มาเพิ่มเติมครับ

บริษัทโรยัล ฟิลิปส์ อิเล็กทรอนิกส์ เอ็นวี (Royal Philips Electronics NV) ผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภครายใหญ่ที่สุดของยุโรปจากประเทศเนเธอร์แลนด์ คาดการณ์ผลประกอบการไตรมาส 1 ปีนี้ จะยังขาดทุนจากแผนกทีวีต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ซึ่งเพิ่มแรงกดดันต่อซีอีโอคนใหม่ที่จะเข้ามาทำช่วงต่อที่ต้องพลิกฟื้นกลุ่มธุรกิจนี้
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า การขาดทุนดังกล่าวคาดว่าจะอยู่ระหว่าง 100-120 ล้านเหรียญยูโร (140-169 ล้านเหรียญสหรัฐ) เทียบกับปีที่ผ่านมาฟิลิปส์ขาดทุนจากกลุ่มธุรกิจดังกล่าว 125 ล้านเหรียญยูโร ซึ่งเป็นตัวเลขก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา สาเหตุหลักมาจากการแข่งขันราคาที่รุนแรง ผลงานดังกล่าวอาจทำให้ภารกิจพลิกฟื้นยอดขายกลุ่มทีวีของฟิลิปส์ในปีนี้ยังคงล้มเหลวต่อไป และสร้างสถิติขาดทุนในธุรกิจนี้ติดต่อกันเป็นปีที่ 5 จากคำแถลงการณ์ล่าสุดของบริษัทระบุว่า การแก้ปัญหาเรื่องนี้จะถือเป็นความสำคัญอันดับแรก
ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมทีวีต่างประสบปัญหาถ้วนหน้า โดยค่ายยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นทั้งโซนี่ คอร์ป และพานาโซนิค คอร์ป ใช้วิธีหั่นราคาเพื่อสู้กับผู้ผลิตจากประเทศจีน ขณะที่ฟิลิปส์ก็พยายามห้ามเลือดหรือหยุดตัวเลขขาดทุน โดยเปิดให้เช่าฐานการผลิตบางส่วนเพื่อนำรายได้เข้ามา
"การขาดทุนเป็นเรื่องใหญ่ และมีความสำคัญมาก" วิกเตอร์ บาเรโน นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ SNS ระบุพร้อมกล่าวว่า ผลงานที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็นความจำเป็นเร่งด่วนของฟิลิปส์ที่ต้องแก้ปัญหาดังกล่าวให้ได้
แน่นอนว่าภารกิจนี้ตกเป็นของประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ "ฟรานส์ แวน ฮูเทน" (Frans van Houten) ที่จะเข้ามารับตำแหน่งแทน "เจอราร์ด ไคลสเตอร์ลี" ซีอีโอผู้นำองค์กรยักษ์ใหญ่รายนี้มาร่วมทศวรรษในวันที่ 1 เมษายนนี้ โดยงานแรกของเขาคือ การพยายามลดสต๊อกสินค้ากลุ่มทีวีที่ค้างสต๊อกในไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งไม่ได้อธิบายรายละเอียดในแผนการต่าง ๆ เพิ่มเติม
ปีที่แล้วยอดขายทีวีของฟิลิปส์อยู่ที่ประมาณ 3.16 พันล้านเหรียญยูโร คิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของรายได้รวมจากแผนกคอนซูเมอร์ไลฟ์สไตล์ โดยตลอดปีที่ผ่านมากิจกรรมต่าง ๆ ของฟิลิปส์จะโฟกัสไปที่เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ และกลุ่มไลติ้ง ซึ่งเป็นจุดแข็งของผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยักษ์ใหญ่สัญชาติฮอลแลนด์รายนี้
ปัจจุบันนอกจากสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ฟิลิปส์เป็นผู้ผลิตทั้งเครื่องชงกาแฟ และที่โกนหนวด ฯลฯ โดยเป็นหนึ่งในผู้เล่นไม่กี่รายจากยุโรปที่ยังเหลือรอดในอุตสาหกรรมทีวีระดับแมส ซึ่งเป็นตลาดที่มีการแข่งขันรุนแรงอย่างยิ่ง และปัจจุบันกลายเป็นสมรภูมิรบระหว่างแบรนด์จากญี่ปุ่น และเกาหลี ขณะที่ผู้ประกอบการจากยุโรปอื่น ๆ รวมถึงซีเมนส์ ต่างยกธงขาวยอมแพ้ในธุรกิจนี้ไปแล้ว รายของซีเมนส์เพิ่งยกเลิกไลน์ผลิตทีวีไปตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ส่วนรายที่ยังหลงเหลือก็อัพเกรดสินค้าไปลงแข่งในเซ็กเมนต์ระดับบน อาทิ ค่าย Bang & Olufsen AS ที่ได้เปิดตัวทีวี BeoVision 4-103 ในราคามากกว่า 1 แสนเหรียญสหรัฐ
แม้สถานการณ์ในกลุ่มทีวียังวิกฤต แต่ฟิลิปส์ยังมองในแง่บวก โดยแผนอนาคตบริษัทตั้งเป้ายอดขายเติบโตขึ้น 2 เท่าภายในปี 2558 โดยโฟกัสไปที่กลุ่มที่มีศักยภาพทำกำไรอย่างไลติ้ง และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับยา ขณะเดียวกันจะมุ่งไปยังประเทศที่มีการเติบโตรวดเร็ว นั่นคือบรรดาตลาดเกิดใหม่ทั้งหลาย ซึ่งรวมถึงอินเดีย และบราซิล โดยปีนี้บริษัทคาดหวังว่ารายได้ซึ่งไม่รวมการซื้อกิจการ และผลจากอัตราแลกเปลี่ยนจะเติบโตขึ้น 2 จุด (percentage points) เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เร็วกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งเป็นการตั้งเป้าที่ไม่รวมผลงานในกลุ่มทีวี