หัวข้อ: ขอความรู้ เรื่อง การคำนาณ เกนวงจร และ feed back ครับ

[คนไกลบ้าน]

แล้วพวก grobal  feedback   positive feedback   คืออะไรครับพี่

-Global feedback เป็นการป้อนกลับรวมของระบบ ยกตัวอย่าง วงจรขยายที่มีหลายสเตจ การต่อสัญญาณเอาต์พุตสเตจสุดท้ายป้อนกลับมายังสเตจแรกเพื่อให้ได้อัตราการขยายที่ต้องการ เรียกว่า Global negative feedback
-Positive feedback เป็นการป้อนกลับแบบบวก ส่วนมากใช้ในวงจรออสซิลเลเตอร์ หากจะเอามาใช้ในวงจรแอมป์เพื่อเพิ่ม Slew rate ก็สามารถทำได้แต่ต้องคุมให้อยู่ มิฉะนั้นวงจรแอมป์จะออสซิลเลตจนกลายเป็นวงจรออสซิลเลเตอร์ไปในที่สุด

[Mr. Tube]

พี่Mr. Tube ครับ โดยปกติ ถ้าผมต้องการให้วงจรแอมปืขับหลอดเต็มกำลัง สมมติ ที่2a3 se นั้น ผมต้งทำโวลต์สวิงที่ 90โวลต์ peak to peak ใช่ไหมครับ ถ้าใช่ ผมหาหลอดไดร์ฟ ที่ทำโวลต์ สวิงได้แล้ว ต่อไปผมต้องหาเกน
คือ 90/2.828  ประมาณ32 เท่าใช่ไหมครับพี่ จึงสามารขับ 2a3ได้เต็มกำลัง ผมเข้าใจถูกต้องหรือไม่ครับพี่ รบกวนด้วยครับ

เข้าใจถูกต้อง แต่หมายเหตุไว้นิดนึงว่า ได้เต็มกำลังขับใน Class A1 ครับ

[Gazzy]

ลองเข้าไปอ่านอันนี้ดูครับน้าaon-amp
เป็นกระทู้ของ พี่ Jamie ชื่อ Negative Feedback มีเพื่ออะไร มีดีหรือไม่ดี
อ.Karin Preeda แกอธิบาย และก็สอนการคำนวนไว้ตั้งแต่ ปี2008 น่าจะเป็นประโยนช์  
http://www.thaidiyaudio.net/index.php/topic,764.msg10214.html#msg10214

[Aonamp]

แล้วพวก grobal  feedback   positive feedback   คืออะไรครับพี่

[Karin Preeda]

ผมว่าจะเขียนเรื่อง negative feedback แบบเข้าใจง่ายๆเหมือนกันครับ แต่ไม่ได้เขียนซักที

Negative feedback จริงๆแล้วเป็นกลไกทางธรรมชาติอย่างหนึ่งที่ทำให้ระบบเข้าสภาวะคงที่ ยกตัวอย่างเช่น เวลาขับรถบนทางด่วน เราจะเห็นป้ายจำกัดความเร็วค่าหนึ่งไว้ สมมติว่า 120 กม.ต่อชั่วโมง ใจของเราในฐานะคนขับก็ตั้งใจจะขับให้เร็วที่สุดโดยยังอยู่ในขอบเขตที่กฏหมายกำหนดไว้ ดังนั้นเวลาเหย๊ยบคันเร่งรถไปเรื่อยๆ ความเร็วก็เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆเมื่อเราสังเกตมาตรวัตดความเร็ว อ้าว เกิน 120 กม./ชม.ไปแล้ว ทำไงดี ก็ถอนคันเร่ง พอถอนคันเร่ง ความเร็วก็ลดลงต่ำกว่า 120 กม./ชม. ไปนิดหน่อย เราก็เร่งขึ้นไปอีก ทำอย่างนี้ไปมาจนความเร็วเฉลี่ยของเราคือ 120 กม./ชั่วโมง

ตัวอย่างข้างบนนี่แหละครับคือ negative feedback การทำงานของมันคือเอาผลลัพธ์ที่ได้มาคำนวนและก็ดูว่ามันเกินไปเท่าไหร่ แล้วก็เอาผลลัพธ์ตรงนั้นมาปรับการทำงานให้ใกล้เคียงกับจุดหมายที่เราต้องการ

ฟังแล้วคุ้นๆไม๊ครับ? ลองนึกถึงชีวิตประจำวันของเราก็ได้ว่าเราต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับอะไรพวกนี้หรือเปล่า?

ส่วนทางด้านไฟฟ้า หลักการของมันก็คือ เอาสัญญาณ output ที่ได้ส่วนหนึ่ง มาหักล้างกับสัญญาณ input เพื่อลดอัตราขยายลง เช่น วงจรหนึ่งมีอัตราขยาย 100  ซึ่งหมายความว่าเข้า 1V ออก 100V สมมติว่าเราย้อนเวลากลับไปเมื่อ 80 ปีก่อนที่ยังไม่รู้จัก feedback เราจะทำยังไงดีให้อัตราขยายลดลง? ขอแค่ 50 ก็พอ

วิธีง่ายสุด ก็ใส่ตัวทอนสัญญาณ input ลงไป เอาแค่ครึ่งเดียวพอ คือไม่สนใจว่าเข้าเท่าไหร่ แต่เข้ามาแล้ว ขอครึ่งเดียวมาใช้งาน

ตอนนี้ก็เหลืออัตราขยายแค่ 50 แล้ว

แต่ถ้าใช้ negative feedback ก็จะแบ่ง output มาส่วนหนึ่ง เอามาหักล้างกับ input ให้เหลือครึ่งเดียว ก็จะทำให้อัตราขยายลดลงเหลือครึ่งเดียวเช่นกัน ก็เลยกลายเป็นที่มาของสูตรที่เห็นใน link ของ Wikipedia นั่นละครับ

[ohm]

negative  feedback เนี่ย หลักๆคือ ต้องการลด distotion + ขยายแบนวิดธ์ของวงจรครับ

ืำโดยทั่วไป จะจัดวงจรขยายให้มีเกนก่อนทำ negative  feedback ให้สูงๆ อาจจะเป็นหลายร้อย-หลายพันเท่า  แล้วทำnegative  feedback ให้เกนขยายลงมาอยู่ในระดับที่ต้องการ

 จะลด distotion   จะขยายแบนวิดธ์ ไปได้แค่ไหน ขึ้นกับว่าจะทำ negative  feedback ได้ขนาดไหน ยิ่งมาก  distotion ยิ่งลด + แบนวิดธ์ยิ่งขยายออกไป

ในยุคหนึ่งถึงได้มีวงจรขยายที่มีเกนขยายก่อนทำnegative  feedback กันสูงๆ มาแข่งกันเพื่อ ตัวเลข  distotion สวยๆ

แต่อะไรที่มันมากไปมันก็ไม่ได้มีแต่ข้อดีเสมอไปครับ  negative  feedback เองก็ทำให้เกิดความเพี้ยนขึ้นมาด้วยเหมือนกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ความถี่สูงๆ ค่าตัวเก็บประจุแฝง ค่าขดลวดแฝงในอุปกรณ์ทำให้ เฟสของสัญญาณที่เอามาป้อนกลับเลื่อนออกไป

พอเฟสมันเพี้ยน negative  feedback ก็จะไม่เป็น negative  feedback ครับ มันจะกลายเป็น positive  feedback ถึงกับทำให้เครื่องขยายออซซิเลตได้เลย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วงจรหลอดที่ต้องผ่านหม้อแปลงเอาท์พุท ทำnegative  feedback ได้น้อยกว่าพวกโซลิตฯมาก
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ถ้าจะทำวงจรแบบไม่มี negative  feedback  จะต้องจัดวงจรให้มีเกนขยายตามที่ต้องการออกมาเลย   ถ้าเกนมากไป ต้องลดที่วงจรเลย

แต่ถ้าเป็นพวกที่มี negative  feedback  จะจัดวงจรให้มีเกนขยายมากๆเข้าไว้ แล้วใช้ negative  feedback  มาลดเกนให้ได้เท่าที่ต้องการ

[Withaya]

ลองอ่านที่คุณฆฤณเขียนเอาไว้ก่อนแล้วกันครับ  ผมมันพวกขี้เกียจพิมพ์ 
http://www.thaidiyaudio.net/index.php/topic,1436.0.html

[Aonamp]

 สืบเนื่องจากกระทู้นี้   http://www.htg2.net/index.php?topic=79289.0
พี่ ๆๆทั้ง พี่ Tube Collector ได้พูดถึง เรื่องการคำนวณเกน รวมวงจร
ผม พอจะหาเกน แบบที่ละช่วงได้ครับ แต่พอมารวมกันทั้งวงจร ยังสับสนเล็กน้อย
ซึ่งพี่ได้ฝากคำถามทิ้งเอาไว้ ว่า  = 6SJ7 + 6SN7 +2A3(Bias -63Vdc) +  5Kpp Transformer (XE60-5) to 8 ohm
= 6SJ7 ประมาณตาม Mr tube 8-10 + 6SN7 ประมาณตาม Mr tube 8-10 +2A3 (ประมาณ 3) + XE60-5 ( 5K Plate to Plate to 8 ohm)
= 10 x 10    + 2A3  gain 3  (Bias half = -63Vdc) + ( -25 ของ 5Kpp to 8 ohm)
= 100 x3  x (-25)  ถ้าเราให้ตาม ทฤษฎีให้สัญญาณเข้ามา 1VRMS (2.828VPP)   จะเกิดอะไรกับ 2A3

อันนี้มันจะเป้นยังไง รอพี่ มาช่วยตอบด้วยนะครับ ที่ผมมอง คือ สันญาณ มา1 vrms ผ่านวงจร สองเสตจได้ 100  เพราะงั้นมาน่าจะ มีปัญหา ที่2a3แล้วถูกไหมครับ เพราะสัญญาณ มันแรงเกิน วงจรน่าจะเพี้ยนแล้วใช่ไหมครับ
ทางแก้ คือต้องลดเกนภาคหน้าลงใช่ไหมครับ
 

ทีนี้ มาดูที่ ฟี๊ดแบ็ค   อันนี้ขอความรู้เลยครับ มันคือ อะไร ทำไมต้องมี แล้ว มันมีวิธีหาอย่างไร
 พี่ วิทยา ได้ให้ข้อมูล บางส่วนมาแล้ว  http://en.wikipedia.org/wiki/Negative_feedback_amplifier  ต้องขอบอกตรงๆๆครับ ภาษา ผมไม่แข็งแรงเลยครับพี่
 รบกวน พี่ๆๆที่พอ จะแปลให้ฟังได้บ้างไหมครับ เอาแบบเข้าใขง่ายๆๆอ่ะครับ
 

พี่Mr. Tube ครับ โดยปกติ ถ้าผมต้องการให้วงจรแอมปืขับหลอดเต็มกำลัง สมมติ ที่2a3 se นั้น ผมต้งทำโวลต์สวิงที่ 90โวลต์ peak to peak ใช่ไหมครับ ถ้าใช่ ผมหาหลอดไดร์ฟ ที่ทำโวลต์ สวิงได้แล้ว ต่อไปผมต้องหาเกน
คือ 90/2.828  ประมาณ32 เท่าใช่ไหมครับพี่ จึงสามารขับ 2a3ได้เต็มกำลัง ผมเข้าใจถูกต้องหรือไม่ครับพี่ รบกวนด้วยครับ

  ขอขอบพระคุณ มา ณ  โอกาสนี้ด้วยครับ