เขมรไทรโยค
สนใจซีดีแผ่นนี้แต่หาซื้อไม่ได้ลองติดต่อไปที่มุลนิธิวงดุริยางค์ซิมโฟนีกรุงเทพ โทร 02256-9935-8
บางท่านอาจมีความเห็นว่าเพลงไทยนั้นใช้โน้ตเพียง ๕ ตัว ไม่สามารถนำมาบรรเลงโดยเครื่องดนตรีสาสากล ลองฟังแผ่นนี้สิครับ วงดนตรี, Soloist} วาทยกร, ผู้เรียบเรียงเสียงประสาน ท่านเหล่านี้แต่ละท่านก็เป็นผู้มีความสามารถสูงและเป็นที่ยอมรับในวงการดนตรี อีกทั้งราคาของแผ่นซีดีแผ่นนี้ก็นับว่าย่อมเยามาก
(หมายเหตุ : เนื่องจากความอ่อนด้อยในเรื่องของชุดเครื่องเสียงที่มีใช้อยู่ ผมใช้ Passive Integrated Amp
ของ SAC Thailand รุ่น Minuet เครื่องเล่นซีดี Marantz รุ่น Slim มีเทปกับซีดีในเครื่องเดียวกัน สายสัญญาณ จากบ้านหม้อเส้นละสี่สิบาทสายลำโพงสีฟ้าส้มจากร้านเยนเนอรัลบ้านหม้อ เมตรละห้าบาท ลำโพง Norh 3.0 ไม่มีการ setup system ระบบเสียงผมเป็นอีกคนที่อยู่ในก"ฟัง" แต่เมื่อนำซีดีแผ่นนี้มาเปิดฟังผมมีความรู้สึกชอบและภูมิใจที่เพลงไทยก็ทำได้เหมือนกัน
ท่านที่มีชุดที่ดีกว่าของผมรับรองว่าท่านคงพอใจกับซีดีแผ่นนี้ แค่นี้แหล่ะครับ)
Shardad Rohani
ชาร์แดด โรฮานี(ผู้อำนวยเพลง)
ชาร์แดด โรฮานี ศึกษาวิชาการดนตรีที่วิทยาลัยดนตรีกรุงเวียนนา เขาเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับทุนและรางวัลสำคัญๆ มากมาย ทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา อาทิ ทุน Gema ที่กรุงเวียนนา และทุน ASCAP ที่นครลอสแองเจลิส
ชาร์แดด โรฮานี มีชื่อเสียงโด่งดังมากในระดับนานาชาติทั้งในฐานะผู้อำนวยเพลงและผู้ประพันธ์เพลง เขาได้มีโอกาสนำผลงานของตนเองออกบรรเลงโดยวงออร์เคสตรามากมาย ทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา โดยเป็นผู้อำนวยเพลงด้วยตนเองนอกจากนี้เขายังเป็นผู้อำนวยเพลงรับเชิญให้กับวงออร์เคสตราที่มีชื่อเสียงหลายวงไม่ว่าจะเป็น Minnesota Symphony Orchestra, Colorada Symphony, San Diego
Symphony, Indianapolis Symphony, New Jersy Symphony, Slovak Radio Philhamonic และ American Youth Symphony ฯลฯ
ชาร์แดด โรฮานี มีผลงานการบันทึกเสียงเพลงคลาสสิคร่วมกับบริษัทแผ่นเสียงที่โด่งดังเช่น Discover และ Koch International ผลงานในระยะหลังของเขาที่น่าภาคภูมิใจที่สุดงานหนึ่งก็คือ การอำนวยเพลงคอนเสิร์ตกลางแจ้ง กับวง London Royal Philharmonic Concert Orchestra ณ มหาวิหารพาเธนอน กรุงเอเธนส์
ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงสร้างความประทับใจให้กับนักวิจารณ์และและผู้ชมอย่างมากมายเป็นคอนเสิร์ตที่ได้รับการถ่ายทอดทางทีวีสู่สาธารณะชนอย่ากว้างขวางคอนเสิร์ตหนึ่งในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้เขายังเคยเป็นผู้อำนวยเพลงของวง COTA Symphony Orchestra ในปีค.ศ. ๑๙๘๖ ถึง ค.ศ. ๑๙๙๕
นอกจากการรับเชิญไปอำนวยเพลงให้กับวงออร์เครสตราทั่วโลกแล้ว เขายังได้เซ็นสัญญาเป็นระยะเวลา ๕ ปี เพื่อบันทึกเสียงแผ่นซีดี ๒๕ แผ่น ให้หับบริษัท Discover และ Koch International เขาได้รับการวิจารณ์จาก สุบิน เมธา ว่าเป็นหึ่งในบรรดาวาทยกรหนุ่มชาวอเมริกันที่มีความเฉลียวฉลาดและมีความสามารถหลายรูปแบบ
๑ ค้างคาวกินกล้วย
เรียบเรียงเสียงประสานโดย Shardad Rohani
เดี่ยวไวโอลินโดย สิทธิชัย เพ็งเจริญ
เพลงอัตราจังหวะสองชั้น ทำนองเก่า ใช้ประกอบการแสดงละคร เป็นเพลงที่มีลีลาทำนองอัตราจังหวะกระชั้น รุกเร้า ชวนให้อารมณ์คึกคัก สนุกสนาน หรืออารมณ์ตลกขบขัน เพลงนี้มีสามท่อน เพลงนี้มีหลายชื่อเช่น แร้งกระพือปีกหรือ ลิงถอกกระดอเสือ
ในการบรรเลงครั้งนี้ใช้ไวโอลินเดี่ยวทำนองหลัก ร่วมกันสอดประสานของวงอย่างครื้นแครง มีการนำเอาเครื่องประกอบจังหวะของไทย ได้แก่ กลองแขก ฉิ่ง ฉาบ มาร่วมเพิ่มสีสัในตอนท้ายสุดได้ใช้ทำนอง"ออกลูกหมด" เป็นการจบลงอย่าเร้าใจ
๒ พม่ารำขวาน
เรียบเรียงเสียงประสานโดย Shardad Rohani
เพลงสำเนียงพม่าทำนองเก่า อัตราชั้นเดียว แบ่งวรรคตอนสั้นๆโต้ตอบกันด้วนลีลาคึกคักสนุกสนาน ใช้ประกอบการแสดงละคร และใช้บรรเลงในการออกเพลงภาษา
สำหรับการเรียบเรียงใหม่ครั้งนี้ ยังคงรักษาอรรถรสความสนุกสนานของตัวเพลงเอาไว้ และได้นำเพลงพม่ารำทวนซึ่งมีท่วงทีลีลาสอดรับกับพม่ารำขวานมาต่อท้ายอีกเพลงหนึ่ง
๓ ขับไม้บัณเฑาะว์
เรียบเรียงเสียงประสานโดย Hans Gunther Mommer
๑. เพลงอัตราจังหวะสองชั้น ทำนองเก่าสมัยโบราณ ใช้บรรเลงในวงขับไม้ มี ๔ ท่อน เพลงนี้รวมอยู่ในตับเพลงเรื่องกระแต่ไต่ไม้ ประกอบด้วยเพลงกระแตไต่ไม้ ขับนกและขับไม้บัณเฑาะว์
๒. เพลงเดี่ยว พระยาภูมีเสวิน (จิตร จิตตเสวี) แต่งจากเพลงขับไม้บัณเฑาะว์ ทำนองเก่า ให้เป็นเพลงเดี่ยวสำหรับซอสามสาย
๓. เพลงโหมโรง นายมนตรี ตราโมท แต่งขยายจากเพลงขับไม้บัณเฑาะว์สองชั้น ซึ่งเป็นเพลงชุดอยู่ในตับเพลงเรื่องกระแต่ไต่ไม้ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๑ โดยแต่งเป็นทางกรอให้วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ของกรมศิลปากร นำไปบรรเลงให้ประชาชนชมครั้งแรก ณ สังคีตศาลา ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ เพลงนี้มีความหมายในเชิงโน้มน้าวจิตใจให้สงบ
มีปณิธานแน่วแน่ในการบูชาสิ่งศักดิ์ด้วยความเคารพ
๔ ลาวเสี่ยงเทียน
ผู้ประพันธ์ หลวงประดิษฐไพเราะ(ศร ศิลปบรรเลง)
เรียบเรียงเสียงประสานโดย นาวาตรี ปิยพันธ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา รน.
เพลงลาวเสี่ยงเทียน เป็นเพลงอัตราสองชั้น ทำนองเก่าสำเนียงลาว ประเภทหน้าทับสองไม้ นักดนตรีไม่ทราบนามแต่งทำนองเพลงไว้โดยมิได้ตั้งื่อเพลง ต่อมาวงการละครนำทำนองไปบรรเลงขับร้องประกอบการแสดงละครเฉพาะท่อนแรก โดยบรรจุบทร้อง"เจ้าสาวโคมเวียงเสี่ยงเทียนถวาย ขอน้อมกายก"
คนทั่วไปจึงได้ยินจึงเรียกชื่อตามเนื้อร้องว่า เพลงลาวเสี่ยงเทียน จนเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป หลวงประดิษฐไพเราะ(ศร ศิลปบรรเลง) ได้แต่งขยายเป็นอัตราสามชั้น พร้อมทั้งเที่ยวเปลี่ย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๑ และแต่งตัดเป็นชั้นเดียว ครบเป็นเพลงเถา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๖ โดยแต่งทำนองให้เป็นสำเนียงภาคเหนือและแต่งทำนองทางเปลี่ยนทั้ง ๒ ท่อน
ของอัตราจังหวะสามชั้นและสองชั้น บทร้องนำมาจากบทละครเรื่อง "พระลอนรลักษณ" พระราชนิพนธ์ในกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ
ในการบรรเลงครั้งนี้ได้นำทำนองเฉพาะท่อน ๑ ของอัตราสามชั้น สองชั้นและชั้นเดียวมาเรียงร้อยต่อเนื่องกันไปในลักษณะเพลงเพลงลาวเสี่ยงเทียนเถาแบบต่อส่วน ช่วงสามชั้นและสองชั้น แบ่งเป็นทำนองขับร้องในเที่ยวแรก และทำนองดนตรีรับในเที่ยวหลัง ส่วนชั้นเดียวเป็นทางดนตรีรับเท่านั้น
๕ เขมรพระบาท
เรียบเรียงเสียงประสานโดย Hans Gunther Mommer
เพลงเขมรพระบาทมีเค้าโครงมาจากเพลงพื้นบ้านเขมรโบราณเพลงหนึ่งชื่อว่า "บ" เป็นเพลงท่อนสั้นๆมีท่อนเดียว นิยมใช้บรรเลงและขับร้องในวงมโหรีพื้นบ้านเขมร ต่อมานักดนตรีไทยได้นำมาปรับปรุงลีลาทำนองและจังหวะเพิ่มเติมขึ้นใหม่กลายเป็นพลงไทยสำเนียงเขมร ตั้งช"เขมรช" ซึ่งน่าจะมาจาก Cadet
อันหมายถึงเพลงประจำของนักเรียนนายทหารในสมัยก่อน เพลงเขมรชะเด็จนี้มี ๕ ท่อน ประกอบด้วยวรรคสั้นๆ ลีลาเข้มแข็ง คึกคัก ส่งรับกันอย่างสนุกสนาน และมีการย้ายบันไดเสียงในช่วงท่อน ๓-๔-๕ นิยมใช้บรรเลงด้วยวงโยธวาทิตในเพลงเดินแถวสวนสนามและในการแสดงละครพันทางออกภาษาเขมร
ส่วนเพลง"เขมรพระบาท" นี้ปรากฏอยู่ในหนังสือโน้ตเพลงไทยเล่มหนึ่ง ช"เพลง"หรือ Siamesiche Musik พิมพ์ที่เมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซียเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ เรียบเรียงต้นฉบับโดยครูดนตรีชาวเยอรมันชื่อ Paul J. Seelig ซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดกับสมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต
คนหนึ่งและเคยมีบทบาทมากในการพัฒนาหลักการเรียนเรียบเรียงเสียงประสานเพลงไทยสำหรับวงโยธวาทิตของกองทัพไทยในสมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในหนังสือเพลงสยาม Mr. Seelig เขียนชื่อเพลง"เขมรพระบาทปทุมวัง"(Khamen Prabad Pratoom Vang) ซึ่งเมื่อตรวจสอบข้อมูลดูแล้ว ก็คือเพลงเขมรขะเด็จนั่นเอง เพียงแต่มีการเรียงวรรคตอนที่คลาดเคลื่อนออกไปจากของเดิมพอสมควร
ซึ่งอาจเป็นเพราะการบันทึกโน้ตด้วยระบบมุขปาฐะในสมัยก่อนหรือความสับสนในโครงสร้างเพลงที่เรียนรู้มาจากนักดนตรีในขณะนั้นก็ได้
อย่างไรก็ตามเพลงเขมรพระบาทที่นำมาบรรเลงครั้งนี้ แม้จะไม่ตรงกับต้นฉบับของ Seelig เสียเลยทีเดียวแต่ก็ถือเ็นการตีความใหม่และความสามมารถการเรียบเรียงเสียงประสานของ Hans Gunther Mommer ผู้อำนวยเพลงชาวเยอรมันท่านนี้
๖ ต้นวรเชษฐ์
ผู้ประพันธ์ ครูกล้อย ณ บาวงช้าง
เรียบเรียงเสียงประสานโดย นาวาตรี ปิยพันธ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา รน.
เพลงอัตราจังหวะสองชั้นและชั้นเดียว เป็นทำนองเก่าสมัยอยุธยาอยู่ในเพลงประเภทสองไม้ และเพลงเร็วเรื่องเต่ากินผักบุ้ง นายกล้อย ณ บางช้าง นักดนตรีจากจังหวัดสมุทรสงครามได้นำเพลงต้นบรเทศสองชั้นมาแต่งขยาย โดยดัดแปลงทำนองให้มีจังหวะทิ้งท้ายทั้งสามชั้นและสองชั้น เพลงนี้บางทีเรียกว่า เพลงต้นบรเทศ
หลวงประดิษฐไพเราะ(ศร ศิลปบรรเลง ได้นำทำนองสามชั้นของครูกล้อยไปปรับปรุงใหม่อีกทางมีทำนองกรอหวานไพเราะ ใช้ชื่อว่า "ชมแสงทอง"
กระบวนเพลงต้วรเชษฐที่เรียบเรียงใหม่นี้ ลำดับความให้เป็นสี่ท่นสั้นๆต่อเนื่องกันไป ๒ รอบใหญ่ โดยบรรเลงท่อนแรกอย่างสุขุมเนิบนาบและมีการย้อนต้นเพื่ออวดชั้นเชิงการสอดล้อทำนองหลักด้วยเครื่องดนตรีสองกลุ่มส่วนท่อนอื่นๆไม่มีการย้อน แต่ผันแปรอารมณ์ไปในทางคึกคักสดชื่นขึ้น มีการย้ายบันไดเสียงในท่อนสาม
และในช่วงท้ายมีการน"เพลงเร็วแขกบ" ที่ใช้ในโขนละคนมาแทรกก่อนจบ
๗ ลาวดวงเดือน
ผู้ประพันธ์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นพิชัยมหินทโรดม
เรียบเรียงเสียงประสานโดย ฯพณฯ องคมนตรี พลเรือตรีหม่อมหลวงอัศนี ปราโมท
เดี่ยวโอโบโดย ดำริห์ บรรณวิทยกิจ
ผู้ทรงนิพนธ์เพลงนี้คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นพิชัยมหินทโรดม พระนามเดิม พระองค์เจ้าชายเพ็ญพัฒน์พงศ์ ในขณะที่มีพระชนมพรรษา ๒๑ พรรษา พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ัว รัชกาลที่ ๕ ในปี พ.ศ. ๒๔๔๖ พระองค์ทรงจบการศึกษาจากประเทศอังกฤษและได้เสด็จประพาสเชียงใหม่
ได้รับการต้อนรับจากเจ้าหลวงอินทวโรรสสุริวงศ์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่และเจ้าแม่ทพย์เนตร มีการจัดงานเลี้ยงต้อนรับขึ้น ในงานเลี้ยงครั้งนี้มี เจ้าราชสัมพันธวงศ์(ธรรมลังกา) และเจ้าแม่คำย่นณ ลำพูน พร้อมธิดาคนโต เจ้าหญิงชมชื่นซึ้งมีอายุเพียง ๑๖ ปี
เจ้าหญิงชมชื่น(พระธิดาองค์ที ของเจ้าธรรมลังกา)
ที่ทำให้พระองค์เจ้าชายเพ็ญพัฒน์พงษ์ ถึงกับตะลึงในแบบรักแรกพบ ในวันรุ่งขึ้นพระองค์ได้ทรงให้ พระยานริศราชกิจ ข้าหลวงใหญ่ใมณฑลพายัพ นำพระองค์ไปเยี่ยมคุ้มเจ้าราชสัมพันธวงศ์(คุ้มหน้าวัดบ้านปิง ปัจจุบันคือบ้านใบเมียงที่ฝรั่งเช่าทำเป็นที่สอนศาสนา) และกลายเป็นแขกประจำคุ้ม
ต่อมาได้ทรงให้พระยานริศราชกิจเป็นเถ้าแก่ไปเจจาสู่ขอเจ้าหญิงชมชื่นแต่ทางบิดาฝ่ายหญิงผู้เชี่ยวชาญในด้านกฎหมายนั้นได้ทัดทาน(มิได้ปฏิเสธ)ไว้ สองเงื่อนไขคือ
๑ ขอให้รอจนเจ้าหญิงชมชื่นอายุ ๑๘ ปี เสียก่อน
๒ ต้องทำให้ถูกต้องตามขนบธรรมเนียม คือ พระองค์จะอภิเษกสมรสต้องได้รับพระบรมราชานุญาต
เป็นสะใภ้หลวง มิฉะนั้นก็จะเป็นเพียงแค่นางบำเรอ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น ๔ พระองค์เจ้าโสณบัณฑิต กรมขุนพิท>ฤฒิธาดา ต้นราชสกุล โสณกุล
เหตุที่ ทัดทานครั้งนี้เกิดจากเรื่องความรักระหว่างพระองค์เจ้าโสณบัณฑิต ทางเจ้านายในราชวงศ์จักรีนี้ เคยเกิดขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๓๓ มาแล้ว คือ พระองค์เจ้าโสณบัณฑิต พระราชโอรสในสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ัว รัชกาลที่ ๔ พระน้องยาเธอใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ัว รัชการที่ ๕ ได้เสด็จมาปราบปรามพวกยางแดง แถวแม่น้ำสาละวิ(คง) และได้พบรักกับ
เจ้าหญิงข่ายแก้ว ธิดาเจ้าทักษิณนิเกตน์(มหายศ) และทรงสู่ขอจากเจ้าทักษิณนิเกตน์(มหายศ) แต่ไม่ได้รับพระบรมราชานุญาตในการเสกสมรส และไม่มีพระโอรสและพระธิดาด้วยกัน ครั้นพระองค์เจ้าโสณบัณฑิตเสด็จกลับกรุงเทพก็ไม่ได้เอาลงมาด้วยเพราะมีหม่อมอมอยู่แล้ว ทำให้เจ้าหญิงข่ายแก้ว กลายเป็น "แม่ร้าง" ที่จะไปร้องเรียนกับใครก็ไม่ได้
เจ้าราชสัมพันธ์วงศ์ (ธรรมลังกา) จึงไม่ปรารถนาให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงได้ทัดทานไว้ และพระองค์จึงเสด็จกลับกรุงเทพเพื่อปรึกษาญาติผู้ใหญ่ซึ้งก็ได้รับการทัดทานอย่างหนักหน่วง เมื่อไม่สมหวังก็ทรงหันเข้าหาความเยือกเย็นแห่งดนตรีไทยดับความรุ่มร้อนในหัวอก และก็ทรงนิพนธ์เพลงนี้จากบทร้องจากวรรณคดีเรื่อง "พ"ขึ้นมาทำให้เกิดตำนานรักเพลง
"ลาวดวงเดือน"
๘ ลาวเจริญศรี
ผู้ประพันธ์ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์
เรียบเรียงเสียงประสานโดย ฯพณฯ องคมนตรี พลเรือตรีหม่อมหลวงอัศนี ปราโมท
เพลงลาวเจริญศรีเป็นการรวมเพลงไทยสำเนียงลาวเพลงสั่นๆ ๒ เพลง คือ ลาวเล็กตัดสร้อยกับลาวเล่นน้ำ เข้าไว้ด้วยกันเพื่อนำมาใช้ขับร้องประกอบการแสดงละครเรื่องพระลอ บทพระนิพนธ์ของกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ัว ซึ่งขึ้นต"อายุเยาวเรศรุ่นจริญ" เพลงทั้งสองจึงถูกเรียกรวมกันเป็นชื่อใหม่ว่า
"ลาวเจริญ" และเป็นเพลงที่ได้รับความนิยมกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในการนำไปเรียบเรียงเข้ากับเพลงสำเนียงลาวอื่นๆในชุด"ตับพ" ซึ่งบรรยายความงามของพระเอนพระแพงและการเดินทางของพระลอด้วยอารมณ์ละเมอรัก
ในการเรียบเรียงครั้งนี้ จะขึ้นต้นด้วยเพลง"" ด้วยปี่โอโบและเครื่อสายแล้วตัดเข้าตัวเพลงลาวเจริญศรี ๓ ท่อน ในลีลาอารมณ์รักที่แตกต่างกันไป มีทั้งความฝัน ล่องลอย อ่อนหวาน รัญจวนใจ จบท้ายด้วยการนำวรรคต้นของท่อนแรกมาย้ำด้วยเครื่องดนตรีต่างๆ
๙ เทพรัญจวน
ผ็ประพันธ์ พระประดิษฐไพเราะ(ครูมีแขก)
เรียบเรียงเสียงประสานโดย นาวาตรี ปิยพันธ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา รน.
๑.เพลงอัตราสองชั้นทำนองเก่าสมัยอยุธยาหรือในเพลงเรื่องนางหงส์หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเพลงเรื่องพราหมณ์เก็บหัวแหวน เพลงนี้ในอัตราชั้นเดียวเรียกว่า เพลงกระบอกทอง หรือ แสนสุดสวาท ซึ่งบรรจุอยู่ในเพลงปี่พาทย์ประโคมศพเรื่อง "นางหงส์ ๒ ช" ต่อมาในปลายสม้ยรัชสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยูหัว พระประดิษฐไพเราะ(ครูมีแขก)
ได้นำทำนองเพลงแสนสุดสวาทมาแต่งขยายขึ้นเป็นอัตราสามชั้นและตั้งช"เทพรัญจวน" นอกจากนี้ยังอัตราจังหวะครึ่งชั้น โดยเป็นทำนองรวมอยู่ในเรื่องเพลงฉิ่ง
๒.เพลงเถา มีนักดนตรีหลายท่านได้นำเพลงเทพรัญจวนสองชั้นและชั้นเดียว ทำนองเก่าสมัยอยุธยานี้มาทำเป็นเพลงเถา กล่าวคือ ในอัตราสามชั้นที่นำมาบรรเลงเที่ยวแรกเป็นทางของหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (มี ดุริยางกูร) แต่งเมื่อปลายรัชกาลที่ ๓ เที่ยวกลับเป็นทางของนายช้อย
สุนทรวาทินกับพระยาประสานดุริยศัพท์ร่วมกันแต่งให้วงปี่พาทย์ของพระยาจิรายุมนตรี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็นพระยาอิทราบดีสีหราชครองเมือง นอกจากนี้ในอัตราสามชั้นยังมีอีกทางหนึ่งซึ่งหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) เป็นผู้แต่งเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๓ ทำนองที่แต่งมีท่วงทำนองและลีลาแตกต่างไปจากทางของนายช้อย สุนทรวาทินและพระยาประสานดุริยศัพย์
นอกจากนี้หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ได้แต่งปรับทำนองเป็นสองชั้นและชั้นเดียวครบเป็นเพลงเถา
ในการเรียบเรียงเรียงเพลงเทพรัญจวนครั้งนี้ ผู้เรียบเรียงได้นำทำนองสามชั้นท่อน ๑ ทั้งทางร้องและทางบรรเลงมาจัดระเบียบใหม่ โดยแบ่งเป็น เริ่มต้นท่อนช้าๆ เช่นเดียวกับทางร้องอย่างวิจิตรงดงาม แล้วตามด้วยทางบรรเลงรับ ๑ ท่อน มีลีลาเข้มแข็งแะลำดับวรรคตอนต่างๆ อย่างอวดชั้นเชิง จากนั้นจึงกลับมายังทางร้องอีกครั้ง ๒
รอบในลีลาที่งามสง่าประดุจเทพยดาเหาะเหิรล่องลอยจากสวรรค์ชั้นฟ้า แล้วรับด้วยทางบรรเลงรับ ๑ ครั้ง ก่อนลงจบสุดท้ายด้วย "ลูก" ซึ่งเป็นเทคนิคการประพันธ์เพลงไทยที่ยืนเสียงสำคัญไว้ด้วยทำนองสั้นๆที่ปรากฏแทรกอยู่ในทุกท่อน และถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเพลงนี้
๑๐ เขมรราชบุรี
ผู้ประพันธ์ หลวงประดิษฐไพเราะ(ศร ศิลปบรรเลง)
เรียบเรียงเสียงประสานโดย Hans Gunther Mommer
เพลงเถา พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) แต่งจากเพลง"สองไม้เขมรราชบ" สองท่อนทำนองเก่า เฉพาะอัตราจังหวะสามชั้นได้แต่งร่วมกับหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๒ เป็นเพลงสองท่อน ขนาดยาวในแต่ละท่อนได้แทรกการสอดล้อทำนองและผูกประโยควรรคตอนอย่างสลับซับซ้อน ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในเพลงตระก"โยน" หรือ
"ท" ที่โดดเด่นที่สุดของวงการเพลงไทยและอีกทางหนึ่ง นายเฉลิม บัวทั่ง เป็นผู้แต่งขึ้น
ในการบรรเลงครั้งนี้เป็นการนำท่อนแรกของเพลงมาเรียงใหม่โดยนำเอาทำนองที่ใช้ขับร้องมาขึ้นต้นในวรรคที่ว่า
"ชะรอยกรรมจำพรากต้อวจากไกล จะผ่อนผันฉันใดนะอกเอ๋ย
ถ้าแม้นเขามิสงสัยไม่ไปเลย จะอยู่เชยชมแก้วก"
บทละครเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในรัชการที่ ๒ แบ่งบทบาทให้เครื่องดนตรีต่างๆเดินทำนองอย่างโศกเศร้าอาลัยอาวรณ์ ผนวกกับอารมณ์ลึกลับ เวิ้งว้าง มีการแทรกศิลปะการร้องเอื้อนอย่างไทยๆ เมื่อจบคำร้องแล้วนำ Motif สั้นๆในช่วงทำนองรับร้องมาบรรเลงต่อเนื่องกันไปในลักษณะ Variation แตกต่างกันไป ๙ ลีลา
แล้วปิดท้ายด้วยทำนองขับร้องแบบตอนต้นเพลงอีกครั้งหนึ่งอย่างสวยงาม
๑๑ เขมรไทรโยค
ผู้ประพันธ์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์
เรียบเรียงเสียงประสานโดย ฯพณฯ องคมนตรี พลเรือตรีหม่อมหลวงอัศนี ปราโมท
เดี่ยวไวโอลินโดย สิทธิชัย เพ็งเจริญ
๑. เพลงอัตราจังหวะสามชั้น บทร้องและทำนองเพลงบรรยายความและเลียนเสียงธรรมชาติของน้ำตกไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ทรงนิพนธ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๑ โดยนำเพลงเขมรกล่อมลูกสองชั้นทำนองเก่า มาแต่งขยาย แทรกสำเนียงและเพิ่มลีลาให้รรยายความตามทัศนียภาพที่ได้พบขณะที่ทรงตามเสด็จไปอำเภอไทรโยค
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๐ เพลงเขมรไทรโยคสามชั้นนี้ ทรงพระนิพนธ์เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ และได้จัดบรรเลงถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ัว ในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาใน วันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๓๑ ณ ศาลายุทธนาธิการ ประทานชื่อเพลงอะไร และโดยที่เพบงนี้ขึ้นต้นบทร้องว่า "บรรยายความตามไท้ เสด็จยาตร
ยังไทรโยคประพาสพนาสณฑ" จึงเรียกชื่อเพลงนี้ว่า เขมรไทรโยคจนเป็นชื่อที่แพร่หลายไปในที่สุด
๒. เพลงเถา หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ได้นำเพลงเขมรไทรโยคสามชั้น ซึ่งเป็นเพลงพระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ มาแต่งขยายเป็นอัตราจังหวะสี่ชั้น โดยดำเนินลีลาและทำนองตามแบบของเพลงเดิม พร้อมกันนี้ก็ได้แต่งตัดลงเป็นอัตราจังหวะตั้งแต่อัตราจังหวะสี่ชั้น สามชั้น และสองชั้น
ไม่มีอัตราจังหวะชั้นเดียว แต่มักนิยมบรรเลงออกท้ายเครื่องด้วยเพลงสำเนียงเขมรต่าง ๆ
ทัศนียภาพของน้ำตกไทรโยตที่เรียบเรียงถ่ายทอดความงดงามด้วยลีลาของไวโอลินเดี่ยวในท่อนแรกและการผสมผสานสีสันของเครื่องดนตรีต่างๆในท่อนสองอย่างเคร่งขรึม และสงบขลัง
เพลงเขมรกล่อมลูก ลายพระหัตถ์ ของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
๑๒ แขกเชิญเจ้า
ผู้ประพันธ์ พระยาประสานดุริยะศัพท์(แปลก ประสานศัพท์)
ผู้เรียบเรียงเสียงประสาน ศาสตราจารย์พระเจนดุริยาง(ปิติ วาทยกร)
๑. เพลงอัตราจังหวะสองชั้น จ่าเผ่นผยองยิ่ง (จ่าโคม) ครูสักว่ามีชื่อ เป็นผู้แต่งทำนองทางร้องเพื่อใช้เป็นเพลอำลา ต่อมาพระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) นำทำนองร้องมาแต่งเป็นทำนองดนตรีทั้งอัตราจังหวะสองชั้นและอัตราจังหวะสามชั้น โดยในอัตราจังหวะสามชั้นนั้นใช้บรรเลงเป็นเพลงโหมโรง เรียก โหมโรงแขกเชิญเจ้า
๒. เพลงเถา นายเปล่ง แจ้งจรัส ประจำกองแตรวงทหารรักษาวัง จ.ป.ร. นำเพลงแขกเชิญเจ้าในอัตรา
จังหวะสองชั้นขึ้นมาแต่งขยายและแต่งตัดเป็นเพลงเถา ในราวปลายสมัยรัชกาลที่ ๖ นอกจากนี้นายเฉลิม บัวทั่ง ยังได้นำมาแต่งเป็นพลงเถาอีกทางหนึ่ง
เพลงนี้ต่อมาได้รับความนิยมนำไปเป็นเพลงเดินแถวของแตรวง และใช้เป็นเพลงประกอบการร่ายรำของกรมศิลปากรในชุดระบำเทพบรรเทิง
สำหรับเรียบเรียงใหม่ครั้งนี้ เน้นกระบวนการจัดซุ่มมเสียงของวงดนตรีอย่างโอ่อ่าสง่าผ่าเผย มีการสอดแทรกการไล่ล้อทำนองสั้นๆของเครื่องดนตรีกลุ่มต่างๆและการเน้นจังหวะเดินที่องอาจแข็งแกร่ง�