HTG2.club

อ่านจากเวปเพื่อน บ้าน สาระเยี่ยมมากครับ

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ขุนจิต

  • kjit
  • สมาชิกรุ่น Classic
  • Superstar...
  • *****
    • กระทู้: 7,392
    • เพศ:ชาย
  • ไบเกอร์เครื่องเสียง
ลำบากครับ มันไม่มีวิธีการจัดระบบเครื่องเสียงที่ดีแบบเดียว การฟังเพลงแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะมานั่งบอกนั่ง define กันว่าจะต้องทำยังไงนี่ ยาก
บางคนเครื่องเสียงอาจขจะไม่สนใจเรื่อง imaging เรื่องรายละเอียด ขอให้ โทนเสียง นําเสียงดี ความเป็นตนตรีสูง
บางคนต้องการร่ยละเอียดยิบยับ ต้องให้ได้กบ ได้นกครบตัว ต้องได้ยินเสียงรถไฟใต้ดินวิ่งผ่านใต้ Carnegie Hall ได้ยินเสียง acoustic ของสถานที่ให้ชัดเจน
บางคนต้องการความถูกต้องเหมือนจริงใหมากที่สุด บางคนไม่สน ขอให้เพราะไว้ก่อน เหมือนไม่เหมือนแค่ไหนก็ไม่ว่า

ความสมจริงสมจัง ก็บอกยากเพราะเสียงมันโดนตบแต่งโดย sound engineer มาเยอะ ใครจะไปรู้ว่า ใน studio ของจริงเสียงมันเป็นยังไงไอ้ที่เราไปเพ้อฝันเอาเองว่าของ
จริงมันต้องอย่างงี้ จริงๆแล้วมันมีแค่ไหนกันแน่

ในส่วนตัว ผมมี CD และ DVD ที่อัดสดจากการแสดงจาก ค่ายแผ่นใหญ่ๆอยู่บ้าง ที่ผมได้มีโอกาศเป็นผู้ชมอยู่ในการแสดงอันนั้น ต้องบอกว่าไม่เคยได้ยินแผ่นพวกนี้ในเครื่องเสียงไหนเลย
ที่มันเหมือนกับของจริง แท้ เวลาไปฟัง concert ที่เป็น acoustic instrument ทั้งหลาย กลับมาฟังเครื่องเสียง แล้วมันคนละเรื่องกันทุกที

เปียโนที่บ้านก็มีก็เล่นเองอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่เคยได้ยินเสียงเปียโนที่อัดมาที่ได้อารมณ์ ความรู้สึก หรือ scale ที่เหมือนของจริงเลย
ก็เลยชักเริ่มปรง กับเครื่องเสียงพอควร เรียกว่า ผมสนใจแค่ให้มันฟังเพราะ เวลาฟังเพลง อย่าให้เครื่องเสียงเป็นตัวมากั้นขวางการที่เราจะเพริดเลินกับการฟังดนตรีดี กว่า



ครับ  ที่นี้ก็มี  กูรูเยอะคับ   เยี่ยม

เรื่องการฟังให้เป็น ยังเป็นเรื่องยาก แม้แต่คนที่เล่นมานาน     ตัวผมเอง เล่นมาก็ตั้งนาน (ก็ยังฟังไม่เก่งซักกะที)ก็เพิ่งจะมาเรียน เรื่องการฟังให้เป็นเมื่อไม่นานมานี้เอง
อยากให้มีการจัด course สอนการฟังให้เป็น แบบ audiophile บ้างจังเลย แต่ เซียน บ้านเราก็มีหลายท่าน ไม่รู้ว่าหลักสูตร ของเซียนแต่ละท่าน จะเป็นแบบเดียว หรือ เป็นไปในทิศทางเดียวกันหรือ ปล่าว
แต่ที่แน่ๆ การ ฟัง หรือ การ set up เครื่อง นั้น ต้องฟังแล้วเหมือนต้นฉบับ ที่อัดมา ไม่ว่าจาก studio หรือ แสดงสด ต้องไม่มีการ แต่งเติม เหมือนดูผู้หญิง ที่สวยตามธรรมชาติ ไม่ใช่ ใส่ big eye ให้ดูตาโตๆ โบ๊ะ จนหน้าเนียน ขาว อมชมพู แบบในโฆษณา คือ ต้นฉบับ มายังไง ก็สำแดง ออกมาแบบนั้น ทุกองค์ประกอบของ ห้องและ เครื่อง เส้นสาย มีผลหมด ขึ้นอยู่กับว่า ใครจะ tune ได้ลงตัว และเป็นธรรมชาติมากที่สุด
   อันนี้ไม่รวมถึงความชอบส่วนตัวนะครับ  Y]
 และแล้ว ก็ต้องเจอกับคำนี้อีกแล้ว   ถูกต้อง หรือ ถูกใจ ความเห็นส่วนตัวผมขอถูกต้องก่อนครับ แล้วค่อยมาดูกันอีกที ว่าถูกใจหรือไม่ คือที่ถูกใจก็ไม่ควรต่างจาก ถูกต้องมากนักครับ ไม่งั้น ออกทะเลเอาง่ายๆครับ :D :black_eye


:headphone เห็นด้วยกับหมอนพ ครับ โดยเฉพาะการจัด work shop สอนการฟังแบบออดิโอไฟล์ที่ถูกต้อง  :headphone

เรื่องคำศัพท์ที่ใช้อธิบายลักษณสียงเพลงกับที่ใช้ในทางวิชาฟิสิกส์บางคำก็ไม่เหมือนกันนะครับ  เมื่อก่อน
เคยมีกลุ่มที่เขียนรีวิวในหนังสือของเมืองไทยนี่แหละรวมตัวกันประชุมเพื่อบัญญัติคำศัพท์ที่ใช้อธิบายลักษณ
เสียงต่างๆที่ใช้ในการเล่นเครื่องเสียง เพื่อให้เป็นไปแนวทางเดียวกัน สะดวกต่อการทำความเข้าใจของผู้บริโภค
 แต่ก็ลม้เหลว (แต่ก็มีหันงสือ สเตริโอ มีอธิบายคำศัพท์ไว้ท้ายเล่ม ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังมีไหม)

    มีความสุขกับการฟังเพลงและดูหนังนะครับ



ครับ  ลุยเลยครับ



การเล่นเครื่องเสียงเป็น ศิลปะอย่างหนึ่งที่ไม่มีวันจบจริงๆๆๆๆ 

ขอให้เปิดใจมองโลก  และเล่นกัยมันอย่างมีความสุข   จุ๊ๆๆๆๆมองโลกในแง่ดี   ชีวิตก็มีความสุข มากๆๆๆๆ 
พิจิต 089-771-8895



ออฟไลน์ M.lex

  • M.Lex HTG (Home Theater GURU)
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,154
    • เพศ:ชาย
ถูกใจตอนกำลังเป็นเจ้าของ ถูกต้องตอนลงมือทำ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07 มีนาคม, 2011, 08:26:10 pm โดย M.lex »
จิตอาสาพาเราเจริญ

โหลดเพลง คลิปวีดีโอ นิยาย การ์ตูน" width="190" height="58" border="0


ออฟไลน์ klao

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,304
เห็นด้วยมาก ๆ กับ พี่หมอบอยครับ อธิบายได้แจ่มแจ้ง ยังไง ก็ set ไปตามข้อจำกัดของห้องและอุปกรณ์เราให้ถูกหูกับรสนิยมเรา ในขณะที่ parameters ต่าง ๆ (ที่วัดได้) ไม่ขี้เหร่เกินไปก็แล้วกัน จะเอาเหมือนจริงนั้นไม่มีทางครับ

ถ้าใครเคยไปดูฟุตบอลหรือกีฬาสด ๆ ในสนาม หรือไปดูงานศิลปะใน museum ก็จะทราบว่าบรรยากาศมันไม่เหมือนดูทีวีอยู่ที่บ้าน หรือเปิดหนังสือดูนะ ว่าไปแล้วไปจองตั๋ว concert ของ BSO ให้พี่ใหญ่และตัวเองก่อนดีกว่า เดี๋ยวอดดู เอ้ยฟังน้อง Katherine Jenkins สด ๆ  ;D


ออฟไลน์ MorBoi

  • Superstar...
  • ****
    • กระทู้: 6,095
ลำบากครับ มันไม่มีวิธีการจัดระบบเครื่องเสียงที่ดีแบบเดียว การฟังเพลงแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะมานั่งบอกนั่ง define กันว่าจะต้องทำยังไงนี่ ยาก
บางคนเครื่องเสียงอาจขจะไม่สนใจเรื่อง imaging เรื่องรายละเอียด ขอให้ โทนเสียง นําเสียงดี ความเป็นตนตรีสูง
บางคนต้องการร่ยละเอียดยิบยับ ต้องให้ได้กบ ได้นกครบตัว ต้องได้ยินเสียงรถไฟใต้ดินวิ่งผ่านใต้ Carnegie Hall ได้ยินเสียง acoustic ของสถานที่ให้ชัดเจน
บางคนต้องการความถูกต้องเหมือนจริงใหมากที่สุด บางคนไม่สน ขอให้เพราะไว้ก่อน เหมือนไม่เหมือนแค่ไหนก็ไม่ว่า

ความสมจริงสมจัง ก็บอกยากเพราะเสียงมันโดนตบแต่งโดย sound engineer มาเยอะ ใครจะไปรู้ว่า ใน studio ของจริงเสียงมันเป็นยังไงไอ้ที่เราไปเพ้อฝันเอาเองว่าของ
จริงมันต้องอย่างงี้ จริงๆแล้วมันมีแค่ไหนกันแน่

ในส่วนตัว ผมมี CD และ DVD ที่อัดสดจากการแสดงจาก ค่ายแผ่นใหญ่ๆอยู่บ้าง ที่ผมได้มีโอกาศเป็นผู้ชมอยู่ในการแสดงอันนั้น ต้องบอกว่าไม่เคยได้ยินแผ่นพวกนี้ในเครื่องเสียงไหนเลย
ที่มันเหมือนกับของจริง แท้ เวลาไปฟัง concert ที่เป็น acoustic instrument ทั้งหลาย กลับมาฟังเครื่องเสียง แล้วมันคนละเรื่องกันทุกที

เปียโนที่บ้านก็มีก็เล่นเองอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่เคยได้ยินเสียงเปียโนที่อัดมาที่ได้อารมณ์ ความรู้สึก หรือ scale ที่เหมือนของจริงเลย
ก็เลยชักเริ่มปรง กับเครื่องเสียงพอควร เรียกว่า ผมสนใจแค่ให้มันฟังเพราะ เวลาฟังเพลง อย่าให้เครื่องเสียงเป็นตัวมากั้นขวางการที่เราจะเพริดเลินกับการฟังดนตรีดี กว่า


ออฟไลน์ yai-united

  • ****
    • กระทู้: 438
เรื่องการฟังให้เป็น ยังเป็นเรื่องยาก แม้แต่คนที่เล่นมานาน     ตัวผมเอง เล่นมาก็ตั้งนาน (ก็ยังฟังไม่เก่งซักกะที)ก็เพิ่งจะมาเรียน เรื่องการฟังให้เป็นเมื่อไม่นานมานี้เอง
อยากให้มีการจัด course สอนการฟังให้เป็น แบบ audiophile บ้างจังเลย แต่ เซียน บ้านเราก็มีหลายท่าน ไม่รู้ว่าหลักสูตร ของเซียนแต่ละท่าน จะเป็นแบบเดียว หรือ เป็นไปในทิศทางเดียวกันหรือ ปล่าว
แต่ที่แน่ๆ การ ฟัง หรือ การ set up เครื่อง นั้น ต้องฟังแล้วเหมือนต้นฉบับ ที่อัดมา ไม่ว่าจาก studio หรือ แสดงสด ต้องไม่มีการ แต่งเติม เหมือนดูผู้หญิง ที่สวยตามธรรมชาติ ไม่ใช่ ใส่ big eye ให้ดูตาโตๆ โบ๊ะ จนหน้าเนียน ขาว อมชมพู แบบในโฆษณา คือ ต้นฉบับ มายังไง ก็สำแดง ออกมาแบบนั้น ทุกองค์ประกอบของ ห้องและ เครื่อง เส้นสาย มีผลหมด ขึ้นอยู่กับว่า ใครจะ tune ได้ลงตัว และเป็นธรรมชาติมากที่สุด
   อันนี้ไม่รวมถึงความชอบส่วนตัวนะครับ  Y]
 และแล้ว ก็ต้องเจอกับคำนี้อีกแล้ว   ถูกต้อง หรือ ถูกใจ ความเห็นส่วนตัวผมขอถูกต้องก่อนครับ แล้วค่อยมาดูกันอีกที ว่าถูกใจหรือไม่ คือที่ถูกใจก็ไม่ควรต่างจาก ถูกต้องมากนักครับ ไม่งั้น ออกทะเลเอาง่ายๆครับ :D :black_eye


:headphone เห็นด้วยกับหมอนพ ครับ โดยเฉพาะการจัด work shop สอนการฟังแบบออดิโอไฟล์ที่ถูกต้อง  :headphone

เรื่องคำศัพท์ที่ใช้อธิบายลักษณสียงเพลงกับที่ใช้ในทางวิชาฟิสิกส์บางคำก็ไม่เหมือนกันนะครับ  เมื่อก่อน
เคยมีกลุ่มที่เขียนรีวิวในหนังสือของเมืองไทยนี่แหละรวมตัวกันประชุมเพื่อบัญญัติคำศัพท์ที่ใช้อธิบายลักษณ
เสียงต่างๆที่ใช้ในการเล่นเครื่องเสียง เพื่อให้เป็นไปแนวทางเดียวกัน สะดวกต่อการทำความเข้าใจของผู้บริโภค
 แต่ก็ลม้เหลว (แต่ก็มีหันงสือ สเตริโอ มีอธิบายคำศัพท์ไว้ท้ายเล่ม ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังมีไหม)

    มีความสุขกับการฟังเพลงและดูหนังนะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07 มีนาคม, 2011, 11:27:59 am โดย yai-united »


ออฟไลน์ pon02829

  • *****
    • กระทู้: 792
    • เพศ:ชาย
เรื่องการเซตให้ใกล้เคียงต้นฉบับนั้น...ผมเองก็ยังเซตไม่เป็นเลย

การเซตแต่ล่ะคนก็..มีหลายแบบ..เเต่เชื่อว่า..ปลายทางน่าจะคล้ายๆกัน

แต่ที่ผมอยากให้ผู้บริโภคส่วนมาก..ได้มีโอกาสจ่ายเงิน...แล้วมีความสุขกับชุดเราจริงๆ คือ

อยากให้พ่อค้าที่ขายเครื่องเสียงนั้น

ไปเรียนหรือหัด...เซตเครื่องเสียงให้เป็นก่อน ( เพราะประกอบสัมมาอาชีพนี้แล้ว...การเรียนรู้เพื่อต่อยอดอาชีพตัวเองก็เป็นเรื่องที่ให้โอกาสตัวเองที่ดีกว่าคนอื่นไม่มากก็น้อย )

ส่วนมากจะเจอ..พ่อค้าขายของอย่างเดียวอะครับ

เช่นมาฟังชุดลูกค้า....ถ้าเซตไม่เป็น

ก็ไม่ควรแนะนำให้ซื้ออะไรเพิ่ม

หรือการแนะนำให้โมกับลูกค้า

เพราะอะไรนะหรือครับ

ยกตัวอย่างง่ายๆนะครับ

สมมุติ พ่อค้าที่เซตเสียงเป็น

  พ่อค้าคนนั้น จะเซตเสียงชุดลูกค้าให้ได้ดีก่อน...พร้อมอธิบายว่าก่อนเซต หลังเซต เสียงเป็นอย่างไร

  ที่นี้...ลูกค้าฟังด้วยหูตัวเอง...จากชุดตัวเองที่ฟังอยู่ประจำ...ผมเชื่อว่าลูกค้ารู้ถึงการเปลี่ยนแปลงแน่นอน..ก่อนเซต/หลังเซต

   คำว่าเซตเสียง..ไม่ได้เเค่ เซตเพียงแค่ นักร้องอยู่ตรงกลางแล้วจะใช่ทั้งหมดนะครับ

   เซตได้ดีที่สุดของชุดนั้น คือ มี ด้านลึก ด้านกว้าง flate dinamic ตำแหน่งคนเล่น โฟกัส เป็นต้น ( ตรงนี้แระ...ที่ยาก..มาจากการรํ่าเรียน...การเซตบ่อยๆ )

  ที่นี้...เซตเสร็จ...ก็ควรจะปล่อยให้ลูกค้าฟังไปก่อน..สักระยะ..ให้ชุดเริ่มนิ่ง..และลูกค้าก็เริ่มแยกแยะออกได้ว่า..ชอบไม่ชอบอะไร...หลังจากฟังไปหลายวัน

  สุดท้าย...ก็มาบ้านลูกค้าอีกที....เพื่อทีจะมาฟังว่าชุดนิ่งแล้ว...ขาดเหลืออะไร..เท่าที่เครื่อง/สาย/ห้อง.. ให้ได้

  สุดท้าย...ลูกค้าจะเป็นคนบอกเองล่ะครับ...ว่าอยากจะอัพอะไร..เปลี่ยนอะไร...เพราะลูกค้าได้ทราบแล้วว่าชุดเรามีบุคลิคเสียงอะไร


  ดังนั้น...ลูกค้า คือ ผู้บริโภค.. ก็จะเสียเงินแบบเกิดประโยชน์...และใช้บริการ พ่อค้าประเภทนี้..ไปยาวนาน

  มากกว่า...พ่อค้าที่ขายแต่ของ...แต่เซตไม่เป็นมากกว่าครับ...สุดท้าย..คนที่เสียเงินแล้วเล่นไม่จบ...ก็คือ ผู้บริโภคอย่างเราๆนี่ล่ะครับ

   วนไปวนมา...เล่นไม่จบ...สุดท้าย...ลูกค้าเลิกเล่นไปเลยก็มีครับ

ป.ล. ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ..หลังๆมาผมจ่ายน้อยลงเรื่อยๆครับ...เน้นที่เซตก่อน...แล้วค่อยเสียเงิน...ส่วนมากจะเสียน้อยลงมากๆครับ
 
      เรื่องมีคอรส์สอนเซตนี่...เป็นแนวทางที่ดีเยี่ยมเลยครับ  c)

      การที่พ่อค้าหรือคนที่ไปฟังชุดใหญ่ๆมาเยอะแล้ว...ไม่ได้หมายความว่า...เขาคนนั้นจะเซตเป็นนะครับ....มันคนล่ะเรื่องนะครับ

      เหมือนผมที่ฟังออกบ้าง...แต่เซตไม่เป็นยังไงล่ะครับ...แต่หลักการข้างต้น...ผู้บริโภค..ควรจะเริ่มแบบนี้...ก็จะเกิดประโยชน์ไม่มากก็น้อยครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07 มีนาคม, 2011, 10:57:31 am โดย pon02829 »


ออฟไลน์ cinemania

  • Superstar...
  • ****
    • กระทู้: 4,535
  • Back to Cinema
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดี ๆ ครับ  O0

ผมก็ยังฟังไม่เป็นเลยครับ ยังห่างไกล audiophile อีกมาก ๆ ครับ
แต่โชคดีที่ชอบฟังเพลงแบบ music lover ฟังเพลิน ๆ ฟังแล้วเพราะ ก็ ok แล้วครับ

ชอบดูหนังมากกว่า อิอิ


ออฟไลน์ dr.nop

  • Super Star.
  • **
    • กระทู้: 2,735
    • เพศ:ชาย
  • CIH club thailand
    • saensuk hifi.com
เรื่องการฟังให้เป็น ยังเป็นเรื่องยาก แม้แต่คนที่เล่นมานาน     ตัวผมเอง เล่นมาก็ตั้งนาน (ก็ยังฟังไม่เก่งซักกะที)ก็เพิ่งจะมาเรียน เรื่องการฟังให้เป็นเมื่อไม่นานมานี้เอง
อยากให้มีการจัด course สอนการฟังให้เป็น แบบ audiophile บ้างจังเลย แต่ เซียน บ้านเราก็มีหลายท่าน ไม่รู้ว่าหลักสูตร ของเซียนแต่ละท่าน จะเป็นแบบเดียว หรือ เป็นไปในทิศทางเดียวกันหรือ ปล่าว
แต่ที่แน่ๆ การ ฟัง หรือ การ set up เครื่อง นั้น ต้องฟังแล้วเหมือนต้นฉบับ ที่อัดมา ไม่ว่าจาก studio หรือ แสดงสด ต้องไม่มีการ แต่งเติม เหมือนดูผู้หญิง ที่สวยตามธรรมชาติ ไม่ใช่ ใส่ big eye ให้ดูตาโตๆ โบ๊ะ จนหน้าเนียน ขาว อมชมพู แบบในโฆษณา คือ ต้นฉบับ มายังไง ก็สำแดง ออกมาแบบนั้น ทุกองค์ประกอบของ ห้องและ เครื่อง เส้นสาย มีผลหมด ขึ้นอยู่กับว่า ใครจะ tune ได้ลงตัว และเป็นธรรมชาติมากที่สุด
   อันนี้ไม่รวมถึงความชอบส่วนตัวนะครับ  Y]
 และแล้ว ก็ต้องเจอกับคำนี้อีกแล้ว   ถูกต้อง หรือ ถูกใจ ความเห็นส่วนตัวผมขอถูกต้องก่อนครับ แล้วค่อยมาดูกันอีกที ว่าถูกใจหรือไม่ คือที่ถูกใจก็ไม่ควรต่างจาก ถูกต้องมากนักครับ ไม่งั้น ออกทะเลเอาง่ายๆครับ :D :black_eye
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07 มีนาคม, 2011, 08:06:49 am โดย dr.nop »



ออฟไลน์ ขุนจิต

  • kjit
  • สมาชิกรุ่น Classic
  • Superstar...
  • *****
    • กระทู้: 7,392
    • เพศ:ชาย
  • ไบเกอร์เครื่องเสียง
Re: มาดูวิธีการ set เครื่องให้เพลงเป็นเพลงอย่างที่เราเคยฟังกันดีกว่า

ชอบมากๆๆๆ  อ่านแล้ว  โดนเลยครับ


อ้างอิง   อ่านดีมากเลยครับ


http://www.thaiaudioclub.net/board/index.php?topic=7629.0

ดีครับ  มีสาระเยียมมากเดียวเอาไป ขอนุญาติไปแปะที่  เวป+ลิงค์ เพื่อนบ้านครับ   เยี่ยมมาก


การใช้อุปกรณ์ที่ดีกว่าจะทำให้เราสามารถฟังเพลงได้ไพเราะขึ้นเป็นสิ่งที่ทุกคนเชื่อกันแต่ในความเป็นจริงก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอก ฟังแล้วจับผิดบ้าง ฟังเสียงที่ดูดีขึ้นจนฟังไม่เป็นเพลงก็มีไม่น้อย แล้วยังไงถึงจะฟังได้เพราะกับเครื่องแพงๆล่ะ

Flat sound
เสียง flat ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเสียงเรียบนะครับแต่เป็นเสียงที่ทุกย่านมันออกมาได้ครบไม่มีการกดทับกันจนฟังแล้วมันแหว่งๆขาดๆเกินๆ sound ที่ flat แล้วนี่แหละจะทำให้เราฟังเพลงเป็นเพลงได้มากขึ้น ฟังได้หลากหลายขึ้น

Dynamic
ช่วงแรงปะทะของเสียง timing ของจังหวะดนตรีที่มาเมื่อไหร่ ลากน้ำหนักยังไง ลงยังไง ถ้าชุดเรา set ถูกต้องจังหวะต้องพอดี อารมณ์ดนตรีก็จะเริ่มมาเพราะ dynamic วิ่งเต็มย่านอย่างเป็นธรรมชาติ แต่จะฟังออกยังไงล่ะ ประสบการณ์ล้วนๆครับ

Tonal balance
ลำโพงแต่ละตัวก็มี character แตกต่างกันไป การที่พยายามแต่งชุดเพื่อให้ลำโพงได้ character ที่ต้องการนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำเลยครับเพราะนอกจากจะได้ sound ที่ไม่ flat แล้ว dynamic ยังเพี้ยนอีก ฟังแล้วออกทะเลไปเลย sound กับ tonal balance ต้องแยกกันนะครับ ไม่ใช่เสียงต่ำกลางสูงเหมือนกัน ถ้า sound คือเนื้อ character ก็คือน้ำครับ

เพื่อให้ได้ 3 อย่างนี้ลงตัวต้องเริ่มพิจารณาจาก accessories พวกสายเอย ปลั๊กเอย โดยเริ่มจากพื้นฐานก่อนเลยครับ ใช้ปลั๊ก hospital grade ทั่วไปก่อนอย่าง cooper/hubbell/acme/levithan เป็นต้น สายก็ไม่ต้องเมพอะไรมากมาย เอาสายทองแดงทั่วๆไป grade อย่าง Mogami เส้นไม่กี่พันหรือพวกทองแดงแกนฝอยที่เส้่นไม่เล็กไปมาต่อก่อน สายไฟก็พวกได้ระดับที่ยอมรับได้หน่อย เอาของ basic ต่างๆมาเสียบๆฟังดูก่อน จับพวกที่บอกมาในตอนแรกว่าฟังแล้วเป็นอย่างไร ของ basic แม้ฟังแล้วจะขาดๆหายๆยังไงก็ยังเป็นเพลงอยู่ดีแหละครับ ไม่มีเสียงแปลกๆที่ทำให้ฟังแล้วอารมณ์เพลงมันห่วยหรอก

หลังจากฟังแล้วจับแนว 3 อย่างแรกได้แล้วก็ค่อยๆปรุงของโดยไม่ให้เสียใน 3 อย่างที่ว่ามามากจนเกินไป เริ่มจากปลั๊กไฟก่อนเลย ค่อยๆเปลี่ยนจากต้นทางมาว่าปลั๊กไหนเสียบแล้วเข้ากับเครื่องไหนดี ตัวนี้จะคุม sound ของเครื่องผ่าน current flow ครับ

จากนั้นก็เริ่มมาที่สายไฟว่าจะใช้เส้นกันต่อกับตัวไหนต่อไป อันนี้เริ่มจากปลายทางเพื่อการคุมโทนเสียงของเครื่องที่ฟังออกง่ายที่สุด จากนั้นก็ค่อยๆปรับขึ้นมาตาม character ของเครื่องว่าจะจูนอย่างไร

สุดท้ายก็สายสัญญาณครับ สายนี่จริงๆเอาไว้คุมพวก speed และ bandwidth ของเสียงนะครับ speed ก็ปรับตามประเภทของตัวนำและการประกอบที่มีผลกับ dielectric ถ้า speed ไว กลางแหลมก็จะนำเบสมากขึ้น ถ้า speed ช้าลง bass ก็จะนำขึ้นมา เส้นโตๆก็ให้ band กว้างหน่อย เสียงดูเต็ม มีเนื้อมีหนังแต่การถ่าง bandwidth กว้างไป dynamic ก็ไล่ไม่ดีได้อีก ต้องจัดให้พอดี

พอได้ 3 ส่วนนี้หลังจากที่ปรับเสร็จเรียบร้อยชุดของคุณก็ฟังเพราะฟังเป็นเพลงได้โดยไม่ยากเย็นครับ ส่วนเรื่องการ set ลำโพงผมยังบรรลุจะสรุปสำหรับทุกลำโพงได้หมด เอาแค่ลำโพงตัวเองยังกะมุม toe-in ไม่ถูกเลยครับ จะไม่ toe-in ก็ไม่ได้เพราะห้องไม่ดีพอด้วย :m (71):
impact คือแรงปะทะ
น้ำหนักของแรงปะทะมาจากความดัง
timing ของ dynamic เป็นตัวควบคุมระยะของ harmonic

Dynamic นั้นสามารถพิจารณาได้จากคุณสมบัติ 2 รูปแบบคือ

1. magnitude(F) หรือความเข้มข้นของ dynamic ตัวนี้ในวงการเครื่องเสียงจะชอบแรกแทนว่า impact, note attack เป็นต้น เราสามารถเช็ค phase ของเสียงได้จากการฟัง impact ของ dynamic ครับ ถ้ากลับ phase magnitude จะเป็นลบขึ้นมา
2. transient ของ dynamic หรือการเปลี่ยนแปลงของ magnitude(F) ต่อเวลา ช่วงความยาวของ dynamic ที่มีการเปลี่ยนแปลงนั้นในวงการเครื่องเสียงจะใช้คำว่า timing ซึ่งตรงนี้จะก่อให้เกิด harmonic ของเสียง

หากมอง dynamic เสียงเป็นรูปคลื่นในทะเลจะเข้าใจได้ว่าความสูงของคลื่นคือ impact ช่วงความยาวของคลื่นคือ timing ครับ

ศัพท์เทคนิคกับวิชาการอาจจะเยอะไปหน่อยแต่ก็เพื่อให้ไม่เข้าใจผิดพลาดยังไงก็ลองๆคิดตามดูนะครับ

ปล. Dynamic นี้ผมพูดในภาพรวมของ dynamic ทั่วไปตามหลัก Physic นะครับ ไม่ใช่ dynamic ที่นิยามตามรูปแบบ audiophile

อ่านแล้วชอบมากๆๆ
Dynamic คืออะไรในการเล่นดนตรี
« เมื่อ: พฤษภาคม 11, 2010, 12:06:50 PM » 

--------------------------------------------------------------------------------

Dynamic จากการรวบรวมความหมาย ในทางดนตรี หมายถึง ส่วนหนึ่งในการแสดงออกทางดนตรี ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการผลิตเสียง และ การเปลี่ยนแปลงความดัง เบา ของเสียง ประกอบด้วย สัญลักษณ์ เครื่องหมาย ตัวอักษรย่อต่างๆ ที่ใช้ในทางดนตร ถ้าจะพูดกันในภาษาพูดทั่วไป คำว่า Dynamic อาจจะพูดในความหมายที่เข้าใจได้ง่ายๆ คือ ความดัง และ เบา ในเสียงดนตรีที่ผลิตออกมา โดย ทั่ว ๆ ไปการสอนและอธิบายถึงเรื่องของ Dynamic ไม่ว่าจะเป็นในระดับอุดมศึกษา มัธยมศึกษา ประถมศึกษา หรือแม้แต่ขั้นเริ่มต้นเรียนดนตรีในวัยก่อนประถมศึกษา ผู้เรียนอาจจะได้รับการถ่ายทอดความรู้ให้รู้จักแค่เพียง ความหมายของแต่ละ Dynamic เป็นที่เข้าใจง่ายๆ ดังต่อไปนี้เท่านั้น

f      forte หมายถึง ดัง(เค้าอยู่ในช่วงนั้น แถมไดนามิกเดียวด้วย-*-)
p     piano หมายถึง เบา
mf   mezzo forte หมายถึง ดังปานกลาง(ก็อยู่ในช่วงนั้นเหมือนกัน)
mp  mezzo piano หมายถึง เบาปานกลาง
ff    fortissimo หมายถึง ดังมาก(อันนี้ใช้พลังเสียงสูง)
pp   pianissimo หมายถึง เบามาก(อันนี้เบาแล้วเบาเลยห้ามหาย)
 
(ความหมายในภาษาไทยของ Dynamic แต่ละตัว ที่เป็นที่รู้จัก และ ใช้กันทั่วไป)

จากประสบการณ์ทางดนตรีของผู้เขียนพบว่า ความรู้เรื่อง Dynamic เพียงเท่านี้ไม่เพียงพอสำหรับการสอน และ โดยเฉพาะขณะแสดงดนตรีจริง เนื่องจากความรู้เพียงแค่ความหมายของสัญลักษณ์แต่ละตัวนั้น ไม่สามารถแสดงถึงการถ่ายทอดอารมณ์ที่ละเอียดขึ้นในแต่ละประเภทของบทประพันธ์ ได้ หรือ นักดนตรีเองที่ต้องการแสดงออก ในความแตกต่างทางอารมณ์ของแต่ละบทเพลงได้ ดังนั้นถ้าไม่มีการอธิบายให้ละเอียดมากขึ้นไปกว่าวิธีอธิบายที่ใช้กันอยู่ จะทำให้การแสดงออกทางดนตรีของแต่ละบุคคลนั้นไม่สามารถแสดงถึงอารมณ์ ทื่แท้จริงของบทเพลงนั้นๆ ได้ และ ทำให้การแสดงออกทางอารมณ์เพลงของนักแสดงไม่สามารถแสดงออกมาได้เต็มที่เช่น กัน สิ่งที่ควรเรียนรู้เพิ่มเติมมีดังต่อไปนี้

การจัดสัดส่วนของ Dynamic ทั้งหมดที่อยู่ในบทเพลง ก่อนที่ผู้เล่นจะเริ่มเล่นหรือหัดบทเพลง ที่มีอยู่ต่อหน้า อยากแนะนำให้ผู้เล่นทุกท่าน ทำการศึกษาบทเพลงเบื้องต้นให้เข้าใจเสียก่อน โดยการดูว่าบทเพลงที่ตนมีอยู่ เป็นผลงานของใคร เป็นผลงานในยุคไหน มีการกำหนด time signature อะไร มีการกำหนด key signature อยู่ในบันไดเสียงอะไร ความเร็วของจังหวะที่กำหนดไว้ให้อยู่ในประเภทใด และ ส่วนสำคัญอื่นๆ ทั้งหมดที่มีอยู่ในบทเพลงนั้นๆ และ สิ่งที่เราพูดถึงอยู่คือเรื่องของ Dynamic

ผู้เล่นจำเป็นต้องดู Dynamic ที่มีอยู่ทั้งหมดในบทเพลงว่า มี Dynamic ทั้งหมดต่างกันกี่ชนิดอยู่ในบทเพลง เช่น บทเพลงนี้มี Dynamic ที่ต่างกันดังนี้ คือมี f (forte) และ p (piano) อยู่เท่านั้น นั่นทำให้เรารู้ได้ว่า เราต้องเตรียม และ ทำ Dynamic ให้ต่างกัน สองระดับเท่านั้น คือ forte ( ดัง ) และ piano ( เบา ) เมื่อใดก็ตามที่เห็น สัญลักษณ์ของ f เราก็จะเล่นดัง และ เมื่อใดก็ตามที่เห็นสัญลักษณ์ของ p เราก็จะเล่นเบา หรือ บทเพลงที่มี Dynamic ที่ต่างกันมากขึ้นไปอีก เราก็ต้องจัดสัดส่วนของความ ดัง เบา ที่ต่างกันให้ละเอียดขึ้นไปอีก และ เมื่อใดที่ เห็นลัญลักษณ์ Dynamic ต่างๆ ที่กำหนดอยู่ในบทเพลงที่กำลังเล่นอยู่ เราเองก็จะเตรียม และ เล่น Dynamic ได้ถูกต้องตามที่บทเพลงกำหนดมาให้ ได้เป็นอย่างดี ความดังเบาในแต่ละช่วง Dynamic ของตัวมันเอง ใน Dynamic แต่ละชนิด ต่างก็มีระดับความดังเบาที่ต่างกันในตัวมันเอง นั่นหมายถึง ตัวอย่างเช่น ใน Dynamic ระดับ forte (ความเข้มเสียงในช่วงเสียงที่ ดัง) ก็จะเล่นเสียงที่อยู่ในระดับที่ดัง และในระดับความดัง ของ forte นั้น ก็สามารถทำให้ดังมากขึ้น หรือ น้อยลง แต่ยังอยู่ใน Dynamic ระดับ forte อยู่ ในทางกลับกัน ใน Dynamic ระดับ piano ( ความเข้มเสียงในช่วงที่ เบา ) เอง ก็จะเล่นเสียง อยู่ในระดับ เบา และ ในระดับเสียงที่เบา ของ piano ที่ทำอยู่นั้น ก็สามารถทำให้ เบามากขึ้น หรือ เบาน้อยลง แต่ยังอยู่ในระดับเสียง piano เป็นสิ่งที่นักดนตรีเองต้องเรียนรู้ และ เข้าใจว่า ในแต่ละช่วง
Dynamic ที่ต่างกันออกไป จะไม่มีการข้าม หรือ ล้ำ ( Overlap ) กันเองในแต่ละระดับความดัง เบา ของตัวมันเอง ดังนั้น ในแต่ละช่วงของ Dynamic จึงมีระดับความต่างที่กันในตัวมันเอง ระหว่าง Dynamic หนึ่งไปหา Dynamic แต่จะไม่ล้ำไปเท่ากับ ระดับ Dynamic ข้างเคียง แต่เป็นที่แน่นอนว่าไม่มีใครสามารถกำหนด หรือ วัดได้ว่า ความดังในแต่ละ Dynamic มีค่ากำหนดไว้แน่นอนเท่าใดว่าต้องดัง หรือ เบาขนาดไหน ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมหลายๆ อย่าง เช่น ยุคของบทเพลงที่เล่น ขนาดของวงที่เล่น สถานที่ที่เล่น กลุ่มเครื่องดนตรีที่เล่นด้วย ซึ่งจะกล่าวต่อไป ความเข้าใจเพิ่มเติม ในแต่ละ Dynamic เราอาจจะเริ่มจากช่วง Dynamic ที่อยู่ในช่วงสบาย คือ ช่วงของ mezzo มาจาก ภาษาอิตาลี่ แปลว่า ครึ่งหนึ่ง ( Half ) ซึ่งถ้านำมาใช้ร่วมกับ forte และ piano แล้ว mezzo forte จะมีความหมายเป็น half loud หรือ ดังครึ่งหนึ่ง แต่ยังไม่ถึง forte ( ดัง ) และ mezzo piano ก็จะมีความหมายเป็น half soft หรือ เบาครึ่งหนึ่ง แต่ยังไม่ถึง piano ( เบา ) ซึ่งเมื่อนำมาใช้กับเรื่องของ Dynamic ในทางดนตรีแล้วมีความหมายที่เข้าใจได้ง่ายๆ คือ ปานกลาง mezzo piano คือ เบาปานกลาง และ mezzo forte คือ ดังปานกลาง ในตำราภาษาอังกฤษบางฉบับอาจจะแปลต่างกันได้ดังนี้ mezzo อาจจะมีความหมายเท่ากับ Moderately ( ปานกลาง ) หรือ Medium ( ปานกลาง ) หรือ Somewhat ( ค่อนข้าง ) สำหรับผู้เขียนเองแล้ว ตนเองได้จัดให้ Dynamic ในช่วงของ mezzo นั้น อยู่ในช่วงของการเล่นที่สบาย คือ mezzo forte จะเล่นอยู่ในช่วงเสียงที่ดัง แต่ยังคงความสบายไว้ ไม่ทำให้ตนเอง และ ผู้ฟังรู้สึกถึงพละกำลังของเสียงที่ดังจนเกินไป อาจจะเปรียบเทียบได้กับ อารมณ์ที่เป็นสุข สบาย แฝงไปด้วยความ ร่าเริง แข็งแรง สมบูรณ์ อยู่ภายใน ส่วน mezzo piano อยู่ในช่วงเสียงที่เล่นเบา และ สบาย แต่ไม่เบาจนเกินไป ไม่แสดงให้ตนเอง และ ผู้ฟังรู้สึกว่า ตนกำลังเล่นเบาอยู่ อาจจะเปรียบเทียบได้กับ อารมณ์ที่ สบาย ผ่อนคลาย และ สงบ ส่วน Dynamic ในช่วงของ forte นั้น จะอยู่ในช่วงเสียงที่มีพละกำลัง และ มีความดังเข้ามาเกี่ยวข้อง ต้องทำให้ทั้งตนเอง และ ผู้ฟังรู้สึกถึงความดังที่มีพละกำลังอยู่ตลอดเวลา อาจจะเปรียบเทียบได้กับ อารมณ์ที่ เข้มแข็ง มีพละกำลัง ความสนุกสนาน คึกคัก รื่นเริง ในทางกลับกัน Dynamic ในช่วงของ piano นั้น จะอยู่ในช่วงเสียงที่เบาแต่ยังได้ยินชัดเจน ต้องแสดงให้ทั้งตนเอง และ ผู้ฟังได้ยินถึงเสียงที่เบา แต่ได้ยินชัดเจนตลอดเวลา และในขณะเดียวกันจะไม่ดังเกินไปจนล้ำระดับ mezzo piano อาจจะเปรียบเทียบได้กับ อารมณ์ที่สงบ และเงียบ จนถึง ในบางครั้งอ่อนแอ ไร้ซึ่งพละกำลัง ส่วน Dynamic ที่เหนือขึ้นไปกว่านั้น คือ fortissimo และ pianissimo นั้น เป็นการเล่นที่ ดัง และ เบามากขึ้นไปอีก สำหรับ fortissimo นั้น ต้องเล่นให้ดัง และ มีพละกำลังอยู่ตลอดเวลา อยู่ในช่วงเสียงที่ดังมาก ต้องทำให้ตนเอง และ ผู้ฟังรู้สึกถึงพละกำลังของเสียงที่ดังมาก อาจจะมีความก้าวร้าวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย อาจจะเปรียบได้กับอารมณ์ ก้าวร้าว ฮึกเหิม การต่อสู้ ในทางกลับกัน Dynamic ในช่วงของ pianissimo นั้น ต้องเล่นให้เบามาก และ แน่นอนว่า ต้องได้ยินถึงความเบามากนั้น ต้องแสดงให้ตนเอง และ ผู้ฟังได้ยินถึงความเบาที่เบามากจริงๆ ซึ่งเป็นช่วงเสียงที่เล่นและควบคุมได้ยากมากอันหนึ่ง อาจจะเปรียบได้กับอารมณ์ ที่นิ่ง สงบ ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว เสียงที่ได้ยินแว่วมาแต่ไกล หรือ อาการใกล้จบ หรือ การดับสูญ เพิ่มเติมนะ การใช้ไดนามิกที่กล่าวมาใช้ได้กับการร้อง การพากย์เสียง และการเล่นดนตรีทุกชนิดคะ อยู่ที่ว่าการฟังเพลงหรืออารมณ์ในสิ่งที่เราฟังมันมีความดังเบามาแค่ไหนคับ


ปล. พอดีไปอ่านเจอมาครับ เอามาให้อ่านกัน


เยี่ยมครับ 
พิจิต 089-771-8895