HTG2.club
Home Theater Guide webboard => มุม โฮมเธียเตอร์ (HT) => ข้อความที่เริ่มโดย: planetgreen ที่ 02 กุมภาพันธ์, 2010, 03:27:29 pm
-
GT200 VS.สายข้าวหลาม, ฟิวส์พิเศษ, HDMI cable, แท่นรองสายลำโพงวิเศษ, อุปกรณ์ balance ลำโพง
สายไฟ A/C เส้นเขื่อง และอื่นๆอีกมากมาย
ทุกอุปกรณ์เหล่านี้ ผู้ขายมักจะเอาเรื่อง Physics Theory, Scientific Theory มาสนับสนุนว่าสินค้าของตน
ดีอย่างโน้น ของตนดีอย่างนี้ แล้วก็สร้างมาด้วยกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์อย่างโน้นอย่างนี้สามารถอธิบายได้
โดยเฉพาะสายเทพเจ้า...ใช้หลายเหลุผลมาอธิบาย
แต่เมื่อต้องการทำ doubled blind test กลับไม่ค่อยอยากให้ทำ
เออออ....โดยหลอกหรือเปล่าเนี่ยเรา
เป็นไปได้อย่างไร สายลำโพง monster cable ของผมโดนหนูกัดแหว่งเข้าไปเกินครึ่งเนื้อสาย
ผมก็ฟังมาตั้งนานไม่รู้ว่าเป็นอย่างนั้นจนกระทั่ง นึกขยันปัดกวาดเช็ดถูห้อง
ห่าห่าห่า โดน GT200 (stereophile version) หลอกรับประทานขอรับ
อยากจะสอบถามจริงๆเลยว่าเอา Fuse เทพเจ้า สายไฟเส้นเขื่องมาทำ a/b doubled blind test จะผลออกมาอย่างไร
-
หลักการคิดของ GT200 กับ Accessory เครื่องเสียงนี่มันสวนทางกันเลยนะครับ
Accessory อ้างหลักวิทยาศาสตร์ในเรื่องตัวนำ ฉนวน การป้องกันสัญญาณรบกวน
ต่าง ๆ มารองรับความรู้สึก ทักษะสัมผัสต่าง ๆ ของร่างกาย
GT200 กลับใช้ ความรู้สึก ทักษะสัมผัสต่าง ๆ ของร่างกาย มาค้นหาวัตถุต่าง ๆ โดย
อ้างถึงหลักวิทยาศาสตร์
-
ผู้ที่สนใจของเล่นพวกนี้
ส่วนใหญ่มักเป็นนักทดลองและต้องการปรับปรุงให้ system ตัวเองดีขึ้น
ผมก็ลองมาหมดแล้วทั้งสายไฟ ฟิวส์ HDMI cable Coax cable อุปกรณ์ที่ใช้ shield และพวก damping
ก็เห็นผลว่ามีผลทำให้เสียงเปลี่ยนไปจริง
แต่ถ้ามีใครมาท้า blind test ก็คงไม่สนใจเช่นกัน
เพราะเราซื้อมาใช้... ให้ดูหนังฟังเพลงดีขึ้นๆตามอัตภาพ
ไม่ได้เอามาแข่งหูทอง ตาทิพย์ครับ :giveup
-
ผู้ที่สนใจของเล่นพวกนี้
ส่วนใหญ่มักเป็นนักทดลองและต้องการปรับปรุงให้ system ตัวเองดีขึ้น
ผมก็ลองมาหมดแล้วทั้งสายไฟ ฟิวส์ HDMI cable Coax cable อุปกรณ์ที่ใช้ shield และพวก damping
ก็เห็นผลว่ามีผลทำให้เสียงเปลี่ยนไปจริง
แต่ถ้ามีใครมาท้า blind test ก็คงไม่สนใจเช่นกัน
เพราะเราซื้อมาใช้... ให้ดูหนังฟังเพลงดีขึ้นๆตามอัตภาพ
ไม่ได้เอามาแข่งหูทอง ตาทิพย์ครับ :giveup
x80520 ครับ
-
ไหน ๆ แล้วก็คุยกันสักนิดโหน่ยละกัน :)
ผมว่า พวก Theory ทั้งหลายนี่ มันก็ใช่ว่าจะถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์เสมอไป แต่เพียงได้รับการยอมรับในช่วงนั้น ๆ
เหมือนทฤษฎีโลกแบนที่โดนหักล้างในภายหลัง
แต่ถ้ามี Theory ใหม่มาหักล้างได้ ของเก่าก็ตกไป
มันมีพัฒนาการมาตลอด ไม่อย่างนั้น ทุกวันนี้คงไม่มีเครื่องบินเจ็ทให้เห็น
ในโลกนี้มีอะไรอีกมากมายที่เรายังไม่รู้ไม่เห็น
อย่างเรื่องผีก็หาทางพิสูจน์ก้นมาตั้งกี่ยุคกี่สมัย ทุกวันนี้ก็ยังมีเรื่องราวผี ๆ ให้ได้ยิน
ใกล้ตัวสุดก็ตับไตไส้พุงเรา เรารู้ว่ามี แต่มีสักกี่คนเคยเห็นไส้ในตัวเองจริง ๆ
พวกเครื่องเสียงและอุปกรณ์ก็ไม่ต่างกัน มันเกิดมาด้วยอาศัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
ว่าไปก็ไม่ต่างกันกับสินค้าอื่น ๆ ที่ของแปลกใหม่มักราคาสูง
ของที่ราคาแพงด้วยต้นทุนวัสดุก็มี
แพงด้วย know how ก็มี
แพงด้วยกลไกตลาดก็มี
แพงด้วย...ถูกหลอกเพราะโฆษณาเกินจริง...ก็มี K]
ของทั้งหลายในตลาด ผลิตของแปลกใหม่ออกมาเพื่อหวังผลทางการตลาดและผลกำไร (ทฤษฎีการตลาด)
หลายอย่างก็สร้างความเปลี่ยนแปลงไม่มากเมื่อเทียบกับราคาที่เพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกันก็ไม่ได้มีใครบังคับให้เราซื้อ มีแต่กิเลสตัวเองนี่แหละที่ลากให้มือเราหยิบเงินจ่ายออกไป (จิตวิทยาเชิงพุทธ)
หากรู้สึกพอแล้วกับสิ่งที่มีอยู่ มันก็ไม่อยากซื้อ
ถ้าอยากได้อยากซื้อ ซื้อแล้วไม่เดือดร้อนตัวไม่เดือดร้อนใครก็ซื้อ (ทฤษฎีพอเพียง)
อยากน้อย ทุกข์น้อย
รู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลง ใจไม่ดิ้นรนด้วยความอยาก ก็ไม่ทุกข์ (พุทธศาสนา)
แต่ผมยังมีทุกข์อยู่ อยากเปลี่ยน แต่งบจำกัด เลย โมฯ เองซะเลย
ว่าแต่...อุปกรณ์โมฯนี่ แพงเกินจริงหรือเปล่านะ??? ;D
แหม่...ถ้าเงินถึงคงบินไปดูแสดงสดที่เวียนนาแล้วนิ
หวังว่าคงสดจริง ไม่ลิปซิงค์ 2f
-
ไหน ๆ แล้วก็คุยกันสักนิดโหน่ยละกัน :)
ผมว่า พวก Theory ทั้งหลายนี่ มันก็ใช่ว่าจะถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์เสมอไป แต่เพียงได้รับการยอมรับในช่วงนั้น ๆ
เหมือนทฤษฎีโลกแบนที่โดนหักล้างในภายหลัง
แต่ถ้ามี Theory ใหม่มาหักล้างได้ ของเก่าก็ตกไป
มันมีพัฒนาการมาตลอด ไม่อย่างนั้น ทุกวันนี้คงไม่มีเครื่องบินเจ็ทให้เห็น
ในโลกนี้มีอะไรอีกมากมายที่เรายังไม่รู้ไม่เห็น
อย่างเรื่องผีก็หาทางพิสูจน์ก้นมาตั้งกี่ยุคกี่สมัย ทุกวันนี้ก็ยังมีเรื่องราวผี ๆ ให้ได้ยิน
ใกล้ตัวสุดก็ตับไตไส้พุงเรา เรารู้ว่ามี แต่มีสักกี่คนเคยเห็นไส้ในตัวเองจริง ๆ
พวกเครื่องเสียงและอุปกรณ์ก็ไม่ต่างกัน มันเกิดมาด้วยอาศัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
ว่าไปก็ไม่ต่างกันกับสินค้าอื่น ๆ ที่ของแปลกใหม่มักราคาสูง
ของที่ราคาแพงด้วยต้นทุนวัสดุก็มี
แพงด้วย know how ก็มี
แพงด้วยกลไกตลาดก็มี
แพงด้วย...ถูกหลอกเพราะโฆษณาเกินจริง...ก็มี K]
ของทั้งหลายในตลาด ผลิตของแปลกใหม่ออกมาเพื่อหวังผลทางการตลาดและผลกำไร (ทฤษฎีการตลาด)
หลายอย่างก็สร้างความเปลี่ยนแปลงไม่มากเมื่อเทียบกับราคาที่เพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกันก็ไม่ได้มีใครบังคับให้เราซื้อ มีแต่กิเลสตัวเองนี่แหละที่ลากให้มือเราหยิบเงินจ่ายออกไป (จิตวิทยาเชิงพุทธ)
หากรู้สึกพอแล้วกับสิ่งที่มีอยู่ มันก็ไม่อยากซื้อ
ถ้าอยากได้อยากซื้อ ซื้อแล้วไม่เดือดร้อนตัวไม่เดือดร้อนใครก็ซื้อ (ทฤษฎีพอเพียง)
อยากน้อย ทุกข์น้อย
รู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลง ใจไม่ดิ้นรนด้วยความอยาก ก็ไม่ทุกข์ (พุทธศาสนา)
แต่ผมยังมีทุกข์อยู่ อยากเปลี่ยน แต่งบจำกัด เลย โมฯ เองซะเลย
ว่าแต่...อุปกรณ์โมฯนี่ แพงเกินจริงหรือเปล่านะ??? ;D
แหม่...ถ้าเงินถึงคงบินไปดูแสดงสดที่เวียนนาแล้วนิ
หวังว่าคงสดจริง ไม่ลิปซิงค์ 2f
O0 O0 O0
Y] Y] Y]
โมเอง จูนเสียงเอง ชอบแบบไหนก็ปรับแก้ไขได้ตลอด ไม่เสียค่าแรง ไม่มีเบื่อ ;) ยิ่งทำยิ่งเก่งอีกตะหาก ;) O0
-
GT200 VS.สายข้าวหลาม, ฟิวส์พิเศษ, HDMI cable, แท่นรองสายลำโพงวิเศษ, อุปกรณ์ balance ลำโพง
สายไฟ A/C เส้นเขื่อง และอื่นๆอีกมากมาย
ทุกอุปกรณ์เหล่านี้ ผู้ขายมักจะเอาเรื่อง Physics Theory, Scientific Theory มาสนับสนุนว่าสินค้าของตน
ดีอย่างโน้น ของตนดีอย่างนี้ แล้วก็สร้างมาด้วยกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์อย่างโน้นอย่างนี้สามารถอธิบายได้
โดยเฉพาะสายเทพเจ้า...ใช้หลายเหลุผลมาอธิบาย
แต่เมื่อต้องการทำ doubled blind test กลับไม่ค่อยอยากให้ทำ
เออออ....โดยหลอกหรือเปล่าเนี่ยเรา
เป็นไปได้อย่างไร สายลำโพง monster cable ของผมโดนหนูกัดแหว่งเข้าไปเกินครึ่งเนื้อสาย
ผมก็ฟังมาตั้งนานไม่รู้ว่าเป็นอย่างนั้นจนกระทั่ง นึกขยันปัดกวาดเช็ดถูห้อง
ห่าห่าห่า โดน GT200 (stereophile version) หลอกรับประทานขอรับ
อยากจะสอบถามจริงๆเลยว่าเอา Fuse เทพเจ้า สายไฟเส้นเขื่องมาทำ a/b doubled blind test จะผลออกมาอย่างไร
ของสุดๆอัดกัน ไม่มีใครดีกว่ากัน ใช้ความชอบเป็นตัวตัดสิน ของสุดๆอัดกับของสุดห่วย คนไม่เคยฟังก็ฟังออกว่า อะไรดีไม่ดี ทั้งที่นำไฟฟ้าเหมือนกัน
ศิลปะนะครับ ศิลปะ Physics บางทีมันก็ไม่บอกว่าสิ่งนั้นดี มันก็แค่ สมุติฐานนะ
-
- -
-
ผมเชื่อว่า คนที่ตั้งใจ พอมีทักษะ ก็ฟังออกได้ ขึ้นกับว่า Test อะไร
อาทิตย์ก่อนที่ได้ลองกับพี่หมอ พร้อมเพื่อนพี่หมออีก 2 คน
เปลี่ยนสาย 3 เส้น ( รวมของเก่าอีก 1 เป็น 4 ) ทุกคนฟังออกหมดว่าแต่ละเส้นต่างกันอย่างไร ( ผมประสบการณ์อ่อนสุด )
... เส้นเดิม Base บวมนิด ๆ แหลมไปได้ดี
... Iego Top สุด Bass กำลังดี กลาง แหลมไปได้ดีมาก ต่างกันแบบไม่ต้องคิด
... Iego หัวรอง Top ... Bass ใกล้เคียง กลาง แหลมไปได้ไม่สุดเท่า แต่ถือว่าดี ฟังออก
... Iego 80520 เนื้อหนังมากขึ้น แต่กลาง แหลมด้อยลงไปอีก ( หากไม่ฟัง 2 อันแรก จะรู้สึกว่า OK แต่พอฟัง 2 อันแรก เสียงมันมัวไป )
รวมถึง Ground Control ก็ฟังออก ( แต่อันนี้ Effect ไม่มากนัก ต้องตั้งใจหน่อย )
แม้กระทั้ง สลับตำแหน่งเสียบ ก็ฟังออกว่าไม่เท่ากัน ( Effect เหมือนกัน แต่ปริมาณไม่เท่ากัน )
ทุกคนพูดไปในทางเดียวกัน และผลัดกันพูด ไม่มีผู้ชี้นำ
แต่ ให้มา Blind Test ท่านเหล่านั้นคงไม่ร่วม เอาเวลาไป Enjoy ดีกว่า
-
ของทุกอย่างต้องเชิงประจักษ์ ก่อนซื้อครับ ในnet บ้างครั้งก็เขียนเกินความเป็นจริง
-
Blind Test มีอะไรบางอย่างน่ากลัวกว่าที่เราคาดคิดครับ ยิ่งมีประสปการณ์การใช้เครื่องเสียงมากเท่าไหร่ ความน่ากลัวยิ่งเพิ่มพูนทวีคูณครับ ลองคิดดูสิถ้าคนที่เล่นเครื่องเสียงทั้งซิสเต็มในราคาไม่เกิน 50000 กลับตอบโจทย์ได้ดีกว่าคนเล่นเครื่องระดับล้านอั๊พ จะเกิดอะไรขึ้น !!!
-
จริง ๆ ไม่อยากพูดไอ้เรื่อง blind test นี่เลย จริง ๆ มันมาจาก research methodology ที่เป็น randomized controlled trial แบบ single หรือ double blind ซึ่งเป็นวิธีการวิจัยที่มาตรฐานเป็นที่ยอมรับในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่สุด แต่หากนำมาใช้ทดสอบ accessories แบบนี้เนี่ยไม่ได้หรอกครับเพราะการตัดสินโดยมนุษย์น่ะมันมี error ได้มาก มีปัจจัยเกี่ยวข้องมากมาย
ทางการแพทย์เขาใช้กันในการวิจัยต่าง ๆ เช่นยารักษาโรคเป็นต้น
เครื่องเสียงชุดของเราเองฟังอยู่ทุกวัน ไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลยฟังคนละวันบางครั้งยังให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันเล็ก ๆ
-
Blind Test นี่...แบบเดียวกับตาบอดคลำช้างหรือเปล่าครับ? K)
คลำไปคลำมาเดี๋ยวคลำลงรูพอดี
รูปลั๊กไฟนะครับ รูปลั๊กไฟ!!! ;D
-
เครื่องเสียงชุดของเราเองฟังอยู่ทุกวัน ไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลยฟังคนละวันบางครั้งยังให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันเล็ก ๆ
จริงครับ เห็นด้วยที่สุด ชุดผม บางวัน :o K) Y] แต่บางวัน N] :nonono ทุกวันนี้ก็พยายามปรับจูนหรือหาตัวช่วย ให้สามารถฟ้งหรือดูได้ดีทุกๆว้นให้ได้
-
Blind Test มีอะไรบางอย่างน่ากลัวกว่าที่เราคาดคิดครับ ยิ่งมีประสปการณ์การใช้เครื่องเสียงมากเท่าไหร่ ความน่ากลัวยิ่งเพิ่มพูนทวีคูณครับ ลองคิดดูสิถ้าคนที่เล่นเครื่องเสียงทั้งซิสเต็มในราคาไม่เกิน 50000 กลับตอบโจทย์ได้ดีกว่าคนเล่นเครื่องระดับล้านอั๊พ จะเกิดอะไรขึ้น !!!
ดังนั้นการทำ blind test คือเป็นสิ่งต้องห้ามในอุตสาหากรรม เครื่องเสียงทั้งหมด
-
ผมมองต่างไปครับ อยากฟังเทียบ สายธรรมดา สายดีๆ ยืมมาฟังต้วยตัวเองเลย ถ้าเราพอใจเราซื้อครับ จบไม่ต้องอาศัยใครมาชี้นำ
ขอยกตัวอย่าง Fuse ที่บริษัทผม ลูกค้าสามารถ มายืมไปทดสบด้วยตัวเองเลยครับ ถ้าคิดว่ามีความแตกต่างพอที่จะควักเงินจ่ายค่อยจ่ายครับ
และถ้าคิดว่าไม่คุ้ม :o ก็คืนมาได้ครับ
จริงผมไม่เคยกลัวการทำ blind test ครับ จริงคนที่เล่น สายข้าวหลาม, ฟิวส์พิเศษ, HDMI cable, แท่นรองสายลำโพงวิเศษ ส่วนใหญ่จะต้องเป็นนักเล่น ที่เล่นเครื่องเสียงมานานก่อนและที่สำคัญ ต้องเป็นคนที่มีรายได้สูงก่อน จึงจะหาซื้อได้นะครับ ... เขาจึงต้องประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานก่อนครับ จึงจะพูดได้ว่า เป้นผู้มีความสามารถ และจะต้อง ฉลาดด้วย ยกตัวอย่างอาชีพ ( เช่นหมอ.. เจ้าของกิจการ... ผู้บริหารองค์กรต่างๆ ...อื่นและอีกหลายอาชีพที่รายได้ดี ยกเว้นพวกรวยมาแต่เกิดครับ เพราะซื้อเนื่องจากมีสตางค์ จึง เป็นไปได้ยากที่จะหลอก บุคลเหล่านี้ให้ซื้อได้ครับ
การที่บางท่านฟังไม่ออก มองไม่เห็น ไม่ใช้ความผิดปกติแต่อย่างใดครับ หรือ เราจะโทษ accessories ว่ามันแหกตา ผมว่าเราอาจต้องการฝึก ทักษะการฟัง และ ทักษะการดูภาพให้มากขึ้น และมีผู้ชี้แนะที่มีประสบการณ์ครับ
-
ใช่ครับ ผมก็มองต่างมุมเหมือนกัน ว่าไม่จำเป็นต้องเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ ก็สามารถเข้าถึงเอกลักษณ์ของ Accessories ได้ไม่ยากเช่นกัน แทบจะไม่ต้องยกตัวอย่างอาชีพเลย มันเหมือนแบ่งชนชั้นพอดู บ่อยครั้งที่การชี้นำจากเจ้าของสินค้า สร้างให้เกิดอุปาทานขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในยุคก่อนโดยมารยาทของเจ้าของสินค้า (หรือผู้นำเข้า) จะให้ทาง นักวิจารณ์เป็นผู้ชี้แจง แถลงไข ซึ่งต่างกับปัจจุบันนี้ครับ
-
GT200 ตัวล้านกว่ายังไม่ดีอีกหรือ มีสายอากาศชี้ไปที่ระเบิดได้ด้วย อ้าว คนละตัวนี่หว่า
-
ขออภัยครับมิมีเจตนา แบ่งชนชั้นครับ .. แค่อยากจะชี้ให้เห็นว่าคนเล่น accessories ไม่ได้โดนใครหลอกให้เล่นได้ง่ายๆ นะครับ ยุคนี้ส่วนใหญ่ยืม มาเล่นกันได้ก่อนอีก ...ถือเป็นยุคทองของผู้บริโภคทีเดียวครับ จึงควรตักตวงโอกาสนี้ครับ อยากเล่นอะไรก็รีบไปหามาฟังซะ จะจ่ายอะไรก็แล้วแต่ความชอบครับ ไม่ต้องลังเลว่าจ่ายแล้วจะคุ้มหรือไม่
ผมนะยืมมาเล่นเพียบครับ ชอบแล้วยังไม่มีตังพอจ่าย เราก้อเก็บตังรอไปก่อน ;D
-
ขออภัยครับมิมีเจตนา แบ่งชนชั้นครับ .. แค่อยากจะชี้ให้เห็นว่าคนเล่น accessories ไม่ได้โดนใครหลอกให้เล่นได้ง่ายๆ นะครับ ยุคนี้ส่วนใหญ่ยืม มาเล่นกันได้ก่อนอีก ...ถือเป็นยุคทองของผู้บริโภคทีเดียวครับ จึงควรตักตวงโอกาสนี้ครับ อยากเล่นอะไรก็รีบไปหามาฟังซะ จะจ่ายอะไรก็แล้วแต่ความชอบครับ ไม่ต้องรังเรว่าจ่ายแล้วจะคุ้มหรือไม่
ผมนะยืมมาเล่นเพียบครับ ชอบแล้วยังไม่มีตังพอจ่าย เราก้อเก็บตังรอไปก่อน ;D
ขอบคุณ คุณกัมปนาทมากนะครับ ที่กรุณาแก้ไขข้อความข้างบนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
-
ในความเป็นจริงฟังออกหรือว่าไม่ออกว่าเจ้าอุปกรณ์ประหลาดดีหรือว่าไม่ดีจริงๆ ต้องไม่เอาเรื่องอาชีพมาพิจารณา
เพราะว่า
คำว่าหูทอง ไม่มีจริง --> ทางกายภาพไม่มีใครเกิดมามีหูทองกว่าอีกคน มีเพียงความเป็นไปได้ที่จะรับรู้อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่าอีกคนเท่านั้น
คนโดยเฉลี่ยมีความสามารถทางการได้ยินเท่าเทียมกันหมด พวกที่อ้างว่าตัวเองหูทองคือผู้ที่จับเทคนนิคในการฟังบางส่วนได้เท่านั้น
การทำ double blind(ed)-test โดยที่ผู้ถูกทดสอบไม่รู้เท่านั้นจึงจะบอกผลทางวิทยาศาสตร์ได้
เป็ยข้อเท็จจริงที่หักล้างไม่ได้
ไม่อย่างนั้คนกินยาต้องรู้ก่อนไหมว่ายานั้นเอาไว้รักษาอะไร บางครั้งเรากินยาเข้าไปไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารักษาอะไรแต่มันหายเพราะว่าหมอจ่ายให้
(plcebo ล้วนๆๆ)
-
ถึงจะเกิดมาเท่ากันครับแต่ถ้า ไม่ได้หัดดูหัดฟังมาก่อน ย่อมไม่สามารถแยกแยะ ความแตกต่างเท่าคนที่ดูและฟังมานานมากกว่า จึงเกิดความแตกต่างที่ไม่เท่ากันอยู่ดีครับ
-
ชักไม่ค่อยเข้าใจประเด็นของกระทู้
ประเด็นคือ accessory เทพเหล่านั้น
ส่งผลให้เกิดความแตกต่างขึ้นจริงหรือไม่
หรือว่าประเด็นของกระทู้คือ...
accessory เทพเหล่านั้น ทุกคนต้องสามารถรับรู้ได้
ถ้าเป็นประเด็นแรก
มันมีปัจจัยอีกมากมายนะครับ ทั้งตัว system เอง ทักษะการฟังของผู้ทดลอง
ผลที่ได้รับก็อาจจะแตกต่างกันไปได้ตามประสบการณ์ของผู้ทดลอง
เพราะฉะนัน...ถึงมีความคิดห็นทั้ง พวกนี้โม้ชัวร์, ต่างกันนิดหน่อย ไม่คุ้ม, ต่างกันมาก และ คุ้มค่าสุดๆ ต้องสายงูหลามทุกเครื่อง 2f
(เรื่องความคุ้มก็มีปัจจัยเรื่องงบประมาณและรายได้เข้ามาเกี่ยวข้องอีก)
การเล่นเครื่องเสียงถึงเป็นเรื่องสนุก โดยเฉพาะการจับบุคคลิกของอุปกรณ์ต่างๆ
แล้วเอามา matching กันเพื่อตอบสนองรสนิยมของผู้เล่นได้สูงสุด ภายในงบประมาณที่จำกัด
-
ในความเป็นจริงฟังออกหรือว่าไม่ออกว่าเจ้าอุปกรณ์ประหลาดดีหรือว่าไม่ดีจริงๆ ต้องไม่เอาเรื่องอาชีพมาพิจารณา
เพราะว่า
คำว่าหูทอง ไม่มีจริง --> ทางกายภาพไม่มีใครเกิดมามีหูทองกว่าอีกคน มีเพียงความเป็นไปได้ที่จะรับรู้อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่าอีกคนเท่านั้น
คนโดยเฉลี่ยมีความสามารถทางการได้ยินเท่าเทียมกันหมด พวกที่อ้างว่าตัวเองหูทองคือผู้ที่จับเทคนนิคในการฟังบางส่วนได้เท่านั้น
การทำ double blind(ed)-test โดยที่ผู้ถูกทดสอบไม่รู้เท่านั้นจึงจะบอกผลทางวิทยาศาสตร์ได้
เป็ยข้อเท็จจริงที่หักล้างไม่ได้
ไม่อย่างนั้คนกินยาต้องรู้ก่อนไหมว่ายานั้นเอาไว้รักษาอะไร บางครั้งเรากินยาเข้าไปไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารักษาอะไรแต่มันหายเพราะว่าหมอจ่ายให้
(plcebo ล้วนๆๆ)
การที่เราไม่รู้ว่าทำอย่างไร ไม่ได้หมายความว่าทำไม่ได้ แต่อาจเป็นเพราะความรู้เราจำกัด
การที่เราไม่เห็นว่ามันมีรูปร่างอย่างไร ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่ แต่อาจเป็นเพราะสายตาเราจำกัด
การที่เราฟังแล้วไม่ได้ยิน ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีเสียง แต่อาจเป็นเพราะความสามารถในการได้ยินของเราจำกัด
การที่เราพิสูจน์ไม่ได้ ไม่ได้แปลว่ามันไม่จริง แต่อาจเป็นเพราะวิธีการพิสูจน์เราจำกัด
การที่เราวัดผลไม่ได้ ไม่ได้แปลว่ามันไม่เกิดผล แต่อาจเป็นเพราะเครื่องมือเราจำกัด
การที่เราไม่เคยสัมผัสด้วยตนเอง แต่คาดเดาต่างๆนาๆ ย่อมไม่ก่อให้เกิดปัญญา
เปิดใจให้กว้าง โลกนี้ยังมีเรื่องที่เราไม่รู้อีกมาก แก้วที่ว่าง สามารถรับน้ำใหม่ได้เสมอ
-
แต่ก่อนตอนผมอยู่ ม.ศ.3 ผมเคยลองเอาสายเงินมาเสียบเล่น ตามที่อ่านจากหนังสือ เสียบเข้าเสียบออก ยิ่งเสียบยิ่งมันส์ อิ อิ ผมฟังไม่ออกเลยว่ามันต่างกัน อิ อิ แต่ตอนนี้ พอแค่กลับปลั๊ก ผมฟังออกว่ามันต่างกัน แต่ผมกลับมีความคิดที่แตกต่างจากคนอื่นตรงที่ว่า ผมว่าฟังไม่ออกดีกว่าน่ะ จะได้ไม่ต้องเสียเงิน พอฟังออกเยอะ ๆ เลยยิ่งเสียเงินเยอะ ๆ เลย แย่แฮะ
ดีคับมาแชร์ความคิดเห็นกันในหลาย ๆ รูปแบบ เรื่อง พวกนี้ไม่ข้อสรุปจบที่แน่นอนหรอกคับ เพราะมันมีความรู้สึกของคนที่ไม่มีตัววัดมาเปรียบเทียบอ่ะคับ
-
ในความเป็นจริงฟังออกหรือว่าไม่ออกว่าเจ้าอุปกรณ์ประหลาดดีหรือว่าไม่ดีจริงๆ ต้องไม่เอาเรื่องอาชีพมาพิจารณา
เพราะว่า
คำว่าหูทอง ไม่มีจริง --> ทางกายภาพไม่มีใครเกิดมามีหูทองกว่าอีกคน มีเพียงความเป็นไปได้ที่จะรับรู้อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่าอีกคนเท่านั้น
คนโดยเฉลี่ยมีความสามารถทางการได้ยินเท่าเทียมกันหมด พวกที่อ้างว่าตัวเองหูทองคือผู้ที่จับเทคนนิคในการฟังบางส่วนได้เท่านั้น
การทำ double blind(ed)-test โดยที่ผู้ถูกทดสอบไม่รู้เท่านั้นจึงจะบอกผลทางวิทยาศาสตร์ได้
เป็ยข้อเท็จจริงที่หักล้างไม่ได้
ไม่อย่างนั้คนกินยาต้องรู้ก่อนไหมว่ายานั้นเอาไว้รักษาอะไร บางครั้งเรากินยาเข้าไปไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารักษาอะไรแต่มันหายเพราะว่าหมอจ่ายให้
(plcebo ล้วนๆๆ)
การที่เราไม่รู้ว่าทำอย่างไร ไม่ได้หมายความว่าทำไม่ได้ แต่อาจเป็นเพราะความรู้เราจำกัด
การที่เราไม่เห็นว่ามันมีรูปร่างอย่างไร ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่ แต่อาจเป็นเพราะสายตาเราจำกัด
การที่เราฟังแล้วไม่ได้ยิน ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีเสียง แต่อาจเป็นเพราะความสามารถในการได้ยินของเราจำกัด
การที่เราพิสูจน์ไม่ได้ ไม่ได้แปลว่ามันไม่จริง แต่อาจเป็นเพราะวิธีการพิสูจน์เราจำกัด
การที่เราวัดผลไม่ได้ ไม่ได้แปลว่ามันไม่เกิดผล แต่อาจเป็นเพราะเครื่องมือเราจำกัด
การที่เราไม่เคยสัมผัสด้วยตนเอง แต่คาดเดาต่างๆนาๆ ย่อมไม่ก่อให้เกิดปัญญา
เปิดใจให้กว้าง โลกนี้ยังมีเรื่องที่เราไม่รู้อีกมาก แก้วที่ว่าง สามารถรับน้ำใหม่ได้เสมอ
:clap :clap :clap
-
GT200 VS.สายข้าวหลาม, ฟิวส์พิเศษ, HDMI cable, แท่นรองสายลำโพงวิเศษ, อุปกรณ์ balance ลำโพง
สายไฟ A/C เส้นเขื่อง และอื่นๆอีกมากมาย
ทุกอุปกรณ์เหล่านี้ ผู้ขายมักจะเอาเรื่อง Physics Theory, Scientific Theory มาสนับสนุนว่าสินค้าของตน
ดีอย่างโน้น ของตนดีอย่างนี้ แล้วก็สร้างมาด้วยกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์อย่างโน้นอย่างนี้สามารถอธิบายได้
โดยเฉพาะสายเทพเจ้า...ใช้หลายเหลุผลมาอธิบาย
แต่เมื่อต้องการทำ doubled blind test กลับไม่ค่อยอยากให้ทำ
เออออ....โดยหลอกหรือเปล่าเนี่ยเรา
เป็นไปได้อย่างไร สายลำโพง monster cable ของผมโดนหนูกัดแหว่งเข้าไปเกินครึ่งเนื้อสาย
ผมก็ฟังมาตั้งนานไม่รู้ว่าเป็นอย่างนั้นจนกระทั่ง นึกขยันปัดกวาดเช็ดถูห้อง
ห่าห่าห่า โดน GT200 (stereophile version) หลอกรับประทานขอรับ
อยากจะสอบถามจริงๆเลยว่าเอา Fuse เทพเจ้า สายไฟเส้นเขื่องมาทำ a/b doubled blind test จะผลออกมาอย่างไร
จะทดสอบ อะไร อย่างไรก็แล้วแต่
1.ต้องใช้รุ่น ที่มี battery
2.ผู้ทดสอบจะต้องนอนให้พอด้วยนะ เด๋วไฟฟ้าสถิตย์ไม่พอ เอิ้กๆ
ผมตอบตามท่านนายกนะขอรับ อิอิ
-
เท่าที่อ่านดูผมลองตั้งประเด็นได้แบบนี้ครับ
สมมุติว่า เสียงต่าง ครับ โดยให้สมมุติฐานดังนี้
1) เสียงต่าง เพราะ สาย (induct มาจากเปลี่ยนสายแล้วแล้วได้ยินเสียงต่าง) --> จะทดสอบโดย double blind test และให้หลอกว่าเปลี่ยน แต่ทีจริงใช้สายเดิม
2) เสียงต่าง เพราะ สาย + environment (environment มีผลต่อสาย) -->ควบคุม environment ของสายเช่นใส่ในถุงศูนย์ยากาศ แขวนบนสปริง และเอาไว้ใน faraday cage อีกที (บางท่านบอกว่าการทำแบบนี้ทำให้เสียงเปลี่ยน แต่จุดประสงค์คือ ควรจะเปลี่ยนไปจนเหมือนกัน ระหว่างการทดสอบหลายๆครั้ง) หรือจะใช้สายที่โฆษณาว่ากันสันญาณรบกวนได้ หรือจะใส่ assessory ที่โฆษณาว่ากันสัญญานกวนได้ มาเป็นตัว control แล้วทดสอบแบบ 1
3) เสียงต่าง เพราะ สาย (ก็ให้ผล varied ได้เอง) + (environment ไม่มีผล) ---> Monte carlo
4) เสียงต่าง เพราะ คนฟัง + สายไม่มีผล ---> ทดสอบ แบบ 1
5) เสียงต่าง เพราะ คนฟัง + สายมีผล + environment ไม่มีผล --> ทดสอบโดยใช้สายหลายราคา เปลี่ยนโดยไม่ได้บอกว่ากำลังใช้สายไหน ให้คนฟัง ระบุว่าเป็นสายไหน
6) เสียงต่าง เพราะ คนฟัง + สายมีผล + environment มีผล --> แบบข้อ 5 + faradaycage
ขั้นแรกเลือกเอาก่อนว่าเชื่อต่างแบบไหน ส่วนจะทดสอบอย่างไร ก็ไปลองกันได้ครับ ส่วนถ้าอยากจะรู้ว่าอะไรมีผลต่อเสียงต่าง มากที่สุด ค่อยมาว่ากันใหม่ก็แล้วกันครับ
ที่เขียนไว้เพื่อจะได้ scope กันถูกว่ามีสมุมติฐานกันอย่างไรนะครับ ผมไม่อยากให้เหตุผลแบบ fallacy มาทำให้งงครับ
ถ้าเป็น analog สำหรับผม ผมว่ามีเสียงต่างอยู่แล้วครับ แต่ ระหว่างสายราคาแพงกับถูก แล้วของแพงเสียงดีกว่าเสมอะนี่ไม่ใช้สำหรับข้อสรุปของผมครับ
ถ้าเป็นสาย digital ทีผ่านมาตรฐานและใช้งานภายใน spec ของ data protocol ที่รันผ่านสาย นี่เป็นอีกเรื่องนะครับ
-
ถ้าจะว่าไปจนถึงที่สุดแล้ว ใครจะบอกได้ว่าสิ่งเดียวกัน ที่เรากับคนอื่นเห็นหรือได้ยินนั้นมันต้องเหมือนกัน คนละตาอาจเห็นคนละสีแดงก็ได้ ดังนั้นมันจะแปลกอะไรถ้าบางคนฟังออก บางคนฟังไม่ออก
คนฟังออกก็ไม่เห็นต้องว่าคนฟังไม่ออกว่าหูถั่ว (ดีซะอีกไม่ต้องเสียตัง) คนฟังไม่ออกก็อย่าไปตั้งป้อมว่าคนฟังออก หูหลอนหรืออุปทาน มันก็แค่ของเล่น งานอดิเรกสนุกๆ เล่นบ่อยๆ ฟังไปเรื่อยๆ
สุดท้าย ตัวเองก็จะได้คำตอบสำหรับตัวเองแหละครับว่าความจริงมันคืออะไร แต่ก็อีกแหละคำตอบของเราก็อาจไม่เหมือนคนอื่นอยู่ดีแหละ การเสพเครื่องเสียงหรือภาพ ก็เหมือนกับการดูงานศิลปนั่นแหละ
บางคนชอบสีน้ำ บางคนชอบสีนำ้มัน บางคนชอบ impression บางคนชอบ realistic ถ้ามองหาแต่ความจริงก็ต้องดูแต่ภาพถ่ายละมังครับ :)
-
ถ้าจะว่าไปจนถึงที่สุดแล้ว ใครจะบอกได้ว่าสิ่งเดียวกัน ที่เรากับคนอื่นเห็นหรือได้ยินนั้นมันต้องเหมือนกัน คนละตาอาจเห็นคนละสีแดงก็ได้ ดังนั้นมันจะแปลกอะไรถ้าบางคนฟังออก บางคนฟังไม่ออก
คนฟังออกก็ไม่เห็นต้องว่าคนฟังไม่ออกว่าหูถั่ว (ดีซะอีกไม่ต้องเสียตัง) คนฟังไม่ออกก็อย่าไปตั้งป้อมว่าคนฟังออก หูหลอนหรืออุปทาน มันก็แค่ของเล่น งานอดิเรกสนุกๆ เล่นบ่อยๆ ฟังไปเรื่อยๆ
สุดท้าย ตัวเองก็จะได้คำตอบสำหรับตัวเองแหละครับว่าความจริงมันคืออะไร แต่ก็อีกแหละคำตอบของเราก็อาจไม่เหมือนคนอื่นอยู่ดีแหละ การเสพเครื่องเสียงหรือภาพ ก็เหมือนกับการดูงานศิลปนั่นแหละ
บางคนชอบสีน้ำ บางคนชอบสีนำ้มัน บางคนชอบ impression บางคนชอบ realistic ถ้ามองหาแต่ความจริงก็ต้องดูแต่ภาพถ่ายละมังครับ :)
ตรงในความคิด และเขียนได้ชัดเจนมากครับ คนเราเหมือนมีความเป็น ยูนิค ไม่เหมือนกันครับ ;D
-
ถ้าจะว่าไปจนถึงที่สุดแล้ว ใครจะบอกได้ว่าสิ่งเดียวกัน ที่เรากับคนอื่นเห็นหรือได้ยินนั้นมันต้องเหมือนกัน คนละตาอาจเห็นคนละสีแดงก็ได้ ดังนั้นมันจะแปลกอะไรถ้าบางคนฟังออก บางคนฟังไม่ออก
คนฟังออกก็ไม่เห็นต้องว่าคนฟังไม่ออกว่าหูถั่ว (ดีซะอีกไม่ต้องเสียตัง) คนฟังไม่ออกก็อย่าไปตั้งป้อมว่าคนฟังออก หูหลอนหรืออุปทาน มันก็แค่ของเล่น งานอดิเรกสนุกๆ เล่นบ่อยๆ ฟังไปเรื่อยๆ
สุดท้าย ตัวเองก็จะได้คำตอบสำหรับตัวเองแหละครับว่าความจริงมันคืออะไร แต่ก็อีกแหละคำตอบของเราก็อาจไม่เหมือนคนอื่นอยู่ดีแหละ การเสพเครื่องเสียงหรือภาพ ก็เหมือนกับการดูงานศิลปนั่นแหละ
บางคนชอบสีน้ำ บางคนชอบสีนำ้มัน บางคนชอบ impression บางคนชอบ realistic ถ้ามองหาแต่ความจริงก็ต้องดูแต่ภาพถ่ายละมังครับ :)
ชัดเจนดีครับ Y] สรุปได้ยอดเยี่ยม อ่านแล้วเข้าใจง่าย เห็นภาพเลย O0
-
ความเห็นนี้จากมุมมอง และการสัมผัส ของคนที่เล่นทั้งคอมเมอร์เชี่ยล (บางอย่างก็เดิมๆ ส่วนที่ต้องใจก็ศึกษาแล้วจัดการโมฯมันซะ) และออกแบบ(วงจร/อิมพลีเม้นท์)ลงมือทำใช้เอง ครับผม
เล่าสู่กันฟังนะครับ อย่าถือสา
ผมลองมโนภาพดู
ถ้าเทียบกับกล้องถ่ายภาพ
ถ้าสิ่งที่จะถ่ายก็คือ ธรรมาชาติ แสง สี อุณหภูมิ ความชื้น ความดันบรรยากาศ ลมหรือคลื่นความร้อน ในอากาศ ก็เปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ ถือว่าเป็นธรรมชาติ สิ่งที่คนอยากบันทึกมันเก็บไว้ขณะที่มันเป็นอย่างนั้น ตอนนั้นๆ
หรือเปรียบได้กับเสียงดนตรีปกติ คล้ายจริงที่สุด คือสิ่งที่คนต้องการได้ยินได้ฟัง ซึ่งอาจเล่นโดยต่างคณะ ต่างเวอร์ชั่น เป็นผลงานจากหลากหลายศิลปิน แม้รากเหง้าเป็นเพลงเดียวกันก็ตาม แต่ก็ให้อารมณ์ดนตรีที่ต่างก็มีคุณค่าในตัวเอง
ซอร์ส ก็คงเสมือน กับตัวบอดี้กล้อง
แอ็คเซสซอรี่ทั้งหลาย ก็คงเสมือนเลนซ์ หรืออุปกรณ์ช่วยบางอย่าง
หากใช้เลนซ์สุดยอด ทั้งความดี และราคาสูง กับบอดี้ รุ่นที่ยังพื้นๆ...........มันก็คงทำให้เกิดผลต่างได้ดีสุดเท่าที่บอดี้นั้นจะให้ได้ สำแดงได้
การแยกความแตกต่างเมื่อใช้เล้นซ์ชั้นเยี่ยม กับเลนส์ชั้นรองอาจจะมีไม่มาก
หรือเอาเป็นว่าเมื่อเทียบผลกับสิ่งที่ต้องจ่ายค่าเลนส์แล้ว ต้องอุทานว่า จ่ายตั้งแยะได้ความดีความสวยมาแค่นี้เองหรือ
ขณะเดียวกัน เมื่อนำเลนซ์ทั้งคู่ ไปลองกับ บอดี้ที่เป็นทั้งสุดยอด ทั้งความดี และราคาสูง เข้าแล้ว..............ผลของความแตกต่างอาจจับได้ชัดเจน ไม่ต้องเพ่ง ไม่ต้องลุ้น
และอาจจะฟ้องแหลกถึงขั้นว่า ...........ต้องใช้เลนส์ระดับไหนจึงจะคู่ควรกับความดีของมัน (ยิ่งเปลี่ยนเลนส์คุณภาพสูงขึ้นไปเท่าใด ภาพยิ่งสวย ยิ่งเก็บองค์ประกอบความสมบูรณ์ได้ยิ่งๆขึ้น
หรือใช้มันแบบได้รับรู้ถืงคุณความดี อย่างที่มันควรจะให้ได้)
ข้อความต่อไปนี้นี้คือติ๊ต่างนะครับ
ซึ่งหากเป็นผมแล้ว ..........อาจเลือกได้สองทาง เพื่อให้สามารถเข้าถึงคุณความดีของตัวบอดี้ไว้ก่อนเป็นอันดับแรก
.........ใช้สตังค์จ่ายเพื่อมัน หากโชคดี ได้ของดีราคาถูก(มือเท่าไหรไม่ว่า)ที่สามารถพอจะจ่ายได้...............หรือ
.........ปรึกษา/เรียนรู้กับผู้เชี่ยวชาญเพื่อสร้างมันขึ้นมาซะเลย หากเป็นไปได้
แล้วเลือกใช้เลนส์ชั้นดีเพียงชุดเดียวก่อน ที่ใช้งานได้เพียงพอกับความต้องการของเรา สำหรับแนวทางการถ่ายภาพของเรา ก็คงสามารถชื่นชม เป็นความสุขกับสิ่งที่พอใจที่สุดเท่าที่เราพึงจะไขว่คว้าได้
โดยเลนส์ตัวที่ ๒ หรือตัวต่อไปก็ค่อยเสริมเมื่อความต้องการ/โอกาสสำหรับถ่ายภาพเพิ่มขึ้น หรือเมื่อมีความพร้อมทางทุนทรัพย์
ลองถามตนเองดูนะครับว่า คุณชอบสะสมบอดี้ เล็นส์และอุปกรณ์ประกอบ หรือทั้งคู่ หรืออะไรก็ได้+แต่งด้วยซอฟแวร์ลูกเดียวก็พึงพอใจแล้ว
หากยังงงๆ กับสิ่งที่ผมแสดงความเห็น ก็ขอให้ลองย้อนไปดูความเห็นของทั่น suratin อีกครั้งนะครับ
ขอให้มีความสุขกับภาพและเสียงทุกท่านครับ
-
เมื่อก่อนก้อฟังไม่ออก ดูไม่รู้เรื่องเหมือนกันครับ เล่นเครื่องเสียงบ้านหม้อ ตอนเรียน ดอก 12 นิ้วเบ่อเริ่มเลย กระแทกหน้าอกสะใจ แต่มาพลิกผันตอนฝึกงานสมัย ปวส. ครับ มาทำงานอยู่ ร้าน ออดิโอ โปรเจค แถววังบูรพา เฮียเจ้าของร้านแกถ่ายทอดวิชามาให้ ทีนี้ ฟังรู้ ดูออกเลยครับ ตั้งแต่นั้นมาก้อ ได้เสียตังมาเรื่อยๆ แต่มีความสุขครับ ทำงานเหนื่อยๆเครียดๆกลับบ้านมาถึงฟังเพลง บ้าง ดูหนังบ้าง จากเครื่องเสียงตัวโปรด สบายยยยยย ทุกวันนี้ยังไม่อยากเชื่อตัวเองเลยครับว่า ทำไมยอมซื้อสายไฟ เป็นหมื่นๆ ฟิวส์ตัวเป็นพัน ๆ ทั้งที่มีความรู้ ทางด้านวิศวกรรม อิเลค ..........แต่สำหรับผม เวลามีอะไรแปลกปลอม ใหม่ เข้ามาในซิสเตม จะฟังรู้ทันทีครับ ระบบมันฟ้อง อยู่ที่ว่าดีขึ้นหรือแย่ลง ....บางครั้งต้องทนใช้ไป ให้พ้นเบริน อะครับถึงจะพบตัวตนที่แท้จริงของ เจ้าอุปกรณ์เสริมพวกนี้ ใจร้อนมิได้ๆ
-
ในวงการเครื่องเสียง มันกว้างครับ
บอกได้แต่ว่า บางอย่างช่วยให้เสียงดีขึ้น
บางอย่างมีส่วนช่วยทางใจ ทำให้เสียงดีขึ้น
มันก็พูดยากครับ ผมเอกก็เคยหลอกตัวเองมาเยอะ
บางอย่างพอปิดตาฟัง ให้คนอื่นปรับเปลี่ยนให้แยกกันไม่ออกก็มี ทั้งที่ตอนที่มองเห็น
เสียงต่างกันตั้งเยอะ :yahoo
แต่บางอย่างที่ได้ผล ฟังออกทันทีก็มีเยอะนะครับ
ถ้าจะให้ดีก็ต้องดูความคุ้มค่าด้วย c)