HTG2.club
Home Theater Guide webboard => มุม Thai DIY Audio => ข้อความที่เริ่มโดย: Help !!! ที่ 07 กุมภาพันธ์, 2010, 03:54:25 pm
-
ผม search เจอใน google ครับบอกว่าสามารถใช้ power supply เครื่องคอมมาแปลงทำได้อยากให้รบกวนแนะนำครับ เพราะรถผมเกิดปัญหาไฟรั่วให้ช่างหาหลายรอบแล้วก็ไม่หายครับ
ทำไห้มีปัญหามากตอนติดเครื่องครับ ตอนนี้ต้องถอดสายแบตทุกครั้งเวลาจอดรถครับ รบกวนแนะนำด้วยครับ
วรวุฒิ chaopradit@gmail.com
-
ขออกความเห็นว่า...ควรให้ช่างตรวจเช็คแล้วแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ น่าจะดีกว่านะครับ ไม่งั้นไปไหนต้องค้างคืน ต้องพกที่ชาตไปทุกหนทุกแห่ง....ที่คุณบอกมาว่ามีคนแนะนำให้เอาซัพพลายของคอมพ์ฯมาดัดแปลงใช้...คงจะหมายถึงให้เอาไฟออก บวก ลบ สิบสองโวลท์(ผมจำไม่ได้ว่าสีอะไร แดง หรือเหลือง กะสีดำ)มาคีบกะแบตเพื่อช๊าตมังครับ ....แต่ผมเองแนะนำว่าไปหาซื้อที่ช๊าตแบต ตรงๆประเด็นมาใช้ดีกว่าครับ มีขายครับพอหาได้ แต่หลักๆที่จะให้หาก็บ้านหม้อแหละสำหรับผมนะครับ แต่ที่อื่นๆก็น่าจะมีครับ
-
ลองหาสาเหตุในรถดูก่อนครับ รถผมเคยเจอปัญหาที่เครื่องเสียงครับ ปิดวิทยุแล้ว แต่พาวเวอร์แอมป์มันไม่ตัด ประกอบกับวิ่งวันนึงประมาณ 10 ก.ม. ลองไล่ ถอดอุปกรณ์ดูทีละจุดครับ
ส่วน ซัพพลายคอม มีวิธีการดัดแปลงให้จ่ายแรงดัน 12V กระแสสูง ๆ ได้ เคยเห็นในเว็บ คุยกันอยู่ แต่หาไม่เจอ ครับ เดี๋ยวลองหาดูอีกที
-
ดัดแปลงจาก Supply คอมติดเคสเก่าๆ ไม่มีแรงแม้แต่จะ start เครื่อง Pentium III 800MHz ครับ
-
ขณะชาร์จ ต้องปรับไฟให้เกิน 12 โวล์ทครับ ไม่งั้นชาร์จไม่เข้า
ที่แพงที่สุดในนี้คือ พาแนลโวล์ทมิเตอร์ ครับ เอามัลติมิเตอร์ อมร ทั้งตัวมา ยังถูกกว่าไอ้เจ้าพาแนลโวล์ทมิเตอร์ เดี่ยวๆอีก ครับ
-
เครื่องชาตแบตราคาไม่แพงนะครับ หาซื้อได้ตามร้านเครื่องมือช่าง แถวคลองถม วรจักร แต่ทางที่ถูกควรแก้รถให้หายไฟรั่วเสียก่อนนะครับ อาจเกิดจากสายไฟชื้นและอยู่ใกล้กันหรือเปล่า ใช้โอหม์มิเตอร์เช็คก็ได้
-
นอกจากสาเหตุที่อาจจะเกิดจากไฟรั่วตามที่หลายท่านได้แนะนำ อีกอย่างก็คือ ไดชาร์ต เสื่อมครับ ลองตรวจเช็คดูนะครับ ชาร์ตตามระบบผมว่าดีที่สุดแล้วครับ เอาเครื่องชาร์ตมาชาร์ตทั้งคืน ถ้าไฟรั่วอยู่ เครื่องชาร์ตนอกจากชาร์ตแบตแล้ว ยังจ่ายไฟไปที่จูดรั่วด้วย อันตรายนะครับ เพราะกลางคืนไม่มีคนมานั่งเฝ้า เครื่องชาร์ตอาจจะ overload หรือจุดที่ไฟรั่วอาจจะไหม้ก็ได้นะครับ
-
ผมเคยสงสัยว่าแบตเตอรี่และสายไฟในรถยนต์ของผม ผมทดสอบตามนี้ครับ
- ต้องมีมิเตอร์ที่วัดกระแสได้ ในขณะที่รถดับเครื่อง ปลดขั้วบวกของแบตเตอรี่แล้วต่อมิเตอร์อนุกรมเข้าไป
- ปลดฟิวส์ในกล่องฟิวส์ที่อยู่ในห้องเครื่องออกใหม้หมด
- ถ้าเราปิดสวิทช์กุญแจจะต้องไม่มีอุปกรณ์ใดกินกระแสจากแบตเตอรี่เลย ถ้ามีแสดงว่าฉนวนสายไฟมีปัญหาแล้วละต้องหาว่าอยู่ตรงไหน
- ในขณะที่สวิทช์กุญแจยังปิดอยู่ ใส่ฟิวส์เข้าไปที่ละอันแล้วอ่านกระแส ถ้าใส่ฟิวส์อันไหนเข้าไปแล้วอ่านกระแสได้ ระบบนั้นแหละที่จะเป็นตัวการกินกระแสขณะที่รถนอนหลับ ;D ;D ;D
ลองดูครับ :)
-
อ้อ.. อีกนิดครับ ผมเคยเจอสวิทช์ไฟส่องสว่างที่อยู่ในห้องโดยสารครับ ที่อยู่บนหัว ถ้ารถใช้มานานแล้วหน้าสัมผัสอาจจะมีปัญหา ตัวนี้ผมเคยเจอว่าเป็นตัวแอบกินกระแสจากแบตเตอรี่ แต่ที่หลอดไม่ติดสว่างจนสังเกตได้เพราะว่ามันหลวมจนนำกระแสได้ไม่เต็มที่ครับแต่ก็ทำให้แบตเตอรี่จ่ายกระแสรั่วได้ทั้งคืน ;D ;D
ลองเช็คดูครับ :)
-
ทำไม่เป็นครับ ผมซื้อเอาอ่ะ ตัวเขียวๆ พันนิดๆ เมื่อราวปีกว่าๆ ครับ
แต่เห็นด้วยกับพี่ ElecTron ว่าน่าจะแก้ที่ต้นเหตุครับ ของผมก็เคยรั่วในวิทยุเหมือนกัน ถอดวิทยุออกก็หาย
แต่รถผมมันเก่าครับ อายุสามสิบกว่า หาจุดไฟรั่วไม่ยาก ถ้ารถใหม่ๆ เนี่ย ท่าทางจะปวดหัวเหมือนกันครับ.. K]
-
นอกจากวิทยุ ยังมีนาฬกา กับกล่อง ECUครับ ที่ต้องการไฟตรง(ไม่ผ่านสวิทกุญแจ)ตลอดเวลา แต่มันก็กินไฟน้อยมาก
-
นอกจากวิทยุ ยังมีนาฬกา กับกล่อง ECUครับ ที่ต้องการไฟตรง(ไม่ผ่านสวิทกุญแจ)ตลอดเวลา แต่มันก็กินไฟน้อยมาก
- ใช่ครับแต่ถ้าสายไฟรั่วกระแสก็จะมากขึ้นทำให้แบตเตอรี่ดิสชาร์จทั้งคืน ลองดูครับเห็นค่ากระแสแล้วอาจจะช่วยประเมินสภาพได้ง่ายขึ้นว่าเกิดจากอะไร
- อย่าลืมประเด็นของไดชาร์จด้วยครับถ้าเราใช้รถระยะทางสั้นๆ การประจุไฟก็ไม่เต็มที่ แล้วถ้ายิ่งมาเจอกับปัญหาสายไฟฉนวนไม่ดีทำให้ไฟรั่วมันจะออกอาการเร็วขึ้น
- แบตเตอรี่ใช้มานานแล้วหรือยัง ถ้า 2 ปีแล้วก็ควรพิจารณาเปลี่ยนได้แล้วครับ ถ้ายังอยากจะใช้ต่อก็ลองชาร์จให้เต็มแล้วทำ Discharge test ดูครับถ้าได้ Amp-hour ใกล้เคียงกับ Spec ของแบเตอรี่ก็ใช้ต่อไปได้ แต่ถ้าจะหา Dummy load มาทดสอบก็คงจะยาก เปลี่ยนน่าจะเหมาะกว่า 2 ปีก็คุ้มแล้วครับ
การหาเครื่องชาร์จต้องพิจารณาด้วยนะครับ แบตเตอรี่ที่ใช้ในรถยนต์เป็นแบบกรด-ตะกั่ว (Lead-Acid) ซึ่งปัจจุบันมีทั้งแบบเติมน้ำ (Wet type) ซึ่งประเภทนี้ถ้าประจุด้วยกระแสมากตามที่ช่างทั่วๆ ไปเรียกว่าชาร์จเร็จจะทำให้เกิดความร้อนขึ้นมากจนทำให้น้ำกลั่นที่เป็นส่วนประกอบของสาร Electrolytic ระเหยออกมาแต่เราก็ยังสามารถเติมน้ำกลั่นทดแทนได้ และมีแบบ Maintenance-free จริงๆ แล้วยังสามารถเปิดฝาเติมน้ำกลั่นได้ แต่ถ้าเป็บแบบหุ้มมิด (Sealed type หรือ VRLA - Valve Regulate Lead acid) ผมไม่แน่ใจว่ามีใช้ในรถยนต์หรือเปล่าที่ฝาจะมีกระบวนการดักน้ำที่ระเหยออกและจะระบายแรงดันออกไปจากภายในแบตเตอรีประเภทนี้ถ้าชาร์จไฟแรงๆ เกิดความร้อนภายในทำให้น้ำกลั่นหรือ Electrolyte แห้งจะไม่สามารถใช้งานได้อีกเลย
การเลือกเครื่องชาร์จต้องเลือกให้เหมาะกับชนิดของแบตเตอรี่ด้วยครับ
เครื่องชาร์จแบตเตอรี่แบบ Wet type ปกติจะสามารถเลือกระดับแรงดันการชาร์จได้ 2 ระดับ คือ (1) Float charge แรงดันจะสูงกว่าแรงดันพิกัดของแตเตอรี่ไม่มาก เช่น แบตเตอรี่ 12V ค่าแรงดัน Float charge จะอยู่ที่ 13.8V และ (2) Equalizing charge หรือ Boost charge ระดับแรงดันอยู่ที่ 14.4V **ตัวเลขผมอาจจะแจ้งผิดพลาดถ้าอย่างไรจะมา update อีกทีครับ **
ถ้าเป็นแบบ Sealed type หรือ VRLA ปกติแล้วจะใช้แบบ Float charge แต่ผู้ผลิตบางรายก็ยอมให้ทำ Equalizing charge ได้แต่นานๆ ทำที
เครื่องชาร์จที่ดีต้องเป็นแบบ Constant current ในช่วงแรกของการชาร์จสำหรับแบตเตอรี่ Discharge ออกไปมากๆ จนแรงดันตกลงมากแต่พอชาร์จไประยะหนึ่งจะเปลี่ยนเป็นแบบ Constant voltage ครับ
การปรับตั้งกระแสในการชาร์จช่วงที่เป็น Constant current จะต้องดู Spec ของแบตเตอรี่ด้วยครับเช่น 10C5 0.1C5 หมายถึง ต้องตั้งกระแสไว้ที่ 10% ของ Capacity ของแบตเตอรี่
Capacity ของแบตเตอรี่ เช่น 120Ah C5 หมายความว่า ถ้าจ่ายกระแส 24A จะสามารถจ่ายได้นาน 5 ชั่วโมงโดยที่ระดับแรงดันไม่ตก
ถ้าเป็นแบตเตอรี่ 120AH C5 การปรับตั้งกระแสชาร์จต้องตั้งไว้ที่ 12 Amp.
ยังมีแบตเตอรี่ชนิดอื่นอีกครับ เช่น Ni-Cd, Ni-Mh แต่ตอนนีขี้เกียจแล้ว :)
-
O0 O0 O0 อาจารย์แน่นทั้งเรื่องหลอดเรื่องรถเลยนะครับ
ไหนๆแล้วดู C แปะอยู่ข้างไดชาร์จ หรือในไดชาร์จด้วยครับ
ถ้าเป็นเครื่องวางใหม่ ให้ช่างตรวจจุดต่อสายไฟต่างๆใหม่เลยครับ ถ้าเจอช่างwirng ห่วย แค่ไฟแบตหมดถือว่าโชคดีครับ :bye1
-
O0 O0 O0 อาจารย์แน่นทั้งเรื่องหลอดเรื่องรถเลยนะครับ
ไหนๆแล้วดู C แปะอยู่ข้างไดชาร์จ หรือในไดชาร์จด้วยครับ
ถ้าเป็นเครื่องวางใหม่ ให้ช่างตรวจจุดต่อสายไฟต่างๆใหม่เลยครับ ถ้าเจอช่างwirng ห่วย แค่ไฟแบตหมดถือว่าโชคดีครับ :bye1
เรื่องเครื่องยนต์รถไม่ค่อยเป็นครับ แต่อย่างอื่นพอเรียนรู้ได้ แบบว่ารู้ไว้พอช่วยแก้ขัดได้ Y]
ผมเคยเจอรถยนต์ตัวเองสตาร์ทไม่ติด พอดีเพิ่งเปลี่ยนแบตเตอรีมาใหม่ก็เลยให้ร้านแบตเตอรีเค้าถอดไปเช็คเค้าบอกว่าปกติ เอ้า.. ไม่เป็นก็ไม่เป็นไร ให้ช่างไดชาร์จเปลี่ยนแปรงถ่านรถใช้มานานยังไม่เคยเปลี่ยน สุดท้ายถอด ECU ออกมาซ่อมเอง เสร็จเรียบร้อยสตาร์ตได้ปกติ ;D ;D
-
สุดท้ายถอด ECU ออกมาซ่อมเอง เสร็จเรียบร้อยสตาร์ตได้ปกติ
:clap :clap นับถือเลยครับ ซ่อม ECU ได้เอง :clap :clap
-
สุดท้ายถอด ECU ออกมาซ่อมเอง เสร็จเรียบร้อยสตาร์ตได้ปกติ
:clap :clap นับถือเลยครับ ซ่อม ECU ได้เอง :clap :clap
ไม่ได้สุดยอดอะไรนักหรอกครับ ดูจากประสบการณ์อุปกรณ์ที่เสียส่วนใหญ่แล้วเป็นพวก
1. Power part เนื่องจากอยู่กับความร้อนนานๆ พวกนี้อายุสั้น
2. Capacitor เช่น พวก electrolytic capacitor พวกนี้ Failure mode มันก็ซีแห้ง โดยเฉพาะที่ใช้งานในวงจรสวิทชื่ง ปกติซีพวกนี้จะระบุอุณหภูมิใช้งานที่ 105 องศาเซลเซียส เวลาเปลี่ยนก็ต้องใช้องศาแบบเดิม ถ้าแก้ขัดก็เอาแบบ 85 องศาเซลเซียสมาใช้แทนก่อนได้ แล้วค่อยหาที่ถูกต้องมาเปลี่ยน
3. Power resistor สังเกตง่ายๆ R พวกนี้จะยกลอยจาก PCB เพื่อให้การระบายความร้อนได้ดี พวกนี้ใช้งานนานๆ ค่าอาจยืด ถ้าไปอยู่ในวงจรตรวจจับกระแสเกินโดยใช้หลักการ V = I x R อาจทำให้ชุดตรวจจับกระแสเห็นว่าเกิดกระแสเกินทั้งๆ ที่กระแสในวงจรปกติแต่เนื่องจากค่า R มันมากขึ้นจึงทำให้เห็นแรงดันมากขึ้น วงจร protection ก็ทำงานได้
4. ตรวจสอบ Diode, Transistor โดยใช้ Digital multimeter
5. ถ้าเป็นพวก Hybridge IC หรือ IC อื่นๆ ที่มักจะออกแบบมาใช้งานโดยเฉพาะก็ :bye1 :bye1
ลองดูครับ อุปกรณ์หรือวงจรอิเลคทรอนิคส์บ่อยครั้งที่เจอว่าเสียก็อย่างที่ว่ามาแหละครับ ;) ยิ่งถ้าเป็น TV Monitor ถ้าซ่อม Switching power supply ได้นี้ก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้วครับ :)
-
เยี่ยมเลยครับ O0 O0