HTG2.club

Home Theater Guide webboard => มุม โฮมเธียเตอร์ (HT) => ข้อความที่เริ่มโดย: Help !!! ที่ 12 สิงหาคม, 2007, 09:52:36 am

หัวข้อ: คอนเสิร์ต อารีย์ นักดนตรี วันอาทิตย์มี่ 16 กันยายน 2550 เวลา 13.30 น.
เริ่มหัวข้อโดย: Help !!! ที่ 12 สิงหาคม, 2007, 09:52:36 am
คอนเสิร์ต อารีย์  นักดนตรี
“วันวานที่แสนดี  ที.วี. ช่อง 4 “ กับ อารีย์  นักดนตรีnarong2493@yahoo.com,
วันอาทิตย์มี่ 16 กันยายน 2550 เวลา 13.30 น.
ณ  ศาลาเฉลิมกรุง  จองบัตรที่
คุณอารีย์  นักดนตรี charoen@oae.go.th,
โทร 02  2242018 และ 081 5541009
(หมายเหตุ : -  รายได้บางส่วนบริจาคให้แก่นักแสดงที่เจ็บป่วย)

หนังสือ ๗๒ ปี อารีย์  นักดนตรี
        อันเนื่องจากบางท่านที่เคยได้รับความชื่นชอบกับผลงานการอ่านข่าว  การเป็นพิธีกรในบางรายการ
การแสดงละครและการขับร้องเพลง จากรายการจากวิทยุ ท.ท.ท. และทีวีช่อง ๔ บางขุนพรหม
ของคุณอารีย์
นักดนตรี
        คราวนี้ผมผมโชคดีได้หนังสือสูจิบัตรพร้อมซีดี ๗๒ ปี อารีย์  นักดนตรี มา ๑ ชุด
(น่าจะหายากแล้วครับเพราะทำออกมาเพียง ๑, ๐๐๐ ชุดเท่านั้น  ไม่ใช่สกัดดาวรุ่งนะครับ
ไม่ต้องไปหาที่คุณอารีย์นะครับ  ชวพันธ์ไปหามาแล้วไม่มีเหลือแล้วครับ
คุณอารีย์เธอบอกว่าไม่เหลือ  แหม! กะจะเก็บไว้กันหายอีกสักชุด อดเลย
ลองดูตามร้านหนังสือเก่านะครับอาจมี  ผมก็ได้จากร้านหนังสือเก่าครับ)
หนังสือสูจิบัตรในงาน ๗๒ ปี อารีย์  นักดนตรี
ปกซีดี ในงาน ๗๒ ปี อารีย์  นักดนตรี
ปกในของซีดีที่คุณอารีย์เขียนขอบคุณเจ้าของลิขสิทธิ์เพลง

ในซีดีแผ่นนี้มีเพลงทั้งหมด ๒๒ เพลง
๑ กล้วยไม้
คำร้อง/ทำนอง          พรานบูรพ์
        เพลงกล้วยไม้
ความจริงพรานบูรพ์แต่งให้ผู้ชายร้องเป็นการตัดพ้อต่อว่าหญิงสาวชนบทที่มาหลงเมืองกรุงหากแต่เนื้อร้องเป็นกลางกลาง  คุณอารีย์จึงนำมาร้อวบันทึกแผ่นเสียงตราโทรทัศน์  ช่อง ๔ เมื่อ พ.ศ.
๒๕๐๘

๒ วันเพ็ญ
คำร้อง         พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภาณุพันธ์  ยุคล
ทำนอง        ร้อยพัน(หม่อมหลาวงพวงร้อยและหม่อมหลวงประพันธ์  สนิทวงศ์)
        เป็นเพลงจากภาพยนตร์เรื่อง”วันเพ็ญ” ในซีดีแผ่นนี้เป็นการขับร้องของคุณอารีย์คู่กับครูเอื้อ
สุนทรสนาน  เนื่องในวันครบรอบปีสถานีโทรทัศน์ช่อง ๔ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔  ซึ่งหาฟังจากไหนไม่ได้

๓ ดวงจันทร์
คำร้อง/ทำนอง        พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ
        ในวันเกิดของโทรทัศน์ ช่อง๔ พ.ศ. ๒๕๐๕ คุณอารีย์และคุณฉลอง  สิมะเสถียร
พร้อมใจกันเลือกเพลง”ดวงจันทร์” ได้นัดกันแต่งตัวตามท่องละคร”เลือดสุพรรณ”
ทีเป็นละครลือลั่นมาทุกยุคทุกสมัยของพลตรีหลวงวิจิตรวาทการ  โดยคุณฉลองแต่งตัวเป็น”มังราย”
พระเอกของเรื่อง  ส่วนคุณอารีย์  แต่งเป็น “ดวงจันทร์”บางเอกของเรื่อง ที่จะแต่งชุดตะเบ็งมาน
แต่เนื่องจากอากาศเย็นมากไม่สามารถแต่งได้จึงต้องเปลี่ยนชุดไทยคังในภาพ

๔ ฟ้ารักดิน
คำร้อง        ชาลี  อินทรวิจิตร
ทำนอง        สง่า  อารัมภีร

        เพลงนี้มาจากละครเรื่อง”ขุนศึก”  ละครเรื่องนี้มี ๑๖ ตอต  ตอนละ ๒ ชั่วโมง
เดือนละครั้งตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๔
เพลงนี้คุณอารีย์ขับร้องคู่กับคุณกำธร  สุวรรณปิยะศิริ
พระเอก                กำธร  สุวรรณปิยะศิริ
นางเอก                อารีย์  นักดนตรี
ตัวโกง                สมจินต์  ธรรมทัต
แม่หญิงดวงแข        นวละออ  ทองเนื้อดี

๕ ศรอนงค์
คำร้อง        ขุนวิจิตรมาตรา
ทำนอง        โพธิ  ชูประดิษฐ์
        เพลงนี้คุณอารีย์ขับร้องคู่กับคุณกำธร  สุวรรณปิยะศิริ ในละครเรื่อง”ศรอนงค์”
เพลงนี้ขุนวิจิตรมาตราเขียนให้ละครเวทีคณะของพระนางเธอลักษมีลาวัณแสดงที่ศาลาเฉลิมกรุง
และเป็นครั้งแรกที่นำเอาดนตรีสากลมาบรรเลงประกอบละครเป็นคณะแรก
และละครเรื่องนี้แสดงออกอากาศทางไทยทีวี ช่อง ๔ ถึง ๒ ครั้งโดยครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๑
แสดงโดย ฉลอง  สิมะเสถียรและอารีย์  นักดนตรี  และ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๗
วันเกิดสถานนีโทรทัศน์ ช่อง ๔ โดย กำธร  สุวรรณปิยะศิริ   จากนั้นอีก ๒ ครั้ง คือที่ ช่อง ๙
อ.ส.ม.ท. ในวโรกาสที่สมเด็จพระทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารีเจริญพระชนม์พรรษาครบ ๓ รอบ
และอีกครั้งคุณอารีย์ได้นำมาแสดงในฃโอกาสฉลองการเปิดเฉลิมกรุงยุคใหม่เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๖

๖ รักแน่หรือ
คำร้อง        ขุนวิจิตรมาตรา
ทำนอง        เอื้อ  สุนทรสนาน

เป็นเพลงจากละครเรื่อง”มาโคโปโล กับคุบบลายข่าน” ที่แสดงคู่กับพระเอกคู่บุญคือ คุณกำธร
สุวรรณปิยะศิริ  เพลงนี้ครูเอื้อ  ได้พาไปบันทึกเสียงในแผ่นลองเพลย์ ที่ห้องบันทึกเสียงกมล
สุโกศล เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๐๒ ในชุด”จักรวาลดารา”

๗ มิ่งไม้เหมย
คำร้อง        ขุนวิจิตรมาตรา
ทำนอง        เอื้อ  สุนทรสนาน

        เป็นเพลงจากละครเรื่อง”เจ้าจอมเจียวกุน” ซึ่งเป็นละครอิงประวัติศาสตร์จีน ซึ่ง
เจ้าจอมเจียวกุน เป็นสาวงามในชนบทที่ถูเลือกเพื่อมาเป็นพระสนมของฮ่องเต้ ที่แสดงโดย สักกะ
จารุจินดา แต่ถูกกลั่นแกล้งให้ไปอยู่ท้ายวัง  จึงรำพึงถึงความอาภัพด้วยเพลง “มิ่งไม้เหมย”
ม.ร.ว. ถนัดศรี  สวัสดิวัฒน์ แสดงเป็นเป็นข่านที่มารบพุ่งเพื่อเอาเมืองและหมายปอง
เจ้าจอมเจียวกุน

๘ ปิ่นทอง
คำร้อง         พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภาณุพันธ์  ยุคล
ทำนอง        สง่า  อารัมภีร
        เพลงนี้เป็น้ะลงจากอุปรากรเรื่อง”นันทาเทวี” แสดงที่โทรทัศนืช่อง ๔ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๒ มี ฉลอง
 สิมะเสถียร  แสดงเป็นพระเอก ส่วนคุณอารีย์ต้องขับร้องเพลง “ศรรัก”
แต่เมื่อพระองค์ชายใหญ่เสด็จมาทอดพระเนตรการซ้อมเกิดไม่พอพระทัยเพลงศรรัก
จึงได้นิพนธ์เพลง”ปิ่นทอง”ประทานให้คุณอารีย์ขับร้องซึ่งเข้ากับท่องเรื่องตอนที่เจ้าหญิงนันทาเทวีปลดปิ่นทองจากเกศเกล้าประทานให้กับ”สันติวัต”
พระเอกของเรื่องแทนความรัก
นิรันดร์ของเจ้าหญิง

ในบทของเจ้าหญิงนันทาเทวี

๙  กระแจะจันทร์
คำรัอง/ทำนอง        พรานบูรพ์
        ทุกวันที่ ๑๔ มิถุนายน ของทุกปีเป้นวาระครบรอบปีของสถานีโทรทัศน์ ช่อง ๔
นักแสดงทุกคนรวมทั้งคุณอารีย์จะต้องออกมาร้องเพลงหรือรำละครสุดแท้แต่คุณจำนง  รังสิกุล
จะกำหนด  และเพลงนี้ คุณอารีย์ขับร้องคู่กับคุณฉลอง  สิมะเสถียร ในปี พ.ศ. ๒๕๐๘
ซึ่งเธอเคยได้ขับร้องคู่กับคุณเทิ่ง  สติเฟื่อง  ซึ่งเป็นการขับร้องแบบสดสดด้วย

ในภาพคุณอารีย์ขับร้องเพลงกระแจะจันทร์คู่กับคุณฉลอง  สิมะเสถียร

๑๐ รักแท้
คำร้อง/ทำนอง         สง่า  อารัมภีร
        เพลงจากละครเรื่อง”ลูกทาส” ของ รพีพร
เพลงนี้เป็นตอนที่เจ้าแก้วพระเอกลูกทาสสมวังกับความรักเมื่อสอบเนติบัณฑิตได้จนบิดาของคุณน้ำทิพ ผู้สูงศักดิ์ยอมรับเป็นบุตรเขย  เป็นเพลงที่ครูสง่า  อารัมภีร
แต่งเพลงนี้ได้เข้าถึงอารมณ์ตัวละครได้อย่างลึกซึ้ง

คุณน้ำทิพย์กับเจ้าแก้ว(กำธร  สุวรรณปิยะศิริ)

๑๑ ดอกฟ้าจำปาศักดิ์
คำร้อง/ทำนอง         สง่า  อารัมภีร

ในภาพพระเอกผู้ต่ำต้อย(กำธร
สุวรรณปิยะศิริ)แต่งชุดพรางสีดำเพื่อพรางตาให้เข้ากับความมืดเอปีนหน้าต่างเข้ามาหานางเอก
ในละครเรื่อง”ดอกฟ้าจำปาศักดิ์”

๑๒ เพียงแค่ขอบฟ้า
คำร้อง        ธาตรี
ทำนอง        เอื้อ  สุนทรสนาน

คุณอารีย์ในบทพระนางซีสิน  จากละครเรื่อง”เพียงแค่ขอบฟ้า”
ละครเพลงเรื่องนี้ อาจารย์สุภร  บุนนาค ได้แต่งลงในหนังสือโฆษณาสารไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๔
โดยมีคุณชอุ่ม  ปัญจพรรค์  เป็นบรรณาธิการ  ละครเรื่องนี้ได้แสดงออกอากาศเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๘
หลังจากเตรียมการมาถึง ๘ ปี  เพลงนี้ขับร้องคู่กับ คุณกำธร  สุวรรณปิยะศิริ

๑๓ พฤกษาหน้าหนาว
คำร้อง        สุภร  บุนนาค
ทำนอง        เอื้อ  สุนทรสนาน
        อีกเพลงหนึ่งจากละครเรื่อง”เพียงแค่ขอบฟ้า”

        ในภาพพระนางซีสินและพระพี่เลี้ยงทั้งสองที่แสดงโดย ชวลี  ช่วงวิทย์  และศรีสุดา  รัชตะวรรณ
ออกมาส่งทหารและมอบดาบให้แก่ทหารเอกแสดงโดย ประกอบ  ไชยพิพัฒน์
หลังจากทหารเอกและสามีออกไปรบ  พระนางก็มองไปข้างหน้าเห็นภาพใบไม้ร่วง
แล้วเกิดอาการหดหู่และสังหรณ์ใจ
เพลงนี้เป็นเพลงที่ถ่ายทอดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีว่าการรักศัตรูเป็นความผิดอย่างมหันต์
มิช้ามินานทหารก็กลับมารายงานว่ากองทัพพ่ายแพ้และพ่อขุนสามีก็เสียชีวิต
ภายหลังพระนางจึงออกไปรับพระศพสามีมาเผาตามประเพณี

๑๔ จนนาง
คำร้อง        ชอุ่ม  ปัญจพรรค์
ทำนอง        เอื้อ  สุนทรสนาน
        อีกเพลงหนึ่งจากละครเรื่อง”เพียงแค่ขอบฟ้า” เพลงนี้ขับร้องคู่กับกำธร  สุวรรณปิยะศิริ
แสดงเป็นขุนบรม
เพลง
        ในภาพขุนบรม(ข้าศึกที่แอบดอดมาตีท้ายครัว)เกิดพึงใจในความงามของพระนางซีสินและเกี้ยวพาราสี
ขณะที่นางนั่งชมสวน ด้วยเพลง"จนนาง”  เพลงนี้มีทั้งน่ารัก ลูกหยอดลูกชน และวาจาเชือดเฉือน
ด้วยคารมคมคาย  (ขุนบรมหลอกพ่อขุนพระสวามีของพระนางซีสินและหัวหน้าไทยทั้ง ๕
มาชุมนุมและหลอกฆ่าและเผาศพของหัวหน้าไทยทั้ง ๕
อันเนื่องจากจะได้เมืองแล้วยังจะได้พระนางซีสินมาเป็นมเหสีอีก
แต่พ่อขุนสวามีของพระนางซีสินได้สวมกำไลที่พระนางซีสินมอบให้ทำให้นางจำพระศพของพระสวามีได้)

๑๕ ซีสินอธิฐาน
คำร้อง        สุภร  บุนนาค
ทำนอง        เอื้อ  สุนทรสนาน
        อีกเพลงหนึ่งจากละครเรื่อง”เพียงแค่ขอบฟ้า”

        เป็นเพลงสุดท้ายของเรื่องที่นางเอกเมื่อพระสวามีสิ้นพระชนม์
พระนางได้คุกเข่าลงอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าขอให้คนไทยอย่าเข่นฆ่ากันอีกเลย
และขอให้ช่วยดลจิตใจของนางให้อย่าเห็นผิดเป็นชอบ  สวามีของนางเปรียบเหมือนเป็นเทพ
แต่ขุนบรมคือปีศาจรูปงามที่โหดเหี้ยมซึ่งจิตใจของนางนั้นกสับโอนเอียงไปรักขุนบรม
โดยชีวิตของนางนั้นมอบให้แก่ชาติและพระสวามีตลอดมา
แต่ขอสิ่งเดียวดังประโยคสุดท้ายของเนื้อเพลงที่อาจารย์สุภร  บุนนาค
ประพันธ์ไว้อย่างซาบซึ้งที่ผู้ชมฉากสุดท้ายอดที่จะไม่เห็นใจนางเอกไม่ได้
เป็นละครที่เศร้าเพราะนางเอกตัดสินใจกระโดดหอคอยตายเนื่องจากไม่สามารถยอมเป็นมเหสีของผู้ที่ฆ่าสวามีไม่ได้

๑๖ ห้วยแก้ว(จันทร์พายัพ)
คำร้อง/ทำนอง        พรานบูรพ์

หัวหน้าจำนง  รัสิกุล ได้จัดรายการ “เพลงแห่งความหลัง” ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๗ เรื่อยมาถึง พ.ศ.
๒๕๑๒ และได้ให้คุณฉลอง  สิมะเสถียรมาช่วยสอนพวกนักแสดงของช่อง ๔ ให้ขับร้องเพลงรุ่นเก่า อาทิ
เช่น ของ พรานบูรพ์ ขุนวิจิตรมาตรา บุญช่วย  กมลวาทิน นารถ  ถาวรบุตร และล้วน  ควันธรรม
และได้เชิญนักร้องรุ่นเก่ามาด้วยทุกครั้ง  และทุกคนต้องแต่งตัวชุดสมัยรัชกาลที่ ๗
โดยคุอารีย์  มักจะเลือกเพลงของ พรานบูรพ์ มาขับร้อง

๑๗ จันทร์เจ้าขา
คำร้อง/ทำนอง        พรานบูรพ์

๑๘ น้ำใจชาย
คำร้อง/ทำนอง        ล้วน  ควันธรรม

๑๙ บัวแนบน้ำ
คำร้อง        ขุนวิจิตรมาตรา
ทำนอง        เอื้อ  สุนทรสนาน

        ระบำพัดที่อารีย์  นักดนตรีรำนำหมู่ ในเพลง”บัวแนบน้ำ” ในละครเรื่อง”ไซซี”
เรื่องของสาวชาวนาที่กลายมาเป็นเจ้าจอมของฮ่องเต้  และเป็นฮองเฮาในที่สุด

๒๐ บัวไกลตา
คำร้อง        ขุนวิจิตรมาตรา
ทำนอง        เอื้อ  สุนทรสนาน

นางไซซีเมื่อยังเป็นสาวชาวนาจากชนบท
เมื่อคราวที่นางไปเก็บฟืนได้ร้องเพลงที่กล่าวถึงความอาภัพของตัวเอง
ว่าตัวเองนั้นเหมือนดอกบัวที่สวยงามแต่แต่อยู่ไกลตา
รอวันที่ล่วงโรยเหี่ยวเฉาไม่มีใครเหลียวแล
โดยมิทราบว่าฮ่องเต้ได้แอบมาฟังและได้พานางเข้าไปอยู่ในวังเพราะเห็นความปราดเปรื่องของนาง

๒๑ แสงทอง
คำร้อง        ขุนวิจิตรมาตรา
ทำนอง        ของเก่า


        เพลงจากงิ้วไทยเรื่อง  ฮวนลิฮวย  กับ ซิเต็งซัน
ในภาพเป็นตอนที่นางเอกออกมานั่งชมจันทร์และดอกโบตั๋น  ขับร้องเพลงพร้อมกับดีดปี่ปาไปด้วย

๒๒ จำปีฟ้า
คำร้อง        ธาตรี
ทำนอง        เอื้อ  สุนทรสนาน
        เป็นเพลงในละครเรื่อง”ขุนศึก “ บทโทรทัศน์โดย รพีพร(สุวัฒน์  วรดิลก)

ในภาพเป็นบทของแม่หญิงเรไร  ยอดดวงใจของไอ้เสมา
ผลงานเขียนหนังสือของคุณอารีย์  นักดนตรี(ที่ผมมีอยู่ครับ)
หนังสือโลกมายา ของอารีย์  นักดนตรี เขียนโดย อารีย์  นักดนตรี
หนังสือ อารีย์ และ ที.วี. ดารา เขียนโดย อารีย์  นักดนตรี

หนังสือ ตำรับอาหาร เมืองสมุทรสงคราม รวบรวมโดย อารีย์  นักดนตรี

บนถนนสายมายาของ อารีย์ นักดนตรี จันเกษม อดีตผู้ประกาศและนักแสดงสถานีโทรทัศน์ช่อง ๔
บางขุนพรหม
โดย  เมล็ดข้าว
ฉบับที่ 2541 ปีที่  49 ประจำวัน  อังคาร ที่  1 กรกฎาคม  2546

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯร้านทีวีช่อง ๔
บางขุนพรหม ในงานกาขาด มี อารีย์ นักดนตรี ถวายเกมภายในงาน

อารีย์ นักดนตรี จันเกษม

บนถนนสายมายากว่า ๕๐ ปี ของ อารีย์ นักดนตรี จันเกษม
เธอเป็นดาวค้างฟ้าที่ยังอยู่ในใจผู้ชมที่อยู่ในวัย ๕๐ กะรัตขึ้นไปในสังคมไทย
ด้วยเธอเป็นคนสวยโสภาของไทยทีวีในยุคบุกเบิกวงการโทรทัศน์สถานีโทรทัศน์ช่อง ๔ บางขุนพรหม
สถานีโทรทัศน์แห่งแรกของประเทศไทย และแห่งแรกในภาคพื้นเอเชียอาคเนย์
ซึ่งถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๔๙๘ สมัยนั้นผู้ประกาศสถานีชุดแรกได้แก่ ดาเรศ
ศาตะจันทร์ ดวงดาว อาษากิจ นวลละออ ทองเนื้อดี ศุภมิตร ศาตะจันทร์ โดยมี จำนง รังสิกุล
เป็นหัวหน้าฝ่ายผลิตรายการ
           อารีย์ นักดนตรี เป็นบุคคลคนแรกที่มีโอกาสเยี่ยมหน้าทักทายผู้ชม
ด้วยการรำเพลงต้นบรเฑศ (ต่อมาภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นต้นวรเชษฐ์) เปิดสถานีโทรทัศน์ในวันแรก
๒๔ มิถุนายน ๒๔๙๘ เวลา ๑๙.๐๐ น. ได้เห็นทั้งภาพและเสียงเพลงสัญลักษณ์ของสถานี
เป็นวันที่ไทยทีวีช่อง ๔ บางขุนพรหม
และสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งแรกในประเทศไทยเปิดสถานีอย่างเป็นทางการ จากนั้น เย็นจิตร
(สัมมาพันธุ์) รพีพัฒน์ แจ้งรายการเป็นคนแรก
           ในช่วง ๓๘ ปีแรก อารีย์อยู่ในฐานะบุคลากรคนสวย ด้วยใบหน้างามสง่า
ผิวขาวผ่องสะอาดตาเป็นที่ประทับใจแก่ผู้พบเห็น รูปร่างบางสูงโปร่ง ทั้งยังมากด้วยความสามารถ
เป็นผู้ประกาศ นักแสดง พิธีกร นักพากย์ นักร้อง ผู้กำกับการแสดง นางเอกละครวิทยุ
รายการแม่บ้านสาธิตการทำกับข้าว ผู้จัดรายการเพลงแห่งความหลัง (เป็นเพลงเก่าของพรานบูรพ์
ขุนวิจิตรมาตรา สง่า อารัมภีร นารถ ถาวรบุตร ล้วน ควันธรรม) พรีเซ็นเตอร์โฆษณาสินค้าพาเพลิน
ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง ๔ จนมาถึงสถานีโทรทัศน์ช่อง ๙ องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย
(อ.ส.ม.ท.) ปัจจุบันเธอเป็นกรรมการมูลนิธิขุนวิจิตรมาตรา งานจัดรายการวิทยุ
รายการเพื่อคุณภาพชีวิตสถานีวิทยุ อ.ส.ม.ท.คลื่นเอฟเอ็ม ๙๗ เฉพาะวันอาทิตย์ในช่วงเวลา ๐๙.๓๐
น.-๑๐.๓๐ น. มาคุยเรื่องผู้หญิงๆ เป็นการพูดคุยกับ อนุรัชนี ศิริสัมพันธ์ และ ดร.วีณา
เชิดบุญชาติ เป็นนักเขียนอิสระนิตยสารกุลสตรีรายปักษ์เป็นเวลา ๑๗ ปี รวมทั้งหนังสือต่วยตูน
และเป็นผู้เขียนพ็อคเก๊ตบุ๊ค โลกมายาของอารีย์ สำนักพิมพ์กายมารุต
ซึ่งกำลังวางจำหน่ายในขณะนี้
           ชีวิตการทำงาน อารีย์ นักดนตรี นับว่าประสบความสำเร็จรุ่งโรจน์ เธอได้รับรางวัล
The Best Female Announcer ในปี ๒๕๐๔ จากสถานีโทรทัศน์กรุงมาดริด ประเทศสเปน
เป็นรางวัลอินทรีย์เงินเหยียบลูกโลกที่จารึกชื่อไว้ที่ฐานของรางวัลด้วย
เนื่องจากเป็นบุคคลที่มีความสามารถดีเด่นในกิจการโทรทัศน์ของประเทศไทย
เป็นผู้ประกาศที่แตกฉานในการอ่านบทอย่างชัดเจนทุกถ้อยคำอักขระและพยัญชนะ
มากด้วยความสามารถอย่างเต็มตัวในฐานะนักแสดงที่ตีบทแตก มีความจำดีเยี่ยม
ด้วยบทบาทนางเอกละครจีนและละครไทยรวมถึงการแสดงละครรำได้อย่างงดงามยิ่ง
           
เมื่อนิตยสารฟรีเวิลด์ของสำนักข่าวสารอเมริกันถ่ายภาพดาราโทรทัศน์แห่งแรกของเมืองไทยเพื่อเป็นหน้าปกหนังสือเสรีภาพ พิชัย วาสนาส่ง ได้เลือก อารีย์ นักดนตรี เป็นนางแบบและภาพนี้แพร่หลายไปไกลถึงโพ้นทะเล
จึงเป็นนิตยสารฉบับแรกที่ได้ถ่ายขึ้นหน้าปก

ดาราจอแก้วสถานีโทรทัศน์ช่อง ๔ บางขุนพรหมสมัยนั้น
ความร่วมมือในกิจการโทรทัศน์ในยุคแรกๆ ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) วิม อิทธิกุล
ไพบูลย์ ลีสุวัต สัมพันธ์ พันธุ์มณี ได้รวมกันจัดตั้งคณะละครนาฏศิลป์สัมพันธ์
และโรงเรียนฝึกนาฏศิลป์ของไทยทีวีขึ้นจากความคิดของ จำนง รังสิกุล
ที่ต้องการให้ไทยทีวีมีดาราและนักแสดงเป็นของตัวเอง รวมถึง พิชัย วาสนาส่ง
ในฐานะหัวหน้าฝ่ายศิลปกรรม รับผิดชอบงานด้านศิลปะ ด้านกราฟฟิค การออกแบบการสร้างฉากทั้งหมด
           ละครที่ อารีย์ นักดนตรี แสดงเป็นที่รู้จักของคนไทยในสมัยนั้นเรื่อง ศรอนงค์ ไซซี
เจ้าจอมเจียวกุน ฮวนลิฮวยกับซิเต็งซัน สามก๊ก ตอนตั๋งโต๊ะหลงกลเตียวเสี้ยน มาร์โคโปโล
กุบไบลข่าน ผู้จัดการหนุ่มนิจ ชัยชนะของหลวงนฤบาล ผู้ดี ขุนศึกมหาราช ลูกทาส นุสรา
อุปรากรเรื่องนันทาเทวี คมพยาบาท น้ำเซาะทราย เมียหลวง แม่ม่าย และละครพันทางที่ อารีย์
นักดนตรี รับบทเจ้าหญิง ละครพันทางประกอบเสภาเรื่องกากี
           นางเอกแม่หญิงชาววังที่ชื่อเรไรคู่กับพระเอกขุนศึก อารีย์ นักดนตรี และ กำธร
สวุรรณปิยะศิริ ร้องเพลง “ฟ้ารักดิน” ที่พระเอกเปรียบเปรยตัวเองเป็นดิน ส่วนนางเอกเป็นฟ้า
ที่ยังจดจำอยู่ในใจของผู้ที่รักเสียงเพลงเก่าอยู่ทุกทิวาราตรี
ไม่สลายคลายรักเอย...(นางเอกสูงศักดิ์เป็นถึงข้าหลวงพระองค์หญิง และยังเป็นลูกขุนทหารใหญ่)
เพลงหวานไพเราะละเมียดละไมแต่งโดย สง่า อารัมภีร

อารีย์ นักดนตรี ในบทบาทการแสดงหลายบทบาทหลากภาระหน้าที่บนจอแก้ว
ละครฟอร์มใหญ่เรื่อง “ขุนศึก” นี้ใช้เวลาแสดงยาวนานถึง ๒ ปี ตั้งแต่ปี ๒๕๐๒-๒๕๐๔
และเป็นละครที่ครองใจผู้ชมนานกว่า ๔๐ ปี
แม้ในภายหลังจะมีการสร้างละครขุนศึกหลายครั้งแต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าครั้งแรก ซึ่งมี กำธร
สุวรรณปิยะศิริ และ อารีย์ นักดนตรี นำแสดง
           ในฐานะผู้จัดละครและผู้กำกับการแสดงละครคณะอารีวัลย์ มีนางเอกประจำคือ ศิริพร
วงศ์สวัสดิ์ กนกวรรณ ด่านอุดม นันทวัน เมฆใหญ่ กรรณิกา ธรรมเกษร เดือนเต็ม สาลิตุล รัชนู
บุญชูดวง ลินดา ค้าธัญเจริญ กาญจนา จินดาวัฒน์ ละครที่สร้างชื่อในสมัยนั้นคือ เรื่องคมพยาบาท
แม่ม่าย พรหมพยศ อุบัติเหตุ หลานสาวคุณหญิง ทำไม อีสา เมืองแก้ว คุ้มผาดำ เครื่องแบบสีขาว
สวรรค์เบี่ยง ใครกำหนด กุหลาบไร้หนาม สามอนงค์ ทองประกาย ชลาลัย ประทีปอธิษฐาน ขมิ้นกับปูน
           อารีย์เล่าว่าไม่เคยมีความคิดที่จะทำงานต่อเนื่องจนวัยล่วงเลยอายุ ๗๑
ปีถึงวันนี้แล้ว เพราะวางแผนไว้ว่าหลังเกษียณอายุจะใช้เวลาสบายๆ ไปช็อปปิ้ง
ท่องเที่ยวต่างจังหวัดกับครอบครัวเพื่อน คือ ม.ร.ว.พิศวาส นาควานิช และมีงานทำเล็กๆ น้อยๆ
เพื่อคลายเหงา โดยเฉพาะงานโขนจินตนฤมิตร ด้วยการไปช่วยงาน มานิจ รัตนสุวรรณ
ผู้จัดการโรงหนังเฉลิมกรุงสมัยนั้น
เพื่อทำโขนให้ชาวต่างชาติชมแล้วเข้าใจใช้แสงเลเซอร์สวยงามมาก
แต่กลับเป็นว่ามีงานมากมายเกือบทุกวันจนไม่มีเวลาเหงา
           ตารางเวลาเมื่ออยู่บ้านทั้งวัน
อารีย์ก็ง่วนอยู่กับการเขียนหนังสือตั้งแต่เช้าจนพักเที่ยง
รับประทานอาหารกลางวันแล้วก็งีบหลับพักผ่อน
แล้วตื่นในช่วงบ่ายสองโมงเพื่อเขียนหนังสือจนถึงเย็นย่ำ
หากงานยังมากอยู่ก็ต้องเร่งทำในยามค่ำคืนจนดึกดื่น
ระหว่างที่นั่งเขียนหนังสือก็จะดูโทรทัศน์ควบคู่กับการปรึกษาหารือการใช้ถ้อยคำกับ สนอง
จันเกษม สามีซึ่งนั่งอ่านหนังสือและดูโทรทัศน์ที่เก้าอี้ยาวไม่ไกลจากกัน
ปัจจุบันเธอเขียนหนังสือให้นิตยสารกุลสตรีรายปักษ์ นิตยสารต่วยตูน
และงานรวมเล่มหนังสือโลกมายาของอารีย์ ซึ่งใช้เวลาค้นคว้าและเขียนนาน ๒ ปี

อารีย์ นักดนตรี จันเกษม ดาวค้างฟ้าที่แสดงคู่กับ กำธร สุวรรณปิยะศิริ
เป็นดาราจอแก้วคู่ขวัญที่อยู่ในความรู้สึกของคนไทย รุ่นวัย ๕๐ กะรัตขึ้นไป
แรงผลักดันให้มีการเขียนหนังสือรวมเล่มเกี่ยวกับวงการโทรทัศน์เนื่องจากมีนิสิตนักศึกษาจากสถาบันการศึกษาต่างๆ ติดต่อเพื่อขอสัมภาษณ์หลายครั้ง
จนคิดว่าน่าจะมีการเขียนรวบรวมข้อมูลเพื่อง่ายต่อการเขียนถึงอย่างถูกต้อง
           การเขียนหนังสือเรื่องเก่าต้องมีการค้นคว้า ละครเรื่องแรกในวงการโทรทัศน์เมื่อปี
๒๔๙๘ จำได้ว่า นวลละออ ทองเนื้อดี เป็นนางเอก ก็ต้องไปถามนางเอกในขณะนั้นว่าใครเป็นพระเอก
ก็ได้รับคำตอบว่า “อารีย์พี่ลืมไปแล้ว อารีย์จำได้ก็เขียนไปก็แล้วกัน”
ก็ต้องไปถามคนอื่นจนได้รับคำตอบว่า “สุริยานีไม่ยอมแต่งงาน” เป็นบทประพันธ์ของ ประหยัด ศ
นาคะนาท นำแสดงโดย โชติ สโมสร และ นวลละออ ทองเนื้อดี และ ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์
           ย้อนหลังชีวิตวัยเยาว์อันแสนสุขของ อารีย์ นักดนตรี
เป็นครอบครัวใหญ่มีสี่ดรุณพี่น้องอยู่ริมน้ำแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม
คุณพ่อมีธุรกิจค้าส่งผลิตผลพื้นเมือง ข้าว เกลือ เส้นหมี่ไปมาเลเซีย
มีเรือใบเดินทะเลลำใหญ่มาทอดสมอรอรับสินค้าที่หน้าบ้าน
ยามว่างคุณพ่อเทียบจะดีดจะเข้สารพัดเพลง ลาวแพน แขกลพบุรี เขมรไทรโยค เพื่อให้ลูกๆ
และเรือแพที่ผ่านไปผ่านมาได้ดื่มด่ำกับเพลงไพเราะด้วยฝีมือของคุณพ่อ
ด้วยเหตุนี้อารีย์จึงได้ซึมซับอารมณ์สุนทรีย์จากดนตรีไทยไว้เต็มตัว
แม้จะเล่นดนตรีไทยไม่เป็นก็ตาม
ในขณะที่คุณแม่พึ่งพาสอนกิริยามารยาทกุลสตรีอันงดงามติดตัวมาโดยตลอด
           ด้วยชื่อเสียงวงดนตรีบ้านคุณพ่อดังขจรขจายไปไกล
จนเมื่อกรมหลวงชุมพรเขตรอดุมศักดิ์ เสด็จนำทหารเรือออกฝึกภาคสนาม
เสด็จแวะมาทรงร่วมวงดนตรีกับคุณพ่อและคุณลุงเป็นประจำ ทั้งประทานนามสกุล “นักดนตรี”
ให้คุณพ่อเคยเข้าถวายตัวและเรียนดนตรีที่วังบูรพาภิรมย์ ใน สมเด็จพระปิตุลาบรมพงศาภิมุข
พระราชอนุชา ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
           อารีย์เริ่มต้นการศึกษาที่โรงเรียนอนุบาลปุโรทกานนท์บูรณะตั้งแต่อายุ ๔ ขวบ
เมื่อโรงเรียนมีร้องรำทำเพลง ครูจะอุ้มไปแสดงรำชุดอยู่เป็นเนืองนิตย์
เมื่อโตขึ้นเข้าโรงเรียนถาวรานุกูล เป็นโรงเรียนสตรีประจำจังหวัดได้แสดงเป็นตัวละคร
รวมถึงการละเล่นต่างๆ


คนที่รู้ใจมากที่สุดของ อารีย์ นักดนตรี จันเกษม คือ สนอง จันเกษม
คู่สร้างคู่สมที่ใช้ชีวิตคู่กันมาเกือบ ๔๐ ปี
           ระหว่างที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒
หลวงประดิษฐ์ไพเราะอพยพครอบครัวมาอยู่ในสวนไม่ไกลจากตัวจังหวัดสมุทรสงคราม
ความที่เป็นญาติใกล้ชิดกับครอบครัว คุณพ่อเทียบ นักดนตรี ทำให้ไปมาหาสู่กัน
ระหว่างผู้ใหญ่ส่งผลให้เกิดความสนิทสนมในกลุ่มลูกหลานของหลวงประดิษฐ์ไพเราะที่ได้รับการฝึกปรือมาจากวิทยาลัยศิลปากรมาแล้วขณะนั้น
มีการเล่นดนตรีและร้องรำทำเพลงร่วมกันอย่างสนุกสนาน
           เมื่อสงครามโลกสงบลงแล้ว อารีย์อายุ ๑๕ ปี
คุณแม่ก็นำมาฝากเรียนที่โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์อยู่ประจำเป็นนักเรียนกินนอน
มีท่านอาจารย์ใหญ่คือ หม่อมเจ้าพูนศรีเกษม เกษมศรี โปรดให้ ครูสินีนาฎโพธิเวส
จากวิทยาลัยนาฏศิลป์ กรมศิลปากร มาสอนนักเรียนประจำรำละคร
เพื่อจะได้คลายความเหงาไม่คิดถึงบ้าน อย่างน้อยมีกิจกรรมเรื่องสนุกๆ ที่ต้องฝึกฝนอยู่เสมอ
           ทุกวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน เป็นวันคล้ายวันประสูติของท่านชายเจ้าของโรงเรียน
อารีย์ได้รับเลือกให้แสดงเป็นปู่เจ้า ร่วมกับพระธิดาทั้งสองของท่าน ม.ร.ว.พูนสุข เกษมศรี
(แสดงเป็นไก่แก้ว) และ ม.ร.ว.ทองศรี เกษมศรี (คงจำเนียร แสดงเป็น พระลอ) เรื่องพระลอ
ตอนพระลอตามไก่ ได้แสดงหน้าพระที่นั่ง สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗
เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินมาเยือน หม่อมเจ้าพูนศรีเกษม เกษมศรี เป็นการส่วนพระองค์
           เมื่อเรียนจบชั้น ม.๖ ก็เลือกเรียนต่อ ม.๗ เตรียมอักษรศาสตร์
แต่เรียนไม่จบเพราะอ่อนคำนวณ และภาษาอังกฤษ ด้วยโจทย์เลขและเรขาคณิตสมัยก่อนเป็นภาษาอังกฤษ
ต่อมาเข้าเรียนที่โรงเรียนการเรือนวิสุทธคาม ในวังพระเสด็จสุเรนทราธิบดี ซึ่งเป็นบิดาของ
หม่อมหลวงป้อง หม่อมหลวงปิ่น หม่อมหลวงปอง มาลากุล
           ที่โรงเรียนการเรือนวิสุทธคามมีเพื่อนที่สนิทสนมคบหากันจนปัจจุบันคือ
ม.ร.ว.ทรงสุวรรณ ทองแถม (วิชัยธนพัฒน์) เกียรติศิริ เทพปัญญา หม่อมหลวงศรีฟ้า ลดาวัลย์ และ
อนุรัชนี ศิริสัมพันธ์ ที่แต่เดิมเรียนอยู่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์
แล้วมาเรียนสายวิชาชีพการเรือนในภายหลัง
           
ความรู้ด้านการเรือนกลับกลายเป็นเรื่องดีในการนำวิชาชีพที่ได้ร่ำเรียนมานั้นมาใช้ในการจัดฉากละคร การร้อยมาลัย การอบร่ำผ้าหรือน้ำอบไทย
การจัดดอกไม้โต๊ะอาหารในหลายรูปแบบเมื่อได้มาทำงานในวงการโทรทัศน์ในเวลาต่อมา
           เมื่อเรียนจบแล้วก็กลับไปอยู่บ้านแม่กลอง เพื่อนๆ ชวนไปสมัครงานกรมสรรพากร
ครูโรงเรียนราชินี แต่อารีย์ก็มิได้ปักใจกับงานที่เพื่อนชักชวน กลับสนใจงานที่ ศรีสะอาด
สิทธิไชย ให้ไปสมัครงานที่ไทยทีวีช่อง ๔ บางขุนพรหม และเข้าไปรู้จัก สมจิตร สิทธิไชย
เป็นข้าราชการกรมโฆษณาการ เพื่อพาไปสมัครงานกับ จำนง รังสิกุล หัวหน้าฝ่ายผลิตรายการแล้ว
อารีย์ นักดนตรี ก็ได้ทำงานทันทีในวันรุ่งขึ้น

ภาพอบอุ่นของครอบครัว
จากวันนั้นถึงวันนี้เวลาผ่านไปแล้ว ๔๘ ปี นอกเหนือจากการทำงานแล้ว อารีย์ นักดนตรี จันเกษม
มีครอบครัวที่อบอุ่นกับ สนอง จันเกษม มีบุตรสาวสองคน บุตรสาวคนโต อนุสรา (หนู) จันเกษม
จบปริญญาตรีวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโทด้าน MIS
ที่มหาวิทยาลัยโกลเด้นเกท ปัจจุบันเป็นผู้ควบคุมระบบสารสนเทศสถาบันยานยนต์ ที่กล้วยน้ำไท
และที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู ส่วนบุตรสาวคนเล็ก รสนันท์ (ทอฟฟี่)
เรียนจบปริญญาโทด้านบริหารบุคคลที่มหาวิทยาลัยโกลเด้นท์เกท
ทำงานเป็นหัวหน้าฝ่ายบุคคลโรงแรมเครือฮอลิเดย์ อินน์ ที่เบิร์กเลย์ สหรัฐอเมริกา
ในเดือนพฤษภาคมจะกลับมาทำงานในเมืองไทย
           สนอง จันเกษม คู่ชีวิตของ อารีย์ นักดนตรี จันเกษม มีพื้นฐานความรู้ภาษาญี่ปุ่น
เพราะคุณแม่วัฒนา มีร้านจำหน่ายผ้านำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นที่ใหญ่มาก
ชื่อร้านวิบูลย์พันธุ์ที่สำเพ็ง ถนนทางเข้าวัดสามปลื้ม และคุณพ่อสิงห์โต
ผลักดันให้เรียนภาษาญี่ปุ่นหลังจากที่จบการศึกษาชั้น ม.๘ สายวิทยาศาสตร์
จากโรงเรียนสวนกุหลาบแล้ว ไปเรียนที่ก๊กไซ เป็นโรงเรียนเตรียมภาษาญี่ปุ่นเบื้องต้น
และพักอยู่กับครอบครัวชาวญี่ปุ่น เมื่อเรียนที่โตเกียว บนเกาะฮอนชูได้เพียง ๒ ปี
ก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ อยู่ในบรรยากาศสงคราม การติดต่อมายังเมืองไทยลำบากมาก
เพราะต้องหลบลูกระเบิดที่ทิ้งมาจากเครื่องบินบี ๕๒ หลบตัวอยู่ในหลุมหลบภัย
ชีวิตลำบากมากต้องมีการปันส่วนอาหาร
           เมื่อสงครามโลกสงบแล้ว ก็ออกจากทหารมาทำงานเป็นนักธุรกิจระเบิดย่อยหินที่ราชบุรี
ด้วยการร่วมหุ้นกับเพื่อน จากนั้นก็ซื้อขายที่ดินในย่านต่างๆ เป็นเวลาหลายปี
ตั้งแต่ราคาที่ดินยังไม่บูม จนราคาที่ดินซบเซา ที่ดินในซอยศุภราช สุทธิสาร ซอยกลาง สุขุมวิท
และอีกหลายแห่ง
           ขณะนี้ สนอง จันเกษม ในวัย ๘๐ ปี ใช้เวลาหลังเกษียณอยู่กับการอ่านหนังสือธรรมะ
และหนังสือสารพัด การเป็นเพื่อนคู่คิดให้กับ อารีย์ นักดนตรี จันเกษม
รวมทั้งบุตรสาวซึ่งต้องทำงานประสานกับชาวญี่ปุ่น
           ที่บ้านพักเลขที่ ๒ บ้านวัฒนา ซอยเสถียร ถนนอัษฏางค์
อยู่ด้านหลังโรงแรมรัตนโกสินทร์ เป็นที่พำนักของ อารีย์ นักดนตรี จันเกษม ที่ทำงานในโลกมายา
สนอง จันเกษม บนผืนโลกธุรกิจ และโลกคอมพิวเตอร์ของ อนุสรา รวมถึงโลกบริหารบุคคลของ รสนันท์
พรนภา (จันเกษม) คือครอบครัวเดียวกัน
แม้จะต่างความคิดคำนึงแต่ก็มีความสุขบนพื้นฐานการทำงานที่แตกต่าง

    chavapan piriyapong chavapan_1@hotmail.com