ครับพี่ๆเรามาช่วยกันออเเบบเนตเวอรค์กันดีกว่าไหมครับผมคิดว่ามันก้เปนการdiyเหมือนกันนะครับเเต่การโมด์ก็ต้องมีหลักการเเต่ตรงนี้ซิที่ผมเองก็ยังไม่รู้มากเท่าไรเลยนะครับเพียงเเต่ออกหัวกระทู้มาเพื่อไห้พี่ๆช่วยเเนะนำว่าหลักกการสร้างเนตเวอรค์และการออกเเบบนั้นนักdiyเมื่ออาชีพนัน้เขามีหลักการคิดและออกเเบบกันอย่างไรมีหลักการคิดคำนวนอย่างไรหากเพียงเเต่แท้ว่าไห้เข้าเวปอื่นมันคงไม่เข้าใจหลักการที่เเท้จริงซักเท่าไรผมtanaขอความคิดเห็นจากพี่ๆชาวdiyด้วยนะครับ
ไม่รู้ว่าคนถามยังอยากรู้รึเปล่า? แต่บังเอิญมาเห็นแล้วก็ช่วยตอบเป็นแนวทางนะครับ
นัก DIY น่าจะแค่ระดับมือสมัครเล่นเท่านั้นนะครับ วิธีคิดจะต่างกับมืออาชีพจริงๆ ครับ การคิดอาจจะต่างกันแต่หลักการพื้นฐานจะคล้ายๆ กันคือ เริ่มจากการเลือก Driver ก่อนครับ การตอบสนองที่กว้างและเรียบของ Driver จะทำให้ออกแบบ Network ได้ง่ายครับ ถ้าคุณเลือก Driver ที่ตอบสนองแคบก็อาจจะต้องทำเป็น 3 ทาง, 4 ทาง ครับ ยังมีปัจจัยรองลงมากนอกจากการตอบสนองก็คือเรื่อง Impedance และความไวครับ
เมื่อคุณเลือก Driver แล้วก็ค่อยนำ Driver มาทำงานร่วมกัน ตอนนี้เป็นหน้าที่ของ Network แล้ว หน้าที่ของ Network ในลำโพงมีหลายลักษณะ แบ่งหลักๆ ได้เป็น
1. กำหนดจุดตัดความถี่
2. ปรับค่าและชดเชย Impedance และการตอบสนองทางเฟส
3. ปรับความไวของทั้งระบบลำโพง
จุดตัดจะเป็นเท่าใดก็ได้ตราบเท่าที่การตอบสนองของ Driver ซ้อนทับกันอยู่ เช่น Midbass ของคุณ 50-5k และ Tweeter ของคุณ 2k-20k เท่ากับว่าคุณจะตัดตรงจุดใดก็ได้ระหว่าง 2-5k ที่คุณจะต้องเลือกต่อไปก็คืออัตราการกรองหรือที่มักจะเรียกกันว่า Network Order ที่ 1-2-3-... ซึ่งอัตราการกรองจะเพิ่มขึ้น 6dB/Octave ทุกๆ 1 Order ที่เพิ่มขึ้น ต่อมาก็เลือกรูปแบบของการกรองเช่น Bessel, Butterworth, Chebichev, Linkwitz-Rilay เป็นต้น ซึ่งแต่ละแบบก็มีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกันไป ซึ่งเมื่อคุณเลือก 2 ข้อนี้ได้แล้ว ก็จะได้วงจรและสูตรคำนวณค่า LC ที่ต้องใช้ด้วย
ประเด็นต่อมาก็คือการปรับค่าและชดเชย Imp และการตอบสนองทางเฟส ในส่วนของ Imp ผู้ผลิต Driver ในปัจจุบันจะมี Graph Impedance vs Freq แนบมาให้ด้วยเสมอ ก็นำข้อมูลตัวนี้มาออกแบบวงจรการชดเชย Imp ครับ เช่น Zobel Network Compensation, Notch Filter เป็นต้น ส่วนการตอบสนองทางเฟสโดยมากจะใช้การวัดค่าเอาครับ แล้วค่อยออกแบบวงจรชดเชย โดยดูจากการวัดค่า Group Delay และ FFT Curve (Fast Fourier Transform) ซึ่งระดับสมัครเล่นอย่างเราไม่มีเครื่องมือวัด ก็ช่างมันเถอะ...
เรื่องการปรับความไวนี่ ถ้าเรามีข้อมูลที่เชื่อถือได้จาก Datasheet ก็คำนวณวงจรลดทอน (L-pad, T-pad) เข้าไปเพื่อปรับความไวแต่ละ Driver ให้สอดคล้องกันตามต้องการได้เลยครับ หลักการอย่างหนึ่งก็คือความไวเพิ่มไม่ได้ ลดได้อย่างเดียว เพราะฉะนั้นจะมี Driver อยู่ตัวหนึ่งเสมอในระบบที่ไม่จำเป็นต้องไปลดทอนความไวของมันซึ่งก็คือตัวที่ค่าความไวต่ำที่สุด และจะเป็นค่าความไวของทั้งระบบลำโพงด้วยครับ
ความยุ่งยากทั้งหมดนี้จะลดลงไปได้ดัวยการเลือก Driver ที่คุณภาพดี และให้เข้าชุดกันในด้านต่างๆ เท่าที่สามารถทำได้ครับ
