที่ใช้ทดสอบน่าจะได้ถึง 20kHz จำไม่ได้เคยใช้สโคปวัดไว้ เมื่อก่อนทำไว้ตอนที่บ้า... ซ่อมทีวีและ Switching power supply  ;D ;D

แต่อาจจะไม่เห็นความแตกต่างเพราะสเกลค่อนข้างหยาบ  :)

Full Scale ของ Meter เป็นเท่าไหร่ครับคุณ prasan ค่า ESR ของ C พวก Plastic Film มักจะน้อยมากๆ จนถึงความถี่เป็น 100kHz ครับ คุณ prasan ลองวัด Electrolyte เทียบกับพวก Mylar หรือ Plastic Film ดูนะครับ น่าจะพอเห็นความแตกต่างครับ  :)


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
การเอา c มาต่อขนานกันหลายตัวทำ c coupling ( ซึ่งมีทั้ง L,c,r,R รวมกันอยู่ ปัจจัยที่ควบคุมได้ แต่บริษัทผลิต c อาจไม่บอกเราหมด) ก็จะส่งผลให้ factor ต่างๆทั้ง ESR, ESL dissipation fator ,etc. ผิดไปจาก c เพียงตัวเดียว
สรุปโดยรวมแล้วด้วยหลายๆปัจจัยข้างต้น
C 3.3 uf ย่อมไม่ท่ากับ C 1+1+1+0.3 uf ทั้งในแง่ของทฤษฎีที่อ. แนะนำไว้ และเสียงที่เราได้ยินใช่ไหมครับ

reference อันน้อยนิดของผมครับ
1.  http://www.wisc-online.com/objects/index_tj.asp?objID=ACE602
2. http://www.wima.com/EN/technicalinformation.htmวยครับ :headphone
3. http://www.tpub.com/neets/book2/4d.htm
4. ทฤษฎีอิเลคโทรนิกระดับปวช.

รบกวนด้วยครับ

 ขอบคุณอ. มากๆครับ  :-*  :-*

ในแง่ของทฤษฎีและการใช้งาน 3.3uF กับ 1+1+1+0.3 = 3.3uF นั้นเหมือนกันครับ ส่วนในแง่เสียงต่อให้ใช้ยี่ห้อเดียวกัน, วัสดุเดียวกัน, Series เดียวกัน ผมก็ฟังว่าต่างกันครับ แต่ใครจะชอบแบบไหนก็ไปลองกันเอาเองครับ ความแตกต่างมาจากค่าแฝงต่างๆ หรือไม่ ข้อนี้เท่าที่ทดลองมาผมคิดว่าเป็นส่วนใหญ่ครับ  ;)


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
อ. ครับ งงครับ  :) ผมรบกวนอีกนิดนะครับ อย่าเพิ่งเหนื่อยนะครับ  :-*  :-*
คือยังงงงงเรื่อง ค่า c 3.3 uf เท่ากับ c 1+1+1+0.3 uf ในแง่ของ Xc นะครับ
ดูตามรูปประกอบนะครับ อ.
จะได้พูดเรื่องเดียวกันไม่ไปคนละเรื่องครับ  :headphone

ส่วนสูตรอันนี้ถูกต้องนะครับ หมายถึงรูปที่แสดงสูตรคำนวณกรณี Series และ Parallel น่ะครับ ถ้าเอา C มาต่ออนุกรมกัน ค่า C จะลดลง ค่า Xc ก็เพิ่มขึ้นครับ และถ้าเอา C มาต่อขนานกัน ค่า C มากขึ้น ค่า Xc ก็ลดลงครับ คุณ kantang ลองทบทวนความเข้าใจดูอีกทีนะครับ  :)


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
อ. ครับ งงครับ  :) ผมรบกวนอีกนิดนะครับ อย่าเพิ่งเหนื่อยนะครับ  :-*  :-*

ก็ถ้าไม่เลิกเรียก อ. ซะที ก็จะเริ่มเหนื่อยและตอบไม่ไหวแล้วครับ  ;D :P

อ้างถึง
คือยังงงงงเรื่อง ค่า c 3.3 uf เท่ากับ c 1+1+1+0.3 uf ในแง่ของ Xc นะครับ
ดูตามรูปประกอบนะครับ อ.
จะได้พูดเรื่องเดียวกันไม่ไปคนละเรื่องครับ  :headphone

C ที่ขนานกันจะทำงานร่วมกันเสมือนเป็นตัวเดียวครับ จึงต้องเอาค่า C มาบวกกันก่อน จึงจะรู้ว่าค่า C นั้นเป็นเท่าไหร่และจะมีคุณสมบัติอย่างไรครับ ค่า Xc เป็นค่าที่แปรมาจากความจุของ C ครับ จึงคิดแบบที่คุณ kantang แสดงไว้ไม่ได้ครับ ต้องเอา C มารวมค่ากันเป็นตัวเดียวก่อนแล้วค่อยคิดครับ  ;)


ออฟไลน์ kantang

  • Kantang LAB
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,569
    • เพศ:ชาย
การเอา c มาต่อขนานกันหลายตัวทำ c coupling ( ซึ่งมีทั้ง L,c,r,R รวมกันอยู่ ปัจจัยที่ควบคุมได้ แต่บริษัทผลิต c อาจไม่บอกเราหมด) ก็จะส่งผลให้ factor ต่างๆทั้ง ESR, ESL dissipation fator ,etc. ผิดไปจาก c เพียงตัวเดียว
สรุปโดยรวมแล้วด้วยหลายๆปัจจัยข้างต้น
C 3.3 uf ย่อมไม่ท่ากับ C 1+1+1+0.3 uf ทั้งในแง่ของทฤษฎีที่อ. แนะนำไว้ และเสียงที่เราได้ยินใช่ไหมครับ

reference อันน้อยนิดของผมครับ
1.  http://www.wisc-online.com/objects/index_tj.asp?objID=ACE602
2. http://www.wima.com/EN/technicalinformation.htmวยครับ :headphone
3. http://www.tpub.com/neets/book2/4d.htm
4. ทฤษฎีอิเลคโทรนิกระดับปวช.

รบกวนด้วยครับ

 ขอบคุณอ. มากๆครับ  :-*  :-*
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23 เมษายน, 2009, 12:29:39 am โดย kantang »
สมาชิกใหม่รายงานตัวครับ
http://www.htg2.net/index.php?topic=53597.0


ออฟไลน์ kantang

  • Kantang LAB
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,569
    • เพศ:ชาย
นอกจากนี้ ถ้าพิจารณาดูองค์รวมของ c 1 ตัว :-*
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23 เมษายน, 2009, 12:11:04 am โดย kantang »
สมาชิกใหม่รายงานตัวครับ
http://www.htg2.net/index.php?topic=53597.0


ออฟไลน์ kantang

  • Kantang LAB
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,569
    • เพศ:ชาย
ดังนั้นในแง่ Xc ก็น่าจะสรุปได้ว่า c  3.3 uf ตัวเดียวไม่เท่ากับ 1+1+1+0.3 uf ตามสมการ  :)
ถ้าไม่ถูกต้องรบกวนอ.แก้ให้อีกนิดนะครับ  :bowdown  :headphone
จะพยายามอ่านมากๆครับ อ. จะได้ไม่ผิดหวัง แต่ ขอถามมากๆนะครับ ยังมีอีกหลายคำถามที่สงสัย แต่บางครั้งไม่กล้า...
เจออ.นี่แหละครับที่ช่วยชี้แนะ  :-*  :-*
สมาชิกใหม่รายงานตัวครับ
http://www.htg2.net/index.php?topic=53597.0


ออฟไลน์ kantang

  • Kantang LAB
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,569
    • เพศ:ชาย

ออฟไลน์ kantang

  • Kantang LAB
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,569
    • เพศ:ชาย

ออฟไลน์ kantang

  • Kantang LAB
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,569
    • เพศ:ชาย
อ. ครับ งงครับ  :) ผมรบกวนอีกนิดนะครับ อย่าเพิ่งเหนื่อยนะครับ  :-*  :-*
คือยังงงงงเรื่อง ค่า c 3.3 uf เท่ากับ c 1+1+1+0.3 uf ในแง่ของ Xc นะครับ
ดูตามรูปประกอบนะครับ อ.
จะได้พูดเรื่องเดียวกันไม่ไปคนละเรื่องครับ  :headphone
สมาชิกใหม่รายงานตัวครับ
http://www.htg2.net/index.php?topic=53597.0


ออฟไลน์ prasan

  • ...Back to the Basic...
  • Superstar...
  • ****
    • กระทู้: 5,086
    • เพศ:ชาย
ขอปรึกษา Mr.Tube ครับ การพิจารณาค่า C ที่เอามาใช้ทำ Bi-cap, tri-cap มีวิธีการอย่างไรครับ

ความคิดเห็นของผมครับ C ที่ใช้ coupling จัดเป็นวงจรแบบ Hi-pass filter หรือความถี่สูงกว่าค่าที่กำหนดจึงจะผ่านไปได้ซึ่งโดยปกติแล้วเราก็จะดูที่ความถี่ที่ต่ำสุดและที่สูงกว่ามันก็จะผ่านไปได้อยู่แล้ว แล้วทำไมต้องมี Bi-cap ถ้าพิจารณาความถี่จากค่า C ที่เอามาทำ Bi-cap ซึ่งปกติเป็นค่าน้อยๆ ความถี่ที่จะผ่านไปได้จะมีค่ามากกว่าค่าความถี่ตำสุดที่เราได้พิจารณาไปแล้ว
ทำไมต้องมีหรือต้อง Bi-cap ด้วย

ไม่ทราบว่าจะงงกับคำถามของผมหรือเปล่า  :)

สาเหตุมาจากค่า ESR ครับ (Equivalent Series Resistance) ค่า ESR เป็นค่าที่แปรผันตามความถี่ครับ C บางประเภทมีค่า ESR สูงมากที่ความถี่สูง (>10kHz) ซึ่งค่า ESR นี้ทำให้เกิด Loss ในตัวเก็บประจุครับ การ Bi-cap เป็นการเอา C ที่ค่า ESR ต่ำๆ ที่ความถี่สูงมา Bypass ESR อีกทีนึงครับ การขนาน R ก็ทำให้ Resistance ลดลงและ Loss ลดลงครับ ส่วน Tri-cap ก็ในเหตุผลเดียวกันครับ

ค่า ESR นี้เป็นค่าที่ทำให้ C ไม่เป็นไปตามอุดมคติครับ แทนที่สัญญาณจะถูกแบ่งแรงดันเฉยๆ อย่างที่ผมอธิบาย ก็มี Loss จาก ESR เพิ่มเข้ามาอีกครับ  :)

ขอบคุณครับ Mr.Tube ผมต้องลองทดสอบ C ด้วยเครื่อง ESR meter ที่ผม DIY ไว้ใช้งานเองบ้างแล้วจำได้ว่าความถี่ที่ใช้ทดสอบน่าจะได้ถึง 20kHz จำไม่ได้เคยใช้สโคปวัดไว้ เมื่อก่อนทำไว้ตอนที่บ้า... ซ่อมทีวีและ Switching power supply  ;D ;D

แต่อาจจะไม่เห็นความแตกต่างเพราะสเกลค่อนข้างหยาบ  :)
"I haven't failed. I've found 10,000 ways that don't work." - Thomas Edison
"Anyone who has never made a mistake has never tried anything new." - Albert Einstein


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
ขอปรึกษา Mr.Tube ครับ การพิจารณาค่า C ที่เอามาใช้ทำ Bi-cap, tri-cap มีวิธีการอย่างไรครับ

ความคิดเห็นของผมครับ C ที่ใช้ coupling จัดเป็นวงจรแบบ Hi-pass filter หรือความถี่สูงกว่าค่าที่กำหนดจึงจะผ่านไปได้ซึ่งโดยปกติแล้วเราก็จะดูที่ความถี่ที่ต่ำสุดและที่สูงกว่ามันก็จะผ่านไปได้อยู่แล้ว แล้วทำไมต้องมี Bi-cap ถ้าพิจารณาความถี่จากค่า C ที่เอามาทำ Bi-cap ซึ่งปกติเป็นค่าน้อยๆ ความถี่ที่จะผ่านไปได้จะมีค่ามากกว่าค่าความถี่ตำสุดที่เราได้พิจารณาไปแล้ว
ทำไมต้องมีหรือต้อง Bi-cap ด้วย

ไม่ทราบว่าจะงงกับคำถามของผมหรือเปล่า  :)

สาเหตุมาจากค่า ESR ครับ (Equivalent Series Resistance) ค่า ESR เป็นค่าที่แปรผันตามความถี่ครับ C บางประเภทมีค่า ESR สูงมากที่ความถี่สูง (>10kHz) ซึ่งค่า ESR นี้ทำให้เกิด Loss ในตัวเก็บประจุครับ การ Bi-cap เป็นการเอา C ที่ค่า ESR ต่ำๆ ที่ความถี่สูงมา Bypass ESR อีกทีนึงครับ การขนาน R ก็ทำให้ Resistance ลดลงและ Loss ลดลงครับ ส่วน Tri-cap ก็ในเหตุผลเดียวกันครับ

ค่า ESR นี้เป็นค่าที่ทำให้ C ไม่เป็นไปตามอุดมคติครับ แทนที่สัญญาณจะถูกแบ่งแรงดันเฉยๆ อย่างที่ผมอธิบาย ก็มี Loss จาก ESR เพิ่มเข้ามาอีกครับ  :)


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
ขอบคุณอ.มนสันต์มากๆครับ ผมอ่าน DIY jounal yearbook ที่ อ. แนะนำ c แต่ละยี่ห้อไว้ และลักษณะเสียงของแต่ละแบรนด์ ดีมากๆ
http://www.thaiavclub.org/forums/index.php?topic=3554.0  ใน yearbook 2003 หน้า12-20 ครับ  O0  O0  O0
ผมแนะนำให้พี่ๆน้องอ่านต่อเพิ่มเติมครับ  c) 

ขอข้อสรุปอีกทีนะครับอ.  :headphone
จากคำตอบที่อ.  แนะนำในข้อ 3 คือโดยเบื้องต้นคิดคำนวณตามสมการที่อ. แนะนำไว้ข้างต้น  :)
แต่ในความเป็นจริงหรือทางปฏิบัติ คงต้องใช้การฟังเป็นข้อสรุปเหมือนที่ อ. comment ไว้ใน yearbook2003 เรื่อง capacitor shoot out อีกทีใช่ไหมครับ เพราะมีสภาวะบางอย่างที่เราไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด

ขอบคุณอ. มากๆครับที่แนะนำ  :-*  :-*  :-*

เรื่องการตอบสนองเป็นเรื่องที่คำนวณและควบคุมได้ครับ ถ้าเรากำหนดค่า fc สูงเกินไปเบสจะลดลงเรื่อยๆ ผมถือว่าการสร้างเครื่องเสียง อย่างน้อยต้องตอบสนองได้ตามขั้นต่ำก่อนครับ บางคนก็ 20Hz-20kHz สำหรับแอมป์หลอดอาจจะอนุโลม 35Hz-15kHz ก็แล้วแต่ ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเสียงดี-ไม่ดีกัน เพราะตก Spec เครื่องเสียงไปแล้ว เรื่องความพอใจของเสียงค่อยมาว่ากันหลังจากผ่านขั้นต่ำมาครับ  :)


ออฟไลน์ prasan

  • ...Back to the Basic...
  • Superstar...
  • ****
    • กระทู้: 5,086
    • เพศ:ชาย
ขอปรึกษา Mr.Tube ครับ การพิจารณาค่า C ที่เอามาใช้ทำ Bi-cap, tri-cap มีวิธีการอย่างไรครับ

ความคิดเห็นของผมครับ C ที่ใช้ coupling จัดเป็นวงจรแบบ Hi-pass filter หรือความถี่สูงกว่าค่าที่กำหนดจึงจะผ่านไปได้ซึ่งโดยปกติแล้วเราก็จะดูที่ความถี่ที่ต่ำสุดและที่สูงกว่ามันก็จะผ่านไปได้อยู่แล้ว แล้วทำไมต้องมี Bi-cap ถ้าพิจารณาความถี่จากค่า C ที่เอามาทำ Bi-cap ซึ่งปกติเป็นค่าน้อยๆ ความถี่ที่จะผ่านไปได้จะมีค่ามากกว่าค่าความถี่ตำสุดที่เราได้พิจารณาไปแล้ว
ทำไมต้องมีหรือต้อง Bi-cap ด้วย

ไม่ทราบว่าจะงงกับคำถามของผมหรือเปล่า  :)
"I haven't failed. I've found 10,000 ways that don't work." - Thomas Edison
"Anyone who has never made a mistake has never tried anything new." - Albert Einstein


ออฟไลน์ kantang

  • Kantang LAB
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,569
    • เพศ:ชาย
เรียนถามอ. มนสันต์ อีกทีนะครับ ห้ามเบื่อนะครับ  :headphone
1. ตามรูป1 และ 2 เหมือนกัน ใช่ไหมครับ ตามที่ อ. ได้แนะนำไว้ตามข้อความข้างต้น  :)
2. แบบแรก และ แบบที่สอง ตามสูตรคำนวณที่อ. แนะนำไว้ แตกต่างกันในแง่ทฤษฎี อย่างไรบ้างครับ
3. เสียงจะแตกต่างกันอย่างไรบ้างครับ บังเอิญไม่ค่อยไดทำการบ้านเท่าไหร่ เห็นใน JP80 ต่อไว้ลักษณะนี้ (ใช้ c หลายตัวมาก ) แต่ดูแบรนด์บางยี่ห้อใช้แค่ bicap ธรรมดา  :secret
4. อ. แนะนำแบบไหนดีครับ เอาแบบที่อ. ชอบ หรือ ใช้อยู่ในเครื่องที่อ.ฟังที่บ้านอะครับ  :headphone

ไม่เบื่อหรอกครับ ไม่ต้องเกรงใจ ถามมาก็ตอบครับ แต่เรียก Mr. Tube เฉยๆ จะดีกว่าครับ  ;)

1. ใช่ครับ เหมือนกันครับ
2. ไม่แตกต่างกันครับ ค่า C คือ 3.3uF เหมือนกันครับ
3. ผมเคยลองเทียบเสียงจากการต่อ 2 ลักษณะนี้โดยใช้ C ยี่ห้อเดียวกันหลายครั้ง พบว่าไม่มีผลตายตัวครับ บางยี่ห้อการใช้ตัวเดียวฟังดีกว่า บางยี่ห้อการใช้หลายตัวฟังดีกว่า ผมจึงไม่ได้สนใจครับ เพราะสุดท้ายผมไม่สามารถสรุปกติกาที่ชัดเจนได้ ต้องทดลองแล้วฟังเอาเป็นรอบๆ ไปครับ
4. ตามข้อ 3 เลยครับ


ขอบคุณอ.มนสันต์มากๆครับ ผมอ่าน DIY jounal yearbook ที่ อ. แนะนำ c แต่ละยี่ห้อไว้ และลักษณะเสียงของแต่ละแบรนด์ ดีมากๆ
http://www.thaiavclub.org/forums/index.php?topic=3554.0  ใน yearbook 2003 หน้า12-20 ครับ  O0  O0  O0
ผมแนะนำให้พี่ๆน้องอ่านต่อเพิ่มเติมครับ  c) 

ขอข้อสรุปอีกทีนะครับอ.  :headphone
จากคำตอบที่อ.  แนะนำในข้อ 3 คือโดยเบื้องต้นคิดคำนวณตามสมการที่อ. แนะนำไว้ข้างต้น  :)
แต่ในความเป็นจริงหรือทางปฏิบัติ คงต้องใช้การฟังเป็นข้อสรุปเหมือนที่ อ. comment ไว้ใน yearbook2003 เรื่อง capacitor shoot out อีกทีใช่ไหมครับ เพราะมีสภาวะบางอย่างที่เราไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด

ขอบคุณอ. มากๆครับที่แนะนำ  :-*  :-*  :-*
สมาชิกใหม่รายงานตัวครับ
http://www.htg2.net/index.php?topic=53597.0


ออฟไลน์ Eak-tubeamp

  • วันนี้ไม่เริ่ม ก็ไม่มีวันสำเร็จ
  • Superstar...
  • ****
    • กระทู้: 4,849
    • เพศ:ชาย
  • ....ด้วยใจรัก....
ใช่ครับ  ผมได้มาจากนิตยสาร WHAT HI-FI บทความนี้นานมากแล้ว ครับ ผมจำไม่ได้ว่าท่านใดเป็นคนเขียน เดี๋ยวเย็นนี้กลับไปดูว่าเป็นของใคร  :giveup
tel 083-3887864


ข้อมูลส่วนตัว  http://www.htg2.net/index.php?topic=44962.0


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
ย้อนกลับเรื่องการหาค่า  Xc นิดนึงครับ บางตำราก็บอกว่า Xc=0.1Rk ไม่แน่ใจว่าสูตรนี้ใช้ได้หรือไม่

Rk หมายถึง R cathode รึเปล่าครับ ถ้าใช่ ผมไม่เข้าใจแนวคิดเค้าครับ รบกวนขอ Link ข้อมูลต้นทางด้วยครับ จะลองเข้าไปอ่านแนวคิดเค้าก่อนมาตอบครับ  :)


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
ขอถามคุณอาร์ตเพิ่มเติมบ้างครับ(สงสัยมานานแล้ว แต่โดยส่วนตัวก็คำนึงถึงเรื่องนี้อยู่...แต่ไม่มีผลใดๆในทางปฏิบัติเพราะผมเป็นพวกที่ทำอะไรเกินขั้นต่ำเสมอ)

นอกจากความชอบแล้ว  การใช้ซีค่ามากน้อย  ควรคำนึงถึง  กระแสไบอัสของหลอดด้วยใช่หรือไม่ครับ

ยกตัวอย่าง แบบชัดๆ
... หลอด 12AX7 แล้วดันไปใช้  C ค่าสูง 22 uF อะไรทำนองนี้ กว่ามันจะชาร์จ-ดิสชาร์จ ส่งผ่านสัญญาณได้คงนานพิลึก
... กลับกันหลอด 6AS7 Pre-Amp  แล้วดันไปใช้  C ค่า 0.22 uF อะไรทำนองนี้

ขอบคุณครับ

เคยคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกันครับคุณคุ้มว่ามันน่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกันหรือไม่ ผมคิดว่าค่า Timming ในการ Charge/Discharge กับค่าความเร็วเชิงมุม (โอเมก้า) ที่ใช้ในสูตรคำนวณทางกระแสสลับทั่วๆ ไปน่าจะเป็นเรื่องเดียวกันครับ ผมจึงสรุปว่าสูตรที่ใช้คำนวณการตอบสนองความถี่ครอบคลุมเรื่องนี้ไปแล้วครับ และมุ่งประเด็นไปที่โครงสร้างของ C เองที่เอื้อให้มีการ Charge/Discharge ช้า-เร็วต่างกัน ถึงแม้ค่าความจุและอัตราทนแรงดันจะเท่ากันมากกว่าครับ ผมสังเกตจากการใช้ C Electrolyte BP 1uF/250V กับ Polypropylene 1uF/250V ที่มีโครงสร้างเป็น Foil ม้วนเหมือนกัน ฟังเทียบกันในวงจรเดียวกันก็ยังรู้สึกได้ว่า PP ให้ Transient ที่ดีกว่า อย่างไรก็ตาม ข้อนี้คงต้องให้นักออกแบบตัวเก็บประจุหรืออยู่ในอุตสาหกรรมผลิตตัวเก็บประจุมาเล่าให้ฟังอีกทีครับ เพื่อนๆ มีมุมมองอะไรมาช่วยๆ กันแชร์ความรู้-ความคิดนะครับ ถ้าผมคิดผิดก็ช่วยสอยด้วยครับ  ;D


ออฟไลน์ lovelyglass

  • ****
    • กระทู้: 260
 :clap :clap :clapขอบคุณครับ ได้ความรู้อย่างยิ่งครับ แต่สงสัยคงอีกนานกว่าจะได้กลับมายุ่งเกี่ยวกับเครื่องเสียงและหลอด :cry2 :cry2 :cry2


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
เรียนถามอ. มนสันต์ อีกทีนะครับ ห้ามเบื่อนะครับ  :headphone
1. ตามรูป1 และ 2 เหมือนกัน ใช่ไหมครับ ตามที่ อ. ได้แนะนำไว้ตามข้อความข้างต้น  :)
2. แบบแรก และ แบบที่สอง ตามสูตรคำนวณที่อ. แนะนำไว้ แตกต่างกันในแง่ทฤษฎี อย่างไรบ้างครับ
3. เสียงจะแตกต่างกันอย่างไรบ้างครับ บังเอิญไม่ค่อยไดทำการบ้านเท่าไหร่ เห็นใน JP80 ต่อไว้ลักษณะนี้ (ใช้ c หลายตัวมาก ) แต่ดูแบรนด์บางยี่ห้อใช้แค่ bicap ธรรมดา  :secret
4. อ. แนะนำแบบไหนดีครับ เอาแบบที่อ. ชอบ หรือ ใช้อยู่ในเครื่องที่อ.ฟังที่บ้านอะครับ  :headphone

ไม่เบื่อหรอกครับ ไม่ต้องเกรงใจ ถามมาก็ตอบครับ แต่เรียก Mr. Tube เฉยๆ จะดีกว่าครับ  ;)

1. ใช่ครับ เหมือนกันครับ
2. ไม่แตกต่างกันครับ ค่า C คือ 3.3uF เหมือนกันครับ
3. ผมเคยลองเทียบเสียงจากการต่อ 2 ลักษณะนี้โดยใช้ C ยี่ห้อเดียวกันหลายครั้ง พบว่าไม่มีผลตายตัวครับ บางยี่ห้อการใช้ตัวเดียวฟังดีกว่า บางยี่ห้อการใช้หลายตัวฟังดีกว่า ผมจึงไม่ได้สนใจครับ เพราะสุดท้ายผมไม่สามารถสรุปกติกาที่ชัดเจนได้ ต้องทดลองแล้วฟังเอาเป็นรอบๆ ไปครับ
4. ตามข้อ 3 เลยครับ


ออฟไลน์ Eak-tubeamp

  • วันนี้ไม่เริ่ม ก็ไม่มีวันสำเร็จ
  • Superstar...
  • ****
    • กระทู้: 4,849
    • เพศ:ชาย
  • ....ด้วยใจรัก....
ย้อนกลับเรื่องการหาค่า  Xc นิดนึงครับ บางตำราก็บอกว่า Xc=0.1Rk ไม่แน่ใจว่าสูตรนี้ใช้ได้หรือไม่
tel 083-3887864


ข้อมูลส่วนตัว  http://www.htg2.net/index.php?topic=44962.0


ออฟไลน์ Nazooza

  • : ซู่ซ่า ซะ :
  • *****
    • กระทู้: 738
    • เพศ:ชาย
กระทู้ดี มีประโยชน์  O0
ที่อยู่และรายละเอียดครับ : http://www.htg2.net/index.php?topic=34011.0


ออฟไลน์ kantang

  • Kantang LAB
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,569
    • เพศ:ชาย
แล้วเวลาเราไบแคป เราจะแยกการคำนวนออกมาเป็น c ตัวหลักอันนึงกับ c ที่เอามาไบแคปอีกอันนึงได้ไหมครับ หรือว่าเป็นค่า c ที่รวมกันแล้วครับ  ???

ต่อขนานกันถือเป็น C ตัวเดียวกันค่าบวกกันครับ แต่โดยมากการ Bi-cap มักจะใช้ C ที่ค่าเล็กกว่าตัวหลักมาก เช่น 2uF กับ 0.01uF ต่างกัน 200 เท่า ไม่ได้ทำให้การทำงานของวงจรเปลี่ยนไปจนต้องสนใจครับ แต่ถ้าเอา 0.47uF ไป Bicap 1uF แบบนี้ก็มีนัยยะในเรื่องการตอบสนองครับ อย่างไรก็ตามค่า C ที่เพิ่มขึ้นทำให้การตอบสนองด้านต่ำดีขึ้น ซึ่งถ้าปกติ 1uF ก็ตอบสนอง 20Hz ได้อยู่แล้ว การเพิ่มค่าลักษณะนี้จึงมักไม่ใครสนใจจะคำนวณย้อนครับครับ เพราะมันได้ต่ำกว่า 20Hz อยู่แล้ว

เรียนถามอ. มนสันต์ อีกทีนะครับ ห้ามเบื่อนะครับ  :headphone
1. ตามรูป1 และ 2 เหมือนกัน ใช่ไหมครับ ตามที่ อ. ได้แนะนำไว้ตามข้อความข้างต้น  :)
2. แบบแรก และ แบบที่สอง ตามสูตรคำนวณที่อ. แนะนำไว้ แตกต่างกันในแง่ทฤษฎี อย่างไรบ้างครับ
3. เสียงจะแตกต่างกันอย่างไรบ้างครับ บังเอิญไม่ค่อยไดทำการบ้านเท่าไหร่ เห็นใน JP80 ต่อไว้ลักษณะนี้ (ใช้ c หลายตัวมาก ) แต่ดูแบรนด์บางยี่ห้อใช้แค่ bicap ธรรมดา  :secret
4. อ. แนะนำแบบไหนดีครับ เอาแบบที่อ. ชอบ หรือ ใช้อยู่ในเครื่องที่อ.ฟังที่บ้านอะครับ  :headphone
สมาชิกใหม่รายงานตัวครับ
http://www.htg2.net/index.php?topic=53597.0


ออฟไลน์ wat12(คุ้ม)

  • ชอบรวมสิ่งที่ดีๆเข้าด้วยกัน จึงไม่เกี่ยงทั้งเทคโนโลยี่แรกเริ่ม หรือล่าสุด
  • ผู้สนับสนุน web
  • Super Star.
  • *
    • กระทู้: 2,839
  • DLP 4 Studiotek130 , TUBE 4 STAX , SSamp 4 spk
ขอถามคุณอาร์ตเพิ่มเติมบ้างครับ(สงสัยมานานแล้ว แต่โดยส่วนตัวก็คำนึงถึงเรื่องนี้อยู่...แต่ไม่มีผลใดๆในทางปฏิบัติเพราะผมเป็นพวกที่ทำอะไรเกินขั้นต่ำเสมอ)

นอกจากความชอบแล้ว  การใช้ซีค่ามากน้อย  ควรคำนึงถึง  กระแสไบอัสของหลอดด้วยใช่หรือไม่ครับ

ยกตัวอย่าง แบบชัดๆ
... หลอด 12AX7 แล้วดันไปใช้  C ค่าสูง 22 uF อะไรทำนองนี้ กว่ามันจะชาร์จ-ดิสชาร์จ ส่งผ่านสัญญาณได้คงนานพิลึก
... กลับกันหลอด 6AS7 Pre-Amp  แล้วดันไปใช้  C ค่า 0.22 uF อะไรทำนองนี้

ขอบคุณครับ
ไม่มีอะไรดีที่สุด การค้นหาข้อดีของแต่ละอย่างแล้วผนวกเข้าด้วยกันเพื่อความพึงพอใจคือสิ่งที่ท้าทาย  " ทำเหมือนเขา ได้ดีที่สุดคือเท่าเขา แต่ส่วนใหญ่จะแพ้เขา แต่ถ้าเราใส่ไอเดียคิดใหม่ของเราเข้าไป โอกาสชนะและดีกว่ามีครับ " สนับสนุนการคิด ไม่พิศมัยการลอกทั้งดุ้น

http://www.htg2.net/index.php?topic=23262


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
แล้วเรื่อง c ค่าเดียวกันแต่คนละยี่ห้อเสียงไม่เหมือนกันเป็นเพราะอะไรครับ :)ความรู้น้อยช่วยด้วยครับ

เท่าที่ผมทราบมา แบ่งได้เป็น 2 สาเหตุครับ
1. เกิดจากค่าแฝงต่างๆ ใน C เองครับ เช่น ESR หรือ ESL เป็นต้น ค่าพวกนี้รวมกับค่า C จะฟอร์มตัวเองเป็น Network ซึ่งมีรูปแบบการตอบสนองเฉพาะตัว
2. เกิดจากความเพี้ยนและ Noise ที่เกิดในตัวเก็บประจุเองครับ

ส่วนว่าสาเหตุใดทำให้ผลการรับฟังเป็นอย่างไรนี่ไม่ทราบครับ เพราะมันเป็นเรื่องความรู้สึกของคนฟังครับ ผมเห็นว่าเรื่องการเลือกค่า C/R เป็นเรื่องที่มีข้อสรุป เพราะมันเกี่ยวกับการตอบสนองของวงจร ฟังเพลงร็อคไม่มีเบส น้อยคงนักที่จะบอกว่าเพราะครับ แต่เรื่องการเลือกยี่ห้อ, วัสดุ, ผู้ผลิต เป็นเรื่องที่มีข้อสรุปเหมือนกัน แต่เป็นสรุปใครสรุปมันนะครับ  ;D ;D


ออฟไลน์ Eak-tubeamp

  • วันนี้ไม่เริ่ม ก็ไม่มีวันสำเร็จ
  • Superstar...
  • ****
    • กระทู้: 4,849
    • เพศ:ชาย
  • ....ด้วยใจรัก....
ขอบคุณอาจารย์ที่ชี้แนะครับ O0 O0
tel 083-3887864


ข้อมูลส่วนตัว  http://www.htg2.net/index.php?topic=44962.0


ออฟไลน์ kantang

  • Kantang LAB
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,569
    • เพศ:ชาย
ขอบคุณอ.มนสันต์ มากครับ  :)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 เมษายน, 2009, 04:14:52 pm โดย kantang »
สมาชิกใหม่รายงานตัวครับ
http://www.htg2.net/index.php?topic=53597.0


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
แล้วอย่างค่า roll off ก็เหมือนกัน ทำไมใช้ 20 Hz ผมอ่านในเว็ปของนอกบางเว็ป เข้าบอกว่า base on solen 10 Hz ที่ Xc 1Meg เลย หมายความว่า ยี่ห้ออืน ค่าเดียวกัน Xc มันไม่เหมือนกันหรือครับ บางอัน ที่ 5 Hz ก็ยังเคยอ่านเจออะครับ แล้ว c ที่ค่าเดียวกันคนละยี่ห้อ Xc จะเท่ากันหรือครับสงสัยอะครับ :)

เป็นที่เข้าใจทั่วกันว่าเครื่องเสียงควรจะตอบสนองได้อย่างน้อย 20Hz-20kHz ส่วนจะทำได้ 1Hz-100kHz นั่นก็แล้วแต่ผู้ออกแบบ และความพอใจที่สูงเกินกว่าขั้นต่ำครับ อย่างที่อธิบายไว้ว่า Xc ขึ้นกับค่า C และความถี่เท่านั้น ในสูตรคำนวณไม่มีตัวแปรผู้ผลิต, ตัวแปรยี่ห้อ, ตัวแปรชนิดครับ ถ้า C และ f เท่ากัน Xc ก็เท่ากันครับ  :)


ออฟไลน์ kantang

  • Kantang LAB
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,569
    • เพศ:ชาย
ผมก็พูดแบบนี้แต่แรกนี้ครับมันขึ้นกับองค์ประกอบไม่ใช่หรือครับ คำนวนมันก็อีกเรื่องอะครับ  :)
สมาชิกใหม่รายงานตัวครับ
http://www.htg2.net/index.php?topic=53597.0