เมื่อวานนี้ผมได้ไปที่อีสแควร์ และได้เข้าไปร้านเครื่องเสียงแห่งหนึ่ง ซึ่งผมได้นั่งคุยกับทางเจ้าของร้านนั้น และมีพนักงานของอีกร้านหนึ่งเข้ามาร่วมวงในการสนทนาด้วย พร้อมกับคำวิจารณ์ ซึ่งผมฟังแล้วก้อเหมือนกับนักวิจารณ์ท่องจำ พอทิ้งช่วงไปอีกระยะหนึ่ง เค้าได้พานักเล่นเครื่องเสียงมาอีกสองท่าน ซึ่งผมไม่เข้าใจว่าทั้งสองท่านที่มานั่งโดยมีเกจิมาเป็นผู้ชี้แนวทาง ซึ่งผมนั่งฟังแล้วผมเกิดความสงสารนักเล่นเครื่องเสียงทั้งสองท่านนั้น และอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมรู้ว่า นักเล่นรุ่นใหญ่ ๆ และนักเล่นเก่า ๆ ที่จับกลุ่มกัน เป็นกลุ่ม ๆ โดยที่ไม่เข้ามาข้องเกี่ยวกับนักเล่นรุ่นใหม่เพราะอะไร ( ถ้าให้ผมเปรียบเทียบเกจิท่านนั้น ผมจะเปรียบแบบการดูคอนเสิรท์ดีกว่า เช่น ในคอนเสิรท์จะมีบัตรที่มีราคาแตกต่างกัน อย่าง 8,000 , 6,000 , 5,000 , 4,000 , 3,000 และ 2,000 ผมจะเปรียบเกจิท่านนี้ว่า แกได้นั่งฟังอยู่ในตำแหน่งที่ราคา 2,000 บาท ซึ่งทางอิมเมจเค้าก้อจะมองเห็นจำนวนชิ้นดนตรีของจุดที่นั่ง 8,000 และ 2,000 จำนวนชิ้นเท่ากันแต่ขนาดของชิ้นดนตรีกับความชัดเจนนั้นแตกต่างกัน รายละเอียดต่าง ๆ ที่ได้ยินก้อจะแตกต่างกัน ซึ่งเกจิท่านนี้เอาสิ่งที่แกได้รับรู้ในจุดตำแหน่งตรงนั้น มาสอนให้กับคนอื่น ซึ่งผมดูแล้วเป็นเรื่องตลกพอสมควร พอผมมองกลับไปเห็นเพื่อนสมาชิกสองท่านนั้น กับสิ่งที่เกจิกำลังป้อนให้ ผมร้องอยู่ในใจว่า
โอ้ ... มายก๊อด ) ซึ่งบรรดาเพื่อนรุ่นพี่หรือเมื่อประมาณสิบกว่าปีก่อนที่ผมได้เรียกเค้าว่าอาจารย์ เค้าเคยพูดกับผมเมื่อสองสามปีที่ผ่านมาว่า วงการนี้มันใกล้จะจบหรือจะเล็กลง เพราะถ้ามีประเภทนักวิจารณ์ ที่อ่านตามหรือท่องจำจากบทความโดยไม่ได้คำนึงถึงความถูกต้อง ซึ่งในสิ่งที่พูดออกมานั้น ในบางส่วนก้อเป็นสิ่งที่ผิด แต่ใช้ระบบการปิดบังตัวเอง