HTG2.club
Home Theater Guide webboard => มุม โฮมเธียเตอร์ (HT) => ข้อความที่เริ่มโดย: Mimi_dady ที่ 21 เมษายน, 2010, 06:33:14 am
-
ระหว่างการต่อช่อง LFE ช่องเดียว กับ Stereo 2 ช่อง นี่ต่างกันยังไงครับ การ setup ต่างกันมั้ยครับ
ส่วนสายลำโพงที่เข้าตู้ลำโพง ควรจะเป็นสายเปลือย หรือ banana หรือ หางปลาดีครับ
ขอบคุณพี่ ๆ ที่ให้คำตอบครับ
-
1.-ช่องLFEคือการเลือกปรับจุดตัดความถี่ที่ตัวAVRเช่น80,90,100Hzแล้วจ่ายสัญญาณตรงไปที่ซับ...ปุ่มปรับของตัวซับจะทำงานได้แค่VolumeหรือPhase0-180(ถ้ามี).
-ช่องLRคือการรับสัญาณที่ตัดความถี่มาจากAVRแล้วมาทำการตัดความถี่ซ้ำอีกที ที่ตัวซับวูฟเฟอร์โดยการปรับที่ปุ่มCrossover(Hz)เท่ากับเพิ่มความซ้ำซ้อนอีกทีต้องใช้ความเข้าใจ+กับความชำนาญในการปรับพอสมควรครับ.
2.สายเปลือยจะคงบุคลิกเดิมของสายเอาไว้ไม่แต่งเติมเสียงและไม่ต้องเสียเงินครับ.แต่ถ้ามีงบหรือชอบเติมแต่งบุคลิกของสายลำโพงเส้นนี้ก็ใส่หางปลาเนื้อทอง-โรเดียมที่คุณภาพดีๆแล้วแต่ชอบแนวไหนนะครับ.
ม่อน
-
thank kab p'mon
-
แนะนำสายสัญญาณ Sub ให้ใช้ Fa-220 กับหัว FP -160 gold ฺำBest of the best
พี่หมอ Tee k แก่ติดอก ติดใจ สั่งไปหลายเส้นครับ แกกำลัง Test ระหว่างการต่อช่อง LFE ช่องเดียว กับ Stereo 2 ช่อง
ส่วนตัวผมแนะนำ ช่อง LEF
Fa-220 กับหัว FP -110 Gold
(http://www.hornet9.com/photo/north/furufa220rca.jpg)
-
ใช้ LEF เซ็ตตำแหน่งความกลมกลืน เเละอื่นๆได้ง่ายกว่าครับ
-
แนะนำสายสัญญาณ Sub ให้ใช้ Fa-220 กับหัว FP -160 gold ฺำBest of the best
พี่หมอ Tee k แก่ติดอก ติดใจ สั่งไปหลายเส้นครับ แกกำลัง Test ระหว่างการต่อช่อง LFE ช่องเดียว กับ Stereo 2 ช่อง
ส่วนตัวผมแนะนำ ช่อง LEF
ของเขาดีจริง O0 Furutech FA-220 FP-160G :clap
ติดใจมาก สั่งหลายเส้นจริงครับ
และ LFE เห็นด้วยมาก
-
สำหรับสายซับ ต้องลองครับ บางยี่ห้อต้องต่อสองช่องถึงจะมีพลังออกมา แต่ถ้าหากว่าต่อสองช่องฟังเทียบกับช่องเดียวแล้วเสียงเหมือนกัน แนะนำให้ต่อช่อง LFE ครับ
ปล. Furutech FA-220 สายนี้ได้ไปรับรองไม่ผิดหวังครับ คอนเฟิรม์มมมมม :giveup
-
หนังบันทึกจุดหนึ่งแยกมาต่างหากครับ ต้องต่อจุดหนึ่งเท่านั้น ถึงจะได้คุณสมบัติของระบบเสียงที่เข้าบันทึกมา
ฉนั้นต้องต่อออกจากช่อง LFE หลังเครื่อง
แต่ที่ถามมาน่าจะหมายถึงหลัง Sub Woofer ถ้าเป็นหลัง Sub Woofer ผมไม่แนะนำ แต่บังคับเลยดีกว่าว่า ต่อช่อง LR Input ดีกว่าครับ
ถ้าข้างหลัง Sub มีมาให้เลือกต่อเข้า แบบ LR in และ LFE in ให้เลือกต่อช่อง LR in ดีที่สุด แต่มีข้อแม้ว่า ต้องต่อเข้าทั้ง LR เลยนะครับ เป็นการเพิ่มสัญญาณให้แรงขึ้น
และที่สำคัญ เราจะได้ใช้จุดตัดจาก Sub Woofer ได้อย่างละเอียด หากเราไปพึ่งพาจุดตัด X-Over จาก Receivers เราจะปรับค่าของเสียงเบสให้ละเอียดที่สุด X-Over จาก Receivers มันทำไม่ได้
ถ้าหากต่อเข้าช่อง LFE สัญญาณจะถูก Bypass ไม่ผ่าน X-Over ของ Sub Woofer สัญญาณเสียงตรงเข้าสู่ภาคขยายทันทีเลยครับ คุณภาพที่ได้
มันหยาบ คือหากเราอยากได้เสียงเบสที่กลมและเนียนไปกับลำโพงทุกตัว เราก็จะมาปรับที่ X-Over ของ Sub Woofer ไม่ได้ เนื่องจากเราต่อตรงไปแล้วจบ
เพิ่มเติมอีกหน่อย ช่อง LFE นี้ สมัยก่อนมันเป็นมาตฐานเสียงของ THX คือช่อง LFE นี้มันถูกกำหนดจุดตัดไว้เรียบร้อยแล้วที่ 80Hz ไม่เชื่อลองไปดู Sub Woofer ที่มี LOGO THX เลยครับ
LFE in คือ fix X-Over
LR in คือ Available X-Over
-
ระหว่างการต่อช่อง LFE ช่องเดียว กับ Stereo 2 ช่อง นี่ต่างกันยังไงครับ การ setup ต่างกันมั้ยครับ
ส่วนสายลำโพงที่เข้าตู้ลำโพง ควรจะเป็นสายเปลือย หรือ banana หรือ หางปลาดีครับ
ขอบคุณพี่ ๆ ที่ให้คำตอบครับ
ส่วนสายลำโพงที่เข้าตู้ลำโพง จะใส่หัวหรือไม่ใส่หัวก็ได้ แต่ถ้าเป็นหัวถูกๆ ไม่ต้องไปใส่ดีกว่าครับ บั่นทอนคุณภาพเสียงเปล่าๆ
-
หนังบันทึกจุดหนึ่งแยกมาต่างหากครับ ต้องต่อจุดหนึ่งเท่านั้น ถึงจะได้คุณสมบัติของระบบเสียงที่เข้าบันทึกมา
ฉนั้นต้องต่อออกจากช่อง LFE หลังเครื่อง
แต่ที่ถามมาน่าจะหมายถึงหลัง Sub Woofer ถ้าเป็นหลัง Sub Woofer ผมไม่แนะนำ แต่บังคับเลยดีกว่าว่า ต่อช่อง LR Input ดีกว่าครับ
ถ้าข้างหลัง Sub มีมาให้เลือกต่อเข้า แบบ LR in และ LFE in ให้เลือกต่อช่อง LR in ดีที่สุด แต่มีข้อแม้ว่า ต้องต่อเข้าทั้ง LR เลยนะครับ เป็นการเพิ่มสัญญาณให้แรงขึ้น
และที่สำคัญ เราจะได้ใช้จุดตัดจาก Sub Woofer ได้อย่างละเอียด หากเราไปพึ่งพาจุดตัด X-Over จาก Receivers เราจะปรับค่าของเสียงเบสให้ละเอียดที่สุด X-Over จาก Receivers มันทำไม่ได้
ถ้าหากต่อเข้าช่อง LFE สัญญาณจะถูก Bypass ไม่ผ่าน X-Over ของ Sub Woofer สัญญาณเสียงตรงเข้าสู่ภาคขยายทันทีเลยครับ คุณภาพที่ได้
มันหยาบ คือหากเราอยากได้เสียงเบสที่กลมและเนียนไปกับลำโพงทุกตัว เราก็จะมาปรับที่ X-Over ของ Sub Woofer ไม่ได้ เนื่องจากเราต่อตรงไปแล้วจบ
ขอมองต่างออกไปนะท่าน M.lex
การต่อช่อง LR Input จะผ่านการตัดจุดตัดสัญญาณ ถึง 2 รอบ นะท่าน ทำให้จุดตัดเกิดความคลาดเคลื่อนไปนะท่าน แถม ถ้าวัด Time Delay ด้วย Computer จะเพิ่มไปอีกมาก เสียงเบสจะเดินทางช้าลงไปอีก แต่อาจได้เสียงดังกว่าที่ Vol เดียวกันกับการต่อ LFE
การต่อช่อง LFE Time Delay จะสั้นที่สุด สัญญาณ bass จะไม่ถูกแตะต้องจึง สะอาดกว่าครับ ไม่หยาบหรอกท่านเพีนงแต่เสียงมันจะไม่เหมือนกับ LR เนื่องจาก ไม่ต้องไปผ่าน Electronic Cross-Over ของ Sub Woofer แต่สัญญาณ จะเบากว่า ช่อง LR แต่ถ้าปรับสัญญาณให้ dB เท่ากันผมว่า ต่อช่อง LFE ถูกต้องกว่าครับ set ง่ายกว่าด้วยนะท่าน
-
หนังบันทึกจุดหนึ่งแยกมาต่างหากครับ ต้องต่อจุดหนึ่งเท่านั้น ถึงจะได้คุณสมบัติของระบบเสียงที่เข้าบันทึกมา
ฉนั้นต้องต่อออกจากช่อง LFE หลังเครื่อง
แต่ที่ถามมาน่าจะหมายถึงหลัง Sub Woofer ถ้าเป็นหลัง Sub Woofer ผมไม่แนะนำ แต่บังคับเลยดีกว่าว่า ต่อช่อง LR Input ดีกว่าครับ
ถ้าข้างหลัง Sub มีมาให้เลือกต่อเข้า แบบ LR in และ LFE in ให้เลือกต่อช่อง LR in ดีที่สุด แต่มีข้อแม้ว่า ต้องต่อเข้าทั้ง LR เลยนะครับ เป็นการเพิ่มสัญญาณให้แรงขึ้น
และที่สำคัญ เราจะได้ใช้จุดตัดจาก Sub Woofer ได้อย่างละเอียด หากเราไปพึ่งพาจุดตัด X-Over จาก Receivers เราจะปรับค่าของเสียงเบสให้ละเอียดที่สุด X-Over จาก Receivers มันทำไม่ได้
ถ้าหากต่อเข้าช่อง LFE สัญญาณจะถูก Bypass ไม่ผ่าน X-Over ของ Sub Woofer สัญญาณเสียงตรงเข้าสู่ภาคขยายทันทีเลยครับ คุณภาพที่ได้
มันหยาบ คือหากเราอยากได้เสียงเบสที่กลมและเนียนไปกับลำโพงทุกตัว เราก็จะมาปรับที่ X-Over ของ Sub Woofer ไม่ได้ เนื่องจากเราต่อตรงไปแล้วจบ
ขอมองต่างออกไปนะท่าน M.lex
การต่อช่อง LR Input จะผ่านการตัดจุดตัดสัญญาณ ถึง 2 รอบ นะท่าน ทำให้จุดตัดเกิดความคลาดเคลื่อนไปนะท่าน แถม ถ้าวัด Time Delay ด้วย Computer จะเพิ่มไปอีกมาก เสียงเบสจะเดินทางช้าลงไปอีก แต่อาจได้เสียงดังกว่าที่ Vol เดียวกันกับการต่อ LFE
การต่อช่อง LFE Time Delay จะสั้นที่สุด สัญญาณ bass จะไม่ถูกแตะต้องจึง สะอาดกว่าครับ ไม่หยาบหรอกท่านเพีนงแต่เสียงมันจะไม่เหมือนกับ LR เนื่องจาก ไม่ต้องไปผ่าน Electronic Cross-Over ของ Sub Woofer แต่สัญญาณ จะเบากว่า ช่อง LR แต่ถ้าปรับสัญญาณให้ dB เท่ากันผมว่า ต่อช่อง LFE ถูกต้องกว่าครับ set ง่ายกว่าด้วยนะท่าน
ใช่ครับ Setup ง่ายครับ ทุกอย่างถูกกำหนดมาจากต้นทางเลย ไม่ต้องไปปรับจุดตกจุดตัดให้มันยุ่งยากวุ่นวาย หาตำแหน่งตั้งให้ถูกต้องก็เท่านั้น
ถ้างั้น Passive Sub Woofer ก็ไม่ต้องผ่าน Electronic Cross-Over ด้วยใช้ใหมครับ มันจะมีค่า Time Delay จะสั้นที่สุด สัญญาณ bass จะไม่ถูกแตะต้องจึง สะอาดกว่า ไม่หยาบ
รับสัญญาณตรงจาก Pre/Pro หรือ Receivers เลยดีกว่าใช้เปล่าครับ
ถ้าดูจาก Technics แล้ว Passives และ Active Sub Woofer ก็เหมือนกันใช่ใหมครับ ต่างกันที่ Active Sub มี Power Amp ในตัว และ Passive Sub Woofer มี Power Amp ขับแยกข้างนอก
แต่ก็อาจจะมีข้อแม้ว่า Passive Sub Woofer ใช้ DSP ปรับได้ละเอียดกว่า แล้วอย่างนี้ไม่ซับซ้อนกว่าหรือเปล่าครับ Sub Woofer บางตัว ก็ปรับได้ละเอียดมาก ก็อย่างเช่น Sub Woofer ที่คุณกัมปนาท ขายไงรุ่น Accuris Grates-12
ถ้างั้นคนซื้อไปก็ไม่ต้องใช้ X-Over ที่ให้มาใช่ไหมครับ ไปใช้ X-Over ในตัว Recievers ก็เพื่อมันจะมีค่า Time Delay จะสั้นที่สุด สัญญาณ bass จะไม่ถูกแตะต้องจึง สะอาดกว่า ไม่หยาบ
เพิ่มเติมอีกนิด จุดหนึ่งของระบบเสียง Home Theater มันคืออีกหนึ่ง Channel ที่เราเรียกว่าจุดหนึ่งนั้นนั่นก็คือ ความถี่ Channel นี้ถูกบันทึกมาแค่ความถี่ต่ำ แถวๆไม่เกิน 80Hz น่าจะไม่เกินนี้
ฉนั้น จุดหนึ่งจึงไม่ถือว่าผ่านจุดตัด X-over เพราะว่ามันเป็นอีก Channel หลักเช่นกัน เพียงแต่มันถูกบันทึกแยกมามาอย่างอิสระ เพื่อความสมบูรณ์ของเสียงความถี่ต่ำนั่นเอง
Channel .1 มันก็คือ Full Bandwidth ของช่องความถี่ต่ำเช่นกัน ฉนั้น เราจึงต้องพึ่งพา X-Over ข้างนอกนั่นเอง เพื่อกำหนดคุณภาพของเคลื่อนความถี่ตำให้ได้ ความสมดุล ความสมานเสมอ กับลำโพงทุกตัวมากที่สุดครับ
-
-ถ้างั้น Passive Sub Woofer ก็ไม่ต้องผ่าน Electronic Cross-Over ด้วยใช้ใหมครับ มันจะมีค่า Time Delay จะสั้นที่สุด สัญญาณ bass จะไม่ถูกแตะต้องจึง สะอาดกว่า ไม่หยาบ
รับสัญญาณตรงจาก Pre/Pro หรือ Receivers เลยดีกว่าใช้เปล่าครับ
ถูกต้องเลยท่าน สัญญาณ .1 หรือ LFE หรือ Low-frequency effect ( it is incorrect to call the LFE the "subwoofer channel".)
ตัวสัญญาณได้ถูกตัดความถี่ สูง และกลางไปแล้วครับ ตามที่เรากำหนดจุดตัดไว้ที่ Pre/Pro หรือ Receivers นั้นเอง
เช่น เราเลือกจุดตัดที่ 80 Hz สัญญาณที่ออกไปจะเหลือ ตั้งแต่ 80 Hz ลงไปถึง 0 Hz
-ถ้าดูจาก Technics แล้ว Passives และ Active Sub Woofer ก็เหมือนกันใช่ใหมครับ ต่างกันที่ Active Sub มี Power Amp ในตัว และ Passive Sub Woofer มี Power Amp ขับแยกข้างนอก
จะบอกว่าต่างกันที่ มี Power Amp แยกข้างนอกก็คงไม่ถูก 100%ครับ ที่ต่างกันผมว่า คือการมีการ ผ่าน Electronic Cross-Over อีกรอบ จะตรงกว่าครับ เปรียบเหมือนเอาปรีซ้อนปรี ผมว่าไม่ดีแน่ท่าน
-แต่ก็อาจจะมีข้อแม้ว่า Passive Sub Woofer ใช้ DSP ปรับได้ละเอียดกว่า แล้วอย่างนี้ไม่ซับซ้อนกว่าหรือเปล่าครับ Sub Woofer บางตัว ก็ปรับได้ละเอียดมาก ก็อย่างเช่น Sub Woofer ที่คุณกัมปนาท ขายไงรุ่น Accuris Grates-12
Accuris Grates-12 มันเป็น Active Sub ที่ดีมากตัวหนึ่งเลย คุณ KO เขาเองก็ทราบปัญหานี้ดี เขาก้ออกแบบให้มีการเลือกว่า จะให้เป็น LR หรือ LFE ก็ทำได้ครับ
และเลือกปรับเฉพาะ DSP
-ถ้างั้นคนซื้อไปก็ไม่ต้องใช้ X-Over ที่ให้มาใช่ไหมครับ ไปใช้ X-Over ในตัว Recievers ก็เพื่อมันจะมีค่า Time Delay จะสั้นที่สุด สัญญาณ bass จะไม่ถูกแตะต้องจึง สะอาดกว่า ไม่หยาบ-
ถูกต้องแล้วครับท่าน ไม่ต้องไปซื้อ X-Over แยกมาใส่ครับ ส่วน DSP ไม่ใช่ Electronic Cross-Over ครับแต่มันมีวงจรนี้อยู่ด้วย ส่วนใหญ่เราจะใช้กรณีที่ มี Sub หลายๆ ตัวในชุด เพราะใน Recievers หรือ AVR ไม่สามารถแยกการ ปรับ Time Delay ได้เพราะมีมาให้ปรับช่องเดียว ยกเว้น Z11 ที่สามารถทำ Time Delay Sub 2 CH แยกกันและสามารถปรับ EQ แยกกันได้อีกด้วยนะท่าน แต่ Recievers ทั่วไป จะทำได้เพียงค่าเดียวจึงจำเป็นที่จะต้องหา DSP มาแยก สัญญาณ SUB เพื่อแก้ปัญหา Time Delay กรณีใช้ Sub มากกว่า 1 ตัวและวางในระยะที่ต่างกันทิศทางก็ต่างกันมากๆ เราจึงจะเลือกใช้ DSP ครับ
-เพิ่มเติมอีกนิด จุดหนึ่งของระบบเสียง Home Theater มันคืออีกหนึ่ง Channel ที่เราเรียกว่าจุดหนึ่งนั้นนั่นก็คือ ความถี่ Channel นี้ถูกบันทึกมาแค่ความถี่ต่ำ แถวๆไม่เกิน 80Hz น่าจะไม่เกินนี้
ช่องสัญญาณ .1 หรือ LFE ช่องนี้ความถี่สัญญาณให้มามากกว่า80 Hzแน่นอนท่าน และถ้าสังเกตุง่ายๆ ใน AVR ใหม่ๆครับสามารถตั้งจุดตัดไปถึง 40, 60, 80 ,120 , 200 HZ ครับ แสดงว่าสัญญาณจากแผ่นให้มากว้างกว่า 200 HZ ครับ
ฉนั้น เราจึงต้องพึ่งพา X-Over ข้างนอกนั่นเอง เพื่อกำหนดคุณภาพของเคลื่อนความถี่ตำให้ได้ ความสมดุล ความสมานเสมอ กับลำโพงทุกตัวมากที่สุดครับ
อันนี้ผมว่าจำเป็นเฉพาะ ชุดที่มี Sub หลายตัว อาจต้องใช้ DSP หรือ Sub passive ในกรณีที่ต้องการปรับ EQ ช่วยมากๆ
-
ถ้าต้องการปรับแบบละเอียดสุดๆ เราไม่ต้องซื้อ DSP(Digital signal processing)มาใช้เหรอครับ
คนเล่นทั่วไปคงปรับไม่เป็นแน่ ยกเว้น คุณโก้และคุณกัมปนาท KK เท่านั้นมั้งครับที่ปรับเจ้าเครื่อง DSP ได้เก่งกาจ
และเมื่อใส่ DSP(Digital signal processing)เสียงมันก็ไม่เป็นไปตามที่คุณ คุณกัมปนาท KK อยากให้เป็น
คือ มีค่า Time Delay จะสั้นที่สุด สัญญาณ bass จะไม่ถูกแตะต้องจึง สะอาดกว่า ไม่หยาบ
ขอบคุณครับสำหรับข้อมูลนี้ "ช่องสัญญาณ .1 หรือ LFE ช่องนี้ความถี่สัญญาณให้มามากกว่า80 Hzแน่นอนท่าน และถ้าสังเกตุง่ายๆ ใน AVR ใหม่ๆครับสามารถตั้งจุดตัดไปถึง 40, 60, 80 ,120 , 200 HZ ครับ แสดงว่าสัญญาณจากแผ่นให้มากว้างกว่า 200 HZ ครับ"
มี Pre/Pro อีกหลายตัวครับที่มีการ Setup Distance ของS Sub Woofer (Time Delay) อย่างอิสระ
Theta CB II และ CB III เล่นSubได้5ตัว Time Delay แยกปรับอิสระ
Mark Levinson No.40 และ No.502
Anthem AVM50v D2v
Onkyo 886
-
อ่านแล้วรู้สึกเหมือนจะฉลาดขึ้น :D
หรือว่ากะโหลกเราหนาไป อิอิ
-
ขออนุญาติทั้งคุณ M.Lex และคุณ กัมปนาท KK เข้ามาตอบเพื่อความกระจ่างเรื่อง LFE ครับ
จริงๆ ช่อง LFE โดยดั้งเดิมนั้นถูกกำหนดมาเพื่อเป็นตัวแทนของ Ch .1 ในระบบ 5.1 หรือ 7.1 คือช่องที่ถูกบันทึกเฉพาะ Effect ความถี่ต่ำเท่านั้นครับ
แต่ในปัจจุบัน LFE ใน Receiver นอกจากจะทำหน้าที่ ให้สัญญาณเสียง .1 แล้วยังทำหน้าที่รองรับความถี่ต่ำที่ถูกตัดออกมาจากคู่หน้า Main, Center, และ Surround ในระบบเสียงหลักด้วย ขึ้นอยู่กับว่าเราจะตั้งใน Receiver ว่าเป็นอะไร
สรุป เป็น Diagram ง่ายๆ ดังนี้ครับ
ถ้าตั้งลำโพงทุกตัวเป็น Large หมด --> LFE จะทำงานเป็นแค่ Effect ความถี่ต่ำเท่านั้น
ถ้าตั้งลำโพง Main คู่หน้าเป็น Large ส่วน Center และ Surround เป็น Small --> LFE จะทำงานเป็น Effect ของ .1 Ch บวกกับสัญญาณความถี่ต่ำจากลำโพง Center และ Surround
ถ้าตั้งลำโพงทุกตัวเป็น Small หมด --> LFE จะทำงานเป็น Effect ของ .1 Ch บวกกับสัญญาณความถี่ต่ำจากลำโพง Main คู่หน้า, Center และ Surround ด้วย
คราวนี้กับมาคำถามที่ว่า เราควรจะต่อที่ Active Subwoofer ที่ช่องไหนระหว่าง LR Input กับ LFE Input จริงๆ ตรงนี้ ต่อได้ทั้ง 2 ช่องครับ แล้วแต่กรณี ขึ้นอยู่กับ
1) ถ้า AV Receiver หรือปรี Surround ที่ละเอียดสามารถเลือกกำหนดจุดตัด Crossover point, Slope ,and Type ได้ละเอียด เช่น Theta หรือ B&K Comp เราต่อเข้าทางช่อง LFE input ที่ Sub จะดีกว่า
2) ถ้า AV Receiver หรือปรี Surround ไม่สามารถปรับได้ละเอียด เช่นไม่สามารถเลือกจุดตัดได้คือ Fix มาที่ 80 Hz เลยโดยไม่บอก Slope ถ้าในกรณีอย่างนี้ เราสามารถต่อเข้าทางช่อง LR Input เพื่อใช้การปรับความถี่จุดตัดใน Active Subwoofer ช่วยได้ครับ
กับคำถามที่เถียงกันเรื่อง Time Delay จริงๆ Time Delay ไม่ได้เกี่ยวกับคุณภาพเสียงโดยตรงว่าถ้า Time Delay เยอะ เสียงจะแย่หรือจะดี เพียงแต่ Time Delay มีผลโดยตรงกับ Phase ของ Subwoofer กับ ลำโพงอื่นๆ ในระบบ ครับ
กับการที่ใช้ DSP เข้ามาในระบบของ Passive Sub ถามว่าจะมี Time Delay เพิ่มขึ้นไหม ต้องตอบว่ามีครับ แต่จะเป็น Propragation Delay ซึ่งปกติจะมีการบอกไว้ใน Spec Sheet อยู่แล้ว โดยปกติจะอยู่ที่ 1 Micro Sec ซึ่งวิธการลด Time Delay จาก DSP ก้อทำได้ง่ายๆ โดย บวกเพิ่มการตั้งระยะใน Ch. Sub อีก 1 Foot ก้อจะชดเชยได้พอดีครับ
แต่ DSP เมื่อนำมาใช้กับ Passive Subwoofer มีข้อดีมากมาย คือสามารถปรับ Parametric EQ, Limiter, Delay ได้ละเอียดในระดัย 0.02 Micro Sec เป็นต้น
คงพอเข้าใจมากขึ้นนะครับ
;) ;) ;)
-
d_d ขอบคุณท่าน OK ที่มาให้ข้อมูลเพิ่มเติมหวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่พวกเรานะครับ
ที่ผมเน้นเรื่อง Time Delay ว่าสั้นหน่อยจะดีเพราะเครื่อง AV Receiver หรือปรี Surround ไม่สามารถปรับได้ละเอียดมากเต็มที่ก็ 9 เมตรผมจึงแนะนำให้ เราจึงเลือกต่อแบบ LFE ครับเพราะวัดแล้วมันสั้นกว่า LR กรณีที่ปรับได้มากๆ แบบ Yamaha ก็จะไม่มีปัญหานี้ครับ
Time Delay ไม่ได้เกี่ยวกับคุณภาพเสียงโดยตรงว่าถ้า Time Delay เยอะ เสียงจะแย่หรือจะดี เพียงแต่ Time Delay มีผลโดยตรงกับ Phase ของ Subwoofer กับ ลำโพงอื่นๆ ในระบบ ครับ
เห็นด้วย 100% ครับก้ตรงกับผมที่ว่า Phase ของ Subwoofer กับ ลำโพงอื่นๆ ในระบบ มันจะตรงกันได้มันก็ต้องมี ค่าในเครื่องให้ปรับเช่น ลำโพงคู่หน้า วัดได้ 5 เมตร
Subwoofer วัดได้ถึง 11 เมตร เครื่องมีให้ปรับแค่ 9 มันเลยไม่ตรงกันไงครับ ถ้าใช้ช่อง LFE อาจจะวัดเหลือ 8 หรือ 9 เมตร ทำให้ผมใช้ AVR ปรับ ให้ตรงกับความเป็นจริงได้ ก็เป็นวิธี Set แบบหนึ่งเน้นระยะห่างเป็นหลัก กรณีนี้ ก็ไม่ต้องใช้ DSP ภายนอก
ในกรณีใช้ DSP สามารถตั้งค่าลด Time Delay ช่วยให้ Phase ของ Subwooferให้ตรงกันมากขึ้น กับค่าที่วัดได้แบบที่ คุณ KO บอกครับ
สัญญาณมันยังคงสะอาด เพราะมันถูกแปลงจาก Analog เป็น Digital ก่อนปรับ Delay EQ Slope แล้ว กลับเป็น Analog คุณภาพสัญญาณยังคงดีอยู่
การที่ใช้ DSP เข้ามาในระบบของ Passive Sub ถามว่าจะมี Time Delay เพิ่มขึ้นไหม ต้องตอบว่ามีครับ แต่จะเป็น Propragation Delay ซึ่งปกติจะมีการบอกไว้ใน Spec Sheet อยู่แล้ว โดยปกติจะอยู่ที่ 1 Micro Sec ซึ่งวิธการลด Time Delay จาก DSP ก้อทำได้ง่ายๆ โดย บวกเพิ่มการตั้งระยะใน Ch. Sub อีก 1 Foot ก้อจะชดเชยได้พอดีครับ
ถ้าต้องการปรับแบบละเอียดสุดๆ เราไม่ต้องซื้อ DSP(Digital signal processing)มาใช้เหรอครับ
คนเล่นทั่วไปคงปรับไม่เป็นแน่ ยกเว้น คุณโก้และคุณกัมปนาท KK เท่านั้นมั้งครับที่ปรับเจ้าเครื่อง DSP ได้เก่งกาจ
และเมื่อใส่ DSP(Digital signal processing)เสียงมันก็ไม่เป็นไปตามที่คุณ คุณกัมปนาท KK อยากให้เป็น
คือ มีค่า Time Delay จะสั้นที่สุด สัญญาณ bass จะไม่ถูกแตะต้องจึง สะอาดกว่า ไม่หยาบ
ขอบคุณครับสำหรับข้อมูลนี้ "ช่องสัญญาณ .1 หรือ LFE ช่องนี้ความถี่สัญญาณให้มามากกว่า80 Hzแน่นอนท่าน และถ้าสังเกตุง่ายๆ ใน AVR ใหม่ๆครับสามารถตั้งจุดตัดไปถึง 40, 60, 80 ,120 , 200 HZ ครับ แสดงว่าสัญญาณจากแผ่นให้มากว้างกว่า 200 HZ ครับ"
มี Pre/Pro อีกหลายตัวครับที่มีการ Setup Distance ของS Sub Woofer (Time Delay) อย่างอิสระ
Theta CB II และ CB III เล่นSubได้5ตัว Time Delay แยกปรับอิสระ
Mark Levinson No.40 และ No.502
Anthem AVM50v D2v
Onkyo 886
จริงท่านที่มีความสามารถด้านการปรับ DSP ผมยกให้ท่าน KO นะครับ
ส่วนตัวผมไม่ค่อยได้ใช้ DSP นะครับ ถ้าจำเป็นถึงจะแนะนำครับ
-
ขอบคุณพี่ ๆ ทุกท่าน นะครับ ที่มาให้ความรู้ กระจ่างมากขึ้นเลยครับ สุดยอดครับ O0
:clap :clap :clap :clap :clap :clap :clap :clap :clap :clap