Home Theater Guide webboard > มุม ห้อง (HT room) ของดการโษณาใดๆที่ห้องนี้ด้วยนะครับ

อีกห้องหนึ่งที่อุดรครับ

(1/244) > >>

หมอเอก:
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาคุณฟ้า เพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนวิศวะตั้งใจบินมาเยี่ยมชมที่ห้อง เพื่อหาข้อมูลทำห้องhome theaterต่อไป ไม่น่าเชื่อลองกันไปลองกันมาสนุกมาก ดูหนังเรื่องWonder Womanแบบ4K HDRกันจนจบเรื่องเลย ตอนนี้อยากจะบอกว่าพอได้ดูภาพ4K HDRแบบcalibrateแล้วไม่อยากกลับไปดูหนังแบบ1080p SDRเลย






หมอเอก:
เมื่อวันก่อนผมและเพื่อนสมาชิกHome Theater Proได้ไปเยี่ยมชมห้องHome Theaterของพี่หมออิ๊ด ซึ่งนับว่าเป็นห้องDedicated Home Theaterที่สมบูรณ์แบบมาก คร่าวๆนี่มีลำโพงมากถึง 22channelsกันเลยเลยเอาภาพมาให้ชมกันก่อนเป็นตัวอย่าง ส่วนรายละเอียดSystemทั้งหมด ตำแหน่งลำโพง เสียงที่ออกมาเป็นยังไงบ้าง ผมจะเล่าแบบละเอียดอีกทีในหนังสือAudiophile/Videophileนะครับ


สมาชิกที่ร่วมไปเปิดหู เปิดตาในวันนั้น


ห้องนี้ใช้ระบบลำโพงของMeyer Soundทั้งหมด ด้านหน้าจะมีลำโพงLCR และลำโพงsubwoofer2ตู้ แต่ละตู้ประกอบด้วยdriver ขนาด18นิ้วตู้ละสองดอก ทั้งหมดถูกฝังเอาไว้ในBaffle หลังจอAT screenขนาด 150นิ้ว


ด้านหลังในส่วนของลำโพงSurr และSurr Back พร้อมทั้งSubwoofer อีกสองตู้แขวนไว้ด้านบน....ขอย้ำว่าแขวนไว้ด้านบนครับ


ด้านหลังทำเป็นห้องนั่งเล่นซ่อนไว้ สามารถเปิดออกไปหาขนม น้ำดื่มได้ระหว่างดูหนัง


โฉมหน้าชัดๆของลำโพงใหม่ล่าสุดของMeyer Sound รุ่นAmie ที่ตอนนี้ได้เริ่มเข้าไปประจำการในPost Production Facilityชื่อดังระดับโลกหลายแห่งแล้ว


พี่อิ๊ดอธิบายถึงตำแหน่งการวางลำโพงต่างๆ ซึ่งห้องนี้ได้ให้ Arnaud Laborie เจ้าพ่อ 3D soundที่เป็นผู้ก่อตั้งและCEOของTrinnov Sound เป็นคนapprovedตำแหน่งลำโพงต่างๆให้ Projector modelล่าสุดของJVCคือรุ่น DLA-X7900


Ceiling Channels ที่มีทั้งDolby Atmos 8channels, Auro 3Dอีก 2channelsทำงานร่วมกันเพื่อให้รองรับทั้งระบบ Auro 3D, DTS-XและDolby Atmos


ลำโพงFront wide


มีซ่อนRackเก็บอุปกรณ์ต่างๆไว้ที่ผนัง


โล่งไปเยอะเลย เพราะลำโพงMeyer Soundเป็นลำโพงแบบActiveทุกChannels ไม่ได้ใช้Power Amplifierจากภายนอก ทำให้ประหยัดAmpไปได้เยอะ


ด้านข้างก็มีห้องเก็บแผ่นซ่อนไว้อีกเช่นกัน


ทำให้สามารถเข้าไปเปลี่ยสายต่างๆของระบบได้ง่ายมาก


รวมถึงใช้เก็บแผ่น เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆอีกด้วย


วันนั้นได้ลองระบบเสียงทุกระบบเสียงที่มี ทั้งจากภาพยนตร์ คอนเสิร์ต เพลง2ch


เสียงที่ออกมาเรียกได้ว่าสุดยอดมาก แนะนำเลยสำหรับห้องนี้ถ้าใครอยากรู้ว่าภาพที่สวยถูกต้องตามมาตรฐาน เสียงที่ดีเสียงที่ถูกต้องตามมาตรฐานเป็นยังไง ต้องไปสัมผัสห้องนี้ให้ได้ครับ แต่บอกไว้ก่อนว่าผมลองรวมมูลค่าของห้องนี้คร่าวๆ จากที่ผมพอทราบราคาอุปกรณ์เหล่านี้อยู่บ้างผมว่าทั้งห้องนี้อุปกรณ์ทั้งหมดมูลค่ามากกว่า 8หลักแน่นอนครับ


ต้องขอขอบคุณพี่หมออิ๊ดมากครับที่ให้โอกาสผมและสมาชิกได้สัมผัสประสบการณ์สุดยอดในครัั้งนี้ (อยากจะกระซิบบอกว่าเป็นบุญของตาและหูของผม จริง จริ๊งงงงงงง)


หมอเอก:

Phase Alignment PartII Comb Filters
ในตอนที่แล้วได้พูดถึงPhase Alignmentระหว่างลำโพงtweeterกับwooferว่าถ้ามีTime offsetจะเกิดอะไรขึ้น ในตอนที่สองนี้ก็จะพูดถึงถ้าลำโพงสองตัวเล่นสัญญาณเดียวกันแต่มีTime offsetจะเป็นยังไงบ้าง?
จากหลักPhysical Lawของเสียง ถ้าลำโพงตั้งแต่สองตัวขึ้นไปเล่นสัญญาณเสียงเดียวกันแต่มีเวลามาถึงจุดฟังไม่เท่ากัน phaseของเสียงที่ต่างกันทำให้เกิดการเสริมกันของความถี่บางความถี่และหักล้างกันของความถี่บางความถี่โดยเกิดขึ้นเป็นseriesหลายๆตำแหน่งต่อเนื่องกันทำให้กราฟของfrequency responseออกมาขึ้นลงคล้ายๆกับซี่ของหวีเขาจึงเรียกกว่าcomb filter
การเกิดcomb filterจะทำให้โทนของเสียงเปลี่ยนไปเนื่องจากมีหลายตำแหน่งมีความถี่หายไปหลายตำแหน่งมีความถี่สูงมากกว่าเดิม ทำให้ความสมจริงสมจังของเสียงหรือบางคนเรียกว่าความเป็นธรรมชาติของเสียงเสียไป โดยเฉพาะเสียงพูดถ้าเกิดcomb filtersขึ้นเสียงคนก็จะเปลี่ยนไปเพี้ยนไปบางครั้งก็เสียงก็อาจจะอู้อี้ บางทีเสียงก็อาจจะสดเกินแบบแปร่งๆ ยิ่งถ้าตำแหน่งdipไปตรงกับตำแหน่งที่เป็นพื้นฐานของเสียงพูดพอดีเสียงพูดที่ออกมาก็จะขาดน้ำหนักไม่สมจริง บางทีcomb filterก็จะทำให้รู้สึกได้ว่าสเกลเสียงพูดของลำโพงชุดนี้ทำไมเล็กว่าอีกห้องที่ใช้ชุดSystemเหมือนกันแต่กลับมีสเกลเสียงที่ใหญ่กว่า เหล่านี้ล้วนเป็นผลของเสียงที่เกิดcomb filterขึ้น ยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่าทำไมcomb filterถึงมีผลต่อน้ำเสียงของคนมาก อย่างเช่นเสียงของDarth Vaderในภาพยนตร์เรื่องStar Warsมันถูกสร้างขึ้นจากเสียงคนปกติรวมกับเสียงเดิมที่delay timeเข้าไป10ms แล้วทำให้เกิดcomb filteringขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าเสียงDarth Vaderที่ออกมาดูไม่เหมือนเสียงคนปกติในธรรมชาติเลย



Comb Filterที่มักพบในห้องhome theaterก็เช่น การที่แยกสัญญาณเสียงจากchannelหนึ่งให้ไปออกลำโพงสองตู้ที่เหมือนกันทำให้ลำโพงทั้งสองตู้มีเสียงออกมาเหมือนกันทุกอย่างเมื่อเวลาที่เสียงจากทั้งสองตู้มาถึงตำแหน่งนั่งฟังไม่พร้อมกันแม้เพียงนิดเดียวก็จะทำให้เกิดComb filterขึ้น และอีกอย่างที่พบบ่อยในห้องฟังก็คือการรวมกันของเสียงโดยตรงจากลำโพงกับเสียงสะท้อนจากผนัง พื้น เพดาน หรือจากวัตถุที่เกิดการสะท้อนของเสียงได้ ทำให้เสียงที่สะท้อนซึ่งก็คือเสียงเดียวกับเสียงที่มาถึงหูตรงๆมาถึงช้ากว่าเสียงตรงๆจากลำโพงรวมกันก็เกิดเป็นcomb filterขึ้น


คราวนี้ลองมาดูจริงๆกันว่าจะเกิดcomb filterตามPhysical Lawหรือไม่ เอาที่เห็นกันบ่อยๆคือแยกเสียงจากลำโพงmainแต่ละchannelมาออกลำโพงสองตัวเหมือนๆกัน เช่นแบบนี้ลองเอาลำโพงตัวเดียวเล่นเสียงpink noiseจากsignalเดียว แล้ววัดfrequency responseดู ก็ยังไม่พบลักษณะของcomb filter


แต่พอsplitสัญญาณจากแชลแนลเดียวกันให้ออกลำโพงสองตัวเหมือนกัน มาเลยครับทีนี้comb filter


ยิ่งขยับให้ไมค์ให้off axisมากขึ้น พบว่าcomb filterก็จะมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นตามเพราะtime offsetของลำโพงทั้งสองตัวมีค่ามากขึ้น


ลองมาเทียบกับลำโพงCenterที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้เป็นลำโพงCenterเพียงตัวเดียว เมื่อวางไมค์ตรงกลางก็ไม่พบcomb filter


และถึงแม้ขยับออกนอกแนวoff axisไปมาก ก็ยังไม่พบลักษณะของcomb filter พบแต่การroll offของความถี่สูงเนื่องจากระยะทางที่ออกนอกแนวมากขึ้น


อีกแบบที่พบบ่อยในห้องhome theaterก็คือการวางอุปกรณ์เครื่องเสียงไว้หน้าลำโพงCenterไม่ว่าจะเป็นเครื่องเล่น แอมป์ AVRฯลฯ หรือแม้กระทั่งพวกcoffee tableต่างๆ พบว่าอุปกรณ์พวกนี้จะสะท้อนเสียงทำให้เกิดcomb filterขึ้นได้เช่นกัน


พอเอาของที่วางไว้หน้าลำโพงออก comb filterก็หายไปอย่างชัดเจน


หมอเอก:

ไม่ได้เข้าห้องLabที่บ้านมาหลายเดือน วันนี้มีโอกาสเลยมาวัดFrequency Responseของลำโพงให้ดูว่าPhase Alignmentมีความสำคัญอย่างไรต่อการวางลำโพงในห้องhome theaterบ้าง


วัดหน้าลำโพงให้ไมค์ห่างลำโพงประมาณสองสามฟุต พบว่าFrequency ResponseมีDipขนาดใหญ่เกิดขึ้นบริเวณที่ความถี่2K Hzกว่าๆ มันเกิดจากอะไร แล้วทำไมไปเกิดตรงนั้น


โดยปกติเมื่อลำโพงได้มีการทำTime Alignmentเรียบร้อยแล้ว เมื่อวางไมค์อยู่ระหว่างdriver 2ตัว เวลาที่เสียงจากdriverมาถึงไมค์จากทั้งWooferและTweeterก็จะถูกปรับแต่งให้เท่ากันหรือเกิดการalignกันขึ้น แต่เมื่อเราเลื่อนไมค์ขึ้นหรือลงก็จะทำให้เสียงจากDriverตัวใดตัวหนึ่งมาถึงก่อนอีกตัว ทำให้PhaseของDriverทั้งสองที่เคยตรงกันหรือเข้ากันบริเวณจุดCrossoverมีการไม่เข้ากัน cancellationกันเกิดเป็นdipขึ้นมา ทำให้Phase AlignmentของลำโพงเสียไปตรงบริเวณCrossover point ซึ่งลำโพงตัวนี้ทางบริษัทได้แจ้งไว้ว่ามีcrossoverอยู่ที่ 2.7kHz


ลองกลับไปเปลี่ยนตำแหน่งไมค์ให้อยู่ตรงกลางระหว่างDriverทั้งสอง Dipก็หายไป


เมื่อไมค์อยู่ด้านล่างก็จะเกิดDipบริเวณใกล้ๆกันแถวๆ Crossover Point


จะสังเกตุเห็นว่าตำแหน่งที่เป็นdipเวลาไมค์อยู่สูงหรือต่ำกว่าลำโพงจะไม่เท่ากันเป๊ะๆตรงจุดcrossover point เนื่องมาจากว่าLevelหรือMagnitudeที่เปลี่ยนไปของdriverทั้งสอง ลองนึกภาพกราฟlevelของลำโพงตรงจุดcrossover เมื่อเราเลื่อนลำโพงไปทางtweeterมากขึ้นระดับเสียงหรือlevelของเสียงจากtweeterก็จะมากขึ้นตำแหน่งcrossoverก็จะเปลี่ยนไปไม่เท่าเดิม หรือถ้าเลื่อนมาด้านล่างที่จะใกล้กับwooferเสียงlevelจากwooferก็จะดังขึ้นในขณะที่จากtweeterลดลง ดังนั้นตำแหน่งcrossoverจึงเปลี่ยนไปเช่นกัน ดังนั้นในระบบhome theaterที่เห็นบางคนseriousกับการตัดcrossoverระหว่างลำโพงsubwooferกับลำโพงmainว่าต้อง60Hz, 70Hz , 80Hz, 90Hz ฯลฯ เป๊ะๆเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วค่านี้ไม่คงที่แน่นอนเสมอไปเพราะตำแหน่งcrossoverมันขึ้นอยู่กับlevelของลำโพงsubwooferกับลำโพงmainด้วย ค่านี้เป็นเพียงการบอกคร่าวๆว่าอยู่ประมาณนี้เท่านั้น พอวัดออกมาจริงๆcrossoverอาจจะไม่ตรงกับค่าที่เราตั้งไว้ในAVRหรือPre Proก็ได้ แต่จุดสำคัญมันอยู่ที่การalign phaseต้องให้มันมีการin phaseและin timeในบริเวณcrossoverให้กว้างที่สุดไม่ใช่มีแค่ตรงcrossoverเพียงจุดเดียว


คราวนี้ลองเลื่อนไปออกไปด้านข้างมากขึ้นเรื่อยๆ เรากลับไม่พบDipเหมือนอยู่ด้านบนหรือด้านล่างของลำโพง จะมีก็แต่levelในความถี่สูงๆที่roll offลงเนื่องจากผลของระยะที่ห่างออกไปของไมค์จากoff axis


ที่ไม่มีdipตรงตำแหน่งCrossoverเนื่องจากระยะของtweeterกับwooferก็ยังห่างจากไมค์เท่าๆกัน phaseก็ยังคงalignกันอยู่ จึงไม่มีการcancellationของphaseขึ้นเหมือนไมค์อยู่ด้านบนหรือล่างของลำโพง


ดังนั้นสามารถสรุปได้ว่าถ้าเทียบระหว่างการวางลำโพงในแนวตั้งและแนวนอน การวางลำโพงแนวตั้งจะให้การตอบสนองความถี่ได้ราบเรียบกว่าเนื่องจากtime offsetของลำโพงtweeterและwoofer มีphase alignmentที่ดีกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้หมายถึงวางแบบนี้แล้วเสียงจะดีกว่านะครับ อันนี้เป็นเพียงการมองในแง่frequency responseตามหลักการทางPhysicsเท่านั้น เสียงจะดีไม่ดีคงขึ้นกับอีกหลายปัจจัยและมีความหลากหลายที่ยากจะตัดสินเพราะแค่คำว่า ”เสียงดี” ความหมายของแต่ละคนก็แตกต่างกันแล้วครับ

 :secret

หมอเอก:
ใครสนใจเรื่องDolby Atmosต้องอ่านบทความเล่มนี้เลย คุณโอ๊ก วิศวกรของDolbyอธิบายไว้แบบเห็นภาพเลยครับ








นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

Go to full version