HTG2.club

ซีดี เขมรไทรโยค โดย วง BSO

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Help !!!

  • Guest (บุคคลทั่วไป)
  • Superstar...
  • *
    • กระทู้: 5,866
  • Please Help Thanks
เขมรไทรโยค
 
สนใจซีดีแผ่นนี้แต่หาซื้อไม่ได้ลองติดต่อไปที่มุลนิธิวงดุริยางค์ซิมโฟนีกรุงเทพ โทร 02256-9935-8
                บางท่านอาจมีความเห็นว่าเพลงไทยนั้นใช้โน้ตเพียง ๕ ตัว ไม่สามารถนำมาบรรเลงโดยเครื่องดนตรีสาสากล  ลองฟังแผ่นนี้สิครับ วงดนตรี, Soloist} วาทยกร, ผู้เรียบเรียงเสียงประสาน ท่านเหล่านี้แต่ละท่านก็เป็นผู้มีความสามารถสูงและเป็นที่ยอมรับในวงการดนตรี อีกทั้งราคาของแผ่นซีดีแผ่นนี้ก็นับว่าย่อมเยามาก
(หมายเหตุ : เนื่องจากความอ่อนด้อยในเรื่องของชุดเครื่องเสียงที่มีใช้อยู่ ผมใช้ Passive Integrated Amp
ของ SAC Thailand รุ่น Minuet เครื่องเล่นซีดี Marantz รุ่น Slim มีเทปกับซีดีในเครื่องเดียวกัน สายสัญญาณ จากบ้านหม้อเส้นละสี่สิบาทสายลำโพงสีฟ้าส้มจากร้านเยนเนอรัลบ้านหม้อ เมตรละห้าบาท  ลำโพง  Norh 3.0 ไม่มีการ setup system ระบบเสียงผมเป็นอีกคนที่อยู่ในก"ฟัง" แต่เมื่อนำซีดีแผ่นนี้มาเปิดฟังผมมีความรู้สึกชอบและภูมิใจที่เพลงไทยก็ทำได้เหมือนกัน
 ท่านที่มีชุดที่ดีกว่าของผมรับรองว่าท่านคงพอใจกับซีดีแผ่นนี้  แค่นี้แหล่ะครับ)
 
Shardad  Rohani
ชาร์แดด  โรฮานี(ผู้อำนวยเพลง)
            ชาร์แดด  โรฮานี ศึกษาวิชาการดนตรีที่วิทยาลัยดนตรีกรุงเวียนนา  เขาเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับทุนและรางวัลสำคัญๆ มากมาย ทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา อาทิ ทุน Gema ที่กรุงเวียนนา และทุน ASCAP ที่นครลอสแองเจลิส
                ชาร์แดด  โรฮานี มีชื่อเสียงโด่งดังมากในระดับนานาชาติทั้งในฐานะผู้อำนวยเพลงและผู้ประพันธ์เพลง  เขาได้มีโอกาสนำผลงานของตนเองออกบรรเลงโดยวงออร์เคสตรามากมาย  ทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา โดยเป็นผู้อำนวยเพลงด้วยตนเองนอกจากนี้เขายังเป็นผู้อำนวยเพลงรับเชิญให้กับวงออร์เคสตราที่มีชื่อเสียงหลายวงไม่ว่าจะเป็น Minnesota Symphony Orchestra, Colorada Symphony, San Diego
 Symphony, Indianapolis Symphony, New Jersy Symphony, Slovak Radio Philhamonic และ American Youth Symphony ฯลฯ
                ชาร์แดด  โรฮานี  มีผลงานการบันทึกเสียงเพลงคลาสสิคร่วมกับบริษัทแผ่นเสียงที่โด่งดังเช่น Discover และ Koch International ผลงานในระยะหลังของเขาที่น่าภาคภูมิใจที่สุดงานหนึ่งก็คือ การอำนวยเพลงคอนเสิร์ตกลางแจ้ง กับวง London Royal Philharmonic Concert Orchestra ณ มหาวิหารพาเธนอน กรุงเอเธนส์
 ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงสร้างความประทับใจให้กับนักวิจารณ์และและผู้ชมอย่างมากมายเป็นคอนเสิร์ตที่ได้รับการถ่ายทอดทางทีวีสู่สาธารณะชนอย่ากว้างขวางคอนเสิร์ตหนึ่งในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้เขายังเคยเป็นผู้อำนวยเพลงของวง COTA Symphony Orchestra ในปีค.ศ. ๑๙๘๖ ถึง ค.ศ. ๑๙๙๕
                นอกจากการรับเชิญไปอำนวยเพลงให้กับวงออร์เครสตราทั่วโลกแล้ว เขายังได้เซ็นสัญญาเป็นระยะเวลา ๕ ปี เพื่อบันทึกเสียงแผ่นซีดี ๒๕ แผ่น ให้หับบริษัท Discover และ Koch International  เขาได้รับการวิจารณ์จาก สุบิน  เมธา ว่าเป็นหึ่งในบรรดาวาทยกรหนุ่มชาวอเมริกันที่มีความเฉลียวฉลาดและมีความสามารถหลายรูปแบบ
 
 ๑ ค้างคาวกินกล้วย
เรียบเรียงเสียงประสานโดย Shardad  Rohani
เดี่ยวไวโอลินโดย สิทธิชัย  เพ็งเจริญ
                เพลงอัตราจังหวะสองชั้น ทำนองเก่า ใช้ประกอบการแสดงละคร เป็นเพลงที่มีลีลาทำนองอัตราจังหวะกระชั้น รุกเร้า ชวนให้อารมณ์คึกคัก สนุกสนาน หรืออารมณ์ตลกขบขัน เพลงนี้มีสามท่อน เพลงนี้มีหลายชื่อเช่น แร้งกระพือปีกหรือ ลิงถอกกระดอเสือ
                ในการบรรเลงครั้งนี้ใช้ไวโอลินเดี่ยวทำนองหลัก ร่วมกันสอดประสานของวงอย่างครื้นแครง มีการนำเอาเครื่องประกอบจังหวะของไทย ได้แก่ กลองแขก ฉิ่ง ฉาบ มาร่วมเพิ่มสีสัในตอนท้ายสุดได้ใช้ทำนอง"ออกลูกหมด" เป็นการจบลงอย่าเร้าใจ
 
๒ พม่ารำขวาน
เรียบเรียงเสียงประสานโดย Shardad  Rohani
                เพลงสำเนียงพม่าทำนองเก่า อัตราชั้นเดียว แบ่งวรรคตอนสั้นๆโต้ตอบกันด้วนลีลาคึกคักสนุกสนาน  ใช้ประกอบการแสดงละคร และใช้บรรเลงในการออกเพลงภาษา
                สำหรับการเรียบเรียงใหม่ครั้งนี้  ยังคงรักษาอรรถรสความสนุกสนานของตัวเพลงเอาไว้  และได้นำเพลงพม่ารำทวนซึ่งมีท่วงทีลีลาสอดรับกับพม่ารำขวานมาต่อท้ายอีกเพลงหนึ่ง
 
๓ ขับไม้บัณเฑาะว์
เรียบเรียงเสียงประสานโดย Hans  Gunther Mommer
            ๑. เพลงอัตราจังหวะสองชั้น ทำนองเก่าสมัยโบราณ ใช้บรรเลงในวงขับไม้ มี ๔ ท่อน เพลงนี้รวมอยู่ในตับเพลงเรื่องกระแต่ไต่ไม้ ประกอบด้วยเพลงกระแตไต่ไม้ ขับนกและขับไม้บัณเฑาะว์
            ๒. เพลงเดี่ยว พระยาภูมีเสวิน (จิตร จิตตเสวี) แต่งจากเพลงขับไม้บัณเฑาะว์ ทำนองเก่า ให้เป็นเพลงเดี่ยวสำหรับซอสามสาย
            ๓. เพลงโหมโรง นายมนตรี ตราโมท แต่งขยายจากเพลงขับไม้บัณเฑาะว์สองชั้น ซึ่งเป็นเพลงชุดอยู่ในตับเพลงเรื่องกระแต่ไต่ไม้ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๑ โดยแต่งเป็นทางกรอให้วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ของกรมศิลปากร นำไปบรรเลงให้ประชาชนชมครั้งแรก ณ สังคีตศาลา ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ เพลงนี้มีความหมายในเชิงโน้มน้าวจิตใจให้สงบ
 มีปณิธานแน่วแน่ในการบูชาสิ่งศักดิ์ด้วยความเคารพ
 
๔ ลาวเสี่ยงเทียน
ผู้ประพันธ์ หลวงประดิษฐไพเราะ(ศร  ศิลปบรรเลง)
เรียบเรียงเสียงประสานโดย นาวาตรี ปิยพันธ์  สนิทวงศ์  ณ อยุธยา รน.
                เพลงลาวเสี่ยงเทียน เป็นเพลงอัตราสองชั้น ทำนองเก่าสำเนียงลาว ประเภทหน้าทับสองไม้ นักดนตรีไม่ทราบนามแต่งทำนองเพลงไว้โดยมิได้ตั้งื่อเพลง  ต่อมาวงการละครนำทำนองไปบรรเลงขับร้องประกอบการแสดงละครเฉพาะท่อนแรก  โดยบรรจุบทร้อง"เจ้าสาวโคมเวียงเสี่ยงเทียนถวาย ขอน้อมกายก"
 คนทั่วไปจึงได้ยินจึงเรียกชื่อตามเนื้อร้องว่า เพลงลาวเสี่ยงเทียน  จนเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป  หลวงประดิษฐไพเราะ(ศร  ศิลปบรรเลง) ได้แต่งขยายเป็นอัตราสามชั้น  พร้อมทั้งเที่ยวเปลี่ย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๑ และแต่งตัดเป็นชั้นเดียว  ครบเป็นเพลงเถา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๖ โดยแต่งทำนองให้เป็นสำเนียงภาคเหนือและแต่งทำนองทางเปลี่ยนทั้ง ๒ ท่อน
 ของอัตราจังหวะสามชั้นและสองชั้น  บทร้องนำมาจากบทละครเรื่อง "พระลอนรลักษณ" พระราชนิพนธ์ในกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ
            ในการบรรเลงครั้งนี้ได้นำทำนองเฉพาะท่อน ๑ ของอัตราสามชั้น สองชั้นและชั้นเดียวมาเรียงร้อยต่อเนื่องกันไปในลักษณะเพลงเพลงลาวเสี่ยงเทียนเถาแบบต่อส่วน ช่วงสามชั้นและสองชั้น แบ่งเป็นทำนองขับร้องในเที่ยวแรก และทำนองดนตรีรับในเที่ยวหลัง  ส่วนชั้นเดียวเป็นทางดนตรีรับเท่านั้น
 
๕ เขมรพระบาท
เรียบเรียงเสียงประสานโดย Hans  Gunther Mommer
เพลงเขมรพระบาทมีเค้าโครงมาจากเพลงพื้นบ้านเขมรโบราณเพลงหนึ่งชื่อว่า "บ" เป็นเพลงท่อนสั้นๆมีท่อนเดียว  นิยมใช้บรรเลงและขับร้องในวงมโหรีพื้นบ้านเขมร  ต่อมานักดนตรีไทยได้นำมาปรับปรุงลีลาทำนองและจังหวะเพิ่มเติมขึ้นใหม่กลายเป็นพลงไทยสำเนียงเขมร ตั้งช"เขมรช" ซึ่งน่าจะมาจาก Cadet
 อันหมายถึงเพลงประจำของนักเรียนนายทหารในสมัยก่อน  เพลงเขมรชะเด็จนี้มี ๕ ท่อน  ประกอบด้วยวรรคสั้นๆ ลีลาเข้มแข็ง คึกคัก ส่งรับกันอย่างสนุกสนาน  และมีการย้ายบันไดเสียงในช่วงท่อน ๓-๔-๕ นิยมใช้บรรเลงด้วยวงโยธวาทิตในเพลงเดินแถวสวนสนามและในการแสดงละครพันทางออกภาษาเขมร
ส่วนเพลง"เขมรพระบาท" นี้ปรากฏอยู่ในหนังสือโน้ตเพลงไทยเล่มหนึ่ง ช"เพลง"หรือ Siamesiche Musik พิมพ์ที่เมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซียเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ เรียบเรียงต้นฉบับโดยครูดนตรีชาวเยอรมันชื่อ Paul  J. Seelig ซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดกับสมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต
 คนหนึ่งและเคยมีบทบาทมากในการพัฒนาหลักการเรียนเรียบเรียงเสียงประสานเพลงไทยสำหรับวงโยธวาทิตของกองทัพไทยในสมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง  ในหนังสือเพลงสยาม Mr. Seelig เขียนชื่อเพลง"เขมรพระบาทปทุมวัง"(Khamen Prabad Pratoom Vang) ซึ่งเมื่อตรวจสอบข้อมูลดูแล้ว ก็คือเพลงเขมรขะเด็จนั่นเอง เพียงแต่มีการเรียงวรรคตอนที่คลาดเคลื่อนออกไปจากของเดิมพอสมควร
 ซึ่งอาจเป็นเพราะการบันทึกโน้ตด้วยระบบมุขปาฐะในสมัยก่อนหรือความสับสนในโครงสร้างเพลงที่เรียนรู้มาจากนักดนตรีในขณะนั้นก็ได้
                อย่างไรก็ตามเพลงเขมรพระบาทที่นำมาบรรเลงครั้งนี้  แม้จะไม่ตรงกับต้นฉบับของ Seelig เสียเลยทีเดียวแต่ก็ถือเ็นการตีความใหม่และความสามมารถการเรียบเรียงเสียงประสานของ  Hans Gunther Mommer ผู้อำนวยเพลงชาวเยอรมันท่านนี้

๖ ต้นวรเชษฐ์
ผู้ประพันธ์  ครูกล้อย  ณ  บาวงช้าง
เรียบเรียงเสียงประสานโดย นาวาตรี ปิยพันธ์  สนิทวงศ์  ณ อยุธยา รน.
                เพลงอัตราจังหวะสองชั้นและชั้นเดียว เป็นทำนองเก่าสมัยอยุธยาอยู่ในเพลงประเภทสองไม้ และเพลงเร็วเรื่องเต่ากินผักบุ้ง นายกล้อย ณ บางช้าง นักดนตรีจากจังหวัดสมุทรสงครามได้นำเพลงต้นบรเทศสองชั้นมาแต่งขยาย โดยดัดแปลงทำนองให้มีจังหวะทิ้งท้ายทั้งสามชั้นและสองชั้น เพลงนี้บางทีเรียกว่า เพลงต้นบรเทศ
                หลวงประดิษฐไพเราะ(ศร ศิลปบรรเลง ได้นำทำนองสามชั้นของครูกล้อยไปปรับปรุงใหม่อีกทางมีทำนองกรอหวานไพเราะ ใช้ชื่อว่า "ชมแสงทอง"
                กระบวนเพลงต้วรเชษฐที่เรียบเรียงใหม่นี้ ลำดับความให้เป็นสี่ท่นสั้นๆต่อเนื่องกันไป ๒ รอบใหญ่ โดยบรรเลงท่อนแรกอย่างสุขุมเนิบนาบและมีการย้อนต้นเพื่ออวดชั้นเชิงการสอดล้อทำนองหลักด้วยเครื่องดนตรีสองกลุ่มส่วนท่อนอื่นๆไม่มีการย้อน  แต่ผันแปรอารมณ์ไปในทางคึกคักสดชื่นขึ้น  มีการย้ายบันไดเสียงในท่อนสาม
 และในช่วงท้ายมีการน"เพลงเร็วแขกบ" ที่ใช้ในโขนละคนมาแทรกก่อนจบ
 
๗ ลาวดวงเดือน
ผู้ประพันธ์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ  กรมหมื่นพิชัยมหินทโรดม
เรียบเรียงเสียงประสานโดย ฯพณฯ องคมนตรี พลเรือตรีหม่อมหลวงอัศนี  ปราโมท
เดี่ยวโอโบโดย  ดำริห์  บรรณวิทยกิจ
                ผู้ทรงนิพนธ์เพลงนี้คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นพิชัยมหินทโรดม พระนามเดิม พระองค์เจ้าชายเพ็ญพัฒน์พงศ์ ในขณะที่มีพระชนมพรรษา ๒๑ พรรษา  พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ัว รัชกาลที่ ๕ ในปี พ.ศ. ๒๔๔๖ พระองค์ทรงจบการศึกษาจากประเทศอังกฤษและได้เสด็จประพาสเชียงใหม่
 ได้รับการต้อนรับจากเจ้าหลวงอินทวโรรสสุริวงศ์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่และเจ้าแม่ทพย์เนตร มีการจัดงานเลี้ยงต้อนรับขึ้น ในงานเลี้ยงครั้งนี้มี เจ้าราชสัมพันธวงศ์(ธรรมลังกา) และเจ้าแม่คำย่นณ ลำพูน พร้อมธิดาคนโต  เจ้าหญิงชมชื่นซึ้งมีอายุเพียง ๑๖ ปี
                                              เจ้าหญิงชมชื่น(พระธิดาองค์ที ของเจ้าธรรมลังกา)
ที่ทำให้พระองค์เจ้าชายเพ็ญพัฒน์พงษ์ ถึงกับตะลึงในแบบรักแรกพบ ในวันรุ่งขึ้นพระองค์ได้ทรงให้ พระยานริศราชกิจ ข้าหลวงใหญ่ใมณฑลพายัพ นำพระองค์ไปเยี่ยมคุ้มเจ้าราชสัมพันธวงศ์(คุ้มหน้าวัดบ้านปิง ปัจจุบันคือบ้านใบเมียงที่ฝรั่งเช่าทำเป็นที่สอนศาสนา) และกลายเป็นแขกประจำคุ้ม
 ต่อมาได้ทรงให้พระยานริศราชกิจเป็นเถ้าแก่ไปเจจาสู่ขอเจ้าหญิงชมชื่นแต่ทางบิดาฝ่ายหญิงผู้เชี่ยวชาญในด้านกฎหมายนั้นได้ทัดทาน(มิได้ปฏิเสธ)ไว้ สองเงื่อนไขคือ
                     
๑ ขอให้รอจนเจ้าหญิงชมชื่นอายุ ๑๘ ปี เสียก่อน
                ๒ ต้องทำให้ถูกต้องตามขนบธรรมเนียม คือ พระองค์จะอภิเษกสมรสต้องได้รับพระบรมราชานุญาต
                     เป็นสะใภ้หลวง มิฉะนั้นก็จะเป็นเพียงแค่นางบำเรอ

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น ๔ พระองค์เจ้าโสณบัณฑิต กรมขุนพิท>ฤฒิธาดา ต้นราชสกุล โสณกุล
 
เหตุที่ ทัดทานครั้งนี้เกิดจากเรื่องความรักระหว่างพระองค์เจ้าโสณบัณฑิต ทางเจ้านายในราชวงศ์จักรีนี้ เคยเกิดขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๓๓ มาแล้ว คือ พระองค์เจ้าโสณบัณฑิต พระราชโอรสในสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ัว รัชกาลที่ ๔  พระน้องยาเธอใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ัว รัชการที่ ๕ ได้เสด็จมาปราบปรามพวกยางแดง แถวแม่น้ำสาละวิ(คง)   และได้พบรักกับ
 เจ้าหญิงข่ายแก้ว ธิดาเจ้าทักษิณนิเกตน์(มหายศ) และทรงสู่ขอจากเจ้าทักษิณนิเกตน์(มหายศ) แต่ไม่ได้รับพระบรมราชานุญาตในการเสกสมรส และไม่มีพระโอรสและพระธิดาด้วยกัน ครั้นพระองค์เจ้าโสณบัณฑิตเสด็จกลับกรุงเทพก็ไม่ได้เอาลงมาด้วยเพราะมีหม่อมอมอยู่แล้ว ทำให้เจ้าหญิงข่ายแก้ว กลายเป็น "แม่ร้าง" ที่จะไปร้องเรียนกับใครก็ไม่ได้
 เจ้าราชสัมพันธ์วงศ์ (ธรรมลังกา) จึงไม่ปรารถนาให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงได้ทัดทานไว้ และพระองค์จึงเสด็จกลับกรุงเทพเพื่อปรึกษาญาติผู้ใหญ่ซึ้งก็ได้รับการทัดทานอย่างหนักหน่วง เมื่อไม่สมหวังก็ทรงหันเข้าหาความเยือกเย็นแห่งดนตรีไทยดับความรุ่มร้อนในหัวอก และก็ทรงนิพนธ์เพลงนี้จากบทร้องจากวรรณคดีเรื่อง "พ"ขึ้นมาทำให้เกิดตำนานรักเพลง
 "ลาวดวงเดือน"
 
๘ ลาวเจริญศรี
ผู้ประพันธ์ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์
เรียบเรียงเสียงประสานโดย ฯพณฯ องคมนตรี พลเรือตรีหม่อมหลวงอัศนี  ปราโมท
เพลงลาวเจริญศรีเป็นการรวมเพลงไทยสำเนียงลาวเพลงสั่นๆ ๒ เพลง คือ ลาวเล็กตัดสร้อยกับลาวเล่นน้ำ  เข้าไว้ด้วยกันเพื่อนำมาใช้ขับร้องประกอบการแสดงละครเรื่องพระลอ บทพระนิพนธ์ของกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์  ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ัว ซึ่งขึ้นต"อายุเยาวเรศรุ่นจริญ" เพลงทั้งสองจึงถูกเรียกรวมกันเป็นชื่อใหม่ว่า
 "ลาวเจริญ" และเป็นเพลงที่ได้รับความนิยมกันอย่างกว้างขวาง  โดยเฉพาะในการนำไปเรียบเรียงเข้ากับเพลงสำเนียงลาวอื่นๆในชุด"ตับพ" ซึ่งบรรยายความงามของพระเอนพระแพงและการเดินทางของพระลอด้วยอารมณ์ละเมอรัก
ในการเรียบเรียงครั้งนี้ จะขึ้นต้นด้วยเพลง"" ด้วยปี่โอโบและเครื่อสายแล้วตัดเข้าตัวเพลงลาวเจริญศรี ๓ ท่อน ในลีลาอารมณ์รักที่แตกต่างกันไป มีทั้งความฝัน ล่องลอย อ่อนหวาน รัญจวนใจ  จบท้ายด้วยการนำวรรคต้นของท่อนแรกมาย้ำด้วยเครื่องดนตรีต่างๆ
 
๙ เทพรัญจวน
ผ็ประพันธ์  พระประดิษฐไพเราะ(ครูมีแขก)
เรียบเรียงเสียงประสานโดย นาวาตรี ปิยพันธ์  สนิทวงศ์  ณ อยุธยา รน.
            ๑.เพลงอัตราสองชั้นทำนองเก่าสมัยอยุธยาหรือในเพลงเรื่องนางหงส์หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเพลงเรื่องพราหมณ์เก็บหัวแหวน เพลงนี้ในอัตราชั้นเดียวเรียกว่า เพลงกระบอกทอง หรือ แสนสุดสวาท ซึ่งบรรจุอยู่ในเพลงปี่พาทย์ประโคมศพเรื่อง "นางหงส์ ๒ ช"  ต่อมาในปลายสม้ยรัชสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยูหัว พระประดิษฐไพเราะ(ครูมีแขก)
 ได้นำทำนองเพลงแสนสุดสวาทมาแต่งขยายขึ้นเป็นอัตราสามชั้นและตั้งช"เทพรัญจวน" นอกจากนี้ยังอัตราจังหวะครึ่งชั้น โดยเป็นทำนองรวมอยู่ในเรื่องเพลงฉิ่ง
            ๒.เพลงเถา มีนักดนตรีหลายท่านได้นำเพลงเทพรัญจวนสองชั้นและชั้นเดียว ทำนองเก่าสมัยอยุธยานี้มาทำเป็นเพลงเถา กล่าวคือ ในอัตราสามชั้นที่นำมาบรรเลงเที่ยวแรกเป็นทางของหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (มี ดุริยางกูร) แต่งเมื่อปลายรัชกาลที่ ๓ เที่ยวกลับเป็นทางของนายช้อย
 สุนทรวาทินกับพระยาประสานดุริยศัพท์ร่วมกันแต่งให้วงปี่พาทย์ของพระยาจิรายุมนตรี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็นพระยาอิทราบดีสีหราชครองเมือง นอกจากนี้ในอัตราสามชั้นยังมีอีกทางหนึ่งซึ่งหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) เป็นผู้แต่งเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๓ ทำนองที่แต่งมีท่วงทำนองและลีลาแตกต่างไปจากทางของนายช้อย สุนทรวาทินและพระยาประสานดุริยศัพย์
 นอกจากนี้หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร  ศิลปบรรเลง) ได้แต่งปรับทำนองเป็นสองชั้นและชั้นเดียวครบเป็นเพลงเถา
            ในการเรียบเรียงเรียงเพลงเทพรัญจวนครั้งนี้  ผู้เรียบเรียงได้นำทำนองสามชั้นท่อน ๑ ทั้งทางร้องและทางบรรเลงมาจัดระเบียบใหม่  โดยแบ่งเป็น เริ่มต้นท่อนช้าๆ เช่นเดียวกับทางร้องอย่างวิจิตรงดงาม แล้วตามด้วยทางบรรเลงรับ ๑ ท่อน มีลีลาเข้มแข็งแะลำดับวรรคตอนต่างๆ อย่างอวดชั้นเชิง  จากนั้นจึงกลับมายังทางร้องอีกครั้ง ๒
 รอบในลีลาที่งามสง่าประดุจเทพยดาเหาะเหิรล่องลอยจากสวรรค์ชั้นฟ้า  แล้วรับด้วยทางบรรเลงรับ ๑ ครั้ง ก่อนลงจบสุดท้ายด้วย "ลูก" ซึ่งเป็นเทคนิคการประพันธ์เพลงไทยที่ยืนเสียงสำคัญไว้ด้วยทำนองสั้นๆที่ปรากฏแทรกอยู่ในทุกท่อน  และถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเพลงนี้
           
๑๐ เขมรราชบุรี
ผู้ประพันธ์ หลวงประดิษฐไพเราะ(ศร  ศิลปบรรเลง)
เรียบเรียงเสียงประสานโดย Hans  Gunther Mommer
                เพลงเถา พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) แต่งจากเพลง"สองไม้เขมรราชบ" สองท่อนทำนองเก่า เฉพาะอัตราจังหวะสามชั้นได้แต่งร่วมกับหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๒ เป็นเพลงสองท่อน  ขนาดยาวในแต่ละท่อนได้แทรกการสอดล้อทำนองและผูกประโยควรรคตอนอย่างสลับซับซ้อน ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในเพลงตระก"โยน" หรือ
 "ท" ที่โดดเด่นที่สุดของวงการเพลงไทยและอีกทางหนึ่ง นายเฉลิม บัวทั่ง เป็นผู้แต่งขึ้น
                ในการบรรเลงครั้งนี้เป็นการนำท่อนแรกของเพลงมาเรียงใหม่โดยนำเอาทำนองที่ใช้ขับร้องมาขึ้นต้นในวรรคที่ว่า                   
"ชะรอยกรรมจำพรากต้อวจากไกล         จะผ่อนผันฉันใดนะอกเอ๋ย
                ถ้าแม้นเขามิสงสัยไม่ไปเลย                                  จะอยู่เชยชมแก้วก"
บทละครเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในรัชการที่ ๒ แบ่งบทบาทให้เครื่องดนตรีต่างๆเดินทำนองอย่างโศกเศร้าอาลัยอาวรณ์  ผนวกกับอารมณ์ลึกลับ เวิ้งว้าง มีการแทรกศิลปะการร้องเอื้อนอย่างไทยๆ เมื่อจบคำร้องแล้วนำ Motif           สั้นๆในช่วงทำนองรับร้องมาบรรเลงต่อเนื่องกันไปในลักษณะ Variation แตกต่างกันไป ๙ ลีลา
 แล้วปิดท้ายด้วยทำนองขับร้องแบบตอนต้นเพลงอีกครั้งหนึ่งอย่างสวยงาม
 
๑๑ เขมรไทรโยค
ผู้ประพันธ์  สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์
เรียบเรียงเสียงประสานโดย ฯพณฯ องคมนตรี พลเรือตรีหม่อมหลวงอัศนี  ปราโมท
เดี่ยวไวโอลินโดย สิทธิชัย  เพ็งเจริญ
๑. เพลงอัตราจังหวะสามชั้น บทร้องและทำนองเพลงบรรยายความและเลียนเสียงธรรมชาติของน้ำตกไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ทรงนิพนธ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๑ โดยนำเพลงเขมรกล่อมลูกสองชั้นทำนองเก่า มาแต่งขยาย แทรกสำเนียงและเพิ่มลีลาให้รรยายความตามทัศนียภาพที่ได้พบขณะที่ทรงตามเสด็จไปอำเภอไทรโยค
 เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๐ เพลงเขมรไทรโยคสามชั้นนี้ ทรงพระนิพนธ์เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ และได้จัดบรรเลงถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ัว ในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาใน วันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๓๑ ณ ศาลายุทธนาธิการ ประทานชื่อเพลงอะไร และโดยที่เพบงนี้ขึ้นต้นบทร้องว่า "บรรยายความตามไท้ เสด็จยาตร
 ยังไทรโยคประพาสพนาสณฑ" จึงเรียกชื่อเพลงนี้ว่า เขมรไทรโยคจนเป็นชื่อที่แพร่หลายไปในที่สุด
๒. เพลงเถา หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ได้นำเพลงเขมรไทรโยคสามชั้น ซึ่งเป็นเพลงพระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ มาแต่งขยายเป็นอัตราจังหวะสี่ชั้น โดยดำเนินลีลาและทำนองตามแบบของเพลงเดิม พร้อมกันนี้ก็ได้แต่งตัดลงเป็นอัตราจังหวะตั้งแต่อัตราจังหวะสี่ชั้น สามชั้น และสองชั้น
 ไม่มีอัตราจังหวะชั้นเดียว แต่มักนิยมบรรเลงออกท้ายเครื่องด้วยเพลงสำเนียงเขมรต่าง ๆ
ทัศนียภาพของน้ำตกไทรโยตที่เรียบเรียงถ่ายทอดความงดงามด้วยลีลาของไวโอลินเดี่ยวในท่อนแรกและการผสมผสานสีสันของเครื่องดนตรีต่างๆในท่อนสองอย่างเคร่งขรึม และสงบขลัง
 
เพลงเขมรกล่อมลูก ลายพระหัตถ์ ของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
 
๑๒ แขกเชิญเจ้า
ผู้ประพันธ์  พระยาประสานดุริยะศัพท์(แปลก  ประสานศัพท์)
ผู้เรียบเรียงเสียงประสาน ศาสตราจารย์พระเจนดุริยาง(ปิติ  วาทยกร)
๑. เพลงอัตราจังหวะสองชั้น จ่าเผ่นผยองยิ่ง (จ่าโคม) ครูสักว่ามีชื่อ เป็นผู้แต่งทำนองทางร้องเพื่อใช้เป็นเพลอำลา ต่อมาพระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) นำทำนองร้องมาแต่งเป็นทำนองดนตรีทั้งอัตราจังหวะสองชั้นและอัตราจังหวะสามชั้น โดยในอัตราจังหวะสามชั้นนั้นใช้บรรเลงเป็นเพลงโหมโรง เรียก โหมโรงแขกเชิญเจ้า
๒. เพลงเถา นายเปล่ง แจ้งจรัส ประจำกองแตรวงทหารรักษาวัง จ.ป.ร. นำเพลงแขกเชิญเจ้าในอัตรา
จังหวะสองชั้นขึ้นมาแต่งขยายและแต่งตัดเป็นเพลงเถา ในราวปลายสมัยรัชกาลที่ ๖ นอกจากนี้นายเฉลิม บัวทั่ง ยังได้นำมาแต่งเป็นพลงเถาอีกทางหนึ่ง
            เพลงนี้ต่อมาได้รับความนิยมนำไปเป็นเพลงเดินแถวของแตรวง  และใช้เป็นเพลงประกอบการร่ายรำของกรมศิลปากรในชุดระบำเทพบรรเทิง
                สำหรับเรียบเรียงใหม่ครั้งนี้  เน้นกระบวนการจัดซุ่มมเสียงของวงดนตรีอย่างโอ่อ่าสง่าผ่าเผย  มีการสอดแทรกการไล่ล้อทำนองสั้นๆของเครื่องดนตรีกลุ่มต่างๆและการเน้นจังหวะเดินที่องอาจแข็งแกร่ง�
กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่เพื่อนๆที่ยังไม่ได้สมัครสมาชิกฝากถามมา ก็ขอความอนุเคราะห์จากเพื่อนๆสมาชิก ช่วยตอบให้ด้วยนะคร๊าบผม...ขอบคุณมั่กๆครับ...