HTG2.club
Home Theater Guide webboard => มุม Thai DIY Audio => ข้อความที่เริ่มโดย: NAFU ที่ 15 ธันวาคม, 2009, 12:59:27 am
-
ถ้าจะเอาหลอด triode หรือ pentode มาขนานกัน มีวิธีคำนวณหาค่า RK และ RP ยังไงครับ
-
การขนาน R จะลดลงครึ่งนึง Rรวม=(R1*R2)/(R1+R2) หรือมีค่าน้อยกว่า R ที่น้อยที่สุดในวงจร ในการใช้งาน กำลังวัตต์ต้องเพิ่มเป็น 2 เท่า
-
ของผมใช้คิดแบบปกติหลอดเดียวเดี่ยวก่อนคับ พอได้จุดทำงานที่ใดแล้วก็กำหนด
B+ เท่าเดิม
Vplate เท่าเดิม
Vkathod เท่าเดิม
Rp หาร 2
Rk หาร 2
Ck คูณ 2 [อันนี้ส่วนตัวไม่ซีเรียสกับค่าคับ เน้นc คุณภาพดีที่ค้นเจอมากกว่า 2f 2f)
ที่เหลือตามพี่เอกคับ ;D
-
ผมก็คิดเหมือน น้า jp74 ครับ
คำถามเพิ่มอีกแล้ว ขนานหลอด แล้ว gain จะสูงขึ้นหรือเปล่า
ของผมใช้คิดแบบปกติหลอดเดียวเดี่ยวก่อนคับ พอได้จุดทำงานที่ใดแล้วก็กำหนด
B+ เท่าเดิม
Vplate เท่าเดิม
Vkathod เท่าเดิม
Rp หาร 2
Rk หาร 2
Ck คูณ 2 [อันนี้ส่วนตัวไม่ซีเรียสกับค่าคับ เน้นc คุณภาพดีที่ค้นเจอมากกว่า 2f 2f)
ที่เหลือตามพี่เอกคับ ;D
-
ผมก็คิดเหมือน น้า jp74 ครับ
คำถามเพิ่มอีกแล้ว ขนานหลอด แล้ว gain จะสูงขึ้นหรือเปล่า
ของผมใช้คิดแบบปกติหลอดเดียวเดี่ยวก่อนคับ พอได้จุดทำงานที่ใดแล้วก็กำหนด
B+ เท่าเดิม
Vplate เท่าเดิม
Vkathod เท่าเดิม
Rp หาร 2
Rk หาร 2
Ck คูณ 2 [อันนี้ส่วนตัวไม่ซีเรียสกับค่าคับ เน้นc คุณภาพดีที่ค้นเจอมากกว่า 2f 2f)
ที่เหลือตามพี่เอกคับ ;D
;D ผมชอบขนานหลอดคับ เลยจำ ๆ ไว้เยอะเลย http://www.htg2.net/index.php?topic=44610.msg500289#msg500289 (http://www.htg2.net/index.php?topic=44610.msg500289#msg500289)
การขนานหลอดไม่ได้ทำให้อัตราขยายเพิ่มขึ้นนะครับ สิ่งที่เกิดขึ้คือ Rp ลดลงครึ่งหนึ่ง ซึ่งก็สมเหตุสมผล เพราะว่าถ้ามองหลอดเหมือนกับ R ตัวหนึ่ง ซึ่งมีค่าเท่ากับ Rp ของหลอด พอเอาหลอดมาขนานกัน จะทำให้ค่า R รวมลดลงครึ่งหนึ่ง
วิธีพิสูจน์อีกทางหนึ่งคือลองเอา plate curve มาบวกกันครับ อย่างรูป 6DJ8 นี้ก็ได้ครับ จะพบกว่า grid line ชันขึ้นเป็นเท่าตัว ซึงหมายถึง Rp ลดลงครึ่งหนึ่ง สิ่งที่เพิ่มขึ้นคือ transconductance และจากสูตรที่ว่า Gain หรือ mu = Gm x Rp ก็จะพบว่าผลลัพธ์ยังได้เท่าเดิมอยู่
แต่การที่ Rp ลดลง ถ้าเราใช้ RL เท่าเดิม จะทำให้ gain ของวงจรเพิ่มขึ้นได้
สมมติว่า Rp = 1K และใช้ RL = 5K , u = 10
สูตร Gain = uRL / (Rp + RL)
ถ้า Rp = 1K จะได้ gain เท่ากับ 8.3
ถ้า Rp ขนานกัน คือ 0.5K จะได้ gain เท่ากับ 9.1
แต่ถ้า RL ก็ลดลงด้วย จะได้ gain เท่ากับกรณีแรกคือ 8.3 ครับ
-
ขอบคุณเพื่อนๆ ทุกท่านมากครับ ได้ความรู้เพิ่มอีกแล้ว
-
ของผมใช้คิดแบบปกติหลอดเดียวเดี่ยวก่อนคับ พอได้จุดทำงานที่ใดแล้วก็กำหนด
B+ เท่าเดิม
Vplate เท่าเดิม
Vkathod เท่าเดิม
Rp หาร 2
Rk หาร 2
Ck คูณ 2 [อันนี้ส่วนตัวไม่ซีเรียสกับค่าคับ เน้นc คุณภาพดีที่ค้นเจอมากกว่า 2f 2f)
ที่เหลือตามพี่เอกคับ ;D
พี่ครับ แล้ว Rp Rk ที่เราหาร2 นี่คือค่าเมื่อเรามองภาพรวมของ 2 หลอดรวมกันเป็นหลอดเดียวแล้วใช่ไหมครับ
แล้วเวลาเราลาก Load Line เราจะลากของหลอดเดียว<มองภาพรวมเป็นหลอดเดียว>ก่อนหรือว่ายังไงครับ เพราะผมคิดว่าถ้าเราลากของหลอดเดียวก่อน พอเราได้ค่าตามพวกนั้นแล้ว ถ้าเรามาแบ่งใส่เป็น 2 หลอดขนานกัน ค่า RpและRk ที่เราจะใส่ให้ แต่ละหลอดน่าจะ คูณ 2 มากกว่านะครับ เมื่อเรามองกลับมาเป็นหลอดเดียวจะได้มีค่า R ตามที่เราลากเอาไว้
ไม่รู้ผมเข้าใจถูกต้องไหมครับ กำลังงงเลยครับพี่
ขอบคุณครับ :showoff :showoff :showoff
-
พี่ครับ แล้ว Rp Rk ที่ เราหาร2 นี่คือค่า เมื่อ เรามองภาพรวมของ 2 หลอดรวมกัน เป็นหลอด เดียวแล้ว ใช่ไหมครับ... ใช่ครับ
วิธีการคิดผมก็คิด เหมือนน้าพงษ์ ( JP74) คือคิด แค่ซีกเดียว ทีนี้เราเอาสองข้างมาขนานกัน (ขาเหมือนกันต่อถึงกัน) ฉะ นั้น ค่า R ควรลดลงครึ่งนึง ตามที่พี่ karin อธิบายมาครับ
สมมติ เราใช้ RP 47k I=3mA (ขนานหลอด) กระแสที่ไหลผ่านหลอดก็ลดลงครึ่งหนึ่ง คือ ซีกละ 1.5mA มันไม่ตรงตามที่คำนวณตั้งแต่ตอนแรก ฉะนั้นหากเราต้องการให้กระแสไหลผ่านหลอด แต่ละซีก 3mA ต้องลด R ลงครึ่งหนึ่ง ถึงจะได้กระแสตามที่คิดไว้ แต่ถ้าเพิ่ม R เป็น 2 เท่า กระแสที่ไหลผ่านก็จะน้อยไปอีก
ให้ท่านอื่นเสริมต่อ....
-
สมมติ เราใช้ RP 47k I=3mA (ขนานหลอด) กระแสที่ไหลผ่านหลอดก็ลดลงครึ่งหนึ่ง คือ ซีกละ 1.5mA มันไม่ตรงตามที่คำนวณตั้งแต่ตอนแรก ฉะนั้นหากเราต้องการให้กระแสไหลผ่านหลอด แต่ละซีก 3mA ต้องลด R ลงครึ่งหนึ่ง ถึงจะได้กระแสตามที่คิดไว้ แต่ถ้าเพิ่ม R เป็น 2 เท่า กระแสที่ไหลผ่านก็จะน้อยไปอีก
[/quote]
ถ้าทำแบบที่พี่เอกแนะนำแสดงว่าพี่ต้องการกระแสรวมจากการขนานหลอด = 6 mA ใช่ไหมครับ
คือผมยังงงๆจุดประสงค์ของการขนานหลอดนะครับพี่
ขอบคุณครับ
-
สมมติ เราใช้ RP 47k I=3mA (ขนานหลอด) กระแสที่ไหลผ่านหลอดก็ลดลงครึ่งหนึ่ง คือ ซีกละ 1.5mA มันไม่ตรงตามที่คำนวณตั้งแต่ตอนแรก ฉะนั้นหากเราต้องการให้กระแสไหลผ่านหลอด แต่ละซีก 3mA ต้องลด R ลงครึ่งหนึ่ง ถึงจะได้กระแสตามที่คิดไว้ แต่ถ้าเพิ่ม R เป็น 2 เท่า กระแสที่ไหลผ่านก็จะน้อยไปอีก
ถ้าทำแบบที่พี่เอกแนะนำแสดงว่าพี่ต้องการกระแสรวมจากการขนานหลอด = 6 mA ใช่ไหมครับ
คือผมยังงงๆจุดประสงค์ของการขนานหลอดนะครับพี่
ขอบคุณครับ
[/quote]
;D ;D จุดประสงค์หลักของผมเลยนะคับ ขนานหลอด เพราะต้องการให้มีหลอดเยอะขึ้นคับผม ;D 2f ;D 2f จะได้วางตำแหน่งหลอดแบบสมมาตร ซ้ายขวา ;D ;D
ที่ได้ตามมา[เป็นส่วนวิชาการ ไม่ค่อยเข้าใจ แต่รู้ว่ามีอ่ะคับ ;D] คือ อิมแพนแดนลดลง และ กระแสมากขึ้นอ่ะคับ :black_eye :black_eye
-
ถามต่ออีกนิด แล้วถ้า ขนานสามหลอดล่ะ คิดกันยังไงอ่ะ ;D
-
555+ จริงด้วยพี่ ถ้า เป็นพวกหลอด double triode ใส่ไปหลอดเดียวมันดูไม่งาม 555
ว่าแต่ Output Impedance ของการขนานหลอด คือเอา Output Impedance ของแต่ละหลอดมาขนานกันใช่ไหมครับ
ขอบคุณครับ
-
ขออ้างอีกซักทีนะคับ กระทู้ "ออกแบบ single stage triode ด้วยตนเอง " ของอาจารย์ O0 O0 O0 O0 O0 สุด ๆ ไปเลย
ส่วน output impedance ของวงจรที่เราออกแบบนี้หาได้อย่างไร
ต้องกลับไปดูรูปอีกทีนึงครับ
ถ้าค่อยๆดูตรงจุดที่มีลูกศรออกมา นั่นคือ output ของเรา
และเราถือว่า voltage source ที่ขยายสัญญาณนั้นมี output impedance เป็น 0
ส่วน Rp คือความต้านทานภายในหลอดที่เราหาเป็นตั้งแต่ตอนเริ่มต้นแล้ว
ดังนั้น output impedance ก็คือ Rp ขนานกับ RL นั่นเอง
ยกตัวอย่างเช่น 12AU7 มี Rp ประมาณ 7K และเราออกแบบให้วงจรเราใช้ RL ประมาณ 30K
ดังนั้น output impedance ของวงจรเท่ากับ 7K//30K ซึ่งการขนานความต้านทานสามารถหาได้จาก
(R1 x R2) / (R1 + R2)
แทนค่าเข้าไป จะได้ 5.7K
แล้ว input impedance หาได้อย่างไร?
ตอนนี้ ผมยังไม่พูดถึงเรื่องค่า miller effect นะครับ
ถ้าดูในรูปวงจร(ไม่ใช่ model นะครับ) เนื่องจาก grid ของหลอดไม่มีกระแสไหล ดังนั้นการที่ไม่มีกระแสไหล หมายความว่า
impedance ระหว่าง grid กับ cathode มีค่าสูงมากจนเกือบเป็นค่าอนันต์ (คลายๆกับวงจรขาด)
เมื่อเรามี Rgrid ต่อขนานระหว่าง grid กับ cathode และใช้สูตรเดิมด้านบน จะเห็นว่า R1 มีค่ามากกว่า R2 มากๆ
จนกระทั้งทำให้ R รวมเข้าใกล้ R2
ดังนั้น ตอนนี้ เราจะอนุมานให้ input impedance ของวงจรหลอดเท่ากับ Rgrid (ในรูปคือ Rg)
ถ้าขนานแล้ว ====> [Rp/2] // [RL/2] ประมาณนี้อ่ะคับ