HTG2.club

Home Theater Guide webboard => มุม Thai DIY Audio => ข้อความที่เริ่มโดย: น้องเชน ที่ 14 เมษายน, 2009, 12:33:54 pm

หัวข้อ: เสียงดีมีกี่แบบครับ และถ้าเราต้องการทราบว่าแอมป์ที่เราทำเองกับมือเสียงดีหรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: น้องเชน ที่ 14 เมษายน, 2009, 12:33:54 pm
เสียงดีมีกี่แบบ เสียงดีประกอบด้วยอะไรบ้าง   เสียงไม่ดีเป็นอย่างไรครับ

ออดิโอฟาย กับ มิวสิคเลิฟเวอร์  ต่างกันอย่างไร

เพิ่มเติม  

และถ้าเราต้องการทราบว่าแอมป์ที่เราทำเองกับมือเสียงที่ได้ไปถึงขั้นใหน จะใช้มาตรฐานอะไรเป็นตัวตัดสินครับ (แอมป์แต่ละยี่ห้อใช้มาตรฐานอะไรครับ)

เสียงดีแบบแอมป์มีชื่อของไทย กับเสียงดีแบบแอมป์ยี่ห้อแครี่ (แค่ยกตัวอย่างยี่ห้อนะครับ) เหมือนกันใหม   


หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ
เริ่มหัวข้อโดย: bb ที่ 14 เมษายน, 2009, 12:47:49 pm
เสียงดีในความคิดของผม เสียงอย่างไรก็ได้ที่ฟังแล้วรู้สึกชอบฟังแล้วสบายใจ  โดยเฉพาะเสียงคนข้างๆกระซิบบอกตังอยู่นี่นะที่รัก 2f 2f 2f 2f
หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ
เริ่มหัวข้อโดย: นายป้อ ที่ 14 เมษายน, 2009, 01:08:40 pm
เสียงดีในความรู้สึกผม = ฟังเพลงแล้วมีความสุขครับ ผมฟังเพลงครับไม่ได้ฟังเครื่อง
หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ
เริ่มหัวข้อโดย: nopphong ที่ 14 เมษายน, 2009, 01:25:32 pm
เสียงดีสำหรับผมต้องรายละเอียดชัดเจน ฟังแล้วไม่คลุมเครือ ไม่มัวๆ เบสต้องมีกระชับ เสียงแหลมต้องพริ้วมีรายละเอียด เวทีต้องสามารถจินตนาการว่าชิ้นไหนอยู่ตรงไหนและมีขนาดเวทีที่ดีไม่กระจุกกองอยู่รวมกัน ยิ่งฟังแล้วเหมือนมีคนมาเล่นให้ฟังสดๆตรงหน้าเท่าไรก็ยิ่งแสดงว่าเสียงดีเท่านั้นครับ

ปล.ผมฟังเครื่องครับไม่ได้ฟังเพลง  ;D ที่ดิ้นรนทำโน่นนี่ออกมาทุกวันนี้เพราะชอบฟังความแตกต่างของเครื่องแต่ละแบบมากกว่าครับ ถ้าวันไหนอยากฟังเพลงก็แค่ ipod ตัวหูฟังดีๆสักตัวก็ฟังได้แล้วไม่ต้องซีเรียสมานั่งฟังแอมป์หลอดร้อนๆให้เปลืองไฟเล่นน่ะครับ 2f
หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ
เริ่มหัวข้อโดย: คุณหมีน้อย ที่ 14 เมษายน, 2009, 01:28:46 pm
ในทัศนคติเสียงที่ว่าดี  ขอแบบเสียงดนตรี ใส กังวาน อิ่ม ฟังแล้วรู้สึกสบายไม่ล้าหู(ตะกั่ว)  ดีในความรู้สึกของตัวเอง ไม่อยากวิ่งไล่ตามเสียงที่ว่าดีของเครื่องอื่น ๆ แต่ฟังไว้เป็นแนวทางที่เราพอจะปรับจูนโน่นนิดนี่หน่อยให้ได้ตามเสียงที่เราว่าดี  ;D   (เพราะว่าเราปรับได้แค่นี้ต่างหากก็อ้างไปเรื่อย)  ฟังได้เท่าที่มีและทุกอย่างจะอำนวย   อย่างน้อยผมก็ยังฟังเครื่องเสียงที่เรียกได้ว่ามีหนึ่งเครื่องในโลกนะ  :headphone 


 :whistling :whistling :whistling :whistling :whistling
หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Create_Lek ที่ 14 เมษายน, 2009, 02:12:50 pm
 ไม่มีบทบัญญัติที่บอกได้ว่าเสียงดี หรือ ไม่ดี วัดกันที่ไหนหรืออย่างไร หรอกครับ  แต่สำหรับคนทำเสียงเรามักจะใช้คำว่า ความสมบูรณ์ และ บริสุทธิ์ ของเสียง ซึ่งจะประกอบด้วย


      (1) อิมเมจ หรือ ตัวเสียง  หมายถึง รูปลักษณ์หรือเสียงที่ให้รูปทรงเป็นชิ้นดนตรีหรือเครื่องเสียงที่มีคุณภาพดี จะต้องสามารถให้รูปทรงของชิ้นดนตรีที่ชัดเจนขึ้นรูปเป็นสามมิติ  และมีสัดส่วน ที่สมจริง

(2) ซาวนด์สเตจ หรือ เวทีเสียง หมาย ถึง อาณาเขตโดยรอบที่อิมเมจหรือตัวเสียง ทั้งหมดเรียงตัวอยู่ในอากาศ ลักษณะความกว้าง-แคบหรือตื้น-ลึกของเวทีเสียงจะขึ้นอยู่กับคุณภาพของชุด เครื่องเสียง และการปรับแต่งตำแหน่งลำโพงและการปรับแต่งสภาพอะคูสติกในห้องฟังเป็นสำคัญ

(3) ไดนามิก-คอนทราสต์ หมายถึง ลักษณะการเปลี่ยนแปลงความดังอย่างค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป เครื่องเสียงที่ดี ๆ นั้นจะต้องสามารถ่ายทอดการเปลี่ยนแปลงของระดับเสียงของชิ้นดนตรีได้ต่อ เนื่องละเอียดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ก้าวกระโดด ดังเช่นสัญญาณเสียงที่เกิดจากการสี เป่า และร้อง ลักษณะการบรรเลงของนักดนตรีที่กระทำต่อเครื่องดนตรีบางประเภทนั้นสามารถให้ ได้ทั้งไดนามิก-คอนทราสต์และไดนามิก-ทรานเชี้ยนต์ (4)

(4)ไดนามิก-ทรานเชี้ยนต์ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของระดับความดังอย่างรวดเร็ว หรือสัญญาณเสียงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เป็นลักษณะของการเปลี่ยนระดับความดังจาก 0 เดซิเบลขึ้นไปจนถึงจุดพีคสุดของสัญญาณอย่างรวดเร็วมาก ๆ ดังเช่นสัญญาณเสียงที่เกิดจากการตี ทุบ หรือเคาะที่นักดนตรีกระทำต่อเครื่องดนตรีนั้น ๆ เครื่องเสียงที่ดีนั้นต้องสามารถตอบสนองสัญญาณในลักษณะดังกล่าวที่ให้สปีดร วดเร็วสมจริง

(5) หัวเสียง (Impact) หมายถึง สัญญาณเสียงแรกที่เครื่องดนตรีถูกกระทำ เครื่องเสียงที่มีคุณภาพดีจะต้องให้หัวเสียงที่ประกอบด้วยความชัดเจนและความ เร็ว ในส่วนของความชัดเจนนั้นก็คือต้องให้ตัวเสียงที่มีความเข้ม มีมวลอิ่ม และมีขนาดที่สมจริง เช่น หัวเสียงที่เกิดจากการเคาะเหล็กสามเหลี่ยมจะให้ตัวเสียงที่มีขนาดเล็กกว่า หัวเสียงที่เกิดจากการย่ำกระเดื่องกลอง ส่วนความเร็วของหัวเสียงนั้นขึ้นอยู่กับการเดินทางของความถื่มาถึงหูของเรา เช่น เสียงย่ำกลอง ซึ่งอยู่ในย่านเสียงทุ้มจะเดินทางมาถึงหูของเราช้ากว่าเสียงเคาะเหล็กสาม เหลี่ยมซึ่งอยู่ในย่านเสียงสูง เหล่านี้ เป็นต้น

(6) ความกว้างของเวทีเสียง หมายถึง ระยะทางจากซ้ายสุดของเวทีเสียงไปจนถึงชิ้นที่อยู่ขวาสุดของเวทีเสียง เพลง ๆ เดียวกันจากแผ่นซีดีแผ่นเดียวกันก็อาจจะให้ความกว้างของเวทีเสียงต่างกันได้ เมื่อฟังจากชุดเครื่องเสียงต่างกัน เครื่องเสียงที่ให้เวทีเสียงกว้างมาก ๆ ก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป เพราะคุณภาพของเวทีเสียง (2) ย่อมขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์กับความลึก (7) ด้วย การแยกลำโพงทั้งสองข้างให้ถ่างออกจากกันจะเป็นการเพิ่มระยะความกว้างให้กับ เวทีเสียง แต่ถ้าลำโพงทั้งสองข้างถูกแยกห่างกันมากเกินไปจะทำให้ความเข้มข้น ( 8 ) ของชิ้นดนตรีบริเวณกลาง ๆ เวทีเสียงเจือจางลง

(7) ความลึกของเวทีเสียง หมายถึง ระยะทางจากระนาบของแถวชิ้นดนตรีที่อยู่ด้านหน้าลงไปถึงด้านหลัง เครื่องเสียงที่ดี ๆ นั้นต้องสามารถให้ความลึกของชิ้นดนตรีในระนาบหลัง ๆ ที่แผ่กว้าง ไม่ใช่หุบเข้าหาตรงกลางเวที การดึงลำโพงทั้งสองข้างให้เข้าใกล้ชิดกันจะทำให้ความลึกของเวทีเสียงชัดเจน ขึ้น แต่ถ้าลำโพงทั้งสองข้างวางชิดกันเกินไป ชิ้นดนตรีในระนาบหลัง ๆ จะเบียดกระจุกกันอยู่บริเวณกลางเวที ไม่แผ่กระจายออก

( 8 ) ความเข้มข้น กับ ความบอบบาง หมายถึง ความหนาแน่น หรือความเจือจางของมวลเนื้อเสียงของชิ้นดนตรี พิจารณาที่อิมเมจ หรือตัวเสียง (1) ที่ลอยอยู่ในอากาศเป็นความรู้สึกว่าชิ้นดนตรีเหล่านั้นคงอยู่ในอากาศด้วย ความชัดเจนมากน้อยเพียงใด ถ้ามากขนาอที่รู้สึกจะเหมือนกับ "มองเห็น" ชิ้นดนตรีนั้น ๆ ลอยอยู่ในอากาศได้ชัดเจนก็บอกได้ว่าชิ้นดนตรีนั้นมีเนื้อเสียงที่เข้มข้น แต่ตรงกันข้าม ถ้ารู้สึกแต่เพียงเลา ๆ เหมือนกับว่าเสียงชิ้นดนตรีนั้นลอยอยู่ตรงนั้นตรงนี้ บอกได้ไม่ชัดเจนนัก ก็คือชิ้นดนตรี นั้นให้เสียงที่มีมวลเนื้อบอบบางนั่นเอง

(9) ความเป็นสามมิติ หมายถึง ภาพลักษณ์ของเวทีเสียงที่เกิดจากการจัดเรียงของชิ้นดนตรีขึ้นเป็นเวทีเสียง ที่ประกอบไปด้วยความกว้าง แคบ ความตื้น-ลึก และความต่ำ-สูง ความเป็นสามมิติของเวทีเสียงนี้จะเกิดขึ้นได้ ตัวเสียงหรืออิมเมจ (1) ของชิ้นดนตรีแต่ละชิ้นก็ต้องมีรูปทรงที่ให้ความรู้สึกเป็นสามมิติด้วยเช่น กัน คุณสมบัติข้อนี้นอกจากจะต้องอาศัยประสิทธิภาพของชุดเครื่องเสียงที่ดีแล้ว นั้น สิ่งที่สำคัญกว่านั้นต้องอาศัยความละเอียดพิถีพิถันในการปรับแต่งตำแหน่งการ จัดวางลำโพงและสภาพอะคูสติกภายในห้องฟังที่เหมาะสมอีกด้วย

(10) ขนาดของชิ้นดนตรี หมายถึง การประกอบกันของเสียงหลักและฮาร์มอนิกของเสียงนั้น ถ้ามีความสมบูรณ์เพียงพอก็จะเกิดเป็นขนาดของเสียงที่แตกต่างกันออกไปตาม คลื่นเสียงหลักธรรมชาติของชิ้นดนตรีนั้น ๆ เช่น เสียงเปียโนจะให้ขนาดที่เล็กกว่าเมื่อเทียบกับเสียงอะคูสติกเบส แม้ว่าจะเล่นโน้ตตัวเดียวกันก็ตาม และในเครื่องดนตรีชิ้นเดียวกันก็จะให้ขนาดเสียงของตัวโน้ตแต่ละตัวที่ไม่ เท่ากันด้วย เช่น เสียงเปียโนที่เล่นด้วยมือขวาจะให้ขนาดเสียงที่เล็กกว่าเสียงเปียโนที่เล่น ด้วยมือซ้าย ความแตกต่างอันนี้จะเกิดจากระดับเสียงที่สูง-ต่ำไปตามออกเตปของตัวโน้ต เครื่องเสียงที่ดี ๆ นั้นจะต้องสามารถแยกแยะคุณสมบัติดังกล่าวของเสียงออกมาได้อย่างชัดเจน และคุณสมบัติข้อนี้เรียกว่าเป็น "รายละเอียดเบื้องลึก" หรือ Inner Detail ของเสียงส่วนหนึ่ง

(11) ความใส (Transparency) หมายถึง ลักษณะที่ทำให้สามารถ "มองเห็น" หรือรับรู้รายละเอียดของเสียงบนเวทีเสียงทั้งหมดตั้งแต่ระนาบต้นจนลึกลงไป ถึงระนาบหลัง ๆ สิ่งนี้จะตรงข้ามกับ "ความขุ่นมัว" ซึ่งจะทำให้การรับรู้รายละเอียดดังกล่าวไม่ชัดเจนเปรียบเหมือนการมองเข้าไป ในที่มีหมอกปกคลุมนั่นเอง
หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Bancha. ที่ 14 เมษายน, 2009, 02:22:59 pm
 :) เยี่ยมครับ O0 สงสัญเป็นนักดนตรี :headphone
หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Diy_ชาติ ที่ 14 เมษายน, 2009, 02:27:41 pm
ไม่มีบทบัญญัติที่บอกได้ว่าเสียงดี หรือ ไม่ดี วัดกันที่ไหนหรืออย่างไร หรอกครับ  แต่สำหรับคนทำเสียงเรามักจะใช้คำว่า ความสมบูรณ์ และ บริสุทธิ์ ของเสียง ซึ่งจะประกอบด้วย


      (1) อิมเมจ หรือ ตัวเสียง  หมายถึง รูปลักษณ์หรือเสียงที่ให้รูปทรงเป็นชิ้นดนตรีหรือเครื่องเสียงที่มีคุณภาพดี จะต้องสามารถให้รูปทรงของชิ้นดนตรีที่ชัดเจนขึ้นรูปเป็นสามมิติ  และมีสัดส่วน ที่สมจริง

(2) ซาวนด์สเตจ หรือ เวทีเสียง หมาย ถึง อาณาเขตโดยรอบที่อิมเมจหรือตัวเสียง ทั้งหมดเรียงตัวอยู่ในอากาศ ลักษณะความกว้าง-แคบหรือตื้น-ลึกของเวทีเสียงจะขึ้นอยู่กับคุณภาพของชุด เครื่องเสียง และการปรับแต่งตำแหน่งลำโพงและการปรับแต่งสภาพอะคูสติกในห้องฟังเป็นสำคัญ

(3) ไดนามิก-คอนทราสต์ หมายถึง ลักษณะการเปลี่ยนแปลงความดังอย่างค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป เครื่องเสียงที่ดี ๆ นั้นจะต้องสามารถ่ายทอดการเปลี่ยนแปลงของระดับเสียงของชิ้นดนตรีได้ต่อ เนื่องละเอียดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ก้าวกระโดด ดังเช่นสัญญาณเสียงที่เกิดจากการสี เป่า และร้อง ลักษณะการบรรเลงของนักดนตรีที่กระทำต่อเครื่องดนตรีบางประเภทนั้นสามารถให้ ได้ทั้งไดนามิก-คอนทราสต์และไดนามิก-ทรานเชี้ยนต์ (4)

(4)ไดนามิก-ทรานเชี้ยนต์ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของระดับความดังอย่างรวดเร็ว หรือสัญญาณเสียงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เป็นลักษณะของการเปลี่ยนระดับความดังจาก 0 เดซิเบลขึ้นไปจนถึงจุดพีคสุดของสัญญาณอย่างรวดเร็วมาก ๆ ดังเช่นสัญญาณเสียงที่เกิดจากการตี ทุบ หรือเคาะที่นักดนตรีกระทำต่อเครื่องดนตรีนั้น ๆ เครื่องเสียงที่ดีนั้นต้องสามารถตอบสนองสัญญาณในลักษณะดังกล่าวที่ให้สปีดร วดเร็วสมจริง

(5) หัวเสียง (Impact) หมายถึง สัญญาณเสียงแรกที่เครื่องดนตรีถูกกระทำ เครื่องเสียงที่มีคุณภาพดีจะต้องให้หัวเสียงที่ประกอบด้วยความชัดเจนและความ เร็ว ในส่วนของความชัดเจนนั้นก็คือต้องให้ตัวเสียงที่มีความเข้ม มีมวลอิ่ม และมีขนาดที่สมจริง เช่น หัวเสียงที่เกิดจากการเคาะเหล็กสามเหลี่ยมจะให้ตัวเสียงที่มีขนาดเล็กกว่า หัวเสียงที่เกิดจากการย่ำกระเดื่องกลอง ส่วนความเร็วของหัวเสียงนั้นขึ้นอยู่กับการเดินทางของความถื่มาถึงหูของเรา เช่น เสียงย่ำกลอง ซึ่งอยู่ในย่านเสียงทุ้มจะเดินทางมาถึงหูของเราช้ากว่าเสียงเคาะเหล็กสาม เหลี่ยมซึ่งอยู่ในย่านเสียงสูง เหล่านี้ เป็นต้น

(6) ความกว้างของเวทีเสียง หมายถึง ระยะทางจากซ้ายสุดของเวทีเสียงไปจนถึงชิ้นที่อยู่ขวาสุดของเวทีเสียง เพลง ๆ เดียวกันจากแผ่นซีดีแผ่นเดียวกันก็อาจจะให้ความกว้างของเวทีเสียงต่างกันได้ เมื่อฟังจากชุดเครื่องเสียงต่างกัน เครื่องเสียงที่ให้เวทีเสียงกว้างมาก ๆ ก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป เพราะคุณภาพของเวทีเสียง (2) ย่อมขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์กับความลึก (7) ด้วย การแยกลำโพงทั้งสองข้างให้ถ่างออกจากกันจะเป็นการเพิ่มระยะความกว้างให้กับ เวทีเสียง แต่ถ้าลำโพงทั้งสองข้างถูกแยกห่างกันมากเกินไปจะทำให้ความเข้มข้น ( 8 ) ของชิ้นดนตรีบริเวณกลาง ๆ เวทีเสียงเจือจางลง

(7) ความลึกของเวทีเสียง หมายถึง ระยะทางจากระนาบของแถวชิ้นดนตรีที่อยู่ด้านหน้าลงไปถึงด้านหลัง เครื่องเสียงที่ดี ๆ นั้นต้องสามารถให้ความลึกของชิ้นดนตรีในระนาบหลัง ๆ ที่แผ่กว้าง ไม่ใช่หุบเข้าหาตรงกลางเวที การดึงลำโพงทั้งสองข้างให้เข้าใกล้ชิดกันจะทำให้ความลึกของเวทีเสียงชัดเจน ขึ้น แต่ถ้าลำโพงทั้งสองข้างวางชิดกันเกินไป ชิ้นดนตรีในระนาบหลัง ๆ จะเบียดกระจุกกันอยู่บริเวณกลางเวที ไม่แผ่กระจายออก

( 8 ) ความเข้มข้น กับ ความบอบบาง หมายถึง ความหนาแน่น หรือความเจือจางของมวลเนื้อเสียงของชิ้นดนตรี พิจารณาที่อิมเมจ หรือตัวเสียง (1) ที่ลอยอยู่ในอากาศเป็นความรู้สึกว่าชิ้นดนตรีเหล่านั้นคงอยู่ในอากาศด้วย ความชัดเจนมากน้อยเพียงใด ถ้ามากขนาอที่รู้สึกจะเหมือนกับ "มองเห็น" ชิ้นดนตรีนั้น ๆ ลอยอยู่ในอากาศได้ชัดเจนก็บอกได้ว่าชิ้นดนตรีนั้นมีเนื้อเสียงที่เข้มข้น แต่ตรงกันข้าม ถ้ารู้สึกแต่เพียงเลา ๆ เหมือนกับว่าเสียงชิ้นดนตรีนั้นลอยอยู่ตรงนั้นตรงนี้ บอกได้ไม่ชัดเจนนัก ก็คือชิ้นดนตรี นั้นให้เสียงที่มีมวลเนื้อบอบบางนั่นเอง

(9) ความเป็นสามมิติ หมายถึง ภาพลักษณ์ของเวทีเสียงที่เกิดจากการจัดเรียงของชิ้นดนตรีขึ้นเป็นเวทีเสียง ที่ประกอบไปด้วยความกว้าง แคบ ความตื้น-ลึก และความต่ำ-สูง ความเป็นสามมิติของเวทีเสียงนี้จะเกิดขึ้นได้ ตัวเสียงหรืออิมเมจ (1) ของชิ้นดนตรีแต่ละชิ้นก็ต้องมีรูปทรงที่ให้ความรู้สึกเป็นสามมิติด้วยเช่น กัน คุณสมบัติข้อนี้นอกจากจะต้องอาศัยประสิทธิภาพของชุดเครื่องเสียงที่ดีแล้ว นั้น สิ่งที่สำคัญกว่านั้นต้องอาศัยความละเอียดพิถีพิถันในการปรับแต่งตำแหน่งการ จัดวางลำโพงและสภาพอะคูสติกภายในห้องฟังที่เหมาะสมอีกด้วย

(10) ขนาดของชิ้นดนตรี หมายถึง การประกอบกันของเสียงหลักและฮาร์มอนิกของเสียงนั้น ถ้ามีความสมบูรณ์เพียงพอก็จะเกิดเป็นขนาดของเสียงที่แตกต่างกันออกไปตาม คลื่นเสียงหลักธรรมชาติของชิ้นดนตรีนั้น ๆ เช่น เสียงเปียโนจะให้ขนาดที่เล็กกว่าเมื่อเทียบกับเสียงอะคูสติกเบส แม้ว่าจะเล่นโน้ตตัวเดียวกันก็ตาม และในเครื่องดนตรีชิ้นเดียวกันก็จะให้ขนาดเสียงของตัวโน้ตแต่ละตัวที่ไม่ เท่ากันด้วย เช่น เสียงเปียโนที่เล่นด้วยมือขวาจะให้ขนาดเสียงที่เล็กกว่าเสียงเปียโนที่เล่น ด้วยมือซ้าย ความแตกต่างอันนี้จะเกิดจากระดับเสียงที่สูง-ต่ำไปตามออกเตปของตัวโน้ต เครื่องเสียงที่ดี ๆ นั้นจะต้องสามารถแยกแยะคุณสมบัติดังกล่าวของเสียงออกมาได้อย่างชัดเจน และคุณสมบัติข้อนี้เรียกว่าเป็น "รายละเอียดเบื้องลึก" หรือ Inner Detail ของเสียงส่วนหนึ่ง

(11) ความใส (Transparency) หมายถึง ลักษณะที่ทำให้สามารถ "มองเห็น" หรือรับรู้รายละเอียดของเสียงบนเวทีเสียงทั้งหมดตั้งแต่ระนาบต้นจนลึกลงไป ถึงระนาบหลัง ๆ สิ่งนี้จะตรงข้ามกับ "ความขุ่นมัว" ซึ่งจะทำให้การรับรู้รายละเอียดดังกล่าวไม่ชัดเจนเปรียบเหมือนการมองเข้าไป ในที่มีหมอกปกคลุมนั่นเอง

ได้ความรู้อีกแล้วครับ O0 O0 O0 O0 O0
หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ
เริ่มหัวข้อโดย: คุณหมีน้อย ที่ 14 เมษายน, 2009, 02:28:56 pm
บรรยายได้เยี่ยมมากครับ พี่เล็ก  O0   :clap :clap :clap :clap :clap  O0 O0


 :headphone

หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ
เริ่มหัวข้อโดย: เบน ที่ 14 เมษายน, 2009, 02:43:54 pm
 :black_eye :black_eye :black_eye ที่น้า create บอกมา เนี่ย ไม่มีในเครื่องที่ผมทำเลยสักอย่าง :cry2


แต่ถือว่าได้ความรู้เยอะมากเลยครับ ;)
หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ธีรพัชร์ TJAM ที่ 14 เมษายน, 2009, 02:46:58 pm
 O0 บรรยายได้เยี่ยมสมกับที่เป็น Sound Maker ครับ  :clap :clap :clap :headphone
หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ปาท่องโก๋ ที่ 14 เมษายน, 2009, 03:18:32 pm
 :secret :secret :secret
บรรยาย  จาก ตัวหนังสือ กลายเ็ป็น ภาพเลย อะ สุดยอด O0 O0 d_d
หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Create_Lek ที่ 14 เมษายน, 2009, 03:28:50 pm
:) เยี่ยมครับ O0 สงสัญเป็นนักดนตรี :headphone
ขอบคุณครับ อาชีพผมเป็นคนทำเสียง ครับ  :)
หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ
เริ่มหัวข้อโดย: siwat ที่ 14 เมษายน, 2009, 03:39:06 pm
กระทู้ดีจริงๆครับ   :clap :clap :clap

หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ
เริ่มหัวข้อโดย: silicon ที่ 14 เมษายน, 2009, 04:30:12 pm
ได้ความรู้อีกแล้วครับ  O0 O0
หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ
เริ่มหัวข้อโดย: นายป้อ ที่ 14 เมษายน, 2009, 05:55:47 pm
ได้ความรู้อีกแล้ว :clap :clap :clap
หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ
เริ่มหัวข้อโดย: charnchai123 ที่ 14 เมษายน, 2009, 06:06:20 pm
ได้ความรู้ดี ขอบคุณมากครับ
หัวข้อ: text
เริ่มหัวข้อโดย: Eak-tubeamp ที่ 14 เมษายน, 2009, 08:44:23 pm
บรรยายได้เยี่ยมครับ....สุดยอด O0 O0 O0 O0 ได้ยินมาเยอะ แต่ไม่รู้ความหมายที่แท้จริง
หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ
เริ่มหัวข้อโดย: phakung ที่ 14 เมษายน, 2009, 10:23:15 pm
ไม่มีบทบัญญัติที่บอกได้ว่าเสียงดี หรือ ไม่ดี วัดกันที่ไหนหรืออย่างไร หรอกครับ  แต่สำหรับคนทำเสียงเรามักจะใช้คำว่า ความสมบูรณ์ และ บริสุทธิ์ ของเสียง ซึ่งจะประกอบด้วย


      (1) อิมเมจ หรือ ตัวเสียง  หมายถึง รูปลักษณ์หรือเสียงที่ให้รูปทรงเป็นชิ้นดนตรีหรือเครื่องเสียงที่มีคุณภาพดี จะต้องสามารถให้รูปทรงของชิ้นดนตรีที่ชัดเจนขึ้นรูปเป็นสามมิติ  และมีสัดส่วน ที่สมจริง

(2) ซาวนด์สเตจ หรือ เวทีเสียง หมาย ถึง อาณาเขตโดยรอบที่อิมเมจหรือตัวเสียง ทั้งหมดเรียงตัวอยู่ในอากาศ ลักษณะความกว้าง-แคบหรือตื้น-ลึกของเวทีเสียงจะขึ้นอยู่กับคุณภาพของชุด เครื่องเสียง และการปรับแต่งตำแหน่งลำโพงและการปรับแต่งสภาพอะคูสติกในห้องฟังเป็นสำคัญ

(3) ไดนามิก-คอนทราสต์ หมายถึง ลักษณะการเปลี่ยนแปลงความดังอย่างค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป เครื่องเสียงที่ดี ๆ นั้นจะต้องสามารถ่ายทอดการเปลี่ยนแปลงของระดับเสียงของชิ้นดนตรีได้ต่อ เนื่องละเอียดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ก้าวกระโดด ดังเช่นสัญญาณเสียงที่เกิดจากการสี เป่า และร้อง ลักษณะการบรรเลงของนักดนตรีที่กระทำต่อเครื่องดนตรีบางประเภทนั้นสามารถให้ ได้ทั้งไดนามิก-คอนทราสต์และไดนามิก-ทรานเชี้ยนต์ (4)

(4)ไดนามิก-ทรานเชี้ยนต์ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของระดับความดังอย่างรวดเร็ว หรือสัญญาณเสียงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เป็นลักษณะของการเปลี่ยนระดับความดังจาก 0 เดซิเบลขึ้นไปจนถึงจุดพีคสุดของสัญญาณอย่างรวดเร็วมาก ๆ ดังเช่นสัญญาณเสียงที่เกิดจากการตี ทุบ หรือเคาะที่นักดนตรีกระทำต่อเครื่องดนตรีนั้น ๆ เครื่องเสียงที่ดีนั้นต้องสามารถตอบสนองสัญญาณในลักษณะดังกล่าวที่ให้สปีดร วดเร็วสมจริง

(5) หัวเสียง (Impact) หมายถึง สัญญาณเสียงแรกที่เครื่องดนตรีถูกกระทำ เครื่องเสียงที่มีคุณภาพดีจะต้องให้หัวเสียงที่ประกอบด้วยความชัดเจนและความ เร็ว ในส่วนของความชัดเจนนั้นก็คือต้องให้ตัวเสียงที่มีความเข้ม มีมวลอิ่ม และมีขนาดที่สมจริง เช่น หัวเสียงที่เกิดจากการเคาะเหล็กสามเหลี่ยมจะให้ตัวเสียงที่มีขนาดเล็กกว่า หัวเสียงที่เกิดจากการย่ำกระเดื่องกลอง ส่วนความเร็วของหัวเสียงนั้นขึ้นอยู่กับการเดินทางของความถื่มาถึงหูของเรา เช่น เสียงย่ำกลอง ซึ่งอยู่ในย่านเสียงทุ้มจะเดินทางมาถึงหูของเราช้ากว่าเสียงเคาะเหล็กสาม เหลี่ยมซึ่งอยู่ในย่านเสียงสูง เหล่านี้ เป็นต้น

(6) ความกว้างของเวทีเสียง หมายถึง ระยะทางจากซ้ายสุดของเวทีเสียงไปจนถึงชิ้นที่อยู่ขวาสุดของเวทีเสียง เพลง ๆ เดียวกันจากแผ่นซีดีแผ่นเดียวกันก็อาจจะให้ความกว้างของเวทีเสียงต่างกันได้ เมื่อฟังจากชุดเครื่องเสียงต่างกัน เครื่องเสียงที่ให้เวทีเสียงกว้างมาก ๆ ก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป เพราะคุณภาพของเวทีเสียง (2) ย่อมขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์กับความลึก (7) ด้วย การแยกลำโพงทั้งสองข้างให้ถ่างออกจากกันจะเป็นการเพิ่มระยะความกว้างให้กับ เวทีเสียง แต่ถ้าลำโพงทั้งสองข้างถูกแยกห่างกันมากเกินไปจะทำให้ความเข้มข้น ( 8 ) ของชิ้นดนตรีบริเวณกลาง ๆ เวทีเสียงเจือจางลง

(7) ความลึกของเวทีเสียง หมายถึง ระยะทางจากระนาบของแถวชิ้นดนตรีที่อยู่ด้านหน้าลงไปถึงด้านหลัง เครื่องเสียงที่ดี ๆ นั้นต้องสามารถให้ความลึกของชิ้นดนตรีในระนาบหลัง ๆ ที่แผ่กว้าง ไม่ใช่หุบเข้าหาตรงกลางเวที การดึงลำโพงทั้งสองข้างให้เข้าใกล้ชิดกันจะทำให้ความลึกของเวทีเสียงชัดเจน ขึ้น แต่ถ้าลำโพงทั้งสองข้างวางชิดกันเกินไป ชิ้นดนตรีในระนาบหลัง ๆ จะเบียดกระจุกกันอยู่บริเวณกลางเวที ไม่แผ่กระจายออก

( 8 ) ความเข้มข้น กับ ความบอบบาง หมายถึง ความหนาแน่น หรือความเจือจางของมวลเนื้อเสียงของชิ้นดนตรี พิจารณาที่อิมเมจ หรือตัวเสียง (1) ที่ลอยอยู่ในอากาศเป็นความรู้สึกว่าชิ้นดนตรีเหล่านั้นคงอยู่ในอากาศด้วย ความชัดเจนมากน้อยเพียงใด ถ้ามากขนาอที่รู้สึกจะเหมือนกับ "มองเห็น" ชิ้นดนตรีนั้น ๆ ลอยอยู่ในอากาศได้ชัดเจนก็บอกได้ว่าชิ้นดนตรีนั้นมีเนื้อเสียงที่เข้มข้น แต่ตรงกันข้าม ถ้ารู้สึกแต่เพียงเลา ๆ เหมือนกับว่าเสียงชิ้นดนตรีนั้นลอยอยู่ตรงนั้นตรงนี้ บอกได้ไม่ชัดเจนนัก ก็คือชิ้นดนตรี นั้นให้เสียงที่มีมวลเนื้อบอบบางนั่นเอง

(9) ความเป็นสามมิติ หมายถึง ภาพลักษณ์ของเวทีเสียงที่เกิดจากการจัดเรียงของชิ้นดนตรีขึ้นเป็นเวทีเสียง ที่ประกอบไปด้วยความกว้าง แคบ ความตื้น-ลึก และความต่ำ-สูง ความเป็นสามมิติของเวทีเสียงนี้จะเกิดขึ้นได้ ตัวเสียงหรืออิมเมจ (1) ของชิ้นดนตรีแต่ละชิ้นก็ต้องมีรูปทรงที่ให้ความรู้สึกเป็นสามมิติด้วยเช่น กัน คุณสมบัติข้อนี้นอกจากจะต้องอาศัยประสิทธิภาพของชุดเครื่องเสียงที่ดีแล้ว นั้น สิ่งที่สำคัญกว่านั้นต้องอาศัยความละเอียดพิถีพิถันในการปรับแต่งตำแหน่งการ จัดวางลำโพงและสภาพอะคูสติกภายในห้องฟังที่เหมาะสมอีกด้วย

(10) ขนาดของชิ้นดนตรี หมายถึง การประกอบกันของเสียงหลักและฮาร์มอนิกของเสียงนั้น ถ้ามีความสมบูรณ์เพียงพอก็จะเกิดเป็นขนาดของเสียงที่แตกต่างกันออกไปตาม คลื่นเสียงหลักธรรมชาติของชิ้นดนตรีนั้น ๆ เช่น เสียงเปียโนจะให้ขนาดที่เล็กกว่าเมื่อเทียบกับเสียงอะคูสติกเบส แม้ว่าจะเล่นโน้ตตัวเดียวกันก็ตาม และในเครื่องดนตรีชิ้นเดียวกันก็จะให้ขนาดเสียงของตัวโน้ตแต่ละตัวที่ไม่ เท่ากันด้วย เช่น เสียงเปียโนที่เล่นด้วยมือขวาจะให้ขนาดเสียงที่เล็กกว่าเสียงเปียโนที่เล่น ด้วยมือซ้าย ความแตกต่างอันนี้จะเกิดจากระดับเสียงที่สูง-ต่ำไปตามออกเตปของตัวโน้ต เครื่องเสียงที่ดี ๆ นั้นจะต้องสามารถแยกแยะคุณสมบัติดังกล่าวของเสียงออกมาได้อย่างชัดเจน และคุณสมบัติข้อนี้เรียกว่าเป็น "รายละเอียดเบื้องลึก" หรือ Inner Detail ของเสียงส่วนหนึ่ง

(11) ความใส (Transparency) หมายถึง ลักษณะที่ทำให้สามารถ "มองเห็น" หรือรับรู้รายละเอียดของเสียงบนเวทีเสียงทั้งหมดตั้งแต่ระนาบต้นจนลึกลงไป ถึงระนาบหลัง ๆ สิ่งนี้จะตรงข้ามกับ "ความขุ่นมัว" ซึ่งจะทำให้การรับรู้รายละเอียดดังกล่าวไม่ชัดเจนเปรียบเหมือนการมองเข้าไป ในที่มีหมอกปกคลุมนั่นเอง


นานๆได้เข้ามาอ่านครับ บรรยายได้ยอดเยี่ยม
น้าเล็ก ก็ยงคงเป็นน้าเล็กเช่นเดิมครับ
หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pisit ที่ 14 เมษายน, 2009, 11:03:59 pm
ไม่มีบทบัญญัติที่บอกได้ว่าเสียงดี หรือ ไม่ดี วัดกันที่ไหนหรืออย่างไร หรอกครับ  แต่สำหรับคนทำเสียงเรามักจะใช้คำว่า ความสมบูรณ์ และ บริสุทธิ์ ของเสียง ซึ่งจะประกอบด้วย


      (1) อิมเมจ หรือ ตัวเสียง  หมายถึง รูปลักษณ์หรือเสียงที่ให้รูปทรงเป็นชิ้นดนตรีหรือเครื่องเสียงที่มีคุณภาพดี จะต้องสามารถให้รูปทรงของชิ้นดนตรีที่ชัดเจนขึ้นรูปเป็นสามมิติ  และมีสัดส่วน ที่สมจริง

(2) ซาวนด์สเตจ หรือ เวทีเสียง หมาย ถึง อาณาเขตโดยรอบที่อิมเมจหรือตัวเสียง ทั้งหมดเรียงตัวอยู่ในอากาศ ลักษณะความกว้าง-แคบหรือตื้น-ลึกของเวทีเสียงจะขึ้นอยู่กับคุณภาพของชุด เครื่องเสียง และการปรับแต่งตำแหน่งลำโพงและการปรับแต่งสภาพอะคูสติกในห้องฟังเป็นสำคัญ

(3) ไดนามิก-คอนทราสต์ หมายถึง ลักษณะการเปลี่ยนแปลงความดังอย่างค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป เครื่องเสียงที่ดี ๆ นั้นจะต้องสามารถ่ายทอดการเปลี่ยนแปลงของระดับเสียงของชิ้นดนตรีได้ต่อ เนื่องละเอียดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ก้าวกระโดด ดังเช่นสัญญาณเสียงที่เกิดจากการสี เป่า และร้อง ลักษณะการบรรเลงของนักดนตรีที่กระทำต่อเครื่องดนตรีบางประเภทนั้นสามารถให้ ได้ทั้งไดนามิก-คอนทราสต์และไดนามิก-ทรานเชี้ยนต์ (4)

(4)ไดนามิก-ทรานเชี้ยนต์ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของระดับความดังอย่างรวดเร็ว หรือสัญญาณเสียงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เป็นลักษณะของการเปลี่ยนระดับความดังจาก 0 เดซิเบลขึ้นไปจนถึงจุดพีคสุดของสัญญาณอย่างรวดเร็วมาก ๆ ดังเช่นสัญญาณเสียงที่เกิดจากการตี ทุบ หรือเคาะที่นักดนตรีกระทำต่อเครื่องดนตรีนั้น ๆ เครื่องเสียงที่ดีนั้นต้องสามารถตอบสนองสัญญาณในลักษณะดังกล่าวที่ให้สปีดร วดเร็วสมจริง

(5) หัวเสียง (Impact) หมายถึง สัญญาณเสียงแรกที่เครื่องดนตรีถูกกระทำ เครื่องเสียงที่มีคุณภาพดีจะต้องให้หัวเสียงที่ประกอบด้วยความชัดเจนและความ เร็ว ในส่วนของความชัดเจนนั้นก็คือต้องให้ตัวเสียงที่มีความเข้ม มีมวลอิ่ม และมีขนาดที่สมจริง เช่น หัวเสียงที่เกิดจากการเคาะเหล็กสามเหลี่ยมจะให้ตัวเสียงที่มีขนาดเล็กกว่า หัวเสียงที่เกิดจากการย่ำกระเดื่องกลอง ส่วนความเร็วของหัวเสียงนั้นขึ้นอยู่กับการเดินทางของความถื่มาถึงหูของเรา เช่น เสียงย่ำกลอง ซึ่งอยู่ในย่านเสียงทุ้มจะเดินทางมาถึงหูของเราช้ากว่าเสียงเคาะเหล็กสาม เหลี่ยมซึ่งอยู่ในย่านเสียงสูง เหล่านี้ เป็นต้น

(6) ความกว้างของเวทีเสียง หมายถึง ระยะทางจากซ้ายสุดของเวทีเสียงไปจนถึงชิ้นที่อยู่ขวาสุดของเวทีเสียง เพลง ๆ เดียวกันจากแผ่นซีดีแผ่นเดียวกันก็อาจจะให้ความกว้างของเวทีเสียงต่างกันได้ เมื่อฟังจากชุดเครื่องเสียงต่างกัน เครื่องเสียงที่ให้เวทีเสียงกว้างมาก ๆ ก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป เพราะคุณภาพของเวทีเสียง (2) ย่อมขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์กับความลึก (7) ด้วย การแยกลำโพงทั้งสองข้างให้ถ่างออกจากกันจะเป็นการเพิ่มระยะความกว้างให้กับ เวทีเสียง แต่ถ้าลำโพงทั้งสองข้างถูกแยกห่างกันมากเกินไปจะทำให้ความเข้มข้น ( 8 ) ของชิ้นดนตรีบริเวณกลาง ๆ เวทีเสียงเจือจางลง

(7) ความลึกของเวทีเสียง หมายถึง ระยะทางจากระนาบของแถวชิ้นดนตรีที่อยู่ด้านหน้าลงไปถึงด้านหลัง เครื่องเสียงที่ดี ๆ นั้นต้องสามารถให้ความลึกของชิ้นดนตรีในระนาบหลัง ๆ ที่แผ่กว้าง ไม่ใช่หุบเข้าหาตรงกลางเวที การดึงลำโพงทั้งสองข้างให้เข้าใกล้ชิดกันจะทำให้ความลึกของเวทีเสียงชัดเจน ขึ้น แต่ถ้าลำโพงทั้งสองข้างวางชิดกันเกินไป ชิ้นดนตรีในระนาบหลัง ๆ จะเบียดกระจุกกันอยู่บริเวณกลางเวที ไม่แผ่กระจายออก

( 8 ) ความเข้มข้น กับ ความบอบบาง หมายถึง ความหนาแน่น หรือความเจือจางของมวลเนื้อเสียงของชิ้นดนตรี พิจารณาที่อิมเมจ หรือตัวเสียง (1) ที่ลอยอยู่ในอากาศเป็นความรู้สึกว่าชิ้นดนตรีเหล่านั้นคงอยู่ในอากาศด้วย ความชัดเจนมากน้อยเพียงใด ถ้ามากขนาอที่รู้สึกจะเหมือนกับ "มองเห็น" ชิ้นดนตรีนั้น ๆ ลอยอยู่ในอากาศได้ชัดเจนก็บอกได้ว่าชิ้นดนตรีนั้นมีเนื้อเสียงที่เข้มข้น แต่ตรงกันข้าม ถ้ารู้สึกแต่เพียงเลา ๆ เหมือนกับว่าเสียงชิ้นดนตรีนั้นลอยอยู่ตรงนั้นตรงนี้ บอกได้ไม่ชัดเจนนัก ก็คือชิ้นดนตรี นั้นให้เสียงที่มีมวลเนื้อบอบบางนั่นเอง

(9) ความเป็นสามมิติ หมายถึง ภาพลักษณ์ของเวทีเสียงที่เกิดจากการจัดเรียงของชิ้นดนตรีขึ้นเป็นเวทีเสียง ที่ประกอบไปด้วยความกว้าง แคบ ความตื้น-ลึก และความต่ำ-สูง ความเป็นสามมิติของเวทีเสียงนี้จะเกิดขึ้นได้ ตัวเสียงหรืออิมเมจ (1) ของชิ้นดนตรีแต่ละชิ้นก็ต้องมีรูปทรงที่ให้ความรู้สึกเป็นสามมิติด้วยเช่น กัน คุณสมบัติข้อนี้นอกจากจะต้องอาศัยประสิทธิภาพของชุดเครื่องเสียงที่ดีแล้ว นั้น สิ่งที่สำคัญกว่านั้นต้องอาศัยความละเอียดพิถีพิถันในการปรับแต่งตำแหน่งการ จัดวางลำโพงและสภาพอะคูสติกภายในห้องฟังที่เหมาะสมอีกด้วย

(10) ขนาดของชิ้นดนตรี หมายถึง การประกอบกันของเสียงหลักและฮาร์มอนิกของเสียงนั้น ถ้ามีความสมบูรณ์เพียงพอก็จะเกิดเป็นขนาดของเสียงที่แตกต่างกันออกไปตาม คลื่นเสียงหลักธรรมชาติของชิ้นดนตรีนั้น ๆ เช่น เสียงเปียโนจะให้ขนาดที่เล็กกว่าเมื่อเทียบกับเสียงอะคูสติกเบส แม้ว่าจะเล่นโน้ตตัวเดียวกันก็ตาม และในเครื่องดนตรีชิ้นเดียวกันก็จะให้ขนาดเสียงของตัวโน้ตแต่ละตัวที่ไม่ เท่ากันด้วย เช่น เสียงเปียโนที่เล่นด้วยมือขวาจะให้ขนาดเสียงที่เล็กกว่าเสียงเปียโนที่เล่น ด้วยมือซ้าย ความแตกต่างอันนี้จะเกิดจากระดับเสียงที่สูง-ต่ำไปตามออกเตปของตัวโน้ต เครื่องเสียงที่ดี ๆ นั้นจะต้องสามารถแยกแยะคุณสมบัติดังกล่าวของเสียงออกมาได้อย่างชัดเจน และคุณสมบัติข้อนี้เรียกว่าเป็น "รายละเอียดเบื้องลึก" หรือ Inner Detail ของเสียงส่วนหนึ่ง

(11) ความใส (Transparency) หมายถึง ลักษณะที่ทำให้สามารถ "มองเห็น" หรือรับรู้รายละเอียดของเสียงบนเวทีเสียงทั้งหมดตั้งแต่ระนาบต้นจนลึกลงไป ถึงระนาบหลัง ๆ สิ่งนี้จะตรงข้ามกับ "ความขุ่นมัว" ซึ่งจะทำให้การรับรู้รายละเอียดดังกล่าวไม่ชัดเจนเปรียบเหมือนการมองเข้าไป ในที่มีหมอกปกคลุมนั่นเอง




 Y] Y] O0 O0

 :black_eye :black_eye


หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ
เริ่มหัวข้อโดย: katuwu ที่ 15 เมษายน, 2009, 12:22:18 am
เสียงดีมีกี่แบบ เสียงดีประกอบด้วยอะไรบ้าง   เสียงไม่ดีเป็นอย่างไรครับ

ออดิโอฟาย กับ มิวสิคเลิฟเวอร์  ต่างกันอย่างไร


เสียงดีมีกี่แบบ เสียงดีประกอบด้วยอะไรบ้าง   เสียงไม่ดีเป็นอย่างไรครับ

ตอบ เสียงดีมีแบบเดียวคือ เสียงที่เราฟังแล้วเราชอบ มีความสุข ประกอบด้วยเครื่องเสียงของเรา(ที่เราทำเอง)และอารมณ์ในการฟังของเรา

เสียงไม่ดีเป็นอย่างไรครับ
ตอบ  เสียงที่เราฟังแล้วไม่ถูกใจเรา

ออดิโอฟาย กับ มิวสิคเลิฟเวอร์  ต่างกันอย่างไร
ตอบ  ออดิโอฟายคือความสุดยอด มิวสิคเลิฟเวอร์ คือความพอเพียง


 ;D :-\




หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ
เริ่มหัวข้อโดย: PAIPAI ที่ 15 เมษายน, 2009, 08:01:07 am
คงจะคล้ายๆกับคำถามว่าผู้หญิงสวยเป็นแบบไหนมั้งครับ :)
หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Create_Lek ที่ 15 เมษายน, 2009, 09:13:55 am
       
  ผู้ใช้เครื่องเสียง หลายๆ คนมักอ้างถึงความเป็น Music Lover ของตน นัยเพื่อสะท้อนถึงความรู้สึกเข้าใจในรสนิยมของตนเองที่คิดว่าน่าจะฟังดูดี กว่าคำว่า Audiophile โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ใจหนึ่งก็กำลังพยายามจะก้าวไปสู่การเป็น Audiophile แต่ทว่ากลับตกอยู่ในห้วงที่ชุดเครื่องเสียงยังคาบลูกคาบดอกหรือการปรับเซต ระบบที่ยังไม่ถูกฝาถูกตัว...ด้วยความรู้สึกหนึ่งที่ท้อแท้อยู่ลึกๆ ภายในก้นบึ้งของหัวใจ...หรือ ไม่ก็กำลังจมอยู่ในวังวนของกระแสความพยายามค้นหาพิสูจน์ความสามารถของอวัยวะ รับเสียงในการที่จะฟังความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ ของเสียงให้ได้นัยว่าเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ด้วยการหาเล่นอุปกรณ์เสริม ประเภทต่างๆ หรือคิดหาลูกเล่นที่ดูแหวกแนวหรือไม่ก็ให้แลพิสดารเข้าไว้ตามแต่จะบรรเจิด คิดกันไป (ฮาร์ดแวร์ฟีเวอร์ - Hardware Fever) ซึ่งล้วนแต่ทำให้เกิดความสับสนในหนทางของความเป็น "ผู้ใช้" หรือ "นายของเครื่องเสียง"..!?

ที นี้เมื่อมองลึกเข้าไปในความเป็น Music Lover ที่ว่า...พวกเขาเหล่านั้นแน่ใจแล้วหรือว่าตนเองมีความเป็น Music Lover? มาลองพิจารณาข้อประเด็นต่อไปนี้กันดูก่อน

0. มีความสุขหรือสนุกกับเสียงที่ได้ยิน

1. มีความรู้สึกดื่มด่ำไปกับดนตรีรสที่ได้ฟัง

2. มีความเข้าใจในรูปลักษณะของแนวดนตรีต่างๆ

3. มีความรู้ในประวัติของศิลปินมากมาย

4. มีความรู้จักเสียงเครื่องดนตรีแทบทุกชนิด

5. มีความสามารถในการเล่นดนตรีได้หลากประเภท

6. มีความสามารถในการแต่งเพลงได้หลายแนว

7. มีความเข้าใจในหลักทฤษฎีดนตรีอย่างลึกซึ้ง

8. มีความสามารถในการเรียบเรียงเสียงประสานหรือประพันธ์บทเพลงที่มีความสลับซับซ้อน

9. สามารถบอกเล่าเรื่องราว - ถ่ายทอดความรู้สึกหรือห้วงอารมณ์ออกมาเป็นเนื้องานดนตรีได้

ประเด็น สำคัญที่นักเล่นเครื่องเสียงมักจะถูกนักดนตรีปรามาสเอาไว้อย่างเจ็บปวดก็คือ ผู้ที่เริ่มคิดว่าตนเองเป็น Audiophile นั้น ส่วนมากจะมีดีกรีของความเป็น Music Lover ได้เพียงขั้นที่ศูนย์ "0" แค่นั้นเอง..!

ซึ่ง หมายความว่าผู้ที่มุ่งฟังจับแต่ความแตกต่างของเสียงที่แปรเปลี่ยนไปตาม อุปกรณ์เครื่องเสียงที่ใช้งานเป็นหลักหรือที่เรียกกันว่า Hardware Fever นั้น...ยังไม่ถือว่ามีความเป็น Music Lover เลยแม้แต่น้อย...หรือแม้แต่การเป็น Audiophile ซึ่งจะหมายถึงนักฟังที่มีความสุขกับเสียงดนตรี...โดยเน้นในเรื่องคุณภาพของ เสียงด้วย...ถึงแม้อาจจะไม่ได้เจาะลึกลงไปในเนื้อหาหรือเรื่องราวทางดนตรี ศิลป์เท่าใดนัก
หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ
เริ่มหัวข้อโดย: narong2198 ที่ 15 เมษายน, 2009, 01:22:19 pm
คุณ Create มาตอบได้เยี่ยมมากเลย O0 O0
หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ
เริ่มหัวข้อโดย: SOUNDTUBE ที่ 15 เมษายน, 2009, 01:55:36 pm
เห็่นด้วยอย่างยิ่งครับ :clap :clap :clap O0
หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ
เริ่มหัวข้อโดย: lovelyglass ที่ 17 เมษายน, 2009, 02:40:19 pm
 O0 Y] O0
หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ
เริ่มหัวข้อโดย: santi01 ที่ 17 เมษายน, 2009, 02:53:45 pm
เรื่องเสียงดีไม่ขอกล่าวถึงแต่ถ้าถามเรื่อง   ออดิโอฟาย กับ มิวสิคเลิฟเวอร์  ต่างกันอย่างไร


เท่าที่ฟังเค้าพูดกันคือ  ให้ดูที่จำนวนเงินที่จ่ายไปกัับ Hardware (เครื่องที่ใช้ฟัง) กะ  Softwarw (CD หรือ แผ่นเสียง หรือ เทป)    ออดิโอฟาย ก็คงประมาณว่าลงทุนกะเครื่องหมดไปมาก แต่ แผ่น CD น้อย   ส่วน มิวสิคเลิฟเวอร์  ก็คงไม่เน้นเครื่องหรือ system เท่าไหร่แต่แผ่น CD หรือ แผ่นเสียง เยอะจนไม่มีที่เก็บ

ฟังเค้าพูดกันมาอะครับ  d_d 
หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ
เริ่มหัวข้อโดย: PINIJ ที่ 17 เมษายน, 2009, 05:07:36 pm
:) เยี่ยมครับ O0 สงสัญเป็นนักดนตรี :headphone
ขอบคุณครับ อาชีพผมเป็นคนทำเสียง ครับ  :)
ดูข้อความที่คุณเขียนออกมาหลายๆ อย่างเเล้ว ทำให้ผมอยากจะพิสูจน์ผลงานที่คุณทำออกมาขายในตลาดครับ ขอทราบชื่อเเผ่นที่เป็นผลงานด้วยครับ


อ้างถึง
ประเด็น สำคัญที่นักเล่นเครื่องเสียงมักจะถูกนักดนตรีปรามาสเอาไว้อย่างเจ็บปวดก็คือ ผู้ที่เริ่มคิดว่าตนเองเป็น Audiophile นั้น ส่วนมากจะมีดีกรีของความเป็น Music Lover ได้เพียงขั้นที่ศูนย์ "0" แค่นั้นเอง..!

ซึ่ง หมายความว่าผู้ที่มุ่งฟังจับแต่ความแตกต่างของเสียงที่แปรเปลี่ยนไปตาม อุปกรณ์เครื่องเสียงที่ใช้งานเป็นหลักหรือที่เรียกกันว่า Hardware Fever นั้น...ยังไม่ถือว่ามีความเป็น Music Lover เลยแม้แต่น้อย...หรือแม้แต่การเป็น Audiophile ซึ่งจะหมายถึงนักฟังที่มีความสุขกับเสียงดนตรี...โดยเน้นในเรื่องคุณภาพของ เสียงด้วย...ถึงแม้อาจจะไม่ได้เจาะลึกลงไปในเนื้อหาหรือเรื่องราวทางดนตรี ศิลป์เท่าใดนัก
พอดีสิ่งที่คุยกันมีส่วนเกี่ยวข้องกับคำคมที่ผมใช้อยู่พอดี  “Music lover by day, Audiophile by night” อาจอาจใช้คำในความหมายที่ไม่ตรงจากที่บรรยายไว้ในที่นี้ เเละของอธิบายถึงสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อของข้อที่ใช้อยู่เก่านี้ คำว่า “Music lover” ผมเคยได้ยินคนที่พูดถ่อมตัวบ่อยๆ ว่า เป็นคนจำพวกที่ไม่เน้นเรื่องเสียงที่ของเครื่องที่ดีมากนัก เเต่ชอบฟังเพลงมากกว่า เเบบวิทยุทานซิสเตอร์ก็สุขได้เเล้ว ปานนั้น  ดังนั้นคำที่ผมใช้จึงไม่ใช่คนที่เลิศเลอ ตามคำจำกัดความที่ว่าไว้นี้ละครับ

ส่วนคำว่า “Audiophile” ของผมก็จากที่เคยได้ยินหลายคนว่าเป็นพวกที่เน้นการฟังที่พิถีพิถันมากสักหน่อย  กับเเผ่นที่อัดมาจากค่ายที่พิถีพิถันในการอัดมาเป็นอย่างดี

เเต่กาลเวลาทำให้คนเราเปลี่ยนไปตอนนี้ผมจึงไม่ฟังเพลง (เเละไม่เป็นคอ Audiophile) อีกเเล้วด้วย เเละก็คงไม่สามารถเป็นถึงระดับ  Music lover อีกด้วยเช่นกัน 

อีกหนึ่งอาทิตย์ผมจะเปลี่ยนข้อความ (“Music lover by day, Audiophile by night”) ที่มันไม่อับเดทความเป็นผมในปัจจุบันออกไปเป็น "for musical enjoyment than for the sound" ครับ
หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ
เริ่มหัวข้อโดย: papaone ที่ 17 เมษายน, 2009, 08:12:45 pm
:) เยี่ยมครับ O0 สงสัญเป็นนักดนตรี :headphone
ขอบคุณครับ อาชีพผมเป็นคนทำเสียง ครับ  :)
ดูข้อความที่คุณเขียนออกมาหลายๆ อย่างเเล้ว ทำให้ผมอยากจะพิสูจน์ผลงานที่คุณทำออกมาขายในตลาดครับ ขอทราบชื่อเเผ่นที่เป็นผลงานด้วยครับ


อ้างถึง
ประเด็น สำคัญที่นักเล่นเครื่องเสียงมักจะถูกนักดนตรีปรามาสเอาไว้อย่างเจ็บปวดก็คือ ผู้ที่เริ่มคิดว่าตนเองเป็น Audiophile นั้น ส่วนมากจะมีดีกรีของความเป็น Music Lover ได้เพียงขั้นที่ศูนย์ "0" แค่นั้นเอง..!

ซึ่ง หมายความว่าผู้ที่มุ่งฟังจับแต่ความแตกต่างของเสียงที่แปรเปลี่ยนไปตาม อุปกรณ์เครื่องเสียงที่ใช้งานเป็นหลักหรือที่เรียกกันว่า Hardware Fever นั้น...ยังไม่ถือว่ามีความเป็น Music Lover เลยแม้แต่น้อย...หรือแม้แต่การเป็น Audiophile ซึ่งจะหมายถึงนักฟังที่มีความสุขกับเสียงดนตรี...โดยเน้นในเรื่องคุณภาพของ เสียงด้วย...ถึงแม้อาจจะไม่ได้เจาะลึกลงไปในเนื้อหาหรือเรื่องราวทางดนตรี ศิลป์เท่าใดนัก
พอดีสิ่งที่คุยกันมีส่วนเกี่ยวข้องกับคำคมที่ผมใช้อยู่พอดี  “Music lover by day, Audiophile by night” อาจอาจใช้คำในความหมายที่ไม่ตรงจากที่บรรยายไว้ในที่นี้ เเละของอธิบายถึงสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อของข้อที่ใช้อยู่เก่านี้ คำว่า “Music lover” ผมเคยได้ยินคนที่พูดถ่อมตัวบ่อยๆ ว่า เป็นคนจำพวกที่ไม่เน้นเรื่องเสียงที่ของเครื่องที่ดีมากนัก เเต่ชอบฟังเพลงมากกว่า เเบบวิทยุทานซิสเตอร์ก็สุขได้เเล้ว ปานนั้น  ดังนั้นคำที่ผมใช้จึงไม่ใช่คนที่เลิศเลอ ตามคำจำกัดความที่ว่าไว้นี้ละครับ

ส่วนคำว่า “Audiophile” ของผมก็จากที่เคยได้ยินหลายคนว่าเป็นพวกที่เน้นการฟังที่พิถีพิถันมากสักหน่อย  กับเเผ่นที่อัดมาจากค่ายที่พิถีพิถันในการอัดมาเป็นอย่างดี

เเต่กาลเวลาทำให้คนเราเปลี่ยนไปตอนนี้ผมจึงไม่ฟังเพลง (เเละไม่เป็นคอ Audiophile) อีกเเล้วด้วย เเละก็คงไม่สามารถเป็นถึงระดับ  Music lover อีกด้วยเช่นกัน 

อีกหนึ่งอาทิตย์ผมจะเปลี่ยนข้อความ (“Music lover by day, Audiophile by night”) ที่มันไม่อับเดทความเป็นผมในปัจจุบันออกไปเป็น "for musical enjoyment than for the sound" ครับ


ชี้แจงแทนครับ

     คำถามแรก พี่เล็กแกทำเกี่ยวกับเครื่องเสียงรถน่ะครับ  จริงๆมีหลายประเด็นที่พี่เขาเขียนมาก็ถูกนะ (คือผมชอบ) บางอย่างก็ไม่ถูก (หมายถึงผมไม่เห็นด้วย)

    ส่วนข้อที่สอง  ในความเข้าใจของผม (ผมเป็นคน มักง่าย ) ออดิโอไฟล์ ประมาณว่า ต้องการความชัดเจน ความเสมือนจริง มั๊ง

ประมาณว่าเพลงนี้ นักร้องต้องเยื้องไปด้นซ้ายประมาณ 5 องศา มือกีตาร์อยู่ขวามือ 10 องศา ประมาณนั้น

ส่วนเสียงที่ออกมาต้องการเหมือนจริง แหะๆ พี่เล็กขอ นุญาต ขัดคอตรงนี้ แหละครับ ซึ่งจริงๆ พวกมิวสิคเลิฟเวอร์ มิได้ต้องการตรงนั้น พวกนี้เป็นเพียงแต่ รักที่จะฟัง

จริงๆแล้ว บางคน (รวมทั้งผมเองด้วย  :black_eye) อาจจะชอบเพลง ที่เราไม่เคยได้ยินชื่อ ไม่รู้กระทั่งว่าใครร้อง "แต่ชอบ" เพลงมันเพราะอ่ะ ผมว่าคำจำกัดความง่ายๆ

สำหรับกลุ่มนี้ ผมว่าเขาตรงๆตามชื่อนะ ฟังแล้วมันเพราะมันดี ไม่จำเป็นต้องเสาะ ข้อมูลว่ามันคือดนตรีแนวไหน ใครเล่น อะไรประมาณนั้นครับ โอยเหนื่อย.... :'( :'( :'(

    ส่วนกลุ่ม ออดิโอไฟล์ ผมว่าพวกนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้ลึกถึงความเป็นดนตรี การถ่ายทอดเสียงของ กีตาร์ แซกโซโฟน ประมาณว่า ถ้าถามมาว่า เพลงนี้ใช้กีตาร์อะไรเล่น

ต้องตอบได้ (ไม่อย่างนั้น จะฟังดนตรีเพื่อความถูกต้องไปทำไม) กลุ่มนี้จำเป็นที่จะต้องมีทักษะทางดนตรีอยู่บ้าง....มั๊ง...

    เออ...เออ... ผมตอบมั่ง เดี๋ยวกระทู้จะออกข้างทาง
    เสียงดี ผมว่า มีสองแบบ

    แบบแรก เสียงที่เราชอบ
 
    แบบสอง เสียงที่คนอื่นชอบ

    ทั้งสองแบบ อาจจะเหมือนกัน แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันก็ได้


    อื้อฮึ...คมแฮะ...
หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ และถ้าเราต้องการทราบว่าแอมป์ที่เราทำเองกับมือเสียงดีหรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: ไททิศ ที่ 18 เมษายน, 2009, 12:20:13 am
ต้องถามคำถามหนึ่งก่อนครับว่า คุณชอบฟังดนตรีสดๆมากกว่าดนตรีจากแผ่นหรือเปล่า?

ถ้าคุณชอบดนตรีสดมากกว่า คำว่าเสียงดีนั้นมีมาตรฐานเดียวกับคนที่ชอบฟังดนตรีสดทั้งโลก ก็คือใกล้เคียงกับการฟังสดมากที่สุด

ถ้าคุณไม่ชอบฟังดนตรีสด คำว่าเสียงดีก็แล้วแต่รสนิยมการฟังของแต่ละท่านครับ ..เช่นบางท่านชอบฟังดนตรีเบาๆเป็น background ไม่ชอบฟังดนตรีที่ต้องหันหน้าเข้าเวทีตลอดเวลา อย่างเช่นดนตรีที่เปิดในห้างสรรพสินค้า ก็ถือว่าเป็นรสนิยมฟังดนตรีแบบหนึ่ง ซึ่งไม่ได้ผิดอะไรครับ หรือบางท่านต้องการดนตรีเสียงดังเข้าว่าไม่ต้องการให้เหมือนจริง อย่างพวกเครืื่องเสียง PA คำว่าเสียงดีก็ต่างกันออกไปอีกครับ
หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ
เริ่มหัวข้อโดย: หาดใหญ่คลาสสิค ที่ 18 เมษายน, 2009, 12:59:31 am


    เออ...เออ... ผมตอบมั่ง เดี๋ยวกระทู้จะออกข้างทาง
    เสียงดี ผมว่า มีสองแบบ

    แบบแรก เสียงที่เราชอบ
 
    แบบสอง เสียงที่คนอื่นชอบ

    ทั้งสองแบบ อาจจะเหมือนกัน แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันก็ได้


    อื้อฮึ...คมแฮะ...

[/quote]



 O0.................เห็นด้วยอย่างแรง  Y] Y] Y]
หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ และถ้าเราต้องการทราบว่าแอมป์ที่เราทำเองกับมือเสียงดีหรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: ISOPHON ที่ 18 เมษายน, 2009, 01:22:31 pm
 สวัสดีครับ น้องเชน เสียงดีก็คือเสียงที่เราได้ยินตั้งแต่เช้าจนถึงเข้านอนเลยประกอบอยู่ในนั้นหมดแล้ว เราไม่ใส่ใจเองเพราะคิดว่ามันเป็นเสียงธรรมชาติไม่มีค่า เสียงไม่ดีก็คือเสียงที่ต่างจากเสียงจริงไปมาก ไม่คล้าย อย่าง เช่นเสียง คุณยอดรัก แต่เราหรือเพื่อนเราใครฟังก็บอก ไปเอาแผ่นใครมาเปิดเอาเพลงของยอดรักมาร้อง 
แอมป์ที่เราทำเองกับมือเสียงที่ได้ไปถึงขั้นใหน จะใช้มาตรฐานอะไรเป็นตัวตัดสินครับ  ส่วนถึงขั้นไหน ใช้ยี่ห้อมาเปรียบจะสับสนได้ ก็มองว่ามันประกอบด้วยวงจรวัสดุ จะตรงกว่า
ขอยก บทความของ
Audio Note Performance Level System มาช่วยอาจทำให้เข้าใจมากขึ้น
The assessment of quality is based on listening criteria applied to each component according to the “comparison by contrast” method, a philosophical, but also very practical methodology wholly developed and refined by myself, as described in the “Are Your on the Road to Audio Hell?” essay. Developed over the 20 years or so, since I first noticed that the better my equipment got (I was an audio retailer then) the more “different” each of my records sounded. Over the years my record collection has grown rapidly together with the understanding of how this evaluation system can be applied to grading the sound quality of different audio equipment. As my understanding of how the many and varied techniques, technologies, parts and materials affect sound quality has improved, it has allowed me to create a “league table” of sophistication and refinement which relates to the way a well executed version of a given technology sounds.

Take amplifiers for example, here the table is easy:

Level Minus Two: Class B push-pull transistor amplifiers, no Audio Note amplifiers in this Level

Level Minus One: Class A push-pull transistor amplifiers, currently no Audio Note amplifiers in the Level

Level Zero: Class AB push-pull pentode or tetrode amplifiers

Level One: Class A push-pull pentode or tetrode amplifiers

Level Two: Class A single-ended pentode or tetrode amplifiers & Class A push-pull directly heated no-feedback triode amplifiers

Level Three: Class A single-ended directly heated no feedback triode amplifiers

Level Four: Class A single-ended directly heated no feedback triode amplifiers, with high quality parts and materials such as hard wired circuits using silver wire, copper or silver foil signal capacitors, choke coupled power supplies with valve rectifiers for the HT, with a mixture (relative to overall cost) of Cerafine or Black Gate electrolytic capacitors, non-magnetic resistors made from tantalum film and output transformers with C-cores (instead of IE cores traditionally used due to cost) with very high nickel content.

Level Five: Class A single-ended directly heated no feedback triode amplifiers, with only the very best parts and materials available, fully silver wired high content nickel iron C-core output transformers, Black Gate capacitors throughout where available, silver foil signal capacitors, and both circuit and power supply hard wired with silver wire.

Level Six: As Level Five, single-ended directly heated no feedback triode amplifiers, but all-out versions with no expense spared on parts, silver wire even in the mains lead, mains transformer, chokes, likewise highest grade C-cores in mains transformers, valve rectification and regulation, no signal coupling capacitors but silver wired C-core inter-stage transformers between each gain stage, super thin lamination Super Radiometal 48 C-cored driver and output transformers.

Level Six amplification is used to drive the Audio Note™ silver wired record cutting system helping produce the finest analogue software ever produced and thus helping to move LP quality firmly back in the driving seat of sonic quality for years to come.

คนเราประกอบไปด้วยอารมณ์ อารมณ์ดีก็ฟังดีหมดทุกระดับ เสียงของความดี ไพเราะเสมอ 
หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ และถ้าเราต้องการทราบว่าแอมป์ที่เราทำเองกับมือเสียงดีหรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: pisit ที่ 18 เมษายน, 2009, 03:09:51 pm
เสียงดีมีกี่แบบ เสียงดีประกอบด้วยอะไรบ้าง   เสียงไม่ดีเป็นอย่างไรครับ

ออดิโอฟาย กับ มิวสิคเลิฟเวอร์  ต่างกันอย่างไร

เพิ่มเติม  

และถ้าเราต้องการทราบว่าแอมป์ที่เราทำเองกับมือเสียงที่ได้ไปถึงขั้นใหน จะใช้มาตรฐานอะไรเป็นตัวตัดสินครับ (แอมป์แต่ละยี่ห้อใช้มาตรฐานอะไรครับ)

เสียงดีแบบแอมป์มีชื่อของไทย กับเสียงดีแบบแอมป์ยี่ห้อแครี่ (แค่ยกตัวอย่างยี่ห้อนะครับ) เหมือนกันใหม   





ขอตอบเฉพาะเสียงดีละกันครับ สำหรับผม เครื่องเสียงที่เสียงดีมีหลายแบบครับ   Y]

 1. แบบที่ผมชอบ
 2. เครื่องเสียงแบบที่ผมชอบมากอีกแบบ
 3. แบบที่ผมชอบมากอีกแบบนึงที่ไม่ใช่แบบที่่  1, 2
 4. แบบที่ผมชอบมากอีกแบบนึงที่ไม่ใช่แบบที่่  1,2,3
 5. แบบที่ผมชอบแบบอื่น ๆ ที่ไม่ใช่แบบที่ 1 2 3 หรือ 4 ประมาณว่าบังเอิญเดินไปเจอที่คลองถมฟังแล้วชอบ
     แต่ไม่ทันเพราะมีคนซื้อตัดหน้าไปก่อน เลยอด   ;D

สำหรับผมเสียงเป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ ยิ่งพยายามอธิบายยิ่งเข้าป่า ต่างคนต่างหูต่างฟัง ต่างเวลา ต่างบรรยากาศ
การกำหนดคำเพื่ออธิบายเพื่อให้เข้าใจเป็นสิ่งเดียวกัน มาตรฐานแบบเดียวกัน แบบนี้ฝรั่งชอบ
การเอามาตรฐานมาจับบางเรื่องดี บางเรื่องก็ฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น

ที่จริงก็มีวิชาการวิศวกรรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเสียง เรียนกันเป็นเรื่องเป็นราว
แต่ไม่ได้หมายความว่าเครื่องเสียงที่ตรงตามนิยามทั้ง audiophile หรือ  Music Lover(ต้องมี s หรือเปล่าไม่รู้  ;D  )
ผมจะชอบเสียงของมัน

เป็นความจริงที่ผมมีโอกาสฟังเครื่องเสียงที่แพง ๆ หลากหลายยี่ห้อตามงานแสดงเครื่องเสียงเท่านั้น
หรือฟังจากระบบที่ลงทุนไปเยอะตามบ้านเพื่อนฝูงที่เคารพ ซึ่งก็ไม่มากนัก

สำหรับผมแล้วอาจจะเป็นประเภทคนฟังเพลง + ชอบทำ + ชอบดูอุปกรณ์เวลามันทำงานโดยเฉพาะแสงไฟของหลอด
มีความสุขจากการฟังเพลงที่ออกมาจากเครื่องเหล่านี้

บางทีก็มีความสุขกับการขัดคอคนบางคน ที่ชอบคิดว่าหลอดมูลลาด เทเลเสียงดีนัก เสียงดีหนา
แล้วคุณเคยฟัง ฮิตาชิ เอนอีซี อย่างตั้งใจและคาดหวังเหมือนหลอดแพง ๆ ที่คุณลงทุนซื้อมาหรือเปล่า
อันนี้บางคนนะครับ ที่ผมขัดคอได้  ท่านอื่น ๆ ผมไม่เกี่ยว   Y]


ผมก็ได้ความสุข อิ่มใจจากสิ่งเหล่านี้ครบสมบูรณ์แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องไปเปรียบเทียบกับเครื่องใหน
หรืออิงกับทฤษฎีใด ๆ แล้วครับผม

 :) :)












หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ และถ้าเราต้องการทราบว่าแอมป์ที่เราทำเองกับมือเสียงดีหรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: ลำน้ำ ที่ 18 เมษายน, 2009, 04:33:23 pm
สวัสดีครับ น้องเชน เสียงดีก็คือเสียงที่เราได้ยินตั้งแต่เช้าจนถึงเข้านอนเลยประกอบอยู่ในนั้นหมดแล้ว เราไม่ใส่ใจเองเพราะคิดว่ามันเป็นเสียงธรรมชาติไม่มีค่า เสียงไม่ดีก็คือเสียงที่ต่างจากเสียงจริงไปมาก ไม่คล้าย อย่าง เช่นเสียง คุณยอดรัก แต่เราหรือเพื่อนเราใครฟังก็บอก ไปเอาแผ่นใครมาเปิดเอาเพลงของยอดรักมาร้อง 
แอมป์ที่เราทำเองกับมือเสียงที่ได้ไปถึงขั้นใหน จะใช้มาตรฐานอะไรเป็นตัวตัดสินครับ  ส่วนถึงขั้นไหน ใช้ยี่ห้อมาเปรียบจะสับสนได้ ก็มองว่ามันประกอบด้วยวงจรวัสดุ จะตรงกว่า
ขอยก บทความของ
Audio Note Performance Level System มาช่วยอาจทำให้เข้าใจมากขึ้น
The assessment of quality is based on listening criteria applied to each component according to the “comparison by contrast” method, a philosophical, but also very practical methodology wholly developed and refined by myself, as described in the “Are Your on the Road to Audio Hell?” essay. Developed over the 20 years or so, since I first noticed that the better my equipment got (I was an audio retailer then) the more “different” each of my records sounded. Over the years my record collection has grown rapidly together with the understanding of how this evaluation system can be applied to grading the sound quality of different audio equipment. As my understanding of how the many and varied techniques, technologies, parts and materials affect sound quality has improved, it has allowed me to create a “league table” of sophistication and refinement which relates to the way a well executed version of a given technology sounds.

Take amplifiers for example, here the table is easy:

Level Minus Two: Class B push-pull transistor amplifiers, no Audio Note amplifiers in this Level

Level Minus One: Class A push-pull transistor amplifiers, currently no Audio Note amplifiers in the Level

Level Zero: Class AB push-pull pentode or tetrode amplifiers

Level One: Class A push-pull pentode or tetrode amplifiers

Level Two: Class A single-ended pentode or tetrode amplifiers & Class A push-pull directly heated no-feedback triode amplifiers

Level Three: Class A single-ended directly heated no feedback triode amplifiers

Level Four: Class A single-ended directly heated no feedback triode amplifiers, with high quality parts and materials such as hard wired circuits using silver wire, copper or silver foil signal capacitors, choke coupled power supplies with valve rectifiers for the HT, with a mixture (relative to overall cost) of Cerafine or Black Gate electrolytic capacitors, non-magnetic resistors made from tantalum film and output transformers with C-cores (instead of IE cores traditionally used due to cost) with very high nickel content.

Level Five: Class A single-ended directly heated no feedback triode amplifiers, with only the very best parts and materials available, fully silver wired high content nickel iron C-core output transformers, Black Gate capacitors throughout where available, silver foil signal capacitors, and both circuit and power supply hard wired with silver wire.

Level Six: As Level Five, single-ended directly heated no feedback triode amplifiers, but all-out versions with no expense spared on parts, silver wire even in the mains lead, mains transformer, chokes, likewise highest grade C-cores in mains transformers, valve rectification and regulation, no signal coupling capacitors but silver wired C-core inter-stage transformers between each gain stage, super thin lamination Super Radiometal 48 C-cored driver and output transformers.

Level Six amplification is used to drive the Audio Note™ silver wired record cutting system helping produce the finest analogue software ever produced and thus helping to move LP quality firmly back in the driving seat of sonic quality for years to come.

คนเราประกอบไปด้วยอารมณ์ อารมณ์ดีก็ฟังดีหมดทุกระดับ เสียงของความดี ไพเราะเสมอ   

มาชอบวลีสุดท้ายนี้แหละครับ นอกนั้นอ่านม่ายออก :cry2 :cry2
หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ และถ้าเราต้องการทราบว่าแอมป์ที่เราทำเองกับมือเสียงดีหรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: papaone ที่ 19 เมษายน, 2009, 02:17:26 am
เสียงดีมีกี่แบบ เสียงดีประกอบด้วยอะไรบ้าง   เสียงไม่ดีเป็นอย่างไรครับ

ออดิโอฟาย กับ มิวสิคเลิฟเวอร์  ต่างกันอย่างไร

เพิ่มเติม  

และถ้าเราต้องการทราบว่าแอมป์ที่เราทำเองกับมือเสียงที่ได้ไปถึงขั้นใหน จะใช้มาตรฐานอะไรเป็นตัวตัดสินครับ (แอมป์แต่ละยี่ห้อใช้มาตรฐานอะไรครับ)

เสียงดีแบบแอมป์มีชื่อของไทย กับเสียงดีแบบแอมป์ยี่ห้อแครี่ (แค่ยกตัวอย่างยี่ห้อนะครับ) เหมือนกันใหม   





ขอตอบเฉพาะเสียงดีละกันครับ สำหรับผม เครื่องเสียงที่เสียงดีมีหลายแบบครับ   Y]

 1. แบบที่ผมชอบ
 2. เครื่องเสียงแบบที่ผมชอบมากอีกแบบ
 3. แบบที่ผมชอบมากอีกแบบนึงที่ไม่ใช่แบบที่่  1, 2
 4. แบบที่ผมชอบมากอีกแบบนึงที่ไม่ใช่แบบที่่  1,2,3
 5. แบบที่ผมชอบแบบอื่น ๆ ที่ไม่ใช่แบบที่ 1 2 3 หรือ 4 ประมาณว่าบังเอิญเดินไปเจอที่คลองถมฟังแล้วชอบ
     แต่ไม่ทันเพราะมีคนซื้อตัดหน้าไปก่อน เลยอด   ;D

สำหรับผมเสียงเป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ ยิ่งพยายามอธิบายยิ่งเข้าป่า ต่างคนต่างหูต่างฟัง ต่างเวลา ต่างบรรยากาศ
การกำหนดคำเพื่ออธิบายเพื่อให้เข้าใจเป็นสิ่งเดียวกัน มาตรฐานแบบเดียวกัน แบบนี้ฝรั่งชอบ
การเอามาตรฐานมาจับบางเรื่องดี บางเรื่องก็ฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น

ที่จริงก็มีวิชาการวิศวกรรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเสียง เรียนกันเป็นเรื่องเป็นราว
แต่ไม่ได้หมายความว่าเครื่องเสียงที่ตรงตามนิยามทั้ง audiophile หรือ  Music Lover(ต้องมี s หรือเปล่าไม่รู้  ;D  )
ผมจะชอบเสียงของมัน

เป็นความจริงที่ผมมีโอกาสฟังเครื่องเสียงที่แพง ๆ หลากหลายยี่ห้อตามงานแสดงเครื่องเสียงเท่านั้น
หรือฟังจากระบบที่ลงทุนไปเยอะตามบ้านเพื่อนฝูงที่เคารพ ซึ่งก็ไม่มากนัก

สำหรับผมแล้วอาจจะเป็นประเภทคนฟังเพลง + ชอบทำ + ชอบดูอุปกรณ์เวลามันทำงานโดยเฉพาะแสงไฟของหลอด
มีความสุขจากการฟังเพลงที่ออกมาจากเครื่องเหล่านี้

บางทีก็มีความสุขกับการขัดคอคนบางคน ที่ชอบคิดว่าหลอดมูลลาด เทเลเสียงดีนัก เสียงดีหนา
แล้วคุณเคยฟัง ฮิตาชิ เอนอีซี อย่างตั้งใจและคาดหวังเหมือนหลอดแพง ๆ ที่คุณลงทุนซื้อมาหรือเปล่า
อันนี้บางคนนะครับ ที่ผมขัดคอได้  ท่านอื่น ๆ ผมไม่เกี่ยว   Y]


ผมก็ได้ความสุข อิ่มใจจากสิ่งเหล่านี้ครบสมบูรณ์แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องไปเปรียบเทียบกับเครื่องใหน
หรืออิงกับทฤษฎีใด ๆ แล้วครับผม

 :) :)










ชอบจัง  บางครั้งนึกว่าเราหลงเพ้อไปคนเดียว จริงๆนะ น่าจะประมาณนี้เลย หึ หึ หึ


หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ และถ้าเราต้องการทราบว่าแอมป์ที่เราทำเองกับมือเสียงดีหรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: SOUNDTUBE ที่ 19 เมษายน, 2009, 05:41:53 am
เสียงดี กับ เสียงเพราะ เป็นคนละอย่างกันนะครับ เสียงเพราะอาจจะไม่ดีทุกด้าน แต่เราก็ชอบ

ในทัศนคติของผม ผมว่าทำแอมป์ให้เสียงดีจริงๆเป็นเรื่องยาก ต้องใช้ความพยายามมาก ทุนมาก เป็นแนวAUDIOPHILE ออกแนวเคร่งครัดมาก จริงจังมาก ผมว่าอาจจะเป็นทุกข์มากก็ไ้ด้ ต้องเสียตังมากเพื่อแสวงหาความลงตัวในทุกๆด้าน

ผมทำได้แค่เสียงเพราะ และอาจเพราะเฉพาะเราคนเดียวก็ได้ เพราะเราเป็น DIY ใช้ความสามารถเฉพาะตัว ความชอบเฉพาะตัว ชอบคิดค้น ชอบประหยัด ไม่เคร่งครัดซีเรียสมากนัก ไม่ต้องให้ตรงเป๊ะทุกอย่าง บางทียังชอบฟังแบบโมโนก็ยังมีเลย ก็มีความสุขได้  เมื่อเบื่อแล้วก็แสวงหากันไปเรื่อยๆละครับ :victory d_d
 
หัวข้อ: Re: เสียงดีมีกี่แบบครับ และถ้าเราต้องการทราบว่าแอมป์ที่เราทำเองกับมือเสียงดีหรือ
เริ่มหัวข้อโดย: cool ที่ 19 เมษายน, 2009, 04:12:51 pm
 :secret เสียงดี...
 แว่วๆแล้วขอรับ...ทำบ้านรก / ไม่ปัดกวาด /อยู่ได้ไง / เดี๋ยวชั่งกิโล...:cry2 :black_eye