HTG2.club

Home Theater Guide webboard => มุม โฮมเธียเตอร์ (HT) => ข้อความที่เริ่มโดย: Help !!! ที่ 27 มิถุนายน, 2008, 08:40:15 pm

หัวข้อ: ซีดี ชื่อ "คิดถึงตนที่ไม่ได้ไปหา" โดย อารักษ์ อาภากาศ
เริ่มหัวข้อโดย: Help !!! ที่ 27 มิถุนายน, 2008, 08:40:15 pm
*บ่นเพลง  คุ้นเคยไหมครับ? *

                สำหรับชวพันธ์  เคยทราบว่า Bob Dylan นักบ่นเพลงชาวฝรั่งท่านนี้
บ่นเพลงให้ชาวบ้านฟังมานานปี ไอ้กระผมเองไม่เคยฟัง Bob Dylan
(ก็ฟังรู้เรื่องซะที่ไหน
ก็ขนาดแม่ผมยังเปรยเปรยให้ผมไดยินเลยว่า "เฮย! ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไง
วอนซะแล้วไอ้นี่!)  แล้วผมจะแปลปรัชญาของนักบ่นเพลงท่านนี้ออกได้อย่างไร
เมื่อวันที่
๗ เมษายน ๒๕๕๑ ที่ผ่านมานี้  ผมได้ซื้อหนังสือที่แถมซีดี ชื่อ *"**
คิดถึงตนท"* โดย *อารักษ์
อาภากาศ*อันเนื่องจากผมเป็นสมาชิกชมรมนิยมของฟรี ของเขตพระโขนง
นโยบาย
ของชมรมคือเมื่อเขามีการแจกของฟรีต้องไปรับ(แต่มีข้อจำกัดบ้างเหมือนกันนะครับ
คือ จำพวก หมัด เท้า เข่า ศอก มีด อีดาบ ลูกกระสุนที่เขายิงมา
อะไรทำนองนี้ทางชมรมแนะนำให้ควรงดเว้นครับ)

                เมื่อกลับมาถึงบ้านก็นำซีดีมาฟัง
เมื่อได้ฟังเพลงบ่นจากซีดีแผ่นนี้  ทำให้ผมอึ้งครับ
เพราะเพลงที่ได้ยินทำให้ผมตกใจนึกว่า
Bob Dylan พูดไทยได้ซะอีก เพลงที่ได้ยิน อย่าถามนะครับว่ากวีเพลงของ *อารักษ์
อาภากาศ* ไพเราะไหม?  ผมไม่ทราบครับ  เพราะว่านี่คือ
"กวีเพลง"เขาฟังความหมายครับ ต้องเสพหลายครั้ง ต้องคีความ
และนี่ก็ทำให้ผมถึงบางอ้อว่า
ทำไม Bob Dylan ถึงมีคนติดตามผลงานของเขาทั่วโลก ทั้งทั้งที่น้ำเสียงของ Bob
Dylan นั้นดุจดั่งเสียงของ"*กาสรกำเนิดบุตร*"(=ควายออกลูก)
แต่บทกวีที่เขาร่ายออกมานั้นซิครับช่างกินใจของคนทั่วโลกซะเหลือเกิน(แต่มิใช่กระผมนะครับเพราะขนาดฝรั่งมาทักผมยังไม่เข้าใจ
สำมะหาอะไรกับบทกวีภาษาฝรั่งกระผมนั้นจะไปรู้เรื่องอะไร)

                ด้วย กีต้าร์โปร่ง หีบเพลงปาก
และบทกวีที่หลังไหลออกมาจากสมองของ
นักบ่นเพลงท่านนี้ก็เช่นเดียวกับกวีทั้งหลายหล่ะครับ  รักสันโดด เช่น
แอบไปปลีกวิเวกไปทำงานเพลงอยู่ที่อำเภอปาย  จังหวัด แม่ฮ่องสอน ๒ - ๓ เดือน
เพื่อทำงานเพลง

                ความหมายของคำว่า
"บทก"สำหรับผมแล้วผมไม่ทราบว่ามันแปลว่าอะไรทราบเพียงแต่ว่าเมื่อฟังแล้วก็ทำให้ผม
คิด คิด คิด ว่าหมายความว่าอะไรหว่า?  สามารถตีดวามไปได้อย่างไร้ขอบเขต
บางบทได้เล่าความทุกข์ระทม  การไขว่คว้าหาทางออกให้พ้นจากความทุกข์ระทม
ทางบทก็เล่าถึงมุมมองที่เขาเห็นซึ่งอาจจะตรงหรือตรงกันข้ามกับผู้ฟังบทกวีที่เขาร่ายขึ้นมา

                โบถส์เป็นอีกสถานที่หนึ่งซึ่ง
กวีเพลงท่านนี้ได้เข้าไปเพื่ที่เขาจะได้รับพระพรจากพระเจ้าเบื้องบนและปรัชญาแห่งชีวิตนิรันคร์
จากพระคัมภีร์

                บางท่านอาจสงสัยว่าชวพันธ์รู้จักผลงานของ *อารักษ์  อาภากาศ *
มานานหรือยัง?  สำหรับผมแล้วก็รู้จักผลงานของเขามานานพอสมควรครับ
ก็รู้จักมาราวราว
๒๔ ชั่วโมง มาแล้วครับ ซึ่งก็นับว่ารู้จักมานานพอสมควร
เพราะว่าซื้อหนังสือมาเมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๑ ประมาณ  ๑๗.๐๐ น.
กลับถึงบ้านก็มานั่งฟังแล้วก็มาเริ่มนั่งร่างต้นฉบับใน วันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๑
เวลาประมาณ ๑๙.๓๐ น.

                บางท่านเคยถามผมว่าเคยฟังผลงานของ *อารักษ์  อาภากาศ* ไหม?
ผมก็ตอบไปด้วยความภาคภูมิใจว่า    "ไม่รู้จักเลยครับ เขาเป็นใครครับ
ผมไม่รู้จักครับ"

ที่ในงานสัปดาห์หนังสือที่ผ่านมานี้เจ้าหน้าที่ของ*"**สำนักพิมพ์ไปท"*แนะนำว่า
น้าน้าเล่มนี้แถมซีดีด้วยนะ พอได้ยินคำนี้ผมก็หูผ"
มีของแถมฟรีด" ผมก็ซื้อเลยครับ กลับถึงบ้านก็ฟังเลย ผมชอบของฟรี
ยิ่งซีดีที่มีคุณค่าแบบนี้ ชวพันธ์ชอบ!



*บทกวี คิดถึงตนที่ไม่ได้ไปหา*

*อารักษ์  อาภากาศ*

* *

หนังสือพร้อมซีดีเพลง ๑ แผ่น ชุดนี้ราคา ๑๖๐ บาท

หาซื้อที่ไหนไม่ได้ติดต่อที่

*สำนักพิมพ์ไปทำไม*

๖๕๔/๑ ถ. นครไชยศรี นครไชยศรี ดุสิต กทม ๑๐๓๐๐

โทรศัพท์                 ๐๘๙   ๑๔๑๖๖๖๐/๐๘๑   ๔๒๓๙๓๙๑

โทรสาร                   ๐๒     ๒๔๓๘๖๙๗/๐๒   ๖๙๒๐๖๙๔

E-mail              ongpra@hotmail.com

                        www.arakabakaz.com

*ซีดีแผ่นนี้ประกอบด้วยกวีเพลง ๑๑ บท***

*๑ คนเดินดิน***

*๒ น้อยก็หนึ่ง***

*๓ กรุงเทพฯ รมควัน***

*๔ แม่นางลูกชาวนา***

*๕ ไก่ชน***

*๖ ส่วนที่หากไป***

*๗ หมูซอยแสงจันทร์***

*๘ แสวงหา***

*๙ เจ้าตัวหนังสือ***

*๑๐ คิดถึงคนที่ไม่ได้ไปหา***

*๑๑ น้อยก็หนึ่ง(ขับร้อง)***

* *

*ข้อมูลต่อไปนี้ผมลอกเขามาทั้งดุ้น  *

*กราบขอบพระคุณเจ้าของบทความทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วนครับ*

*ชวพันธ์*

*อารักษ์ อาภากาศ**
*

*อารักษ์ **อาภากาศ กับชุดล่าสุด FOLK WAY*

หากมองย้อนไปในอดีตที่ผ่านมา
ศิลปินผู้นี้ยังอยู่ในใจของผู้ฟังเพลงเพื่อชีวิตหลายๆคนทีเดียวครับ
งานเพลงของเขาก่อนที่จะได้รับรางวัลสีสันอะวอร์ดส์นั้น
งานเขาจะเป็นเพลงใต้ดินที่ทำขายกันแบบง่ายๆ
มีการละเมิดลิขสิทธิ์ทางความคิดของเขา
ทำให้เทปใต้ดินที่ออกในช่วงนั้นมีหลากหลายปก
แต่เทปปกแรกเท่านั้นที่นักฟังเพลงและนักสะสมเทปต้องการกันและราคาก็สูงเป็นหลักร้อยเชียวล่ะ

งานเพลงใต้ดินนั้นดนตรีและเพลงจะดิบๆทั้งหมดการบันทึกเสียงจะยังไม่ดีเท่าไหร่
แต่พอได้รับรางวัล
สีสันๆเรียบร้อย เขาก็ได้กลับมายืนอยู่บนดินได้อย่างสง่าผ่าเผย
เพลงของเขาเองได้รับการยอมรับกันในหมู่นักฟังเพลงเพื่อชีวิตกว้างขวางมากขึ้น
กับสังกัดใหม่ในสังกัดSP.ศุภมิตร ทำการร้องใหม่ ทำดนตรีใหม่ทั้งหมด
ซึ่งมีความแตกต่างจากต้นฉบับแรกไม่ว่าจะการบันทึกเสียง
อารมณ์เพลง และน้ำเสียงการร้อง แต่ใช่ว่าชุดคนเดินดินที่ทำใหม่จะไม่ดีะครับ
ชุดนี้ถือได้ว่ามีการเรียบเรียงใหม่และทำได้ดีมากโดยไม่เสียบรรยากาศเดิมๆไปเลยครับ
เพลงของเขาก็เป็นโฟล์คฟังสบายๆ
ง่ายๆ เนื้อเพลงก็จะเน้นเกี่ยวกับวิถีชีวิต
ความเรียบง่ายซึ่งเหมาะสมกับน้ำเสียงที่อบอุ่นและเป็นเอกลัษณ์ของเขา
ใครที่ชอบฟังเพลงสบายๆไม่ซีเรียสก็คงรับได้ไม่ยากครับ
และต่อมาเขาก็ได้ออกมาอีกอัลบั้มกับสังกัดไมล์สโตนในชื่อชุดตะเกียงในดวงใจ
ซึ่งนำเพลงเก่าๆในชุดคนเดินดินมาทำใหม่ทั้งหมด และเพิ่มเพลงใหม่2-3เพลง
เพลงใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาอย่างเพลงตะเกียงในดวงใจนั้น ฟังทีไรให้ความรู้สึที่อบอุ่น
ฟังแล้วจิตใจผ่อนคลายไปกับบทเพลง ก็นับได้ว่าไม่ผิดหวังเท่าไหร่
แต่เสียดายที่ทำเพลงใหม่ออกมาน้อยไป
เพลงเก่าที่ทำใหม่ก็ถือไดว่าอารมณ์และน้ำเสียงต่างไปจากเดิมมาก
ไม่ได้บรรยากาศเก่าๆเท่าที่ควร
และก่อนหน้าที่จะออกชุดนี้มา รู้สึกอารักษ์ได้มีผลงานใต้ดินออกมาก่อนอีกชุด
เป็นชุดที่เงียบมาก แต่ผมจำชื่อชุดไม่ได้
เดี๋ยวจะหารายละเอียดมาเพิ่มเติมให้คับ
เพลงจะเป็นลักษณะบ่นเสียมากกว่าเท่าที่จำได้
ส่วนในอัลบั้มใหม่ล่าสุดที่เพิ่งจะออกมานี้คือชุด
FOLK WAY แนวเพลงก็ลักษณะเดิม
ลีลาการเขียนเพลงโดยรวมจะเน้นวิถีชีวิตทั่วไปที่เขาเจอะเจอมา
ดนตรีโดยรวมจะไม่หวือหวามากนัก
ลูกเล่นหรือการเล่นคำจะน้อยลงกว่าชุดแรกมาก
เราอย่าไปเปรียบเทียบกับชุดแรกดีกว่าครับ
หาก

คุณกำลังมองหาเพลงฟังสบายๆ ในน้ำเสียงที่อบอุ่น
และเพลงที่มีบรรยากาศเรียบง่ายแบบนี้คงไม่ผิดหวังครับ.
 ------------------------------

คัดลอกบทความมาให้เพื่อนๆอ่านเพิ่มเติมกันครับ.....

http://www.geocities.com/audiolism/aruk.html

*วันสบาย : อารักษ์ อาภากาศ ครอบครัว ดนตรี และชีวิต *

โดย.......คึกฤทธิ์ พลเยี่ยม

ในปี พ.ศ.2534 ไม่ใครที่ไม่รู้จักเขาคนนี้ ในฐานะศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม
รางวัลทางดนตรีสีสันอะวอร์ดส์ ครั้งที่ 4 กับอัลบั้ม 'คนเดินดิน'
ที่เป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ในยุคนั้น

อารักษ์ อาภากาศ โด่งดังอย่างมากกับงานชุดแรก
ผลงานของเขาปรากฏตัวออกมาอีกไม่กี่ชุด
เขาก็หายหน้าไปจากวงการพักใหญ่
วันนี้เขากลับมาอีกครั้งพร้อมกับผลงานชุดใหม่ใกล้คลอด
จึงเป็นคำถามที่น่าสนใจว่าเขาหายไปไห
หรือว่าทำอะไรอยู่ก่อนที่จะหวนคืนวงการพร้อมงานดนตรีที่เขารัก

"ช่วงที่ห่างจากวงการไป ก็มีโอกาสเดินทางไปอยู่ต่างจังหวัดหลายๆ ที่
พยายามจะอยู่กับธรรมชาติ
ถ้าจะถามว่าช่วงที่เราหายไป เป็นช่วงที่ตกตํ่าของเราไหม มันอาจเป็นอย่างนั้นก็ได้
แต่มันก็มีสิ่งที่มาทดแทนกัน มันทำให้เราได้รู้จัความผิดหวัง รู้จักแยกแยะ
มีเวลาสำหรับทบทวน แต่บางทีเราก็ปล่อยให้ชีวิตเหลวไหล หมกมุ่นกับความคิด
บางครั้งก็หาความรู้เพิ่มจากหนังสือ
ใช้ชีวิตกับครอบครัวให้มากที่สุด จนทำให้ไม่ค่อยได้เอเพื่อน
มันก็เป็นรสชาติของชีวิตอย่างหน"

สำหรับอารักษ์แล้วความรู้สึกระหว่างขาลงและขาขึ้นนั้นไม่ต่างกันเท่าไร
ในช่วงตกต่ำแทบจะไม่มีผลกับเขา
ด้วยความที่เคยอยู่ตํ่ามา่อน แต่ตอนขึ้น หลายครั้งที่ปรับตัวไม่ทัน
ยังรับไม่ได้ว่าสิ่งที่เข้ามาอันไหนจริงหรือหลอก
สิ่งที่ทำให้ชีวิตของเขากลับเข้าที่เข้าทาง
คือการอาศัยเวลาที่ค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งช่วยได้มาก
และการยอมรับผิดช่วยให้ใจเบาลง หนังสือก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยลดความอึมครึม
ทำให้ชีวิตได้ข้อสังเกต มีข้อเปรียบเทียบมากขึ้น

ยามว่างที่มีหนังสืออยู่เป็นเพื่น อารักษ์ เล่าถึงมุมนี้ว่า
"เวลาว่างก็อ่านหนังสือหลายๆ
เล่ม เล่มโปรดชื่อ 'รักที่แท้' อัตชีวประวัติของ 'ภิกษุณี เจิงคอม' ชาวเวียดนาม
เป็นเรื่องราวของนักต่อสู้ นักปฏิบัติธรรม ซึ่งแนวความคิดของเธอ
ได้ช่วยเหลือหนุ่มสาวเวียดนามจากภัยสงคราม มันเป็นความประทับใจ หลงใหล
ในวิธีคิด ในการใช้ชีวิตแบบน"

หนังสือมากมายเรียงรายอยู่ในชั้นหนังสือขนาดย่อม
แสดงถึงการเป็นหนอนหนังสือตัวยงของนักดนตรีคนนี้
นอกจากเล่มนี้แล้ว นักดนตรีรุ่นเก๋ายังมีหนังสือหลายเล่มที่ประทับใจ เช่น '
บทเพลงแห่งรุ่งอรุณ' ของหยางโม่ 'เล่าไว้เมื่อวัยนธยา
อัตชีวประวัติท่านพุทธทาส' 'ปัญญาวิวัฒน์
กำเนิดและวิวัฒนาการแห่งปัญยาของมนุษย์ในอดีต' โดย เช่นนั้นเอง
รวมทั้งหนังสือ 'THE
GUITAR IST'S PICTURE CHORD ENCY CLOPAEDIA'
ที่มีส่วนสำคัญต่อการทำงานดนตรีของเขา

ขณะที่เล่นกีตาร์ตัวโปรด อารักษ์ เล่าถึงความเป็นอยู่ว่า
ชีวิตคือความเรียบง่าย ส่วนใหญ่คืองานเพลง
งานประจำคือเลี้ยงลูก 2 คน คือ 'เจน' อายุ 9 ขวบ เป็นลูกสาวคนโต
ส่วนลูกชายคนเล็กคือ
'แดน' อายุ 6 ขวบ ทั้งสองเป็นเด็กที่น่ารัก ทำให้เขารู้สึกว่าต้องมีสุขภาพดี
ต้องมีอาชีพที่มั่นคง

"ช่วงที่ไปอยู่ต่างจังหวัดหลายปี ก็มีระยอง อยู่อีสานบ้าง
ทางเหนือก็เคยไปอยู่ ส่วนใหญ่จะอยู่ในชนบท
เจ้าตัวเล็กทั้งสองอาจลำบากบ้าง แต่ก็มีพ่อแม่คอยปกป้อง กิจกรรมที่ทำร่วมกับลูกๆ
นอกจากไปรับไปส่งที่โรงเรียนทุกวันแล้ว เรายังเป็นสมาชิกของสระว่ายนํ้า
ทุกวันเสาร์จะไปว่ายนํ้ากัน
ส่วนคุณแม่จะเป็นแม่บ้าทำกับข้าวไว้คอยที่บ้าน
ส่วนการทำงานแทบไม่มีวันหยุดเลยก็ว่าได้
คือถ้าว่างมีวันหยุดก็จะทุ่มเทให้กับลูก ว่างๆ ก็จะสอนการบ้านให้เขา สอนวาดรูป
การใช้สีนํ้า สีชอล์ก ก็เป็นการสอนแบบเบสิคง่ายๆ ตามวัยของ"

กับคำถามที่ว่าตั้งความหวังกับเด็กสองคนนี้อย่างไร อารักษ์ให้คำตอบว่า
"ก็หวังนะ คือพยายามจะสอนเขา แต่จะไม่สอนแบบเป็นเรื่องเป็นราว
แต่จะสอนการใช้ชีวิต ตัวเองโตมาโดยไม่มีระเียบ
แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าเรารียนรู้ไปโดยธรรมชาติ ถ้าลูกทำผิด
เราจะใช้การพูดคุยว่าถ้าทำอย่างนี้เราจะรักน้อยลงนะ พาไปเที่ยวน้อยลงนะ
แต่บางทีก็มีที่ระงับอารมณ์ไม่อยู่
ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่เรายัง"

ในการวางแผนชีวิต เขายอมรับว่าวางแผนไม่สำเร็จ วางแผนไม่เก่ง
จึงยังไม่อยากวางอนาคต
อยากขับเคลื่อนไปจนกว่าหลายๆ อย่างจะเข้าที่เข้าทาง

ใครหลายคนที่เคยติดตามงานของคนดนตรีคนนี้
ต่างอยากรู้ว่าช่วงที่เขาหายไปแล้ว งานเพลงของเขาจะเป็นอย่างไร
อารักษ์ครุ่นคิดก่อนจะตอบด้วยนํ้าเสียงราบเรียบว่า
ช่วงที่หายไปก็ยังจำเจหมกมุ่นในเรื่องเพลงที่ยังค้างคา
มีบทบาทในการทำเพลงค่อนข้างมาก
ทั้งปฏิบัติเอง เล่นเอง ร้องเอง
เวลาที่เหลือในชีวิตส่วนตัวก็คงแยกกันออกกับชีวิตดนตรี

"เวลาที่เราหายไป
มันทำให้มีเวลามากสำหรับการได้นั่งพินิจในเนื้อหาแต่ละเลง
ให้มีความพอดีพอเหมาะ
มันเป็นงานลักษณะ 'วันแมน' จริงๆ ที่เหลือนอกจากอยู่ในสตูดิโอก็ยังหมกมุ่น
จับจด ถ้าว่างจริงๆ จึงจะหาเวลาเตร็ดเตร เจอเพื่อน สังสรรค์กันบ้าง"

ส่วนงานเพลงชุดใหม่ที่หลายคนจับตา อารักษ์ เล่าว่า
กำลังจัดการเกี่ยวกับเรื่องการขาย
เป็นงานมีสโลแกนว่า 'จากซอยแสงจันทร์สู่เส้นทางช้างเผือก'
เหตุที่ใช้ชื่อนี้เพราะได้คิดร่วมกันกับน้า ต้อม สองวัย หรือ กิตติพงษ์
ขันธกาญจ์
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะงานเพลงในชุดนี้มีเนื้อหาบางส่วนเกี่ยวกับการบูชาแสงจันทร์บนเส้นทางช้างเผือก
เช่น
เพลงหมูซอยแสงจันทร์ เป็นการต่อสู้เพื่อความถูกต้อง เดินทางไปสู่เส้นทางช้างเผือก
เดินทางสู่หมู่ดาว เปรียบเป็นเส้นทางของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล

"เนื้อหาของเพลงก็กลั่นกรองออกมาจากตัวเอง มนุษยชาติ ความเป็นตัวตน
การให้ปรัชญา ศิลปะ ความงาม อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเหตุการณ์ที่ได้พบเห็นในชีวิต
ความซื่อสัตย์ อดทน การเผื่อแผ่ ในด้านของดนตรี
เนื่องจากตัวเองเรียนรู้ด้วยตนเอง มีขีดจำกัด แต่โดยรวมก็เป็นริธึ่มแอนด์บลู
หลายแนวมาผสมกันตามประสบการณ์ที่สะสมมามากขึ้น มีความลงตัว ตามความชำนาญ"

ความคาดหวังกับงานชิ้นนี้ อารักษ์ยังสงวนท่าทีก่อนจะทิ้งท้ายไว้ว่า "
จะมากน้อยอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับแฟนเพลงมากกว่าว่าจะยังสนับสนุนคนเดินดินคนนี้เพียง"

http://www.geocities.com/audiolism/aruk.html
สีสมัย - อารักษ์ อาภากาศ

เขียนโดย นกเพลง เมื่อ เสาร์, 19/01/2008 - 21:33.

Artist: Arrak <http://www.guykaew.com/?q=audio/by/artist/arrak>

หัวข้อ: sisamai 01 <http://www.guykaew.com/?q=audio/by/title/sisamai_01>

อารักษ์ อาภากาศ : สีสมัย

สักประมาณ 4-5 ปีก่อน ผมได้อ่านบทกวีของ ไพวรินทร์ ขาวงาม และเมื่อปี
2536 ขณะผมกำลังทำงานเพลงอยู่ระหว่างนั้นได้บังเอิญไปเจอบทกวี
"" อีก  ผมพบว่ามันทีท่วงทำนองเกิดขึ้นเวลาอ่าน
ผมเล่นทันทีแล้วก็ใช้เวลาเล่นอยูเป็นปีๆ ที่ผมบันทึกไว้ครั้งสุดท้ายนี้
ผมทำที่ห้องบันทึกเสียงชั้นดี ใช้เวลาบันทึกอยู่ 3 ครั้ง(3 เวอร์ชั่น)

ในที่สุดผมก็เลือกครั้งที่ผมคิดว่าควบคุมตัวเองได้มากที่สุด (
ผมไม่ได้พูดว่ามันดีที่สุดได้เพียงแค่นี้หรอก) ผมมีงานรออีกตั้ง 2 ชุด
ถ้าชุดสีสมัยต้องใช้เวลามากกว่านี้คงจะดีกับใคร ๆ มาก ๆ ก็เป็นได้
ผมว่าถ้าคุณจะชอบแบบผม
มันคงเสียเวลามากแต่แค่เพียงถ้าใครพยายามฟังเรื่องราว
และรับสาระทั้งหมดได้บางทีคุณอาจจะได้ยินเสียงกีต้าร์
และเสียงหีบเพลง ผมว่ามันได้ยินคล้ายกับว่า ผมกำลังมีโอกาสได้ร่ายเพลงบลูส์

 ศรีศรีอย่าบัดสี อย่ากาลีโกลาหล
อย่าอึงอลโอษฐ์ถ้อย มนุษย์น้อยจะนอนหลับ
ฝันนับดาวในท้องฟ้า นับปลาในท้องสมุทร
นับมนุษย์ในท้องโลก นับโศกในท้องใจ
รวมไว้ตามจำนวน ครบถ้วนจักรวาลกว้าง
พลีเซ่นแก่โลกอ้าง อาตมัน ฯ

 สีสีระบายฝัน ระบายฝันให้เป็นจริง
ระบายจริงให้เป็นเท็จ เผด็จรักผดุงชัง
สังคมอารยยุค คือยุคอันระยำยับ
คือระยับของเพชรเทียม ตะกั่วเลี่ยมทองถ่อย
ถอยลงสู่อธรรม กลิ่นอธรรมอันอวลทั่ว
ทั่วทุกทิศทางไท ไถ่ทาสบ่หลุดพ้น
ชีวิตจึงถูกปล้น เปล่าสูญ ฯ

 ศูนย์บวกศูนย์เป็นหนึ่ง หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสาม
สามบวกสามเป็นสี่ มีมิติลึกล้ำใหม่
ใครใคร่เห็นอาจบ่เห็น ใครใคร่เย็นอาจร้อน
ใครใคร่นอนอาจตื่น ใครใคร่ยืนอาจล้มคว่ำ
จำนนต่อสถานการณ์ ชำนาญต่อสถานกล
กลไกอันกลับกลอก หลอกโลกทั้งโลกได้
ยกจิตทั้งจิตให้ โขมดผี ฯ

 สีสีคนป้ายสี ให้เปื้อนที่เปื้อนธรรม
เปื้อนฉนำศาสนา สองพันห้าร้อยสามสิบ
สามสิบเอ็ดสามสิบสอง สามสิบสองสามสิบสาม
ถามถึงเจ้าชายสิทธัตถะ จากกาละอันผุกร่อน
ถามถึงนครกบิลพัสดุ์ จากรัตนโกสินทร์
สิ้นแล้วฤาเสน่หา แห่งปวงบุปผาธรรมแก้ว
ใดเล่าจักคลาดแคล้ว อนิจจัง ฯ

 ฝั่งนี้คือปัจจุบัน ฝั่งนั้นคืออดีต
จารีตยังถูกปลง ผืนธงยังถูกแปลง
กำแพงยังถูกเปลี่ยน เวียนแสงแดดสุโขทัย
ไหวสายลมอยุธยายศ รดฝนธนบุรีรัตน์
บัดนี้รัตนโกสินทร์ บ่สิ้นแดดลมฝน
คนเท่านั้นดับสิ้น ดินเท่านั้นกลบหน้า
โลกนั่นคือป่าช้า แช่งฝัง ฯ

 ฝังศพสรรพสิ่ง ทิ้งไปในประวัติศาสตร์
ภาพวาดจะเว้าแหว่ง เรื่องแต่งจะขาดตอน
อักษรจะบิดเส้น เว้นวรรคขยักขยาย
ลวดลายจะพลิกแพลง ด้วยแรงลีลาอลังการ
แรงงานน้ำมือมนุษย์ อันไม่มีจุดอิ่มตัว
เกลือกกลั้วกิเลสคละ ศิลปะปรุงแต่งสิ้น
เชิงช่างอาจเล่นลิ้น หลอกสมัย ฯ

 ศรีศรียุคสมัย คนรุ่นใหม่ในโลกเก่า
รอยเท้าใหม่ในทางเดิม เริ่มต้นบนจุดจบ
ศพของคนรุ่นเก่า เน่าเป็นปุ๋ยคนรุ่นใหม่
คนรุ่นใหม่จะได้เกา เน่าเป็นปุ๋ยกาลเวลา
อันอาจหาค่าบ่ได้ เหม็นไหม้แต่อสุธาตุ
จากปราชญ์ถึงคนบ้า อารยะถึงสถุลถ้วน
รุ่นเก่ารุ่นใหมล้วน ซากผี ฯ

 ศรีศรีเอาซากผี ระบายสีเป็นมนุษย์
ผุดผ่องสำยองยศ ปรากฏ>
ขจรจบดวงใจเทพ เสพสมดวงใจสัตว์
เดรัจฉานหลงรัก พืชผักหลงคอย
ด้วยรสอร่อยลิ้น กินโลกทั้งโลกนี้
แล้วขี้แก่โลกคืน แล้วกลืนกินโลกได้
รสชาติชำแรกไส้ ซาบฟัน ฯ

 วันวันของชีวิต ประดิดประดอยประดับประดา
หาสาระ (สาละวน) สาละวนแต่ละวัน
ยึดมั่นไปทุกมือ ถือดีไปทุกใจ
คนใคร่ดีอาจบ้า คนใคร่บ้าอาจดี
คนใคร่มีอาจหมด คนใคร่อดอาจอิ่ม
ลิ้มรสของตัวตน สาละวนสาระไร้
ชีวิตชั่วครู่ไหม้ หมดศรี ฯ

 ศรีศรีหนอบัดสี ไอ้กาลีสมัยใหม่สมัยไหม้มธุรส สมัยหมดเมธี
สมัยมีแต่เมถุน สมัยหมุนแต่เงินทอง
คนจำนองความรักไว้ ฝากเงินให้ธนาคาร
รอซื้อบ้านแห่งความชัง นั่งนอนในห้องแก้ว
ระยับแววหวาดระแวง แล้งวิญญาณหวานร้าง
ปิดโลกทั้งโลกอ้าง อาตมัน ฯ

 สีสีระบายฝัน ระบายวันระบายคืน
คืนนี้ข้าขอหลับ หลับในโลกสีทอง
อันผ่องเดือนเกลื่อนดาว ดาวชวนข้าเที่ยวท่อง
ล่องฟากนภาฝัน เคลิ้มฝันกับธิดาดาว
ซึ่งสวยสาวพิสุทธิ์ศรี ไร้กาลีโกลาหล
ไร้อึงอลโอษฐ์ถ้อย ไร้ริ้วรอยแห้งแ้ง
บัดโลกก็โหดแกล้ง ปลุกฝัน ฯ

 ฝันยุคฝันสมัย เกิดใหม่ตายเก่า
แววเถ้าธุลีอยู่ สู้แดดลมฝน
บนโลกใบเดียวกัน วันนี้คือโลกของเรา
พรุ่งนี้เขาจะเอาคืน ตื่นตาดูโลกทั่ว
มืดมัวให้สว่าง บอบบางให้เข้มแข็ง
แหล่งโลกคือเวที ที่จักแสดงออกได้
โลดเร่าชีวิตไว้ ระหว่างวาร ฯ

งานอิฐงานปูนปั้น อเนกอนันตศิลปะ
อันสละชีวิตสร้าง จักเริดร้างต่างสมัย
โหดไห้อเนจอนาถ บ่รู้ของทาสหรือไท
ไว้ให้คนอนุรักษ์ สลักชื่อลือฉาว
สาวถึงรากเหง้า เดาถึงสมมติฐาน
โบราณคดีธรรม ตำนานแห่งโลกกว้าง
ถมทับกับโลกร้าง เรื่องราว ฯ

 เรื่องราวจะเรี่ยราด ประวัติศาสตร์จะซ้ำซาก
ปากจะพูดบ่ยอมใบ้ ใจจะคิดบ่ยอมบ้า
ตาจะเบิ่งบ่ยอมบอด หูจะสอดสดับฟัง
จมูกยังผ่อนลมเคลื่อน เคลื่อนไหววิญญาณยุค
ปลอบปลุกดวงใจสมัย ไว้แววตาโลกกว้าง
เพ่งสร้างศรัทธาตื่น ฟื้นโลกอันแหลกแล้ว
ประดับปวงบุปผาแก้ว กลิ่นสี ฯ

 ศรีศรีโลกหลากสี ข้าป้ายสียุคสมัย
เปื้อนวัยเวลารัก สลักเสลาเจตนา
ข้าเป็นเพียงเครื่องมือ ชื่อว่ามนุษยชาติ
มาประกาศอัตตากล้า ตามบัญชาสิ่งลี้ลับ
ก่อนดับร่างดิ่ง สู่ความจริงนิรันดร์
หนังสืออันหลงอยู่ จะมีผู้มาเริ่มต้น
โง่-ฉลาดจักอาจค้น ต่อความ ตีความ ฉะนี้แล ฯ

*แสดงความคิดเห็น <http://www.guykaew.com/?q=comment/reply/115#comment-form>
*

*เจ๋งเลยคร <http://www.guykaew.com/?q=node/115#comment-60>*

เขียนโดย ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม เมื่อ เสาร์, 01/03/2008 - 02:09.

เจ๋งเลยครับ เทปผมหายไปแล้ว คิดถึงมาก
อันนี้เอามาจากซีดีหรือเปล่า อยากเห็นจัง

*ตอบ <http://www.guykaew.com/?q=comment/reply/115/60> *

*เวลาร้อง <http://www.guykaew.com/?q=node/115#comment-35>*

เขียนโดย ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม เมื่อ พุธ, 13/02/2008 - 23:03.

เวลาร้อง จะจำเนื้อได้รึค่ะ

http://www.guykaew.com/?q=node/115
*รางวัลสีสันอะวอร์ดส์ ครั้งที่ 4 **ปี 2534***
อารักษ์ อาภากาศ

*ศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม*+++จากอัลบั้ม *คนเดินดิน*

ส่วนหนึ่งในชีวิตของเขากลายเป็นตัวละครในนิยายดัง พันธุ์หมาบ้า ของนักเขียนซีไรท์
ชาติ กอบจิตติ
เคยทำธุรกิจส่วนตัวแต่ก็เลิกราไปเพราะหัวใจดนตรีเรียกร้องและรุมเร้า
เขานำเพลงที่แต่งไปเสนอสังกัดเทปเพื่อจะพบกับคำปฏิเสธ
ด้วยเหตุที่ว่า หน้าตาไม่ขาย  สำหรับดนตรียุคนี้ จึงตัดสินใจหาทุนก้อนเล็กๆ
ทำเองขายเอง คนเดินดิน  เป็นผลงานชุดแรก ของผู้ชายวัยใกล้ 40
แต่จะไม่ใช่ผลงานสุดท้ายอย่างแน่นอน