HTG2.club

ขอความรู้การต่อสาย Sub ครับ

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ กัมปนาท KK

  • สมาชิกรุ่น Classic
  • Superstar...
  • *****
    • กระทู้: 4,044
ถามเรื่องต่อสายอีกทีครับ พอดีไปอ่านของคุณโก้ IAV บอกว่าถ้า AMP มีช่องต่อ Sub ตัวเดียว

แนะนำให้ต่อที่ Sub แค่ช่องเดียว ไม่ควรต่อ 2 ช่องเนื่องจากอาจจะดึงกำลังจนภาคจ่ายไฟของ Sub เสียหาย

ไม่ทราบว่าเป็นไปได้ไหมครับ  :D


คงไม่ถึงกับพังหรอกครับ จริงๆ   2 ช่องที่ท่านเสียบข้างในก็ จะต่อขนานกันอยู่ดี     ที่ดังขึ้นเพราะ เราขนานสาย  Ohm มันจะต่ำลงกว่าใช้  1 เส้นครับ
แต่ OpAmp ก็ต้องทำงานมากขึ้นครับ เพราะกระแสไหลมากขึ้น
- ส่วนวิธีการ จะต่อ แบบ   LFE   ก็มีผมกับทาง  IAV คุณ KO  ใช้เป็นมาตราฐานของการปรับ Sub มาตลอด  และเราก็เน้นไปที่  PASSIVE SUB   ครับส่วนใหญ่ดีกว่าระบบ  Active  ที่มี Cross มาให้
- ส่วน Crossที่ให้มานั้นจุดประสงค์  ก็คงนำมาใช้กรณีสัญญาณมาเต็ม หรือ Full Band  เพราะ ถ้าสัญญาณตัดมาแล้ว จะมาตัดอีก รอบ ทำไมกัน สัญญาณเดินสั้นที่สุดน่าดีที่สุดครับ  และที่สงสัยจะให้ช่อง
- มี ช่อง LFE  มาให้ทำไมกัน  ถ้าไม่มีจุดประสงค์ให้ใช้ก็ไม่่ต้องทำมาสิครับ และใน AVR มันก็ใช้ สัญญาลักษณ์ คำว่า  ช่อง  LFE   ใน menu ของเครื่องทุกเครื่อง  ก็เรียกช่องนี้ว่า สัญญาณช่อง  LFE out
  แล้วเราไปต่อเข้า Sub  ที่ LFE in   ก็น่าจะถูกต้องแล้วนะท่าน

http://en.wikipedia.org/wiki/Low-frequency_effect

LFE ย่อมาจาก  The low-frequency effect (LFE) channel is the name of an audio track specifically intended for deep, low-pitched sounds ranging from 3-120 Hz

  The LFE channel delivers bass-only information to supplement the overall bass content. The LFE channel content is not the same as the content of a subwoofer-out jack. The LFE channel is used to carry additional bass information in the Dolby Digital program, while the subwoofer output is bass information from up to all six channels that has been selected to be reproduced by a subwoofer, either by a simple crossover network, which filters out all but the low frequencies, or with a more sophisticated digital bass management system.

The bass management in surround sound replay systems is that bass content in the incoming signal, irrespective of channel, should be directed only to loudspeakers capable of handling it. The bass management system may direct bass to one or more subwoofers (if present) from any channel, not simply the content of the LFE. As such, it is incorrect to call the LFE the "subwoofer channel".


- การตัด  Cross   2 ครั้ง   มีแต่จะจะทำให้ สัญญาณยิ่งเลื่อนออกไป เพราะไปเสียงเวลาใน Cross  ของ Sub อีกรอบทำให้ จุดตัด และ Time Delay จะยิ่งเลื่อนออกไปไม่ตรงกับคู่หน้าครับ
ทำให้การปรับ  ยิ่งต้องใช้ เวลาในการทำมากขึ้น ยากขึ้นด้วย หรือ  ความพยายามหาจุดต่อเชื่อมยากขึ้นไปอีก 
 ผมเป็นอีกหนึ่ง บริษัืทที่ ใช้ การปรับ เน้นการต่อแบบ  LFE    ไม่ได้หมายความว่า  การต่อแบบ  L R     2เส้นและใช้ Cross  .ใน Sub ไม่ถูกต้องแต่ ต้องถือว่าเป้นคนละวิธีการทำซึ่งอาจให้ผลแตกต่างกัน
ไปใครเคยฟัง  ทั้ง2 แบบก็ต้องคิดเอาเองว่าต้องการเสียง  แบบไหนครับ
 ไม่ฟันธงครับ เอาเป็นว่า อ่านแล้วเก็บไว้ไปเป็นข้อมูลแล้วกัน  ครับ  Web นี้มีหลายสำนักครับเยี่ยมยุทธ กันทั้งนั้นครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14 ธันวาคม, 2010, 12:12:11 pm โดย กัมปนาท KK »


ออฟไลน์ หมอทีเจ

  • สมาชิกรุ่น Classic
  • Superstar...
  • *****
    • กระทู้: 5,369
ถามท่าน M.Lex บ้าง
ผมใช้ Sub Earthquake 15 นิ้วตัวเดียววางข้าง Center ยิงเฉียง ๆ  Pre มี output subwoofer ให้ 2 ช่องแบบ balanced  เวลาผมใช้สาย XLR สองเส้นต่อสองช่องไปเข้า L R ของซับ  เสียงจะดังกว่าเสียบช่องเดียวแต่มีเสียงฮัม  แต่ถ้าเสียบเส้นเดียวไม่มีเสียงฮัมไม่ว่าจะเร่ง vol แค่ไหนก็ไม่มี  ท่านว่าเกิดจากอะไรครับ
ผมสามารถต่อสองเส้นโดยเส้นที่สองไม่เชื่อมขากราวน์ในขั้ว XLR จะได้ไหม  เพราะรู้สึกว่าต่อสองเส้นเหมือนซับมันทำงานได้เต็มที่กว่า


ออฟไลน์ Oh Jezus

  • ***
    • กระทู้: 207
ถามเรื่องต่อสายอีกทีครับ พอดีไปอ่านของคุณโก้ IAV บอกว่าถ้า AMP มีช่องต่อ Sub ตัวเดียว

แนะนำให้ต่อที่ Sub แค่ช่องเดียว ไม่ควรต่อ 2 ช่องเนื่องจากอาจจะดึงกำลังจนภาคจ่ายไฟของ Sub เสียหาย

ไม่ทราบว่าเป็นไปได้ไหมครับ  :D


ออฟไลน์ M.lex

  • M.Lex HTG (Home Theater GURU)
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,154
    • เพศ:ชาย
การต่อแบบ LFE Input ที่ Sub แล้วไปใช้จุดตัดความถี่ที่ AVR หรือ Pre/Processor
การต่อแบบนี้มันไม่สามารถกำหนดจุดตัดหรือปรับความดังได้อย่างละเอียด จุดตัดความถี่ใน AVR หรือ Pre/Processor มันหยาบ
การต่อแบบ LFE เท่ากับว่าเราเล่น Sub Woofer เป็น Passive ไม่ได้ใช้ X-Over ในตัวของ Sub ตัวนั้นๆเลย

การที่เราไปกำหนดจุดตัดใน AVR หรือ Pre/Processor ตามที่เราอยากได้นั้น มันไม่สามารถทำได้ดีเท่ากับจุดตัดในตัว Sub Woofer เอง
เพราะเราสามารถกำหนดจุดตัดปรับความดังได้ละเอียดกว่าใน AVR หรือ Pre/Processor ครับ

ฉนั้นผมขอแนะนำให้ต่อแบบผ่าน X-Over ดีกว่า ฟันธง!...

ถ้าไม่เชื่อ ผมสามารถทำให้เห็นชัดๆได้เลยครับว่าระหว่างต่อแบบ LFE Input และ LR Input มันดีและด้อยอย่างไร

การปรับที่ถูกต้องจะได้มาซึ่ง ความสะอาด ความเร็ว พละกำลัง ความกลมกลืนกับลำโพงทุกตัว สามารถเคลื่อนย้ายไปตามตำแหน่งของลำโพง ตัวไหนๆก็ได้

เบสที่ดีไม่ใช่เสียงเบสที่แผ่ๆ แต่มันต้องจับตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน เสียงเบสแผ่ๆนั่นมันไม่ใช่

การต่อแบบ LFE ไม่ต้องพิถีพิถันมาก กำหนดจุดตัดจากAVR หรือ Pre/Processor ได้เลยเร่งลดความดังเอาตามความชอบจากSub หรือAVR หรือ Pre/Processor  จะเอาดังหรือเอาดีได้ตามต้องการ
การต่อแบบ LR In ต้องใช้ความสามรถในการปรับเสียงมากพอดูถึงจะได้มาซึ่งเสียงที่ดี...

ถ้าจุดตัดใน Sub ไม่ดีสู้ในAVR หรือ Pre/Processor ไม่ได้ Sub Woofer ก็ไม่หน้ามีจุดตัดมาให้นะ....ว่าไหมท่านๆ

แย้งเพื่อการพัฒนาทักษะการฟัง เพิ่มเติมความรู้ที่หลายคนไม่เคยทำและไม่เคยรู้มาก่อน
ทำดู แล้วมาเล่าให้ฟังกันบ้าง

ตัว AVR ยังต้องกำหนดจุดตัดของ Subอีกไหมครับว่าเป็นเท่าไร ถ้าควรที่จะกำหนดควรให้มากกว่าแล้วมาปรับที่ Sub เอาหรือว่าเอาเท่ากันครับ
80Hz ครับ
จิตอาสาพาเราเจริญ

โหลดเพลง คลิปวีดีโอ นิยาย การ์ตูน" width="190" height="58" border="0


ออฟไลน์ Oh Jezus

  • ***
    • กระทู้: 207
การต่อแบบ LFE Input ที่ Sub แล้วไปใช้จุดตัดความถี่ที่ AVR หรือ Pre/Processor
การต่อแบบนี้มันไม่สามารถกำหนดจุดตัดหรือปรับความดังได้อย่างละเอียด จุดตัดความถี่ใน AVR หรือ Pre/Processor มันหยาบ
การต่อแบบ LFE เท่ากับว่าเราเล่น Sub Woofer เป็น Passive ไม่ได้ใช้ X-Over ในตัวของ Sub ตัวนั้นๆเลย

การที่เราไปกำหนดจุดตัดใน AVR หรือ Pre/Processor ตามที่เราอยากได้นั้น มันไม่สามารถทำได้ดีเท่ากับจุดตัดในตัว Sub Woofer เอง
เพราะเราสามารถกำหนดจุดตัดปรับความดังได้ละเอียดกว่าใน AVR หรือ Pre/Processor ครับ

ฉนั้นผมขอแนะนำให้ต่อแบบผ่าน X-Over ดีกว่า ฟันธง!...

ถ้าไม่เชื่อ ผมสามารถทำให้เห็นชัดๆได้เลยครับว่าระหว่างต่อแบบ LFE Input และ LR Input มันดีและด้อยอย่างไร

การปรับที่ถูกต้องจะได้มาซึ่ง ความสะอาด ความเร็ว พละกำลัง ความกลมกลืนกับลำโพงทุกตัว สามารถเคลื่อนย้ายไปตามตำแหน่งของลำโพง ตัวไหนๆก็ได้

เบสที่ดีไม่ใช่เสียงเบสที่แผ่ๆ แต่มันต้องจับตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน เสียงเบสแผ่ๆนั่นมันไม่ใช่

การต่อแบบ LFE ไม่ต้องพิถีพิถันมาก กำหนดจุดตัดจากAVR หรือ Pre/Processor ได้เลยเร่งลดความดังเอาตามความชอบจากSub หรือAVR หรือ Pre/Processor  จะเอาดังหรือเอาดีได้ตามต้องการ
การต่อแบบ LR In ต้องใช้ความสามรถในการปรับเสียงมากพอดูถึงจะได้มาซึ่งเสียงที่ดี...

ถ้าจุดตัดใน Sub ไม่ดีสู้ในAVR หรือ Pre/Processor ไม่ได้ Sub Woofer ก็ไม่หน้ามีจุดตัดมาให้นะ....ว่าไหมท่านๆ

แย้งเพื่อการพัฒนาทักษะการฟัง เพิ่มเติมความรู้ที่หลายคนไม่เคยทำและไม่เคยรู้มาก่อน
ทำดู แล้วมาเล่าให้ฟังกันบ้าง

ตัว AVR ยังต้องกำหนดจุดตัดของ Subอีกไหมครับว่าเป็นเท่าไร ถ้าควรที่จะกำหนดควรให้มากกว่าแล้วมาปรับที่ Sub เอาหรือว่าเอาเท่ากันครับ


ออฟไลน์ Oh Jezus

  • ***
    • กระทู้: 207
แล้วหลัการปรับแบบไม่ต่อ LFE นี่มีวิธีการปรับยังไงครับ เอาแบบปรับแบบเบื้องต้นก็ได้ครับ

จะได้ไปลองปรับดูก่อน  ;D

ปล. ถ้าให้ปรับให้นี่มีค่าใช้จ่ายยังไงครับ ( หลังไมค์ก็ได้นะครับ ) อยากลองรีดพลังชุดที่มีก่อน  O0


ออฟไลน์ M.lex

  • M.Lex HTG (Home Theater GURU)
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,154
    • เพศ:ชาย
การต่อแบบ LFE Input ที่ Sub แล้วไปใช้จุดตัดความถี่ที่ AVR หรือ Pre/Processor
การต่อแบบนี้มันไม่สามารถกำหนดจุดตัดหรือปรับความดังได้อย่างละเอียด จุดตัดความถี่ใน AVR หรือ Pre/Processor มันหยาบ
การต่อแบบ LFE เท่ากับว่าเราเล่น Sub Woofer เป็น Passive ไม่ได้ใช้ X-Over ในตัวของ Sub ตัวนั้นๆเลย

การที่เราไปกำหนดจุดตัดใน AVR หรือ Pre/Processor ตามที่เราอยากได้นั้น มันไม่สามารถทำได้ดีเท่ากับจุดตัดในตัว Sub Woofer เอง
เพราะเราสามารถกำหนดจุดตัดปรับความดังได้ละเอียดกว่าใน AVR หรือ Pre/Processor ครับ

ฉนั้นผมขอแนะนำให้ต่อแบบผ่าน X-Over ดีกว่า ฟันธง!...

ถ้าไม่เชื่อ ผมสามารถทำให้เห็นชัดๆได้เลยครับว่าระหว่างต่อแบบ LFE Input และ LR Input มันดีและด้อยอย่างไร

การปรับที่ถูกต้องจะได้มาซึ่ง ความสะอาด ความเร็ว พละกำลัง ความกลมกลืนกับลำโพงทุกตัว สามารถเคลื่อนย้ายไปตามตำแหน่งของลำโพง ตัวไหนๆก็ได้

เบสที่ดีไม่ใช่เสียงเบสที่แผ่ๆ แต่มันต้องจับตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน เสียงเบสแผ่ๆนั่นมันไม่ใช่

การต่อแบบ LFE ไม่ต้องพิถีพิถันมาก กำหนดจุดตัดจากAVR หรือ Pre/Processor ได้เลยเร่งลดความดังเอาตามความชอบจากSub หรือAVR หรือ Pre/Processor  จะเอาดังหรือเอาดีได้ตามต้องการ
การต่อแบบ LR In ต้องใช้ความสามรถในการปรับเสียงมากพอดูถึงจะได้มาซึ่งเสียงที่ดี...

ถ้าจุดตัดใน Sub ไม่ดีสู้ในAVR หรือ Pre/Processor ไม่ได้ Sub Woofer ก็ไม่หน้ามีจุดตัดมาให้นะ....ว่าไหมท่านๆ

แย้งเพื่อการพัฒนาทักษะการฟัง เพิ่มเติมความรู้ที่หลายคนไม่เคยทำและไม่เคยรู้มาก่อน
ทำดู แล้วมาเล่าให้ฟังกันบ้าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 ธันวาคม, 2010, 04:55:42 pm โดย M.lex »
จิตอาสาพาเราเจริญ

โหลดเพลง คลิปวีดีโอ นิยาย การ์ตูน" width="190" height="58" border="0


ออฟไลน์ กัมปนาท KK

  • สมาชิกรุ่น Classic
  • Superstar...
  • *****
    • กระทู้: 4,044
ไม่ทราบการต่อสายจาก reciever--->sub ระหว่างสาย sub ตัว Y ออกหนึ่งเข้าสอง กับต่อสายเส้นเดียว อย่างไหนดีกว่ากันครับ เสียงจะต่างกันอย่างไรครับ

ขึ้นอยู่กับ Sub ด้วยครับว่ามีช่อง LFE หรือเปล่า ถ้ามีแนะนำให้เสียบแบบสายเดียวจาก AVR ไปยัง Sub เข้าช่อง LFE เลย

แต่ถ้า Sub ไม่มีช่อง LFE ก็ควรที่จะต่อแบบ Y ครับ

ปล. ช่อง LFE คือเป็นการไม่ผ่านวงจรตัดความถี่ของตัว Sub โดยให้ AVR เป็นตัวตัดมาให้เลย  O0 ( ผมก็ต่อแบบนี้ครับ )

ผมก็แนะนำตามนี้ครับ  ต่อเข้า LFE   ถึงจะเบากว่าต่อแบบ  y  แต่   เบสฟังสะอาดกว่า  วัดด้วย Com  ก็จะพบว่าฺBass จะเดินทางมาเร็วกว่าการต่อผ่านระบบ  Cross ในตัว   sub  ครับ :secret


ออฟไลน์ Oh Jezus

  • ***
    • กระทู้: 207
ไม่ทราบการต่อสายจาก reciever--->sub ระหว่างสาย sub ตัว Y ออกหนึ่งเข้าสอง กับต่อสายเส้นเดียว อย่างไหนดีกว่ากันครับ เสียงจะต่างกันอย่างไรครับ

ขึ้นอยู่กับ Sub ด้วยครับว่ามีช่อง LFE หรือเปล่า ถ้ามีแนะนำให้เสียบแบบสายเดียวจาก AVR ไปยัง Sub เข้าช่อง LFE เลย

แต่ถ้า Sub ไม่มีช่อง LFE ก็ควรที่จะต่อแบบ Y ครับ

ปล. ช่อง LFE คือเป็นการไม่ผ่านวงจรตัดความถี่ของตัว Sub โดยให้ AVR เป็นตัวตัดมาให้เลย  O0 ( ผมก็ต่อแบบนี้ครับ )


ออฟไลน์ atom27

  • *
    • กระทู้: 23
ไม่ทราบการต่อสายจาก reciever--->sub ระหว่างสาย sub ตัว Y ออกหนึ่งเข้าสอง กับต่อสายเส้นเดียว อย่างไหนดีกว่ากันครับ เสียงจะต่างกันอย่างไรครับ