fwd mail หม้อไฟมรณะ

สมัยนี้ พฤติกรรมการกินอาหารนอกบ้านของคนไทยได้เปลี่ยนไปจากแต่ก่อน ที่นิยมกินอาหารปรุงสำเร็จ ก็กลายมาเป็นนิยมกินอาหารแบบปรุงไปกินไป หรืออาหารพร้อมปรุง ประเภทหมูกระทะ เนื้อย่างเกาหลี สุกี้ยากี้ ชาบูชาบู และจิ้มจุ่ม อีกทั้งยังนิยมกินอาหารที่อุ่นให้ร้อนอยู่เสมอประเภทหม้อไฟ มากกว่าอาหารที่สั่งมาเป็นชามๆ แบบปรุงสำเร็จอีกด้วย
สิ่งที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้ คือ ประสบการณ์ของคนที่ผ่านวิกฤตหม้อไฟมรณะจากถ่านหุงต้มมาได้อย่างหวุดหวิด และเขาได้เขียนเล่าบรรยายมาจนเห็นภาพตามไว้ในอินเตอร์เน็ต ดังนี้
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสักสามชั่วโมงที่ผ่านมานี่เองครับ กลับมาถึงบ้านก็พิมพ์เลย อยากเล่าให้คนอื่นๆ ฟังเป็นข้อเตือนใจ สำหรับการเลือกสั่งอาหารที่อาจจะทำให้ เราหมดสภาพการเป็นสิ่งมีชีวิตก่อนเวลาอันควรได้
เราร่วมฉลองวันเกิดผู้อาวุโสสูงสุดของห้องเรา ที่ร้านคาราโอเกะแห่งหนึ่งย่าน ม.เกษตร
บรรยากาศก็เป็นไปด้วยดีครับ อาหารอร่อย ห้องสวย น้องๆ พนักงานเสิร์ฟก็ใช้ได้ บนโต๊ะของเราก็มีกุ้งแช่น้ำปลา ปลาช่อนร่าเริงและอะไรอีกหลายอย่างที่ผมนั่งโจ้กันอย่าง เมามัน เคล้าเสียงร้องที่ไปคนละทิศละทางกับอาหารตรงหน้า
ที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของอาหารที่สั่งมาคงจะเป็น รวมมิตรทะเลแซบที่เป็นหม้อไฟน้ำซุปสีเข้ม หอมกลิ่นเครื่องเทศ พร้อมของทะเลและผักสดๆ ซึ่งพวกเรา ก็กระดี๊กระด๊า ตักซดกันคนล ะถ้วยสองถ้วย รสชาตินั้นดีทีเดียวครับ
เหตุการณ์ผ่านไปอย่างครึกครื้น แต่บางอย่างที่ผิดปกติกำลังจะเกิดขึ้น...
ไม่นานหลังจากร่วมกันตะเบ็งเสียงกันร้องเพลง และขอเปลี่ยนถ่านและเติมน้ำซุปในหม้อไฟแสนอร่อย ผ่านไปสักห้านาทีได้... รองอาวุโสของเราก็เกิดอาการวูบ! ล้มพับลงไป ตรงหน้าห้องคาราโอเกะหลังจากที่พึ่งกลับขึ้นมาจากห้องน้ำ พวกเราก็ช่วยกันพยุงเข้ามาในห้อง
พวกเราขอให้ผู้อาวุโสสูงสุดลงไป หยิบยาดมในรถมา แต่พอแกจะก้าวกลับเข้ามา ในห้องเท่านั้นแหละ แกก็เป็นลมตาเหลือกหงายหลังลงไปทันที ! พวกเราทิ้งไมค์ วิ่งไปปฐมพยาบาลกันใหญ่ และพี่ๆ คนอื่น ก็เริ่มมีอาการวิงเวียนเพราะก้มๆ เงยๆ กัน อยู่นานจนต้องนอนลงไปกับพื้นระเบียงตรงหน้าห้อง... น้องพนักงานก็วิ่งหายาดมมาให้ คนที่ร้องอยู่ห้องข้างๆ ก็เริ่มออกมาดู และซุบซิบกันว่าคนแก่พวกนี้ทำไมถึงเมากันเหลวแหลกขนาดนี้
เรื่องผิดปกติที่สุดสำหรับพวกเรา คือ รองอาวุโส ไม่ได้แตะน้ำยอดข้าวเลย สักหยดเดียว แถมผู้อาวุโสสูงสุดและคนที่นอนแผ่ตามๆ ลงไปนั้น ความทนต่อแอล กอฮอล์ อยู่ในระดับที่เรียกว่า คอแพลตตินัม กันเลยทีเดียว
ประโยคที่ทำให้ทุกคนหันไปมองน้องพนักงานกันเป็นตาเดียวก็คือ ....
หม้อไฟนี่ อีกแล้ว"
พวกเราก็แทบจะพูดเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า
มิน่าล่ะถึงมึน ๆ หัวกันทุกคนเลย
แต่ด้วยความที่หลายคนดริงค์ไปบ้างแล้ว จึงคิดว่าตัวเองอาจจะมึนเพราะเหล้า
แต่ก็นั่นแหละ...ก็ยังสงสัยว่าทำไมเมาเร็วจัง ส่วนรองอาวุโสก็เข้าใจว่าตัวเองอยู่ในช่วง เจท แลค เพราะพึ่งกลับมาจากภารกิจต่างประเทศ ก็เลยไม่ได้บอกกันว่าเกิดเรื่องผิดปกติกับตัวเอง คือ ต่างคนต่างมึนหัวกัน ทั่วหน้า แต่ไม่มีใครในกลุ่มคิดเลยสักคนว่า
มันมีสาเหตุมาจากหม้อไฟ
หลังจากน้องพนักงานไล่เปิดหน้าต่าง และเอาพัดลมยักษ์มาเป่าระบายในห้องให้พวกเราก็มานั่งวิเคราะห์กันว่า เพราะห้องที่เรานั่งกันอยู่นั้นไม่มีพัดลมระบายอากาศสักตัว ทำให้หม้อไฟที่ต้องใช้ออกซิเจนในการเผาไหม้ถ่านไม้ (แถมขอเติมถ่านอีกต่างหาก) แย่งเอาอากาศไปใช้หมด เช่นเดียวกับกรณีคนเสียชีวิตจากการจุดตะเกียงไว้ในเต็นท์
หรือจุดตะเกียงน้ำมันหอมไว้ในห้องแอร์
ข้อหนึ่งที่ดูน่าอันตรายมาก ถ้าหากมีใครบางคนฟุบไป แล้วเพื่อน เข้าใจว่าเมาจนหลับ...อาจจะไม่มีวันตื่นขึ้นมาอีกเลยก็ได้
พวกเราก็ได้แต่คอมเมนท์ผ่านน้องพนักงานไปว่า ต้องบอกเจ้าของร้านนะว่าต้องติดพัดลมระบายอากาศ หรือเตือนคนที่เข้ามาใช้ห้องว่า ถ้าสั่งอาหารประเภทนี้มากินต้องเปิดหน้าต่าง หรือยกเลิกรายการนี้ไปเลยก็ยิ่งดี
ต่อไปใครจะสั่งอาหารอะไรก็คงไม่แค่นึกถึงรสชาติอย่างเดียว แต่ต้องดูบรรยากาศรอบๆ ด้วยว่ามันจะเป็นอาหารจานมรณะ ส่งเราลงนรกกันไปได้ง่ายๆ หรือเปล่า
จากเหตุการณ์นี้ ได้ข้อสรุปว่าการเผาไหม้ของถ่านก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมากลอยขึ้นไปสะสมเพิ่มขึ้นในอากาศและกลายเป็นตัวสกัดกั้นความร้อนไม่ให้กระจายออกไปนอกห้องซึ่งปิดทึบ ไม่มีช่องระบายอากาศ อีกทั้ง ยังติดเครื่องปรับอากาศ ทำให้อุณหภูมิห้องร้อนขึ้น อากาศไม่ถ่ายเท ออกซิเจนไหลเวียน ไม่เพียงพอ จึงทำให้คนที่อยู่ในห้องขาดออกซิเจนหรือได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอจึงส่งผลให้มีคนเป็นลม หมดสติขึ้น อาจทำให้เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
ความจริงแล้ว อันตรายที่เกิดขึ้นระหว่างการกินอาหารพร้อมปรุงและอาหารที่อุ่นให้ร้อนตลอดเวลาในร้านอาหาร ก่อนหน้านี้ก็เคยมีนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาก๊าซหุงต้มรั่ว ควันพิษ ไฟฟ้าดูด ไฟไหม้ ฯลฯ แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาดูแลกำหนดมาตรฐานควบคุมการให้บริการร้านอาหารประเภทนี้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะในพื้นที่ กทม. ซึ่งเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่มีร้านอาหารอยู่ทั่วไปกว่า 10,000 แห่งนั้น ปัจจุบัน กทม. มีเพียงข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการห้ามใช้ก๊าซหุงต้มประกอบหรือปรุงอาหารบนโต๊ะอาหาร ที่มีผลบังคับให้ร้านอาหารที่ให้บริการอาหารพร้อมปรุง เช่น ร้านสุกี้ ต้องปรับเปลี่ยนวิธีจากใช้ก๊าซหุงต้มมาใช้หม้อไฟฟ้าเท่านั้น ส่วนกรณีการใช้ถ่านหุงต้ม ยังมิได้มีมาตรการใดๆ ที่ชี้ชัดออกมา
มีแต่ตัวเราเองเท่านั้นที่ต้องระแวดระวังภัยให้กับตัวของเราเอง อย่าได้คิดเด็ดขาดว่า ถ่านที่ร้านอาหารใช้เป็นถ่านอัดแท่งเป็นเชื้อเพลิงสะอาด ไม่มีกลิ่น ไม่มีควัน ไม่แตกประทุนั้นคงไม่มีพิษมีภัยอะไร เพราะหากเราอยู่ในสถานที่ปิดทึบ อากาศไม่ไหลเวียนถ่ายเท เราก็ยังจะได้รับอันตรายจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เหมือนถ่านทั่วๆ ไปเช่นกัน
lukjeab's mom