ถ้าต่อ Direct ต้องเพิ่มไฟให้เท่ากับที่ Couppling จากภาคหน้าครับ
เช่นภาค Drive ของเดิมมีไฟอยู่ 200V เราก็ต้องเพิ่มแหล่งจ่ายขึ้นไปอีก 200V และเปลี่ยน R Cathode ใหม่ครับ
ยกตัวอย่างหลอดที่ไม่ค่อยมีคนทำเท่าไหร่ 2A3 ละกัน จากรูปบน 2A3 กำหนด ไบอัสที่ 250V 60mA และมีแรงดันตกคร่อมที่ R Cathode 45V
ถ้าจะเปลี่ยนเป็น Direct Coupling
ขั้นแรกก็ต้องเพิ่ม B+ ขึ้นอีก 200V เพื่อชดเชยให้โวลท์ระหว่าง Grid และ Cathode ของ 2A3 ให้มีค่าเท่าเดิม
ขั้นต่อไปคือ หาค่า R Cathode ใหม่ ให้ได้กระแส หรือ จุดไบอัสเดิมของเราครับ ไบอัสเดิมของเรา คือ 250V 60mA
วิธีก็คือ เอาโวลท์ที่ Grid ที่เพิ่มมาหลังจากต่อตรงมาจากภาคหน้า ในที่นี้คือ 200V + กับโวลท์ตกคร่อม R Cathode ค่าเดิมคือ 45 V (ดูได้จากรูปแรก และ รูปที่ 2 ตามลำดับ)
จะได้โวลท์ตกคร่อม R Cathode ตัวใหม่ = 200V + 45V = 245 V
เมื่อเรารู้ค่าโวลท์ตกคร่อม R แล้ว คราวนี้มาถึง ขั้นตอนต่อไปมาหาค่า R กัน โดยหาจากสูตร R = V / I
เมื่อเราจะไบอัสหลอด 60mA เท่าเดิม
ดังนั้นค่า R Cathode หาได้จาก 245V / 60mA = 4.083K ก็จะได้ตามรูปล่างครับ
อีกอย่างที่ลืมไม่ได้คือ C Cathode ของ 2A3 ที่จากเดิมใช้ทนแรงดันแค่ 63V ต้องเปลี่ยนเป็น 300V ด้วยครับ และสามารถใช้ค่าปะจุน้อยลงได้ด้วยเพราะค่า R Cathode มีค่าสูงครับ
สิ่งที่ต้องระวังคือ เมื่อ B+ เรากลายเป็น 500V แล้ว C ที่ภาคจ่ายไฟ อุปกรณ์อื่นๆ ก็ต้องทนโวลท์ได้สูงตามไปด้วย รวมถึง R Cathode ที่ต้องใช้ Watt สูงกว่าเดิมมากๆครับ ลองคำนวณ disipate แล้วได้ 14 Watt กว่า ซึ่งร้อนมากๆ ต้องใช้ R ซิ้ง 25 - 50W แล้วต้องติดแผ่นระบายความร้อนให้มันด้วยครับ ไม่งั้นอาจจะร้อนจนไหม้ครับ

การต่อ Direct Coupling ที่จริงมีอีกอย่างคือ ไม่ต้องใช้ R Cathode ในการไบอัสเลย แต่จะใช้วิธีแยกกราวด์ ซึ่งแบบนั้นผมยังไม่เคยลองครับ
