HTG2.club

เปรียบเทียบ OP-AMP แต่ละรุ่น

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Goda Takeshi

  • *****
    • กระทู้: 656
    • เพศ:ชาย
ผมก็ใช้ opamp เป็นหลัก ชอบมากกว่า ปรีหลอดบางรุ่นซะอีก

ตอบคนถามก็แล้วกัน

discreate opamp ขอผ่านก่อน เพราะขี้เกียจ match หรือหาแบบ match ยาก เคยฟังแล้วก็ไม่ได้จะชอบมากกว่า opamp สักเท่าไหร่ ผมฟังหลอดไปเลยดีกว่า

ส่วนเบอร์ opamp ที่ชอบเป็นการส่วนตัว ลองมาเยอะแล้ว

opa637 ครับ

ถ้าใช้โมพวก soundcard
AD8620 หรือ lm4xxx (จำไม่ได้)
opa2353ua สำหรับพวก low volt single rail.

พวกเบอร์ lm ไม่แพงครับ ถ้า diy ได้ก็ลองเปลี่ยนได้เลย ไม่จำเป็นต้องใช้รุ่นแพงๆเสมอไปครับ

ตอบคุณ rflovers เห็นด้วยเรื่อง spec แต่แนะนำให้ท่านอื่นลองเบอร์ที่นิยมดู (เอาแบบไม่แพง) เพราะลงทุนไม่มากก็ลองได้ครับ (ส่วนนี้เห็นด้วยกับคุณนพพงษ์)

เรื่องการออกแบบให้เหมาะกับ spec มันยากกว่าการเปลี่ยน ic เยอะ แถมไม่ได้ hardwire กันง่ายๆ อาจจะไม่คุ้มเอา ถ้าใครมีเวลากับความรู้ลองได้ครับ


ออฟไลน์ taonoi

  • *****
    • กระทู้: 627
    • เพศ:ชาย
อ่านแล้วได้สาระดีครับ  แต่ปวดกะบาล  ไม่รู้จะใช้เบอร์ไหนดี  ขนาดตัวเองชอบแนวไหนยังไม่รู้เลย  เปลี่ยนเพลงก็เปลี่ยนแนว เปลี่ยนจังหวะ  ความต้องการก็เปลี่ยนไป  งั้นคงใช้ NE5532 ไปก่อนล่ะกัน ตัว 6-7 บาท
สบายใจ สบายกระเป๋า  :showoff
ก้ดีครับ ส่วนผมเอง มีอยู่ไม่กี่เบอร์เอง ส่วนมากจะใช้ lm4562 ครับ
90/8 ซ.สุขุมวิท62 ถ.สุขุมวิท พระโขนงใต้ พระโขนง กทม. 10260 081-3995331


ออฟไลน์ Audio Boy

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,148
    • เพศ:ชาย
  • สังคมจะดีกว่านี้ ถ้ามี "ผู้ให้" มากกว่า "ผู้รับ"
อ่านแล้วได้สาระดีครับ  แต่ปวดกะบาล  ไม่รู้จะใช้เบอร์ไหนดี  ขนาดตัวเองชอบแนวไหนยังไม่รู้เลย  เปลี่ยนเพลงก็เปลี่ยนแนว เปลี่ยนจังหวะ  ความต้องการก็เปลี่ยนไป  งั้นคงใช้ NE5532 ไปก่อนล่ะกัน ตัว 6-7 บาท
สบายใจ สบายกระเป๋า  :showoff


ออฟไลน์ tfender

  • ชอบฟังแอมป์หลอด
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,744
    • เพศ:ชาย
แล้วกับ  NE5532 อายุ 15 ปีแล้วอยู่ใน CD Sony
เปลี่ยนเป็นเบอร์อะไรได้บ้างครับ

ขอบคุณครับ

แนะนำเป็น แนะนำเป็นเบอร์ใหม่ล่าสุดครับ  OPA1642  Dual


ออฟไลน์ venus

  • **
    • กระทู้: 75
    • เพศ:ชาย
ง. ถูกทุกข้อ
แต่ส่วนตัวผมว่าเอาหูตัวเองเป็นหลัก สเปค กับ คำบอกเล่า เอามาเป็นแนวทาง


ออฟไลน์ nopphong

  • *****
    • กระทู้: 915
ไม่มีเกรด แต่มีปลอมครับ โดนมาแล้วเสียงคนละเรื่องกันเลยครับ
เพราะถ้าเป็นเกรดอย่างน้อยก็ต้องเสียงคล้ายๆกัน แต่นี่มันไม่ได้มีตรงไหนเหมือนกันเลยแล้วจะเรียกว่าเบอร์เดียวกันได้ยังไง  :black_eye


ออฟไลน์ chairat

  • **
    • กระทู้: 76
    • เพศ:ชาย
ถ้าแนวเสียงเป็นตามนั้น ผมคงเลือก AD8620 ละครับ เอ..แล้วจะหาซื้อได้ที่ไหนครับ และเบอร์นี้มีเกรด
ด้วยหรือเปล่า เช่น พวกรหัส ABCD (ไม่ใช่ transition matrix นะครับ) หรือ รูปแปลกๆ (สามเหลี่ยม
สี่เหลี่ยม เป็นต้น)

ขอบคุณอีกครั้งครับ 


ออฟไลน์ nopphong

  • *****
    • กระทู้: 915
8620 แหลม คม สด รายละเอียดดี
797 อุ่นนุ่มหนารายละเอียดดี
ส่วนจะถูกหูหรือไม่อันนี้ต้องลองครับ


ออฟไลน์ chairat

  • **
    • กระทู้: 76
    • เพศ:ชาย
ช่วงก่อน ผมไปเจอกระทู้เกี่ยวกับแนวเสียงของ OP-AMP อยู่ตาม link ข้างล่างนี้เลยครับ

http://forums.overclockzone.com/forums/showthread.php?p=3711170

(กระทู้จะอยู่ก่อนหน้าภาพจากหนังโจรสลัด)

ไม่ทราบว่าท่านใดเคยใช้ AD8620 หรือ AD797 บ้าง แนวเสียงของสองตัวนี้เป็นอย่างไรบ้างครับ ขอบคุณครับ





ออฟไลน์ leklek

  • **
    • กระทู้: 54
จังหวะพอดีนะตรับคิดจะลองสรัง pree ด้วย op-amp ไปขับ GC Lm3886T
แต่ไม่รู้จะเลือก op amp อย่างไร(มี multimeter ตัวเดียว)

มันต้องใช้ศาสต์ และ ศิลป์


agogo

  • บุคคลทั่วไป
ผมชอบการโต้ตอบ(การพูดคุย)ของคนทั่งสองนะครับ
ผมเอาความคิดของคุณทั่งสองคนรวมกัน ทำให้ผมไม่ต้องมั่วมากนัก
หนึ่งคน เป็น วิทยา ความรู้ที่สามารถถ่ายถอดได้โดยม่ต้องประสบเอง
หนึ่งคน เป็น ศิลปะ เป็นสิ่งที่ต้องผึกและต้องประสบเองและทะบ่อยๆ

ดังนั้นหากเรามีศิลปวิทยานั่นแหละครับเสียงที่ดีที่สุดสำหรับเรา
ไม่ว่าอะไรก้ดีไปหมด

อย่าโกรธกันละครับ คุณทั่งสองมอบความรู้ให้ผมมากมาย c)
คล้ายๆกะที่คุณJAYว่าแหละครับ
"รักที่จะสร้างทั้งงานศิลป์และงานเสียงจึงเลือกหลอดครับ"
แต่ผมขอดัดแปลงนิดนึงครับ
"รักที่จะสร้างทั้งงานศาสตร์และงานเสียงจึงเลือกหลอดครับ"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 มกราคม, 2009, 12:12:09 pm โดย AGOGO »



ออฟไลน์ nopphong

  • *****
    • กระทู้: 915
ผมว่ามันผิดตั้งกะการตีความแนวคิดของพวกผมแล้วล่ะครับ คุณ RF

คือทางฝ่ายผมไม่ได้ว่าต้องมั่วขึ้นมาจากไม่มีอะไรเลยไม่ต้องดูสเปก ทฤษฎีอะไรไม่ต้องไปสน เพราะอย่างไรตอนออกแบบ ตอนวัดค่า ก่อนที่จะออกมาเป็นแอมป์สักตัวมันก็ต้องทำตามขั้นตอนครับ อันนี้เห็นด้วย

แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับการฟังสเปกอย่างเดียวเหมือนกันครับ เพราะสเปกดีไม่สามารถฟันธงลงไปว่าประกอบออกมาแล้วจะเป็นที่นิยมของคนจำนวนมากได้เหมือนกัน อุปกรณ์ความผิดพลาดต่ำใช่ว่าใช้แล้วมันจะต้องเจ๋งแน่ๆ
ไม่ต้องอ้างเรื่องความชอบส่วนบุคคลนะครับเพราะมันเป็นความชอบของคนส่วนใหญ่ และที่แน่นอนไม่ใช่ความชอบของเครื่องมือวัด

การออกมาพูดว่า ดูสเปกเป็นหลักสิ จึงไม่ถูก และการออกมาพูดว่ามั่วออกมาแล้วฟังเสียงเอาสิ มันก็ไม่ถูกเหมือนกัน มันต้องประกอบกัน

เครื่องเสียงดีๆผมเชื่อว่าเขาก็ออกแบบออกมาสุดท้ายเขาก็ต้องลองทำและปรับแต่งด้วยการฟังจนได้ต้นแบบที่เสียงลงตัวจึงนำออกขาย เขาคงไม่วัดดูแค่ว่ามันเพี้ยนน้อยแล้วนำออกขายเลยใช่ใหมล่ะครับ และถ้ามันสูตรสำเร็จว่าเพี้ยนน้อยสิขายดีแน่ๆป่านนี้เราคงมีเครื่องเสียงที่ดีที่สุดในโลกใช้กันแล้วล่ะครับ(ปัจจุบันไม่มีเพราะไม่มีอะไรมาวัดได้ว่าเครื่องนี้สิดีที่สุดในโลกน่ะครับ)


ผมก็ไม่เคยพูดเรื่องเสียงดีหรือไม่ดีเลยพูดไปหลายรอบแล้วนะครับ เข้าใจยากจริงนะครับ 555555555555  ;D ทางใครทางคนนั้นก็ดีแล้วไงครับ
ถ้าเจ้าของกระทู้เขาโพสว่า อยากได้ opamp สักตัวไปทำเครื่องมือวัดนะ ผมจะไม่ออกมาเถียงสักคำป่านนี้คงชื่นชมคุณ RF ที่มีความรู้ด้านนี้เป็นอย่างดีครับ พอดีเจ้าของกระทู้เขาถามหา opamp ไปทำเครื่องเสียง ซึ่งถ้าไม่บอกแนวเสียงบอกแต่สเปกแล้วจะได้อะไร?
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 มกราคม, 2009, 11:58:31 am โดย nopphong »


ออฟไลน์ ohm

  • ผู้สนับสนุน web ......
  • ******
    • กระทู้: 910
    • เพศ:ชาย
ไอ้พวกเครื่องเสียงดังๆตัวที่ใช้ transistor แบบ discrete ทำไมวงจร differentail amp ที่ใช้ขยายสัญญาณ stage แรก มันใช้ low noise transistor ทุกยี่ห้อเลยครับ แปลกนะครับ  ขำ
--------------------------------------
55555 นั่นดิครับ  engineer ระดับโลกอย่าง nelson pass ใช้ mosfet ที่ใช้ในงานswitching มาทำเป็นวงจร differentail

เขาคงเป็นตัวตลกมั้ง  เพราะ noise คงเยอะกว่าเอา  low noise transistor มาใช้จมเลย  น่าแปลกนะไม่เห็นมีใครโจมตีเขาเลย

ว่าทำเครื่องเสียง noise สูงออกมา  มีแต่นิตรสารทั้งไทย,เทศ นักdiy ทั่วโลกชื่นชมกัน

คำตอบมันไม่ได้อยู่ใน spec ในหน้ากระดาษอย่างเดียวหรอกครับ


ออฟไลน์ พี่ดุ้น

  • เบื่อ
  • ผู้สนับสนุน web
  • *
    • กระทู้: 436
    • เพศ:ชาย
ความเห็นส่วนตัวผม ผมไม่สนใจเรื่องเสียงนะว่าอันไหนดีไม่ดี เวลาผมออกแบบ ผมสนใจแค่เสป็กใน datasheet คร่าวๆ คือ input noise power density, THD+noise, CMRR และอื่นๆอีกนิดหน่อยก็พอครับ

ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละครับ ถ้าเจ้าของกระทู้ทำตามที่บอกมาข้างบนผมรับรองว่าเสียตังเปล่าๆแน่เพราะเขาจะได้เครื่องมือวัดหนึ่งตัว ไม่ใช่เครื่องเสียงหนึ่งตัวครับ

นั่นดิครับ ตอนยังไม่มีประสบการณ์ว่าอุปกรณ์ตัวไหนเสียงเป็นยังไง  ผมทำวงจรอะไรก็เสียงไม่ดี ทั้งๆที่มันก็ทำงานได้ดี

noiseไม่ได้ยิน ตอบสนองความถี่ก็ครบ  แต่เสียงไม่ลงตัวซักที

พอได้ทดลองทำไปหลายๆแบบ ค่อยๆฟังไปว่าอุปกรณ์ตัวไหนเสียงเป็นยังไง  หลังๆมานี้ทำวงจรอะไรก็จะเข้าหาเสียงดีๆได้ไวขึ้น

ปรับจูนแค่นิดๆหน่อยๆเสียงก็ลงตัวแล้ว   ถ้าผมยังดูแต่ spec ป่านนี้ก็ยังได้แต่ แอมป์,DAC,ฯลฯ ที่ noise แต่เสียงห่วยเหมือนเดิม

และถ้าเอามาเข้าเครื่องวัด คงตอบยากว่าตัวไหนเสียงดีกว่า เพราะมันทำงานได้ทั้งคู่ เผลอๆตัวเสียงแย่ noise ต่ำกว่าอีกมั้ง

ผมสงสัยจริงๆว่าคุณ RF lover เคยทำแอมป์แล้วมีความสุขกับเสียงของมันบ้างไหม  หรือได้แต่หลอกตัวเองไปว่าสเป็คมันดีแล้ว

เสียงมันก็ต้องดี แล้วก็ฟังต่อไปทั้งยังงั้น

 ;D ก็แล้วแต่คุณ ohm จะเข้าใจนะครับ คุณ ohm ทำตามทางที่คุณ ohm เข้าใจ ทำตามทางที่คุณ ohm ชอบ ไปซิครับ คุณก็ทำลองเปลี่ยนโน่นนี่มั่วจนได้เสียงดีที่เหมาะกับหูคุณก็ดีแล้วนี่ครับ  ผมไม่ได้ไป force ใครให้ต้องเชื่อผมนี่ครับ ถ้าคุณไม่เชื่อก็เรื่องอขงคุณ ผมให้หลักการกับคนที่เขาสนใจนี่ครับไม่ได้ให้กับคุณ

ก็น่าแปลกใจนะครับ enginner ที่เขาออกแบบ amp เครื่องเสียงแพงๆสงสัยเขาออกแบบมั่วแถมเขาไม่ได้เลือกดู spec ของอุปกรณ์เลยหรือยังไงไม่ได้วัดเลยหรือไง แล้วอุปกรณ์ match pair จะมีขายไปทำไม รู้ได้ไงเป็น match pair ใช้เสียบๆฟังๆเอาแล้วพอได้คู่ที่เสียงดีก็เอามาขายคู่เลยงั้นเหรอครับ   แล้วก็น่าแปลกใจเหมือนกันกับพวก engineer ที่เขาออกแบบลำโพงยี่ห้อดังๆราคาแพงๆเขาเลือกดอกลำโพงมามั่วๆโดยไม่มี spec เขาออกแบบวงจร cross over มั่วโดยการฟังไปเปลี่ยนค่า L C ไปเรื่อยเปื่อยเรื่อยๆจนเสียงดีหรือไงครับ เอ้ แล้วเขาจะมีห้องไร้เสียงไว้ test ลำโพงไปทำไม แปลกเน๊อะ แล้วในจะมี ไมใครโฟนที่ใช้วัดเสียงไปทำไม ก็น่าแปลกอีกนะครับ IC จะพวก opamp, DAC ,หรือ transistor  ที่ระบุใช้กับ audio ถ้า spec ไม่สำคัญเขาจะวัดมาทำไม ไอ้พวก noise ไอ้พวก distortion และ spec อื่นๆ เขาวัดไส่ datasheet แหกตามาหลอกขายพวกคุณเหรอครับ  แล้วก็เห็นคุณพูดเรื่อง noise พอดีก็ขอถามหน่อย ไอ้พวกเครื่องเสียงดังๆตัวที่ใช้ transistor แบบ discrete ทำไมวงจร differentail amp ที่ใช้ขยายสัญญาณ stage แรก มันใช้ low noise transistor ทุกยี่ห้อเลยครับ แปลกนะครับ  ;D

ถ้าผมทำแอมแล้วไม่มีความสุขกับเสียงมันผมจะทไปทำไมน้า ผมก็ซื้อเอาอย่างเดียวไม่ดีกว่าเหรอครับ ก็น่าแปลกคุณเป็นผมเหรอครับถึงได้รู้ว่าผมหลอกตัวเองหรือไม่หลอกตัวเอง ก็น่าแปลกอีกที่ผมไม่เคยพูดว่าคนใช้ของเสป็กไม่ดีพอฟังเสียงแล้วเสียงกลับดีกว่าของเสป็กดีเป็นพวกหลอกตัวเอง ผมบอกแล้วไงครับ อย่าเอาหูตัวเองเป็นบรรทัดฐาน หู เผ่นเพลงคุณ เครื่องเล่นแผ่นคุณ ampคุณ ลำโพงคุณ ห้องคุณ เหมือนผมเหรอ

ผมก็ไม่เคยพูดเรื่องเสียงดีหรือไม่ดีเลยพูดไปหลายรอบแล้วนะครับ เข้าใจยากจริงนะครับ 555555555555  ;D ทางใครทางคนนั้นก็ดีแล้วไงครับ
เบื่อ


ออฟไลน์ leklek

  • **
    • กระทู้: 54
ผมชอบการโต้ตอบ(การพูดคุย)ของคนทั่งสองนะครับ
ผมเอาความคิดของคุณทั่งสองคนรวมกัน ทำให้ผมไม่ต้องมั่วมากนัก
หนึ่งคน เป็น วิทยา ความรู้ที่สามารถถ่ายถอดได้โดยม่ต้องประสบเอง
หนึ่งคน เป็น ศิลปะ เป็นสิ่งที่ต้องผึกและต้องประสบเองและทะบ่อยๆ

ดังนั้นหากเรามีศิลปวิทยานั่นแหละครับเสียงที่ดีที่สุดสำหรับเรา
ไม่ว่าอะไรก้ดีไปหมด

อย่าโกรธกันละครับ คุณทั่งสองมอบความรู้ให้ผมมากมาย c)


ออฟไลน์ ohm

  • ผู้สนับสนุน web ......
  • ******
    • กระทู้: 910
    • เพศ:ชาย
ความเห็นส่วนตัวผม ผมไม่สนใจเรื่องเสียงนะว่าอันไหนดีไม่ดี เวลาผมออกแบบ ผมสนใจแค่เสป็กใน datasheet คร่าวๆ คือ input noise power density, THD+noise, CMRR และอื่นๆอีกนิดหน่อยก็พอครับ

ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละครับ ถ้าเจ้าของกระทู้ทำตามที่บอกมาข้างบนผมรับรองว่าเสียตังเปล่าๆแน่เพราะเขาจะได้เครื่องมือวัดหนึ่งตัว ไม่ใช่เครื่องเสียงหนึ่งตัวครับ

นั่นดิครับ ตอนยังไม่มีประสบการณ์ว่าอุปกรณ์ตัวไหนเสียงเป็นยังไง  ผมทำวงจรอะไรก็เสียงไม่ดี ทั้งๆที่มันก็ทำงานได้ดี

noiseไม่ได้ยิน ตอบสนองความถี่ก็ครบ  แต่เสียงไม่ลงตัวซักที

พอได้ทดลองทำไปหลายๆแบบ ค่อยๆฟังไปว่าอุปกรณ์ตัวไหนเสียงเป็นยังไง  หลังๆมานี้ทำวงจรอะไรก็จะเข้าหาเสียงดีๆได้ไวขึ้น

ปรับจูนแค่นิดๆหน่อยๆเสียงก็ลงตัวแล้ว   ถ้าผมยังดูแต่ spec ป่านนี้ก็ยังได้แต่ แอมป์,DAC,ฯลฯ ที่ noise แต่เสียงห่วยเหมือนเดิม

และถ้าเอามาเข้าเครื่องวัด คงตอบยากว่าตัวไหนเสียงดีกว่า เพราะมันทำงานได้ทั้งคู่ เผลอๆตัวเสียงแย่ noise ต่ำกว่าอีกมั้ง

ผมสงสัยจริงๆว่าคุณ RF lover เคยทำแอมป์แล้วมีความสุขกับเสียงของมันบ้างไหม  หรือได้แต่หลอกตัวเองไปว่าสเป็คมันดีแล้ว

เสียงมันก็ต้องดี แล้วก็ฟังต่อไปทั้งยังงั้น


ออฟไลน์ nopphong

  • *****
    • กระทู้: 915
ความเห็นส่วนตัวผม ผมไม่สนใจเรื่องเสียงนะว่าอันไหนดีไม่ดี เวลาผมออกแบบ ผมสนใจแค่เสป็กใน datasheet คร่าวๆ คือ input noise power density, THD+noise, CMRR และอื่นๆอีกนิดหน่อยก็พอครับ

ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละครับ ถ้าเจ้าของกระทู้ทำตามที่บอกมาข้างบนผมรับรองว่าเสียตังเปล่าๆแน่เพราะเขาจะได้เครื่องมือวัดหนึ่งตัว ไม่ใช่เครื่องเสียงหนึ่งตัวครับ


ออฟไลน์ cool

  • ****
    • กระทู้: 278
 ^-^ พ้มว่าความชอบนี่ก็มีมาตรฐานเหมือนกัน...เช่น เสียงเมียบ่น

ใครชอบบ้าง...ยกมือ :'(  :black_eye  :cry2


ออฟไลน์ พี่ดุ้น

  • เบื่อ
  • ผู้สนับสนุน web
  • *
    • กระทู้: 436
    • เพศ:ชาย
แหะๆ นานาจิตตังอะครับคุณ AGOGO ผมถึงไม่เคยพูดถึงเรื่องเสียงดีไม่ดีเลยทุกๆกระทู้ที่ผ่านมาในเวปนี้ ถ้าใครไม่ชอบก็แค่เงียบ แต่ก็มีคนพยายามโยงไปเข้าเรื่องเสียงอยู่ดี แล้วเหตุผลที่ผมไม่พูดเรื่องเสียงดีหรือไม่ดีก็ได้บอกไว้หลายรอบก่อนหน้านี้ไปแล้วนะครับ คุณ AGOGO ก็ลองค่อยๆไล่อ่านดูตั้งแต่ต้น จับประเด็นให้ได้ว่า point ของผมคืออะไร  เริ่มจากกระทู้คำตอบของผมที่ #25 หน้า1 ผมพูดไว้ชัดเจนว่าเรื่องเสียงแล้วแต่ความชอบ

เบื่อ


agogo

  • บุคคลทั่วไป
ผมคิดอยู่นานครับว่าจะโพสในกระทู้นี้ดีมั๊ย....สุดท้ายห้ามใจตัวเองไม่อยู่  K]  K]
แต่ผมจะระวังข้อความของผมก่อนคลิกปุ่มตั้งกระทู้นะครับ  :whistling

ในฐานะที่ผมก็เป็น RF_Loverคนนึง(ไม่เก่งครับ แค่Love)
เรื่องสเป็คและการวัดค่าต่างที่เป็นรูปธรรม ผมเข้าใจครับว่าคุณRFlover พยายามสื่อให้เห็นอะไร

ในฐานะที่ผมก็เป็นคนฟังเพลง(จากระบบเครื่องเสียง)คนนึง (ฟังมาไม่กี่System นับถูกครับ)
ผมเข้าใจครับว่าคุณnopphong พยายามสื่อให้เห็นอะไร
-***ผมไม่ได้หมายความว่าคุณRFloverไม่เข้าใจเรื่องระบบเครื่องเสียง และคุณnopphong ไม่เข้าใจระบบRFนะครับ***

....งานด้านRFเป็นงานที่ต้องเห็นและวัดได้ ทุกอย่างต้องอธิบายได้ ทุกอย่างต้องเปรี๊ยะ(หมายถึงแน่นอนครับ..ไม่ใช่หลอดแตก ;D)เป็นเรื่องของเหตุผล ขอ
งานด้านเครื่องเสียงนี่มันเป็นเรื่องของความรู้สึกเป็นหลัก(ไม่มีใครซื้อแอมป์โดยดูสเป็คอย่างเดียวโดยไม่ลองฟัง...จริงมั๊ยครับ ) คือมันเหมือนตอนผมเป็นวัยรุ่นจะเอารถไปเที่ยว(เป็นเรื่องของความรู้สึก..แต่ก็มีเหตุผลของตัวเอง เปรียบเหมือนเครื่องเสียง)แต่แม่จะให้นั่งรถสองแถวไป(เป็นเรื่องเหตุผลชัดเจน....ประหยัดปลอดภัย เปรียบเหมือนRF) ทั้งหมดนี้ผมพยายามจะบอกแค่มันเป็นเรื่องของความเชื่อครับเถียงกันยังงัยก็ไม่จบ ผมพอนึกออกมาเป็นตัวหนังสือได้แค่นี้ครับ



ออฟไลน์ nopphong

  • *****
    • กระทู้: 915
ไม่ได้จนมุมหรอกครับ เพราะผมยังไม่เห็นว่าจนมุมตรงไหน เพียงแต่อยากให้คุยกันด้วยเหตุผล งดเว้นประโยคที่ไม่จำเป็นเช่น

นี่ถ้าผมเป็นอาจารย์ คุณเป็นนักศึกษาขึ้นสอบโปรเจ็ก ผมแจก F ให้ไปนานแล้วครับ


ความถี่ตอบสนองของลำโพงมันจะตกที่ความถี่เท่าไร" <--- โฮ่ๆ ใช้คำว่าแค่เองเหรอครับ 

คุณรู้แค่ผิวๆคุณไม่ได้เข้าใจอะไรมันเลยถึงได้เข้าใจอะไรเพียงแค่นั้น

ผมบอกไม่รู้กี่ครั้งแล้วเรื่องเสียงอย่าเอาูตัวเองเป็นบรรทัดฐาน

เอาว่าเท่านี้ก็ชัดเจนแล้วครับว่าคุณดู datasheet ไม่เป็นดันไปหยิบเอากราฟ Isolation มาคุย

ที่บอกว่าเป็น engineer จบพระจอม พระจอมไหนครับ เพราะเดี๋ยวพระจอมอื่นเขาจะเดือดร้อน ถ้าเป็น engineer ก็ใช้ภาษา engineer คุยกันซิครับ แปลเป็นภาษาชาวบ้านด้วยก็ดีคนอื่นจะได้เข้าใจ



อ่านไปมาอ้อเข้าใจครับว่า คุณหมายความว่า ผมเอากร๊าฟ ของ crosstalk ของ 2132 มาเทียบกัย lt 1115 ที่เป็น single
ใช่ครับถ้าเทียบอย่างนั้นผิดแน่ แต่จุดมุ่งหมายที่ให้ดูนี้ไม่ได้ต้องการเทียบกับ lt1115 แต่ผมต้องการแสดงให้เห็นว่า แม้ที่ความถี่ต่ำๆกว่า 20K นั้นก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณภายใน ไม่ใช่ opamp นะทุกเบอร์ที่กล่าวมาทั้งหมด มันขยายสัญญาณความถี่ต่ำ 10Hz ยันสูงเกิน 20kHz ได้หมดจดทุกรายละเอียด แบบที่คุณว่าไว้ครับ
และสิ่งนี้จะยืนยันสิ่งที่เจ้าของกระทู้ถามถึงแนวเสียงของ opamp ว่ามันมีจริงๆ ไม่ใช่แค่คิดไปเอง หรือว่า ดูแค่ thd+noise ก็พอแล้วซื้อได้เลยไม่ต้องลองฟังหรอก อะไรทำนองนั้นครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 ธันวาคม, 2008, 03:24:56 pm โดย nopphong »


ออฟไลน์ พี่ดุ้น

  • เบื่อ
  • ผู้สนับสนุน web
  • *
    • กระทู้: 436
    • เพศ:ชาย
ที่ผ่าน ผมคุยด้วยเหตุผลนะครับ

ไช่ครับช่วงนี้ผมเพื่อนน้อยหยุดงานกันหมด เหงา ก็มีแต่คุณคนเดียวนะครับในนี้ที่ผมคุยด้วยแบบนี้คุณคือคนพิเศษ ผมเองก็ผิดเองที่บ้าจี้พยายามต้อนคุณให้จนมุม

ไม่คุยด้วยแล้วก็ได้ :cry2  :cry2 :cry2 :cry2 ไปตัดหญ้านอกบ้านก็ได้ :headphone
เบื่อ


ออฟไลน์ nopphong

  • *****
    • กระทู้: 915

เริ่มกันที่กราฟรูปแรกที่คุณเอามาแปะไว้นี้ดีกว่า โดยไอ้ที่คุณว่า "opa2132 ที่บอกว่าตอบสนองได้ 8M เนี่ย เอาเข้าจริงที่ไม่ถึง 10KHz ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณภายในแล้ว" คุณรู้มั๊ยครับไอ้กราฟที่คุณเอามาโชว์นะกราฟอะไร ของง่ายๆแค่นี้คุณก็ดู datasheet ไม่เป็น มันเป็นกราฟที่เขาวัด isolation หรือเรียกว่า cross talk ระหว่าง opamp 2 ตัวใน package เดียวกันครับ ที่ G=1 และที่ RL=2k และ ไม่มีโหลด คือ RL ค่าเป็นอนันต์  ถ้า OPA132 มันมี opamp แค่ตัวเดียวครับไม่ต้องวัด เขาวัดให้ในกรณี OPA2132 กับ OPA4132
ลองแปลภาษาอังกิดซิครับที่แกน x เขาเขียนว่า Channel Separation หน่วยวัดเป็น dB แปลว่าอะไรครับ นี่มันกราฟ Channel Separation VS Frequency กราฟนี้มันแค่บอกว่า opamp แต่ละตัวกวนกันเท่าไหร่
ไอ้ opamp ที่เรากล่าวกันถึงอยู่นี่เป็น voltage feedback opamp ครับ ถ้า่คุณเล่นอยากได้อัตราขยายเกิน 120dB BWคุณก็จะเหลือประมาณ 20Hz แล้วคุณต้องลดสัญญาณ input เข้าด้วยไม่งั้น output เน่า คุณใช้มัน gain ถึง 100 เลยเหรอ ถ้าคุณใช้ gain มันประมาณ 100 คุณก็จะได้ทุ้มโด่งบวมๆ กลางอย่างเบา แหลมโคตรเน่าสุดยอดแห่งความเบาหวิว
แล้วที่คุณพูดว่าา "เขาวัดที่ 600 โอมห์สำหรับ lt แต่ใช้งานจริงเรามักจะเอาไปขับภาคต่อไปที่อิมพีแดนซ์เกิน 10K ทั้งนั้น ดังนั้น thd ควรจะต่ำกว่าค่าที่เขาบอกมาก" <- คุณบอกว่าคุณอยู่วงการหูฟัง หูฟังคุณทำตัวเป็นโหลดกี่โอห์มครับ 10k เหรอ?


แค่ดูความหมายของกร๊าฟก็ผิดแล้วครับ channel separation ไม่เกี่ยวกับอัตตราขยายเลย ที่เขาบอกเป็น db หมายถึงเมื่อป้อนสัญญาณเข้าข้างซ้าย แล้ววัดสัญญาณที่ข้างขวา สัญญาณมันจะต่างกันกี่ db เราเรียกว่า cross talk ซึ่งจะมีผลให้เสียงที่ฟังจะเป็น mono มากขึ้นที่ความถี่สูงขั้น ซึ่งมีผลกับมิติของเครื่องดนตรีโดยตรง ไม่ใช่กร๊าฟแสดงการแยกแชลแนลที่อัตตราขยายต่างๆครับ

ส่วน ที่บอกว่า thd วัดที่ 600 โอมห์ อันนี้ผมตอบไปแล้วว่าผมไม่เอา opamp ไปขับหูโดยตรงจะต้องมี buffer อีกชุด จึงบอกว่ามักจะขับโหลดเกิน 10K ครับ
และกร๊าฟล่างที่ยกมาก็ไม่ใช่ว่าต้องเกนเท่ากับ 100 impedance มันถึงตก มันตกทุกเกนที่ความถี่ 200Hz ขึ้นไป เพียงแต่มากน้อยแล้วแต่เกนที่ใช้ แน่นอนว่ามันอาจจะน้อยเมื่อเทียบกับโหลดของมัน แต่มันก็ต้องมีผลไม่มากก็น้อยครับ

สุดท้ายนี้ดูจากคำตอบของคุณ เข้าใจว่าคงมีเพื่อนน้อยนะครับ เพราะคงไม่มีใครอยากคบคนที่พูดไป เสียดสีไป ยกตนข่มท่าน แบบนี้หรอกครับ ถ้าผมเป็นอาจารย์วิชามุนษสัมพันธ์ผมก็ให้คุณ F เหมือนกัน เอ...หรือว่าที่คุณเรียนมาไม่มีสอนวิชานี้ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 ธันวาคม, 2008, 03:10:44 pm โดย nopphong »


ออฟไลน์ nopphong

  • *****
    • กระทู้: 915
จากที่คุณ RFlover ถามไว้ที่กระทู้โน้นครับ

ผมถามคุณว่ากราฟอะไรที่คุณยกมาให้คุณอธิบาย? พระจอมไหน? หูฟังคุณกี่โอห์ม? ผมไม่เห็นคุณจะตอบอะไรผมเลยในคำ

ตอบดังนี้ครับ
ผมจบพระจอมพระนครเหนือครับ ไม่อยากจำเพาะเจาะจงสถาบันเพราะงานนี้สถาบันไม่เกี่ยวครับ แค่อ้างถึงว่าผมก็วิศวะกรคนนึงไม่ใช่ช่างกระจอกที่จบแค่ ... แต่อย่างใด

หูฟังที่ใช้ 60ohm ครับ ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับ opamp เพราะผมไม่ได้ใช้ opamp ขับหูฟังโดยตรงดังนั้นจึงถือได้ว่า opamp ขับโหลดที่มีความต้านทานเกิน 1M

กร๊าฟที่ยกมาจะเป็นกร๊าฟการแยกสัญญาณซ้ายขวา กับกร๊าฟของ output impedance ซึ่งถ้ามองกันถึงว่ามันมีผลมากไหมตามทฤษฎีแล้วมันน้อยมากๆ แต่มันก็แสดงถึงว่าที่ความถี่ไม่ถึง 20K ก็มีการเปลี่ยนแปลงภายในการทำงานของตัว opamp ซึ่งเจ้าค่าเหล่านี้อาจจะ(ใช้คำว่าอาจจะ) มีผลต่อการรับฟัง และมีผลต่อน้ำเสียงของ opamp ตัวนั้นๆ เพราะไม่อย่างนั้นถ้าเป็นอย่างที่คุณว่าเอาไว้ว่า

เท่าที่ผมรู้นะครับ opamp นะทุกเบอร์ที่กล่าวมาทั้งหมด มันขยายสัญญาณความถี่ต่ำ 10Hz ยันสูงเกิน 20kHz ได้หมดจดทุกรายละเอียด ไอ้การที่คุณเปลี่ยน opamp แล้วเสียงเปลี่ยนถ้ามันไม่เกิดจากการ distortion แล้วเกิด intermod มันก็ต้องเกิดจากการ characteristic curve ของผลตอบสนองทางความถี่คุณเปลี่ยนทั้งทางด้าน phase + amplitude ไม่อย่างไดอย่างหนึ่งไม่ก็ทั้งสองอย่าง

ถ้าเป็นอย่างที่ว่างั้นเราเอา opamp เบอร์ไหนใส่ก็เสียงเหมือนกันสิถ้า thd และ noise พอๆกัน แต่เท่าที่ผมลองมาเสียงมันไม่เหมือนกันสักเบอร์นะครับ แล้วคุณจะอธิบายยังไงครับ ผมว่า thd มันเป็นความเพี้ยนโดยรวมที่วัดออกมา แต่มันจะเพี้ยนไปทางไหน เช่นเพี้ยนโย้ไปข้างหน้า หรือโย้ไปข้างหลัง หรือบุ๋มที่ความถี่นี้ อันนี้เป็นสิ่งที่หูคนรับรู้ได้ละเอียดกว่าเครื่องมือวัดที่วัดได้แต่ว่ามันเพี้ยนกี่%ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 มกราคม, 2009, 06:04:02 pm โดย nopphong »


ออฟไลน์ noong

  • ***
    • กระทู้: 136
ข้อมูลปึ๊ก ขอบคุณครับสำหรับความรู้ดีๆที่แบ่งปันกัน :huglove


ออฟไลน์ nopphong

  • *****
    • กระทู้: 915
2. สำหรับคน   ความไพเราะเสนาะโสตประสาท..มันเป็นความสามารถเฉพาะบุคคล (ในการกล่อมว่าไอ้นั้นดีโง้น ไอ้นี่ดีงี้  :harp). ผมว่าแต่ละคนไม่มีทางได้ยินเสียงเดียวกัน แล้วรับรู้ได้เหมือนกัน. อย่างที่พี่ nopphong ว่าแหละครับ Ampที่มี THD. 1 % ก็ยังสบาย สบาย  d_d . มันอยู่ที่ความพอใจ.
เพราะฉะนัน Spec. ของ Components จึงสำคัญน้อย , ที่สำคัญสำหรับความพอใจ คือจินตนาการครับ ทั้งที่รับมาจากรอบๆตัว กับสร้างขึ้นเองครับ.
อันนี้จริงครับ เราจึงไม่สามารถตอบแบบฟันธงลงไปได้ว่า opamp ตัวนี้เสียงดีกว่าตัวโน้น เพราะแต่ละคนชอบไม่เหมือนกัน ระบบก็คนละชุด แต่เราสามารถบอกแนวโน้มลงไปได้ ว่าตัวนี้เบสเป็นอย่างไร รายละเอียดเสียงดีมั้ย มิติเป็นอย่างไร เราสามารถบอกคร่าวๆเพื่อใช้ในการตัดสินใจซื้อมาลอง(เพราะที่ร้านคงไม่ให้ลองก่อนซื้อ)

แต่ก็มีข้อแม้ในกรณีที่ opamp นั้นๆได้ทำการทดสอบฟังแบบ ab เทียบกับอีกเบอร์ โดยหลายๆคนฟัง แล้วเสียงส่วนใหญ่ลงความเห็นไปในทางเดียวกัน อันนี้สามารถนำข้อมูลนี้มาฟันธงลงไปได้ในระดับนึงครับ ซึ่งผมจะทำในส่วนนี้
บอกตามตรงผมไม่ใช่คนที่หูดีอะไรนัก ผมชอบการออกแบบวงจรมากกว่า ออกแบบกันให้ thd ต่ำสุดๆเนี่ยแหละ แต่ปรากฎว่าพอทำออกมาเสร็จผมก็จะเอาไปให้หลายๆคนที่อยู่ในวงการฟังอีกที ผลลัพท์เป็นที่น่าผิดหวังว่า ความเพี้ยนไม่ใช่สิ่งที่นักฟังส่วนใหญ่รับรู้ได้ครับ
และพบว่าวงจรที่ดีไม่จำเป็นว่าเสียงจะต้องดี ในขณะที่วงจรง่ายๆ และความเพี้ยนสูงกว่ากลับได้รับคำชมจากนักฟังมากกว่า

บอกตามตรงผมเคยหมดกำลังใจทำพวกนี้ไปพักนึงเพราะออกแบบวงจรที่เพี้ยนต่ำสุดๆ ตอบสนองสัญญาณตรงสุดๆ เอาสโคปวัดนี้สัญญาณสวยเชียว แต่พอเอาไปให้ฟังกันกลับบอกว่ามันสู้แอมป์กระป๋องไม่ได้ ผมเป็นช่างนะครับไม่ใช่นักฟังหูทองอะไร สนุกกับการออกแบบ แต่พอมาเจออะไรที่อธิบายไม่ได้ก็หมดกำลังใจเหมือนกัน

สุดท้ายเลยเข้าใจว่าความเพี้ยน ไม่ใช่จุดที่บอกว่าเครื่องเสียงนั้นจะเสียงดีเป็นที่นิยมของผู้ฟังครับ สเปกใช้ออกแบบได้แต่ใช้บอกแนวเสียงไม่ได้ครับ


ออฟไลน์ Sarawut

  • **
    • กระทู้: 98
    • เพศ:ชาย
ขอแสดงความคิดเห็นด้วยคนอีกสักทีนะครับ.  :D
 ผมมีความคิดเห็นดังนี้
1. Spec. ของอุปกรณ์ (เช่น OPAMP etc...) ที่ทดสอบออกมาโดยการวัดด้วยเครื่องมือ Standard  เอามาเพื่อนำมาออกแบบในการใช้งาน เพื่อให้เครื่องที่จะสร้างขึ้นใช้งานได้ เช่น อย่างใน วงจรที่มีความถี่สูงๆ  หรือ วงจรที่ต้องการความผิดเพี้ยนต่ำๆ ต้องหาอุปกรณ์ที่มี Spec. ให้ได้สูงกว่าที่กำหนดมาทำ ไม่งั้นเครื่องที่ทำอาจทำงานไม่ได้ หรือทำงานไดไม่ดีตามวัตถุประสงค์ .
เพราะฉะนั้น Spec. ของ Components จึงสำคัญมากๆ  :showoff อยางที่ พี่ RFlover เกี่ยวข้องอยู่.
2. สำหรับคน   ความไพเราะเสนาะโสตประสาท..มันเป็นความสามารถเฉพาะบุคคล (ในการกล่อมว่าไอ้นั้นดีโง้น ไอ้นี่ดีงี้  :harp). ผมว่าแต่ละคนไม่มีทางได้ยินเสียงเดียวกัน แล้วรับรู้ได้เหมือนกัน. อย่างที่พี่ nopphong ว่าแหละครับ Ampที่มี THD. 1 % ก็ยังสบาย สบาย  d_d . มันอยู่ที่ความพอใจ.
เพราะฉะนัน Spec. ของ Components จึงสำคัญน้อย , ที่สำคัญสำหรับความพอใจ คือจินตนาการครับ ทั้งที่รับมาจากรอบๆตัว กับสร้างขึ้นเองครับ.
ขอสรุปความคิดเห็นครับ.
- Spec. เพื่อความพอเพียง (เหมือนเครื่องซักผ้าครับ เสียก็ซ่อม ไม่เห็นมีคนบอกว่านั่งซักผ้าเป็น Linear + Analog ดี  ใช้เครื่องซักแล้วมัน Oversampling ไม่ละเอียด  2f )
- DIY เพื่อจิตนาการที่ไม่หยุดนิ่ง (เสียเงินแล้วมีความสุข กิเลสแท้ๆ  :drunk ครับ)
ปล. ผมสนใจด้าน Instruments พวกเครื่องมือวัดนะครับ.
ขอบคุณครับ
ศาวุธ
ข้อมูลที่อยู่ครับ.  http://www.htg2.net/index.php?topic=32909.0


ออฟไลน์ พี่ดุ้น

  • เบื่อ
  • ผู้สนับสนุน web
  • *
    • กระทู้: 436
    • เพศ:ชาย
อรุณสวัสดิ์ครับ คุณ nopphong อากาศหนาวนะครับเช้านี้ เริ่มกันต่อเลยดีกว่า คิดว่าคงตั้งหน้ตั้งตาดักรออ่านอยู่ (ผมเอาตัวผมเป็นบรรทัดฐานนะครับ มันซ์ดี หวังว่าคนอื่นคงมันในอารมณ์ไปกับผมด้วยนะครับ)

นี่ถ้าผมเป็นอาจารย์ คุณเป็นนักศึกษาขึ้นสอบโปรเจ็ก ผมแจก F ให้ไปนานแล้วครับ

เริ่มกันที่กราฟรูปแรกที่คุณเอามาแปะไว้นี้ดีกว่า โดยไอ้ที่คุณว่า "opa2132 ที่บอกว่าตอบสนองได้ 8M เนี่ย เอาเข้าจริงที่ไม่ถึง 10KHz ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณภายในแล้ว" คุณรู้มั๊ยครับไอ้กราฟที่คุณเอามาโชว์นะกราฟอะไร ของง่ายๆแค่นี้คุณก็ดู datasheet ไม่เป็น มันเป็นกราฟที่เขาวัด isolation หรือเรียกว่า cross talk ระหว่าง opamp 2 ตัวใน package เดียวกันครับ ที่ G=1 และที่ RL=2k และ ไม่มีโหลด คือ RL ค่าเป็นอนันต์  ถ้า OPA132 มันมี opamp แค่ตัวเดียวครับไม่ต้องวัด เขาวัดให้ในกรณี OPA2132 กับ OPA4132
ลองแปลภาษาอังกิดซิครับที่แกน x เขาเขียนว่า Channel Separation หน่วยวัดเป็น dB แปลว่าอะไรครับ นี่มันกราฟ Channel Separation VS Frequency กราฟนี้มันแค่บอกว่า opamp แต่ละตัวกวนกันเท่าไหร่
ไอ้ opamp ที่เรากล่าวกันถึงอยู่นี่เป็น voltage feedback opamp ครับ ถ้า่คุณเล่นอยากได้อัตราขยายเกิน 120dB BWคุณก็จะเหลือประมาณ 20Hz แล้วคุณต้องลดสัญญาณ input เข้าด้วยไม่งั้น output เน่า คุณใช้มัน gain ถึง 100 เลยเหรอ ถ้าคุณใช้ gain มันประมาณ 100 คุณก็จะได้ทุ้มโด่งบวมๆ กลางอย่างเบา แหลมโคตรเน่าสุดยอดแห่งความเบาหวิว
แล้วที่คุณพูดว่าา "เขาวัดที่ 600 โอมห์สำหรับ lt แต่ใช้งานจริงเรามักจะเอาไปขับภาคต่อไปที่อิมพีแดนซ์เกิน 10K ทั้งนั้น ดังนั้น thd ควรจะต่ำกว่าค่าที่เขาบอกมาก" <- คุณบอกว่าคุณอยู่วงการหูฟัง หูฟังคุณทำตัวเป็นโหลดกี่โอห์มครับ 10k เหรอ?
 
ส่วนเรื่องลำโพงที่คุณพูดว่า "แต่สำหรับดอกลำโพงที่จะเอามาทำลำโพง อันนั้นจำเป็นต้องมีใช้ในการออกแบบลำโพงอีกที แต่...มันก็ไม่ได้บอกว่าเสียงเป็นยังไงแค่บอกว่าความถี่ตอบสนองของลำโพงมันจะตกที่ความถี่เท่าไร" <--- โฮ่ๆ ใช้คำว่าแค่เองเหรอครับ 

ส่วนเรื่องสายอากาศอย่าเอามาเทียบกันดีกว่าครับ คุณรู้แค่ผิวๆคุณไม่ได้เข้าใจอะไรมันเลยถึงได้เข้าใจอะไรเพียงแค่นั้น ทุกอย่างมันอธิบายได้ครับ ความจริงที่เป็นคือคนเราเวลาไม่รู้ก็จะไม่สามารถอธิบาย่ได้ก็เลยคงต้องมีศัพท์ประหลาดๆโผล่ออกมาใช้ในการอธิบาย

ผมบอกไม่รู้กี่ครั้งแล้วเรื่องเสียงอย่าเอาูตัวเองเป็นบรรทัดฐาน แผ่น เพลง เครื่องเล่น แอม ลำโพง ห้อง หู แต่ละคนไม่มีใครเหมือนกันเลย ไม่งั้นเขาจะมีมาตรฐานตั้งขึ้นมาที่ใช้ร่วมกันทั่วโลกไว้ทำไมครับ ถ้าผมบอกว่าโต๊ะบ้านผมยาว 10 แมวยิ้ม คุณบอกว่าโต๊ะบ้านคุณยาว 15 แมวยิ้ม โต๊ะบ้านผมบ้านคุณใครยาวกว่ากันครับ แมวคนละตัว

เอาว่าเท่านี้ก็ชัดเจนแล้วครับว่าคุณดู datasheet ไม่เป็นดันไปหยิบเอากราฟ Isolation มาคุย ถ้าคุณคิดว่าถูก อธิบายมา ถ้าทั้ง package OPA4132 หรือ OPA2132 ผมใช้ opamp เพียงแค่ตัวเดียว หรือผมใช้ OPA132 ไอ้กราฟนี่จะเกียวกับ ที่คุณพูดว่า datasheet บอกว่า BW ได้ถึง 8MHz ได้แต่ใช้จริง 10k เริ่มร่วง มันเกี่ยวกันมั๊ย?
ตกลงนี่ไอ้กราฟรูปแรกนี่กราฟอะไรครับ เอาให้เคลียร์??? คนอื่นเขาไม่รเขาก็ู้จำไปผิดๆกันพอดี
ที่บอกว่าเป็น engineer จบพระจอม พระจอมไหนครับ เพราะเดี๋ยวพระจอมอื่นเขาจะเดือดร้อน ถ้าเป็น engineer ก็ใช้ภาษา engineer คุยกันซิครับ แปลเป็นภาษาชาวบ้านด้วยก็ดีคนอื่นจะได้เข้าใจ



ปล.ผมว่าผมตอบไปแล้วนี่นา คำถามไหนอีกครับเอาอีกรอบ



เบื่อ


ออฟไลน์ nopphong

  • *****
    • กระทู้: 915
เรื่องกร๊าฟกับลำโพงมองกันคนละมุมครับ ผมมองในมุมผู้บริโภคที่เดินไปซื้อลำโพงสำเร็จรูปมาตัวนึง หรือที่ผมซื้อบ่อยคือหูฟัง กร๊าฟบอกสเปกพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรในการตัดสินใจซื้อครับ แต่สำหรับดอกลำโพงที่จะเอามาทำลำโพง อันนั้นจำเป็นต้องมีใช้ในการออกแบบลำโพงอีกที แต่...มันก็ไม่ได้บอกว่าเสียงเป็นยังไงแค่บอกว่าความถี่ตอบสนองของลำโพงมันจะตกที่ความถี่เท่าไร

เรื่องค่า thd ของแอมป์บ้านหม้อนี่หมายถึงชุดคิทที่ขายตามบ้านหม้อครับ อย่างชุดคิทของ tula พวกนี้จะมีสเปกบอกไว้หมด

diy ไม่มั่วทั้งหมดหรอกครับ แต่สเปก มันใช้ออกแบบอะไรได้คร่าวๆเท่านั้น แต่ละคนที่ออกแบบวงจรได้ก็ใช้สเปกพวกนั้นออกแบบมาทั้งนั้นแหละครับ ไม่งั้นจะออกมาเป็นวงจรได้ยังไง แต่สุดท้าย fine tune ของวงจรยังต้องพึ่งคนในการฟังและปรับแต่งครับ

ของที่มีขายอยู่ในโลกมันไม่ได้เป็นอุมคติอย่างที่เราอยากให้มันเป็นดังนั้นเนี่ยทำยังไงก็ได้ให้ไกล้เคียงอุดมคติที่สุด ถ้าการวัด เครื่องมืดวัดเชื่อไม่ได้ ของทุกอย่างผลิตก็ไม่ต้องวัดไม่ต้อง test หรอกครับ ถ้าคุยกันภาษา Engineer คนที่เป็น Engineer ก็จะเข้าใจ
ทุกอย่างมันต้องมีที่มาแล้วต้องมีที่ไปไม่ได้มั่ว ผมก็ไม่ชอบอธิบายอะไรแบบน้ำขุ่นๆอะไรที่ผมไม่รู้ผมก็ไม่พูดหรอกครับ อะไรที่รู้ก็ share ให้เพื่อนๆฟังกันแบ่งปันกันไป ผมก็ไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไรเลยจากการเสียเวลามานั่งพิมยาวเป็นหน้าๆ เงินก็ไม่ได้
ผมก็ engineer ครับจบพระจอม ทำไมจะไม่เข้าใจ แต่ผมเข้าใจเกินระดับที่คิดว่าทุกอย่างตัวเลขอธิบายได้ไปแล้ว เพราะตอนแรกก็คิดแบบตัวเลขอธิบายทุกอย่างได้ แต่พอทำออกมาจริงมันไม่ใช่ เราใช้มันแค่ตอนออกแบบ เมื่อทำออกมาเสร็จนั่นแหละจึงจะรู้ว่าเสียงมันจะเป็นยังไงครับ ถ้าทำงาน RF คงจะเคยเจอ ที่ทำเสาอากาศออกมา คำนวณออกมามันน่าจะขยายได้เท่านั้นเท่านี้ db แต่พอเอาเข้าจริงมันกลับไม่ได้ตามที่คำนวณ แล้วไอ้ที่หายมันหายไปไหน หาเหตุผลไม่ค่อยได้ สุดท้ายก็ใช้วิธีวัดแล้วพล๊อตค่าของเสาตัวนั้นๆออกมาเป็นสเปกไม่ได้ใช้ค่าที่คำนวณออกมาเป็นสเปกใช่ใหม่ล่ะครับ

ส่วน lt1115 ที่ผมบอกดีกว่าอันนั้นจะเป็นในส่วนของ bandwidth กับ noise ที่ต่ำกว่า ส่วน thd อย่างที่บอกคือมั่นต่ำมากๆจนไม่สามารถรับรู้ได้จึงไม่ได้พูดถึงมันครับ อีกทั้งสองเบอร์นี้ใช้การวัด thd ที่โหลดไม่เท่ากัน และโดยปรกติโหลดสำหรับ opamp ก็ไม่ใช่ค่าที่เขาใช้วัด (เขาวัดที่ 600 โอมห์สำหรับ lt แต่ใช้งานจริงเรามักจะเอาไปขับภาคต่อไปที่อิมพีแดนซ์เกิน 10K ทั้งนั้น ดังนั้น thd ควรจะต่ำกว่าค่าที่เขาบอกมาก)

เรื่อง opamp มันขยายความถี่เสียงได้หมดจด แต่ก่อนผมก็คิดแบบนั้นครับ และตามอุดมคติแล้ว opamp ถ้าต่อวงจรถูก รูปคลื่นเข้าและออกไม่ควรจะเปลี่ยนเลย แต่ก็แปลกที่ opamp แต่ละเบอร์มันมีบุคลิคของมันเอง โดยไม่มีเหตุผล เพราะถ้ามันทำงานเป็นอุดมคติจริงใส่เบอร์อะไรเสียงก็ควรจะเหมือนๆกัน ต่างกันแค่ noise กับ offset อะไรพวกนี้จริงใหมครับ เพราะแต่ละตัวก็ตอบสนองกันเกิน 1M ทั้งนั้น เราใช้แค่ 20K จะเป็นไรไป เข้า 1V ก็ควรจะออก 10 กรณีที่เกนเท่ากับ 10

แต่นี่ป้อนไซนเข้าไป วัดรูปคลื่นไม่เพี้ยน วัดการตอบสนองความถี่ก็เรียบตรงตลอด แต่...ตอนฟังเสียงมันดันไม่เหมือนกัน
ถ้าให้เดา ผมคิดว่ามันเกิดจากการที่ opamp มันทำงานไม่เป็นอุดมคติจริง อาจจะมีการขยายที่ไม่เป็นเชิงเส้นในบางความถี่หรือบางขนาดสัญญาณ อย่าลืมว่าค่า thd หรือค่าอื่นๆเขาจะวัดกันที่ค่าใดค่านึงเท่านั้น อย่าง thd ก็วัดกันที่ 1K แต่ความถี่เสียงมันกว้างกว่านั้นมันเลยจะไม่เรียบตลอดก็ได้

อย่างตัวอย่างกร๊าฟที่ใส่มานี่จะเห็นว่า opa2134 ที่บอกว่าตอบสนองได้ 8M เนี่ย เอาเข้าจริงที่ไม่ถึง 10KHz ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณภายในแล้ว อาจจะไม่มากแต่ผมว่ามันมีผลกับบุคลิคเสียงที่เราได้ยินครับ
ซึ่งค่าพวกนี้ กร๊าฟพวกนี้ถ้าเราออกแบบวงจรที่ความถี่ใดความถี่นึงเราก็เอาไปใช้ออกแบบได้ แต่ถ้าเราทำงานกับเสียงเรากลับใช้อะไรมันไม่ได้เลย เพราะช่วงมันกว้างเราไม่สามารถกำหนดค่าที่ตายตัวลงไปได้ สุดท้ายเราก็จะใช้การออกแบบในส่วนที่กำหนดได้ และฟังเสียงเพื่อรับรู้บุคลิคของ opamp ตัวนั้นครับ

ปล.ยังไม่ตอบคำถามสองข้อข้างบนผมเลยครับ เสริมให้อีกก็ได้ว่า ถ้าให้คัดอุปกรณ์ให้ได้ตามสเปกทุกตัวด้วย จะคัดกี่กระบุงก็เถอะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 ธันวาคม, 2008, 06:04:57 am โดย nopphong »


ออฟไลน์ พี่ดุ้น

  • เบื่อ
  • ผู้สนับสนุน web
  • *
    • กระทู้: 436
    • เพศ:ชาย
ขอตอบยาวๆแล้วกันครับ บางคนเขาเมลมาถามผม เขาคงชอบอ่านครับ แล้วผมคิดว่ามันไม่ไช่เป็นการเถียงหรอกครับ ถกกันมากกว่า คนบางคนเขาก็คงอยากรู้ว่า fact คืออะไร ผมอาจจะผิดก็ได้ สุดท้ายความจริงๆก็คือความจริงครับ

ก็อย่างที่บอกครับ ต้องดูกันทั้งระบบ source preamp amp ลำโพง+cross over ห้อง ผมถึงถามคุณ nopphong ไงครับว่าใช้ลำโลงยี่ห้ออะไร
แล้วก็อย่างที่ผมบอกคุณ nopphong ไปนะครับ ว่าเสียงแล้วแต่คนชอบ แล้วอย่างที่บอก amp ที่ดีไส่อะไรเข้าไป waveform มันก็ต้องออกมาเหมือนเดิมแต่แค่แอมปริจูดเพิ่มขึ้น เสียงดีไม่ดีอยู่ที่ระบบของคุณ ผมถึงถามคุณใช้ลำโพงอะไร power amp อะไรด้วย
อย่างที่เจ้าของกระทู้ถาม เปรียบเทียบ opamp แต่ละรุ่นผมก็เปรียบเทียบไปตาม datasheet ใครจะไปต่อยังไงใช้งานมันยังไงก็อีกเรื่องนึง

# คุณ nopphong ยังไม่เห็นตอบคำถามผมเลยอะ LT1115 spec ดีกว่า OPA2132 ตรงไหน เทียบกันยังไง spec ใน datasheet นะครับ?

ส่วนคำถามคุณผมตอบได้เลยว่า THD 0.001% ดีกว่า 0.1% ถ้าเสป็กอื่นๆเหมือนกันทุกประการ แล้วผมมั่นใจเลยครับ amp ที่ไช้อุปกรณ์สารกึ่งตัวนำเสียงดีกว่า แอมหลอด เพราะว่าแอมหลอดเสียงต่ำเน่าเพราะหม้อแปลงขาออก (ถ้าหลอดมันมีขั่ว PNP NPN ก็ดีซินะครับ)

เท่าที่ผมรู้นะครับ opamp นะทุกเบอร์ที่กล่าวมาทั้งหมด มันขยายสัญญาณความถี่ต่ำ 10Hz ยันสูงเกิน 20kHz ได้หมดจดทุกรายละเอียด ไอ้การที่คุณเปลี่ยน opamp แล้วเสียงเปลี่ยนถ้ามันไม่เกิดจากการ distortion แล้วเกิด intermod มันก็ต้องเกิดจากการ characteristic curve ของผลตอบสนองทางความถี่คุณเปลี่ยนทั้งทางด้าน phase + amplitude ไม่อย่างไดอย่างหนึ่งไม่ก็ทั้งสองอย่าง

# คุณ nopphong ลองอธิบายให้ผมฟังหน่อยได้มั๊ยครับว่าทำไม opamp คนละตัวแนวเสียงต่างกัน? มันเกิดอะไรขึ้น ผมสงสัยอยากรู้จริงๆเผื่อมีบางอย่างที่ผมยังไม่รู้

คนที่เขาออกแบบเครื่องเสียงราคาแพงๆเขาไม่ได้มั่วครับอุปกรณ์ทุกอย่างเขาคัดมาอย่างดี ไม่ไช่แค่เสป็กดีครับเขา screen ของมาทำด้วย ผมมีวงจรเครื่องเสียงราคาแพงเยอะแยะผมยังไม่เคยคิดจะต่อมันเลย เพราะผมรู้ว่าจะทำให้มันดีเหมือนเขาผมต้องซื้อทรานซิสเตอร์มาวัดแล้วโดยนทิ้งเป็นกระบุง อธิบายให้เห็นภาพง่ายๆนะครับ เอาแค่ defferential amp stage แรก (เหมือนพวกบ้าเอาทรานซิสเตอร์ discreate มาต่อเป็น opamp แล้วบอกว่าดี ทั้งที่ไม่มี spec ในการวัด) แค่ stage แรกคุณคิดว่าคุณซื้ออุปกรณ์ discrete มาสองตัวนี่เอาแค่ IV curve มันจะเหมือนกันมั๊ย? แล้วถ้ามันไม่เหมือนกันจะเกิดอะไรขึ้น? ampบ้านหม้อที่บอก spec THD มาเขาวัดด้วยเหรอครับโฮ่ลงทุนน่าดู สำหรับผมแล้วไม่เชื่อครับว่าวัด แค่ต่อๆประกอบเปิดดังจบเอาออกมาขาย ใครจะเขียนยังไงก็ได้ครับ spec อยากได้ของดีซื้อของเบรนดีๆแพงๆเอาครับง่ายดีมั่นใจได้ของดี แต่ถ้ารักจะเล่น DIY แล้วอยากได้ของดี มั่วก็คงได้ไม่ง่าย พอมั่วขึ้นมาได้ดีก็ภูมิใจนักหนา ทฤษฎี กับ ปฏิบัติมันของคู่กันครับ ของที่มีขายอยู่ในโลกมันไม่ได้เป็นอุมคติอย่างที่เราอยากให้มันเป็นดังนั้นเนี่ยทำยังไงก็ได้ให้ไกล้เคียงอุดมคติที่สุด ถ้าการวัด เครื่องมืดวัดเชื่อไม่ได้ ของทุกอย่างผลิตก็ไม่ต้องวัดไม่ต้อง test หรอกครับ ถ้าคุยกันภาษา Engineer คนที่เป็น Engineer ก็จะเข้าใจ
ทุกอย่างมันต้องมีที่มาแล้วต้องมีที่ไปไม่ได้มั่ว ผมก็ไม่ชอบอธิบายอะไรแบบน้ำขุ่นๆอะไรที่ผมไม่รู้ผมก็ไม่พูดหรอกครับ อะไรที่รู้ก็ share ให้เพื่อนๆฟังกันแบ่งปันกันไป ผมก็ไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไรเลยจากการเสียเวลามานั่งพิมยาวเป็นหน้าๆ เงินก็ไม่ได้

ลำโพงมันก็มี distortion นะครับ ไม่ไช่มาดูค่า SPL กันอย่างเดียว ถ้าพูดถึงลำโพงเนี่ยถ้าคุณ nopphong คิดว่ากราฟไร้สาระ แล้วเขาจะวัดมาทำไมครับ แล้วไอ้คนออกแบบลำโพงโดยไปซื้อดอกลำโพงมาแบบไม่มีกราฟไม่มีเสป็กมันจะออกแบบ crossover network ให้ใช้กับลำโพงยังไงละครับ ช่วยบอกผมหน่อย? สุดท้ายมันก็ต้องมานั่งวัดเองแหละครับไม่งั้นออกแบบไม่ได้ แล้วไอ้ค่า graph SPL นี่เป็นตัวบอก efficency ของลำโพงเลยว่าตอบสนองความถี่ได้ดีขนาดไหน คุณลองไปดูเสป็กของแพงๆซิครับ ค่า SPL อย่างสูง ที่ SPL สูงๆนี่ทุก dB มีค่านะครับ ลำโพงที่ SPL ต่ำถึงแม้มันจะ flat คุณต้องอัด power ให้มันมากกว่าเป็นกี่เท่าๆตัว แล้วลำโพงก็มี parameter ออกหลายตัวในการออกแบบซึ่งบางอย่างคำนวณได้คร่าว มาทำจริง ตัว prototype ก็ต้องมานั่งวัดกันปรับแต่งกันกว่าจะได้ ลำโพงดีๆมันถึงได้แพงไงครับ เขาเอา tweeter mid woofer มายำให้คุณจน ประมาณไกล้เคียง flat ในแต่ละ power level ณ ตำแหน่งที่คนนั่งฟัง 
สำหรับบางคนไม่ไร้สาระหรอกครับ ผมคนนึงแล้ว แต่สำหรับคุณ nopphong อาจจะคิดว่าไร้สาระก็สุดแล้วแต่ แหะๆ  :bye1  ฝันดีครับ
เบื่อ


ออฟไลน์ ohm

  • ผู้สนับสนุน web ......
  • ******
    • กระทู้: 910
    • เพศ:ชาย
ประเด็นเรื่องความเพี้ยนนี่เป็นที่ถกเถียงกันมานนานครับ  แต่หลังๆ มีนักออกแบบหลายคนเห็นไปในทางเดียวกันว่า  THD  ไม่ใช่คำตอบทุกอย่างของวงจรออดิโอ 

ถ้าหากวงจรไม่ขยายจนขลิป  THD  0.1% , 0.001%  ตัวไหนเสีบงดีกว่ายังบอกไม่ได้ด้วยซ้ำ 

mark ยุคแรกๆในเอง  thd ยังมากกว่าอินทีเกรตญี่ปุ่นถูกๆ เสียอีก  นั่นเพราะ THD   คิดคำนวนมาจากการใช้เครื่องมือวัด

แต่หูคนเราไม่ได้มีการรับรู้อย่างเครื่องมือ  ตัวอย่างที่คลาสสิคมากคือ DAC แบบ non-oversampling

ถ้าเอาเข้าสโคปหรือวัด THD   คงจะบอกได้อย่างเดียวว่ามันเป็น DAC ที่แย่มาก  แต่พอเอาคนจริงๆมาฟัง

กลับประทับใจกันจนกลายเป็น DAC ที่ DIY พูดถึงกันมากที่สุด ไม่นับที่มีออกมาขายโดยแบรนดังๆอีก

คนออกแบบอธิบายไว้ชัดเจนว่า DAC แบบ non-oversampling  ลดความเพี้ยนที่หูคนเรารุ้สึกได้ไวให้มากที่สุด

 แล้วไม่สนใจความเพี้ยนที่เครื่องมือวัดได้เลย  ซึ่งมันอาจสุดโต่งไปหน่อย  แต่ก็พิสูจน์ได้ดีว่า

เราไม่ควรให้เครื่องมือวัดมาตัดสินแทนหูคนไปเสียหมด  เพราะสุดท้ายถ้าเราเน้นแต่ความเพี้ยนที่เครื่องวัดได้

เราอาจจะละเลยความเพี้ยนที่หูคนเราสัมผัสได้ไวจนหลงทางไปก็ได้


ออฟไลน์ nopphong

  • *****
    • กระทู้: 915
ตอบยาวอาจจะจับประเด็นไม่ถูก :P
เอาเป็นว่าผมถามง่ายๆว่า

ถ้าคุณ Rflover ทำแอมป์ขึ้นมาตัวนึง มั่นใจว่าเลือกใช้อุปกรณ์ที่เพี้ยนต่ำสุดๆ ออกแบบวงจรมาเลิศหรูเพื่อสเปกดีสุด ถามว่าคุณ RFlover มั่นใจใหมครับว่าแอมป์ของคุณจะเสียงดีกว่าแอมป์อีกตัว ที่ไม่สนใจสเปกเลยแต่เลือกใช้อุปกรณ์ที่ทดลองแล้วว่าเสียงเข้ากันได้ดี

แล้วคุณมั่นใจใหมครับว่าแอมป์โซลิตที่เพี้ยน 0.01% เสียงดีกว่าแอมป์หลอดที่เพี้ยน 0.1%

ถ้าสองข้อนี้ตอบว่า มั่นใจครับ ก็โอเคครับผมเชื่อแล้วว่าคุณพูดได้ถูกต้องครับผมจะไม่เถียงต่ออีกแล้ว  :-X :giveup


ออฟไลน์ nopphong

  • *****
    • กระทู้: 915
แล้วที่คุณ nopphong พูด THD=0.1 หรือ 0.01% ฟังไม่รู้เรื่อง อันนี้ THD วัดที่ total ทั้งระบบ รึเปล่าครับ ผมอยากรู้เหมือนกันถ้าเอา วงจรขยาย opamp stage แรกของคุณที่ทำหน้าที่รับสัญญาณจากเครื่องเล่น CD มาขยาย โดยคุณใช้ opamp มี noise สูง และ THD=0.05% ละก็ ขอให้โชคดีครับ อ่าน datasheet ให้ดีครับ

อันนี้พูดถึงทั้งระบบครับ เพราะโดยปรกติเครื่องเสียงระดับ hifi คงไม่มีใครปล่อยให้ความเพี้ยนเกิน 0.1% หรอกครับ อย่างผมนี่อยู่วงการแอมป์หูฟัง การขยายไม่ได้มีหลายสเตจมากนัก แอมป์ส่วนใหญ่ก็ต่ำกว่า 0.05% ทั้งนั้น ต่อให้เป็นวงการแอมป์บ้านก็เถอะ thd ก็ไม่เห็นมีตัวไหนสูงขนาดนั้น ขนาดแอมป์บ้านหม้อยัง THD ต่ำกว่า 0.1% เลยครับ
ถึงได้บอกไงครับว่า thd ไม่ใช่เรื่องสำคัญในวงการเครื่องเสียง hifi เพราะแต่ละตัวมันก็เกินที่หูคนจะจับได้อยู่แล้ว ได้แต่ดูสเปกแล้วฝันเอาว่า thd มันต่ำมากๆแล้วเสียงมันจะดี

การเทส opamp เบื้องต้นผมบอกเลยว่า ผมไม่ได้ออกแบบวงจรสำหรับ opamp แต่ละตัว เพราะโดยพื้นฐาณแล้ว เรามักจะเอา opamp ไปใส่ในวงจรที่มีมาอยู่แล้ว เช่น upgrade วงจรต่างๆ ดังนั้นวงจรที่มักจะใช้ก็คือวงจรเดียวกัน จ่ายไฟก็ทั่วๆไป +- 9 บ้าง +-15 บ้าง แล้วเราก็ลองกันเลยว่าตัวนี้เสียงออกแนวไหน เท่าที่ลองพบว่า บุคลิคของ opamp ไม่เปลี่ยนไปตามไฟเลี้ยง และไม่เปลี่ยนตามโหลด(ถ้าโหลดไม่โหดจน opamp มันจ่ายไม่ไหว) แต่จะเปลี่ยนตามอุปกรณ์รอบๆและเกนที่ใช้ ดังนั้นถ้าไฟเลี้ยงอยู่ในช่วงที่ทำงานของมันการเทสวิธีนี้ค่อนข้างยุติธรรม
ถ้าต้องออกแบบเอาให้ดีที่สุดสำหรับ opamp แต่ละตัวแล้วค่อยมาเทียบกัน วิธีนี้เวลาเราเอามันไปใส่วงจรจริงมันจะไม่ได้ตามที่ลองสิครับ

ต้องมองว่าตอนนี้คนที่ถามต้องการซื้อ opamp ไปอัพเกรดระบบเขา ดังนั้นแน่นอนเขาคงไม่บ้าซื้อ opamp ตัวละสิบบาท ที่ thd สูงเอาไปใช้ ใช่ไหมล่ะครับ เขาต้องการอัพระบบ ดังนั้นราคาที่เขาซื้อแน่นอนว่าต้องเป็น opamp ที่ดีในระดับนึง ดังนั้นไม่ต้องพูดถึง thd ให้เสียเวลามันต่ำเกินกว่าที่คนจะสำผัสได้ ถ้ามันเพี้ยนเพิ่มก็คงต้องไปโทษอุปกรณ์ตัวอื่นๆและวงจรรอบๆไม่ต้องมาโทษ opamp

แนวเสียงต่างหากครับที่เขาสนใจ ถ้าระบบเขาแหลมอยู่แล้ว เอา ad8620 ไปใส่เขาอาจจะโดนบาดหูหลุดได้ ตรงนี้ต่างหากครับที่สำคัญ เข้าใจครับว่าระบบ RF ความเพี้ยนสำคัญสุดๆเพราะผมก็เรียนมา แต่เครื่องเสียง ความเพี้ยนระดับ opamp ที่ใช้ upgrade เนี่ยมันดีเกินไปเสียด้วยซ้ำครับ

เรื่องลักษณะของเสียงที่คุยกัน แต่ไม่สามารถวัดได้ และไม่การบัญญัติศัพท์ อันนี้ก็แล้วแต่จะมองครับ
สเปกบอกกันได้แต่มันก็ไม่ได้บอกว่าเสียงดีหรือเปล่า เพราะอีตอนฟังเราฟังด้วยหูครับไม่ได้ฟังด้วยสโคป  ^-^

บางทีคนเราก็ไม่สะดวกหามาฟังเอง จะไปขอลองตามร้านก่อนซื้อ opamp ก็คงไม่ได้ ดู thd ก็ไม่ได้บอกเลยว่าเสียงมันจะแหลมจะทุ้ม ถ้าไม่ให้ฟังจากเพื่อนๆที่เข้ามาบอกแนวเสียงแล้วจะทำยังไงกันดีล่ะครับ

ผมเคยเถียงกับหลายท่านมาหลายทีแล้วครับเรื่องทำนองนี้ พอไปๆมาๆจะกล่าวหาว่าผมใช้ opamp ไม่เป็นบ้างล่ะ มั่วบ้างล่ะ ผมขอบอกรงๆเลยว่าการออกแบบวงจร opamp หรือการอ่านสเปกน่ะผมทำได้สบายๆ แต่หลังจากทำพวกนี้มามากเข้าก็พบสัจจะธรรมว่า ตัวเลขสเปกพวกนั้น ไม่ใช่สิ่งที่บอกเลยว่าเสียงดี แล้วมันไร้สาระมากๆกับการบอกสเปกพวกนี้ด้วย คล้ายๆกับลำโพง บอกสเปกมาตอบสนองความถี่เท่านั้นเท่านี้ มีกร๊าฟให้ดูเสร็จสรรพ สุดท้ายไม่เห็นมีประโยชน์ ไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับเสียงมันเลย ต้องนั่งฟังครับถึงจะรู้
ผมจึงเลือกที่ไม่ซีเรียสกับสเปกพวกนี้ มาเน้นกับแนวเสียงของแต่ละตัวเพื่อปรับใช้ให้เข้ากับชุดของเรามากกว่าครับ


ออฟไลน์ พี่ดุ้น

  • เบื่อ
  • ผู้สนับสนุน web
  • *
    • กระทู้: 436
    • เพศ:ชาย
อย่างที่บอกแหละครับ ต่างคนต่างใช้ของและสภาพแวดล้อมและประสาทสมัผัสทางเสียงต่างกัน
คำถามง่ายๆคือว่าแต่ละคนใช้เครื่องเล่น CD ยี่ห้ออะไร, เล่นเพลงอะไรแผ่นอัดมาแบบไหนmixมาหรืออัดสดมา, เป็นMP3รึเปล่า, วงจร pre-amp ที่ใช้ opamp หน้าตาวงจรเป็นยังไง, power amplifier ยี่ห้ออะไร, ลำโพงยี่ห้อะไร, ห้องเป็นยังไง, สุดท้ายคนฟังคนเดียวกันรึเปล่า
สรุป ไม่เหมือนกันซักอย่างคนละ factor กันทั้งหมดทุกๆคน เอามาเทียบกันไม่ได้หรอกครับว่าดีไม่ดี

สมมติว่าถ้าใช้ opamp คนละเบอร์กันแล้วเสียงต่างกัน ก็ควรจะอธิบายหลัการทางไฟฟ้าให้ได้ด้วยว่าทำไม
มาร้องกันว่าไอ้โน่นดีไอ้นี่ไม่ดี ไอ้นี่เสป็กดีกว่าอีกตัวนึงพอเอาไปต่อเสียงตัวเสป็กดีห่วยกว่า ผมคงต้องตั้งคำถาม คุณใช้มันเป็นรึเปล่า? อ่าน datasheet ดูเสป็กเป็นมั๊ยว่าใข้มันยังไง? สมมุตินะครับระหว่าง OPA2132 กับ LT1115 ที่คุณ nopphong กล่าวถึงก่อนหน้านี้ เอาแค่ THD เสป็กนะครับ
ผมก็ไม่รู้คุณเอา nopphong เอาเสป็กตรงไหนมาคุณกับผม

ผมพยายามเทียบกันดูนะครับสำหรับ THD ให้ดูค่า THD แค่ที่2ความถี่คือ  1kHz กับ 20kHz
OPA2132 เขา test G=1 G=10 ที่ โหลด RL 2k โอห์ม กับ 600 โอห์ม, VS+=+15V, VS-=-15V, Output voltage=3.5Vrms
LT1115   เขา test G=10 G=100 G=1000 G=-10 G=-100 G=-1000 ที่ โหลด RL 600 โอห์ม ค่าเดียว, VS+=+18V, VS-=-18V, Output voltage=7Vrms
ถ้าดูเสป็กแบบชุ่ยๆสำหรับคนดูไม่เป็น OPA2132 THD ดีกว่า LT1115 (ตอนนี้ความจริงเรายังไม่รู้นะครับ)

คราวนี้กลับมาดูอะไรพอจะเทียบกันได้มั่ง
เริ่มจาก VSทั้ง + - ใช้ volt ต่างกัน อันนี้ช่างมันเอาไว้ก่อนแต่คุณต้องเชื่ออย่างนึง คนผลิตมันต้อง trade-off ออกมาแล้วว่า จ่าย volt ค่าเท่านี้จะได้ค่าเป็กทั่วๆไปโดยรวมดีที่สุดมันเลยเลือกค่านี้มา test คนเขาจะขายของนะครับเขาไม่วัดจุดห่วยสุดมาให้ดูหรอก
โหลดRL มีการ test ที่ RL 600 โอห์มเหมือนกันทั้งสองเบอร์ ส่วน Gain มีการ test G=10 เหมือนกันทั้งสองเบอร์ แต่!!!! ที่ output voltage ต่างกันครับ
ของ OPA2132 ที่ 1kHz THD=0.0009 และ ที่ 20kHz THD=0.0025 ที่ Vo=3.5Vrms, ของ LT1115 ที่ 1kHz THD=0.001 และ ที่ 20kHz THD=0.06 ที่ Vo=7Vrms
น่าเศร้านะครับเทียบกันไม่ได้ Vo คนละค่า แต่ถ้าให้ผมเดานะครับ ถ้า LT1115 ลด Vin ลงให้ได้ Vo=3.5Vrms เท่ากับ Vo ของ OPA2132 ที่ทำการ test ผมว่า THD ควรจะห่วยลงอย่างแน่นอน ตรงนี้ขี้เกียจอธิบายครับว่าทำไม(ยาว)

LT1115 เสป็กดีกว่า OPA2132 ตรงไหนครับสำหรับ THD อธิบายได้มั๊ยครับ? (นี่ยังไม่พูดถึง IMD นะครับ OPA2132 เขาไม่ได้วัด)

ถ้ามองกันง่ายๆ เทียบกันยากนะครับสองตัวนี้ test คนละ condition กัน แต่ถ้าถามผม THD ของ LT1115 ห่วยกว่า OPA2132 แน่นอน แต่!!! อันนี้ไม่ไช่ประเด็นครับ
ประเด็นอยู่ที่ คุณเปลี่ยน OPAMP โน่นนี่ คุณจ่ายไฟ VS+ VS- เหมือน datasheet ที่เขา test รึเปล่าครับ ผมเดาว่า เปล่า ผมก็ไม่รู้ว่าจ่ายมากจ่ายน้องผลจะเปลี่ยนไปเท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่แสดงใน datasheet เอาเอาจุดที่ดีสุดมาวัดเพื่อขายครับ
ถ้าคุณจะใช้อะไร พิศดารนอกเหนือจาก Datasheet ให้ข้อมูลระบุมา คุณต้องวัด performance เอาเองครับ

อย่าลืมนะครับ คุณใช้ opamp เป็นวงจรขยายอยู่ที่ stage ต้นๆ เป็น front end ของวงจร หลังจาก opamp ตัวแรกคุณยังมี opamp อีกที่ตัวครับมีวงจรขยายกันอีกกี่ stage จนถึงลำโพง
แล้วที่คุณ nopphong พูด THD=0.1 หรือ 0.01% ฟังไม่รู้เรื่อง อันนี้ THD วัดที่ total ทั้งระบบ รึเปล่าครับ ผมอยากรู้เหมือนกันถ้าเอา วงจรขยาย opamp stage แรกของคุณที่ทำหน้าที่รับสัญญาณจากเครื่องเล่น CD มาขยาย โดยคุณใช้ opamp มี noise สูง และ THD=0.05% ละก็ ขอให้โชคดีครับ อ่าน datasheet ให้ดีครับ

สำหรับคนอื่นๆที่เป็นนัก DIY แล้วก็รักสิ่งนี้ ผมแค่อยากให้เพื่อนทุกคนศึกษาสิ่งที่ตัวเองทำดีกว่าไปฟังจากคนอื่น ให้ฟังหูไว้หูครับ แม้แต่สิ่งที่ผมพูดก็เถอะไม่ต้องเชื่อ ให้ลองไปค้นคว้าหาหนังสืออ่านก่อน ผมเชื่อว่าหลายคนในนี้ก็มีคนที่ก็รู้พอพอและรู้มากกว่าผม เพียงแต่เขาคงขี้เกียจมานั่งเสียเวลาพิมพ์อธิบาย เนื่องจากใช้คนละภาษากัน ผมก็เพิ่งมาเล่นพวกนี้ได้ไม่นานก็ไม่ได้รู้อะไรมากแหละครับ เพราะงานที่ผมทำอยู่ก็งานประเภท RF ความถี่ระดับ 10-40GHz โหดกว่าย่าน audio เยอะครับ ในวงการเครื่องส่งก็มีศัพท์แปลกๆเช่นพวกเครื่องส่งวิทยุFM ที่เขาเรียกว่า "ฟุ้ง" กัน ไม่รู้ใครบัญญัติ ส่วนวงการเครื่องเสียง ไอ้คำว่า เสียงอุ่น เสียงกลางนุ่ม เสียงแหลมพริ้ว เสียง........whatever อะไรก็ช่าง ก็ไม่รู้ใครบัญญัติเหมือนกัน มันมีอยู่ใน audio engineering ด้วยเหรอครับ

ถ้าคุณพอใจพอเพียงแค่นั่นก็น่าจะเพียงพอนะครับชอบใครชอบมัน ที่ผมหันมาเล่นพวกนี้เพราะผมชอบฟังเพลงแล้วก็เห็นว่าทำเองก็ได้นี่หว่า ลงทุนแค่ scope supply gen แค่นี้ก็มีความสุขแล้วครับ
เบื่อ


ออฟไลน์ พี่ดุ้น

  • เบื่อ
  • ผู้สนับสนุน web
  • *
    • กระทู้: 436
    • เพศ:ชาย
ตอบยาวไม่รู้จะจับประเด็นยังไง  :giveup

แต่ที่ผมสรุปสำหรับ opamp คือ ความเพี้ยนมันต่ำกว่า 0.1% ทั้งนั้นแหละครับ ถ้าไม่ได้ใช้ของห่วยเกินไป BB ที่ผมใช้เทียบกันก็พวก 2132 เนี่ยแหละครับ สเปกต่ำกว่า lt1115 เสียด้วยซ้ำราคาก็พอๆกัน (แต่โดยปรกติใช้ bb637)  ผมถึงได้บอกว่าเรื่องความเพี้ยนมันไร้สาระ เพราะไม่มีใครฟังความเพี้ยนระหว่าง 0.05 กับ 0.001% ออกหรอกครับ สเปกนี้จึงไม่มีผลกับการทำเครื่องเสียงเลย อีตอนออกแบบวงจรก็ต้องออกแบบให้ว่าทำยังไงให้เพี้ยนน้อยที่สุดถูกแล้วครับ

แต่เครื่องที่เพี้ยนน้อยใช่ว่าจะเสียงดี อันนี้ยืนยันเลยครับเพราะทำมาแล้ว ระหว่างเครื่องนึงวัดออกมาแล้วเพี้ยนมาก กับอีกเครื่องเพี้ยนน้อยกว่า พอให้คนหลายๆคนฟังกลับบอกว่าตัวเพี้ยนมากเสียงดีกว่า เพราะคนเราไม่สามารถรับรู้ความเพี้ยนระดับต่ำๆได้นั่นเอง เรื่องเนื้อของเสียงจึงมีผลกับการฟังมากกว่า

หรือเรื่อง noise ในตัว opamp ที่ดีกลางๆสัญญาณรบกวนอยู่ในระดับ uV ซึ่งน้อยมากๆ สัญญาณรบกวนจากภายนอกมีผลมากกว่าเยอะ ก็เลยไม่มีส่วนในการเลือกซื้อ opamp เช่นกัน แต่ทั้งนี้ต้องเทียบ opamp ในระดับกลางนะครับไม่ใช่เทียบตัวละสิบบาทกับตัวละสองร้อย :P

ส่วน offset ถ้าทำแอมป์ทั่วไปคงไม่เป็นไร แต่อย่างผมทำแอมป์หูฟัง ถ้าชุดหน้ามี offset ขยายออกไปก็หูฟังไหม้ครับเพราะแอมป์หูฟังส่วนใหญ่เป็น direct coupling

ส่วน slew rate ตัวมันจะหมายถึงความถี่ที่ opamp สามารถตอบสนองได้ ตัวนี้ถ้าสูง opamp ตัวนั้นจะให้รายละเอียดของเสียงสูงได้ดี บางตัวจะออกแหลมนำเลยทีเดียว แต่ก็ไม่มีผลกับเรื่องว่าเสียงดีหรือเปล่าเหมือนกัน เพราะเสียงมันต้องประกอบกันทั้งความสมดุลของความถี่ต่างๆ เรื่องเวที และมิติ และ impact ฯลฯ พวกนี้มีผลกับความน่าฟังของเสียง สิ่งเหล่านี้ datasheet ไม่ได้บอกครับ
เบื่อ


ออฟไลน์ nopphong

  • *****
    • กระทู้: 915
ข้อสามนี่ผมก็ยอมรับว่าได้เคยลองเปลี่ยนถ่านหลายๆ ยี่ห้อดูแล้ว ผมก็แยกแยะไม่ออกเหมือนกัน  เพราะกว่าจะเปลี่ยนถ่านเสร็จ ก็ลืมเสียงของอันเก่าไปแล้ว (ไม่เคยลองทำแบบ สวิทซ์โยกสลับดู ซึ่งถ้าทำแบบนี้อาจจับความแตกต่างได้ ก็เป็นได้)

แต่ผมก็ยังคิดว่าอาจมีคนที่หูดี และมีความจำดี เป็นคนละเอียด อาจจะจับความแตกต่างก็เป็นได้นะครับ ไม่เชื่อ แต่อย่าเพิ่งลบลู่


ฮ่าๆที่ผมว่าไร้สาระเพราะ เขาบอกว่าเปลี่ยนถ่านของรีโมทแอมป์ แล้วแอมป์เสียงดีขึ้นครับ ฮ่าๆๆ 2f แต่ถ้าเป็นแอมป์พกพาที่ใช้แบตแล้วเปลี่ยนแบต อันนี้เท่ากับเปลี่ยนภาคจ่ายไฟ เสียงเปลี่ยนแน่ๆครับไม่เถียง


ออฟไลน์ leklek

  • **
    • กระทู้: 54
ผมว่าเสียงมันดีหมดทุกตัวละครับ แต่จะถูกหูเราหรือเปล่า นั้แหละครับปัญหา
ของดีที่สุดบนโลกนี้ไม่มีหรอกครับ
แต่ของแพงที่สุดไม่แน่ ;D


ออฟไลน์ SOUNDTUBE

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,451
    • เพศ:ชาย
ตกลงแล้ว พอสรุปได้ไหม๊ครับว่า ของแพงเสียงมักจะดีกว่าครับ :secret เพราะใน LAB เขาทดลองมาแล้วจึงตั้งราคาไว้สูงกว่า :-X d_d d_d d_d
ข้อมูลส่วนตัว http://www.htg2.net/index.php?topic=23096.0


ออฟไลน์ nopphong

  • *****
    • กระทู้: 915
ข้อสามนี่ ผมว่าคนเขียนคงจะสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวครับ ฮ่าๆๆ :P

จริงๆผมก็เห็นด้วยกับเรื่องการหาทางขยายสัญญาณให้เหมือนต้นฉบับที่สุดเหมือนกันครับ ออกแบบทีไรก็พยายามให้ความเพี้ยนน้อยที่สุด

แต่พอดีหลังจากการทดลองทำแอมป์ จาก opamp พบว่า opamp ที่เพี้ยนพอๆกัน เสียงมันกลับไปคนละเรื่องกันเลย

ก็เลยกลายเป็นว่าเรื่องเพี้ยนมันไม่ใช่จุดที่จะตัดสินใจเลือก opamp ไป สุดท้ายเลือกเสียงที่ถูกหูตัวเองสำคัญกว่าน่ะครับ

เวลาคนถามว่า opamp เบอร์นั้นเบอร์นี้เป็นยังไง ผมคงไม่ตอบว่า เบอร์นั้นสิเพี้ยนแค่ 0.001% เอง noise ต่ำสุดๆ แต่ผมจะตอบว่า opamp เบอร์นี้เบสดีนะ แต่แหลมไม่ค่อยพริ้ว หรือตอบว่า ตัวนี้รายละเอียดดีแต่กลางถอยไปหน่อย อะไรทำนองนี้ เพราะความเพี้ยนใน opamp มันต่ำจนหูคนรับไม่ได้อยู่แล้วครับ(ถ้าไม่ต่อวงจรผิด)


ออฟไลน์ Sarawut

  • **
    • กระทู้: 98
    • เพศ:ชาย
ขอแสดงความคิดเห็นด้วยคนนะครับ. (เฉพาะเรื่องการเปลี่ยน OPAMP ใน Output Stage ของ Source หรือ ใน Front Stage ของ Buffer ,หรือ Power Amp นะครับ.
 
 1. ในแง่ (objection) ของ การขยายสัญญาณเพื่อให้ได้ความเหมือนสัญญาณเดิมมากที่สุด ผมเห็นด้วยกับ Rep. ของ คุณ RFlover ครับ.    :)
 2. ในแง่ ของความไพเราะเสนาะโสตประสาท... แต่ละคนไม่มีทางได้ยินเสียงเดียวกัน แล้วรับรู้ได้เหมือนกัน, So.... กิน Bier สัก 2 ขวดฟังเพราะขึ้นแน่นอน...  O0
 3. ผมเคยอ่านหนังสือที่คนเขียนซึ่งเป็นนักวิจารณ์ (หูทอง) บอกว่าใช้ถ่าน (Battery) ที่ใส่ใน Remote control ของ Amp รือ Source  ถ่านยี่ห้อต่างกันทำให้เสียงที่ได้จาก system เดิมต่างกัน.ผมคิดว่า .... ( พี่ๆคิดยังไง ?)   :giveup :giveup :giveup   :bowdown :bowdown :bowdown
 
4. ผมไม่เคยคิดว่า ข้าว +ใข่เจียว จะอร่อยกว่า หูฉลามน้ำแดง แต่..... ผมไปกิน งานที่มีโต๊ะจีน กินหูฉลามน้ำแดง, มันก็ไม่เคยอร่อยเท่า ข้าวใข่เจียว หรือ ม่าม่าผัดขี้เมาที่กิน หลังกลับจากเที่ยว (After MidNight)   d_d :drunk     สักกะที  มันเป็นยังไง...   :D
 5. งาน DIY มันเป็นการแสวงหาว่าอันไหนดีกว่า (เมียเรา) ความสุขอยู่ที่การได้ได้หลบเมีย....  0)] ไม่ใช่การค้นพบว่าอันไหนดีกว่า (เมียเรา) เพราะมันไม่มีจริงๆ (ขอบอก)....   (( K]

ขอบคุณครับ
ศราวุธ
     
ข้อมูลที่อยู่ครับ.  http://www.htg2.net/index.php?topic=32909.0


ออฟไลน์ nopphong

  • *****
    • กระทู้: 915
แต่ถ้ามี opamp อยู่แล้ว ดูว่าขาตรงกับไฟพอ ก็เสียบเลยครับ  :victory แล้วลองเสียงกับลองจับดูถ้ามันอุ่นๆแสดงว่าออสสิเลทให้รีบถอดออกครับ แต่ถ้าปรกติดีก็แสดงว่าใช้กันได้ไม่มีปัญหาครับ
แต่ถ้ายังไม่ได้ซื้อมาก็ลองดูในคู่มือก่อนซื้อก็จะช่วยประหยัดให้ไม่เสียตังฟรีๆน่ะครับ  ;)


ออฟไลน์ Ball

  • ยิ่งทำยิ่งมัน
  • ***
    • กระทู้: 182
    • เพศ:ชาย
ขอบคุณมากเลยครับ เกือบไปแล้วนึกว่าดูแค่ Volt กับ PIN อย่างเดียว   :nono
พอดีเดิมมี DAC ของ NPE อยู่แล้วสลับ OPAMP หลาย ๆ ค่า ของเดิม NE5532 เป็น OPA2604 กับ LME49720 เห็นเสียบได้เลย เลยนึกว่าง่าย ๆ  ;D เกือบไป คงต้องศึกษาอีกเยอะ
ที่อยู่ครับ http://www.htg2.net/index.php?topic=40820


ออฟไลน์ ohm

  • ผู้สนับสนุน web ......
  • ******
    • กระทู้: 910
    • เพศ:ชาย
ปัญหาของดิสครีตคือ อัตราขยายมันต่ำ ทำให้แบนวิทต่ำไปด้วย อีกอย่างพอมีอุปกรณ์หลายชิ้น ออฟเซตมักขึ้น เพราะความไม่แมทของอุปกรณ์

เปล่าหรอกครับ  opamp เองรุ่นเก่าๆ ถูกๆ แบนวิดท์ที่โดยไม่มีการป้อนกลับ แย่มากๆ  แต่อาศัยว่าเกนสูง พอป้อนกลับเยอะๆ

แบนวิดท์ จึงขยายออกมาจนเกิน 20 KHzได้  ซึ่งผมมองว่ามันไม่ได้มีแบนวิดท์ที่กว้างจริง

 opamp รุ่นใหม่ๆแพงๆ แก้ตรงจุดนี้ให้ดีขึ้น เสียงเลยดีขึ้น

 discrete เองก็ทำได้ กับวงจรขยายที่อัตราขยายสูงๆอย่างนั้น  แต่มันทำยาก เพราะทางเดินสัญญาณมันไกลกว่า noiseเข้ามาง่ายกว่า

อาจต้องลองทำต้นแบบกันอยู่หลายรอบกว่าจะจัดการ noiseได้  ซึ่งไม่คุ้ม

 
 คนที่ทำ discrete เลยนิยมที่จะทำให้อัตราขยายไม่สูง (จัดการ  noise ง่าย)   แต่ให้มีแบนวิดท์คลอบคลุมความถี่เสียงเอาไว้ก่อน

โดยการเลือก transister ที่มี ft  สูงๆ   ป้อนกลับกระแสในแต่ละภาค ฯลฯ

กลายเป็นวงจรที่มีจุดแข็งอีกแบบมาแทน คือ มีslew rate พอใช้ได้ (โดยมากมักจะได้ประมาณ 30v/us ) 

และการนำไปใช้จริงไม่ต้องพึ่งพา slew rate  มากนัก เพราะอัตราขยายต่ำ การป้อนกลับต่ำ

แบนวิดท์ที่ไม่ป้อนกลับก็คลอบคลุมความถี่เสียงอยู่แล้ว  ป้อนกลับอีกไม่มากก็เกินช่วงความถี่เสียงได้สบาย

แต่ออฟเซ็ตยังไงก็แพ้ออปแอมป์ เพราะอัตราขยายต่ำกว่ามาก แถมไม่ได้ผลิดในsubstateเดียวกันแบบออปแอมป์อีก

หลักจริงๆของ op-amp , discrete คือ ผ่ายไหนจะจัดการกับจุดอ่อนของตัวเอง เพื่อจะแสดงจุดแข็งออกมาได้เต็มที่มากกว่าครับ



ออฟไลน์ AMP150

  • *****
    • กระทู้: 841
ปัญหาของดิสครีตคือ อัตราขยายมันต่ำ ทำให้แบนวิทต่ำไปด้วย อีกอย่างพอมีอุปกรณ์หลายชิ้น ออฟเซตมักขึ้น เพราะความไม่แมทของอุปกรณ์


ออฟไลน์ LaVio

  • *
    • กระทู้: 20
    • เพศ:ชาย

ออฟไลน์ nopphong

  • *****
    • กระทู้: 915
เห็นคุยเรื่อง Op-Amp กัน พอดีผมมีเครื่องเล่นซีดี sony เก่าอยู่ใช้ Opamp เบอร์ RC4558P (18V) ผมจะเอาเบอร์ OPA2604 (25V) ใส่แทนได้ไหมครับ ขอถามพี่ ๆ ที่เล่นกัน Opamp กันอยู่

อันนี้ไม่แน่ใจครับ เพราะไม่เคยลอง 2604 คือ opamp นอกจากจะดู V แล้วยังต้องดูเรื่องว่ามัน stable ที่เกนเท่าไร อย่าง opa 637 stable ที่เกนเท่ากับ 5 เกิดเราเอาไปใส่ในวงจรที่เขาทำเกนต่ำกว่า 5 มันก็จะออสซิเลทครับ เรื่องเกนนี่ก็ปวดหัวเพราะบางวงจรเกนเท่ากับ 10 แต่มี feedback ความถี่สูงไว้ หรือบางตัวมี c คร่อมอย่างนี้ก็ต้องถือว่าเกนต่ำกว่า 5 เพราะมีช่วงที่ความถี่ใดความถี่นึงต่ำกว่า 5 ครับ อย่างในรูปเป็นวงจรแบบที่นิยมต่อกันทั่วไป วงจรนี้จะใช้กับ opamp บางเบอร์ไม่ได้ครับ ต้องเอา C ที่ลูกศรชี้ไว้ออกครับ

ผมขออนุญาตเจ้าของกระทู้รบกวนสอบถามเพิ่มคับ

พอดีไปหา ได้ OPA2134PA มา ว่าจะเปลี่ยนในปรี ยังไม่ได้เปลี่ยนซักที

ในปรีตัวเก่ามันมี 8 ตัวคับ เป็น TL072CN

อยากรบกวยพี่ๆ ว่า OPA2134PA มันเสียงเป็นไงคับ  น่าเปลี่ยนแทนTL072CNหรือเปล่าคับ

(ลองพยายามดูดออกตัวนึง แต่ออกยากมาก สงสัยต้องไปหาร้านเปลี่ยนให้)
เสียงดีกว่าแน่ครับในเรื่องของเนื้อเสียงและรายละเอียด สองเบอร์นี้ใส่แทนกันได้ครับ แต่จะถูกใจหรือเปล่าอันนี้ต้องลองดูครับ

เรื่อง Discrete VS. Op amp นี่ผมเองก็กําลังสนใจเหมือนกัน พอลองดูวงจรคร่าวๆ input เป็น JFET ส่วนขยายสุดท้ายเป็น Bi-pol
อุปกรณ์แต่ละตัวที่นํามาใช้ประกอบกันก็เป็นพวกเบอร์เก่าๆทั้งนั้น ผมเลยคิดเอง(เออเอง)ว่าเทียบกันแล้วตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
Op amp นั้นได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ผมเลยเชื่อว่า Op amp รุ่นใหม่ๆน่าจะดีกว่า Discrete ในกรณีที่ stage เท่าๆกัน อย่าง
ไรก็ตามมันก็เป็นแค่ความเชื่อของผม(จริงๆไม่มีตังค์เลยเชื่องี้สบายใจกว่า :whistling)

อย่างไรก็ตามถ้าใครเคยลองจริงๆอยากให้ช่วยแนะนําด้วยครับ  c) c)
ใจจริงผมก็ว่า discreet มันน่าจะพลาดง่าย สัญญาณรบกวนเยอะกว่านะครับ เพราะมันใช้อุปกรณ์หลายตัว และมีการเดินสายภายในมากกว่า แต่ทีนี้คนที่เขาทำการลองโม โดยการเปลี่ยนจาก opamp ธรรมดาๆ ไปเป็น discreet พวกนี้เขาบอกมันเสียงดีกว่านี่สิครับ เคยมีคนเอามางานมีทติ้งทีนึง ระหว่าง dac ที่ใช้ opamp ธรรมดาเกรดแบบ opa2134 มาเป็น discreet พวกนี้ปรากฎว่า discreet กินครับในเรื่องเนื้อเสียงและรายละเอียด ฟังกันหลายคนนะครับไม่ใช่ฟังคนเดียวพูดเองเออเอง แต่เสียงมันก็ยังไม่หนี opamp ตัวแพงๆอย่าง opa627 พวกนี้เท่าไรครับ อาจจะดีกว่าในเรื่องความชอบว่าใครชอบเสียงแบบไหน

สาเหตุที่มันดี ผมมั่วเอาเองว่ามันคงเป็นเพราะถ้าใช้อุปกรณ์ตัวใหญ่มันจะปล่อยกระแสวิ่งได้สะดวกกว่า(มั้ง) และอุปกรณ์ทุกตัวเขาก็แมทซ์มันไม่ใช่ใส่ไปมั่วๆ เสียงมันเลยดีน่ะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 ธันวาคม, 2008, 09:54:22 am โดย nopphong »


ออฟไลน์ jp74

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,603
    • เพศ:ชาย
ผมขออนุญาตเจ้าของกระทู้รบกวนสอบถามเพิ่มคับ

พอดีไปหา ได้ OPA2134PA มา ว่าจะเปลี่ยนในปรี ยังไม่ได้เปลี่ยนซักที

ในปรีตัวเก่ามันมี 8 ตัวคับ เป็น TL072CN

อยากรบกวยพี่ๆ ว่า OPA2134PA มันเสียงเป็นไงคับ  น่าเปลี่ยนแทนTL072CNหรือเปล่าคับ

(ลองพยายามดูดออกตัวนึง แต่ออกยากมาก สงสัยต้องไปหาร้านเปลี่ยนให้)


ออฟไลน์ motiis

  • *
    • กระทู้: 31
    • เพศ:ชาย
เรื่อง Discrete VS. Op amp นี่ผมเองก็กําลังสนใจเหมือนกัน พอลองดูวงจรคร่าวๆ input เป็น JFET ส่วนขยายสุดท้ายเป็น Bi-pol
อุปกรณ์แต่ละตัวที่นํามาใช้ประกอบกันก็เป็นพวกเบอร์เก่าๆทั้งนั้น ผมเลยคิดเอง(เออเอง)ว่าเทียบกันแล้วตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
Op amp นั้นได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ผมเลยเชื่อว่า Op amp รุ่นใหม่ๆน่าจะดีกว่า Discrete ในกรณีที่ stage เท่าๆกัน อย่าง
ไรก็ตามมันก็เป็นแค่ความเชื่อของผม(จริงๆไม่มีตังค์เลยเชื่องี้สบายใจกว่า :whistling)

อย่างไรก็ตามถ้าใครเคยลองจริงๆอยากให้ช่วยแนะนําด้วยครับ  c) c)


ออฟไลน์ Ball

  • ยิ่งทำยิ่งมัน
  • ***
    • กระทู้: 182
    • เพศ:ชาย
เห็นคุยเรื่อง Op-Amp กัน พอดีผมมีเครื่องเล่นซีดี sony เก่าอยู่ใช้ Opamp เบอร์ RC4558P (18V) ผมจะเอาเบอร์ OPA2604 (25V) ใส่แทนได้ไหมครับ ขอถามพี่ ๆ ที่เล่นกัน Opamp กันอยู่
ที่อยู่ครับ http://www.htg2.net/index.php?topic=40820


ออฟไลน์ nopphong

  • *****
    • กระทู้: 915
แถมอีกนิด คือตอนแรกผมก็ไม่คิดว่า slewrate จะมีผลกับเสียงเหมือนกัน เพราะมันระดับมันเป็น v/uS ซึ่งสูงมากๆ ถ้าคำนวณกลับมาเป็นอัตตราตอบสนองความถี่ก็เกิน 1M ทั้งนั้น เสียงแค่ 20KHz นี่ไม่น่าจะกระทบเลย แต่ปรากฎว่าเพิ่งไม่นานมานี้ได้ลองเทส opamp หลายๆตัว ปรากฎว่ามีผลจริงครับ opamp ที่ slewrate สูงๆเสียงแหลมมันจะชัดว่าตัวที่ต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ อย่าง ne5532 ตัวละสิบบาท เอามาเทียบกับ opa 2134 ตัวละร้อยกว่าๆ ปรากฎว่า 2134 ที่สเปกสูงกว่าและแพงกว่า กลับให้เสียงแหลมสู้ ne5532 ไม่ได้ เพราะเจ้า slew rate นี่เอง แต่ ne5532 ก็มีข้อเสียที่ถ้าโหลดดึงกระแสสูง slewrate ของมันจะตกลงฮวบๆ เลยต้องทำชุด buffer ให้มันอีกทีครับ


ออฟไลน์ nopphong

  • *****
    • กระทู้: 915
ตอบยาวไม่รู้จะจับประเด็นยังไง  :giveup

แต่ที่ผมสรุปสำหรับ opamp คือ ความเพี้ยนมันต่ำกว่า 0.1% ทั้งนั้นแหละครับ ถ้าไม่ได้ใช้ของห่วยเกินไป BB ที่ผมใช้เทียบกันก็พวก 2132 เนี่ยแหละครับ สเปกต่ำกว่า lt1115 เสียด้วยซ้ำราคาก็พอๆกัน (แต่โดยปรกติใช้ bb637)  ผมถึงได้บอกว่าเรื่องความเพี้ยนมันไร้สาระ เพราะไม่มีใครฟังความเพี้ยนระหว่าง 0.05 กับ 0.001% ออกหรอกครับ สเปกนี้จึงไม่มีผลกับการทำเครื่องเสียงเลย อีตอนออกแบบวงจรก็ต้องออกแบบให้ว่าทำยังไงให้เพี้ยนน้อยที่สุดถูกแล้วครับ

แต่เครื่องที่เพี้ยนน้อยใช่ว่าจะเสียงดี อันนี้ยืนยันเลยครับเพราะทำมาแล้ว ระหว่างเครื่องนึงวัดออกมาแล้วเพี้ยนมาก กับอีกเครื่องเพี้ยนน้อยกว่า พอให้คนหลายๆคนฟังกลับบอกว่าตัวเพี้ยนมากเสียงดีกว่า เพราะคนเราไม่สามารถรับรู้ความเพี้ยนระดับต่ำๆได้นั่นเอง เรื่องเนื้อของเสียงจึงมีผลกับการฟังมากกว่า

หรือเรื่อง noise ในตัว opamp ที่ดีกลางๆสัญญาณรบกวนอยู่ในระดับ uV ซึ่งน้อยมากๆ สัญญาณรบกวนจากภายนอกมีผลมากกว่าเยอะ ก็เลยไม่มีส่วนในการเลือกซื้อ opamp เช่นกัน แต่ทั้งนี้ต้องเทียบ opamp ในระดับกลางนะครับไม่ใช่เทียบตัวละสิบบาทกับตัวละสองร้อย :P

ส่วน offset ถ้าทำแอมป์ทั่วไปคงไม่เป็นไร แต่อย่างผมทำแอมป์หูฟัง ถ้าชุดหน้ามี offset ขยายออกไปก็หูฟังไหม้ครับเพราะแอมป์หูฟังส่วนใหญ่เป็น direct coupling

ส่วน slew rate ตัวมันจะหมายถึงความถี่ที่ opamp สามารถตอบสนองได้ ตัวนี้ถ้าสูง opamp ตัวนั้นจะให้รายละเอียดของเสียงสูงได้ดี บางตัวจะออกแหลมนำเลยทีเดียว แต่ก็ไม่มีผลกับเรื่องว่าเสียงดีหรือเปล่าเหมือนกัน เพราะเสียงมันต้องประกอบกันทั้งความสมดุลของความถี่ต่างๆ เรื่องเวที และมิติ และ impact ฯลฯ พวกนี้มีผลกับความน่าฟังของเสียง สิ่งเหล่านี้ datasheet ไม่ได้บอกครับ


ออฟไลน์ SOUNDTUBE

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,451
    • เพศ:ชาย
เรียนคุณ SOUNDTUBE
ไม่รู้จะสรุปยังไงดีครับ สรุปยากเป็นตัวๆยากครับ จริงแล้วตัวไหนก็ได้ครับที่สะดวกหาซื้อได้ จริงๆ สเป็กมันไม่ได้ไกลกันมากเลย สำหรับผมแล้ว opamp ตัวไหนมีความคล้าย opamp ในอุดมคติมากที่สุดอันนั้นดีสุดครับ ผมเองก็ไม่ได้รู้อะไรมากมายหรอกครับ ลอง AD797 AD627 ซิครับ (ผมไม่เคยซื้อเลยนะ) หรือเบอร์ ที่ผมใช้ก็ได้ OPA4228 OPA4134 แล้ว ก็ OPA211A ผมใช้ทำ low level active cross over ใช้เยอะครับอย่างเปลือง

ถ้าต่อเล่นๆสนุกๆเรื่องเปื่อยใช้ดอกลำโพงทั่วไปที่ไม่มี spec เอาไว้ดูหนังเล่นเกมส์แค่ NE5534A ก็พอแล้วครับ ผมเห็นเครื่องเล่น CD/DVD ราคาหลักหมื่นสองหมื่นขึ้นก็ใช้เบอร์นี้ แต่ถ้าจะเอาไว้ฟังเสียงดนตรีก็ข้างบนเลยครับ opamp ดีไม่ดีนี่ต้องวัดสัญญาณทางไฟฟ้ากันครับ เสียงดีไม่ดีนี่ตัวใครตัวคนนั้นครับมัวแต่มาเถียงกันเหมือนคุยเรื่องศาสนาทะเลาะกันตายไม่จบ 

ขอบคุณมากครับ d_d :drunk O0
ข้อมูลส่วนตัว http://www.htg2.net/index.php?topic=23096.0


ออฟไลน์ aphiphot

  • Super Star.
  • **
    • กระทู้: 2,814
    • เพศ:ชาย
  • คุณพ่อขาอย่ามัวแต่ D.I.Y.จนลืมหนูนะคะ
ขอบคุณมากครับได้ความรู้อีกเยอะเลยผมกำลังคิดจะเปลี่ยนopampในDACอยู่พอดีครับ
ข้อมูลส่วนตัวครับ==>> 
นายอภิภช เจริญกิจ
270 ม.3 ต.เนินทราย อ.เมือง จ.ตราด 23000
eptrattc@hotmail.co.th
Tel.08186220-เจ็ด-หนึ่ง
Line id: aphiphot


ออฟไลน์ silicon

  • *****
    • กระทู้: 976
สำหรับผมขี้หูเยอะแแค่ NE5534 ก็เริดแล้วครับ  :-\



ออฟไลน์ พี่ดุ้น

  • เบื่อ
  • ผู้สนับสนุน web
  • *
    • กระทู้: 436
    • เพศ:ชาย
เรียนคุณ SOUNDTUBE
ไม่รู้จะสรุปยังไงดีครับ สรุปยากเป็นตัวๆยากครับ จริงแล้วตัวไหนก็ได้ครับที่สะดวกหาซื้อได้ จริงๆ สเป็กมันไม่ได้ไกลกันมากเลย สำหรับผมแล้ว opamp ตัวไหนมีความคล้าย opamp ในอุดมคติมากที่สุดอันนั้นดีสุดครับ ผมเองก็ไม่ได้รู้อะไรมากมายหรอกครับ ลอง AD797 AD627 ซิครับ (ผมไม่เคยซื้อเลยนะ) หรือเบอร์ ที่ผมใช้ก็ได้ OPA4228 OPA4134 แล้ว ก็ OPA211A ผมใช้ทำ low level active cross over ใช้เยอะครับอย่างเปลือง

ถ้าต่อเล่นๆสนุกๆเรื่องเปื่อยใช้ดอกลำโพงทั่วไปที่ไม่มี spec เอาไว้ดูหนังเล่นเกมส์แค่ NE5534A ก็พอแล้วครับ ผมเห็นเครื่องเล่น CD/DVD ราคาหลักหมื่นสองหมื่นขึ้นก็ใช้เบอร์นี้ แต่ถ้าจะเอาไว้ฟังเสียงดนตรีก็ข้างบนเลยครับ opamp ดีไม่ดีนี่ต้องวัดสัญญาณทางไฟฟ้ากันครับ เสียงดีไม่ดีนี่ตัวใครตัวคนนั้นครับมัวแต่มาเถียงกันเหมือนคุยเรื่องศาสนาทะเลาะกันตายไม่จบ 
เบื่อ


ออฟไลน์ พี่ดุ้น

  • เบื่อ
  • ผู้สนับสนุน web
  • *
    • กระทู้: 436
    • เพศ:ชาย
แหะ ๆ ใจเย็นๆครับคุณ nopphong  ก็อย่างที่บอกนะครับ แล้วแต่ความชอบ บางคนก็ชอบเสียงที่มันเกิด distortion คำว่าเสียงดีไม่ดีแต่ละคนไม่เหมือนกัน
พอดีผมเป็นพวกนิยมเล่นแนว sound reproduction นะครับเพราะชะนั้นผมจะไม่นิยมปรับโทนของเสียงอะไรทั้งนั้น ผมก็ไม่รู้ว่าใครนิยามคำว่าเสียงดีกันยังไง อย่างที่บอกหูใครหูคนนั้น ขึ้นอยู่กับ perception ของแต่ละบุคคลครับว่ามีความเพี้ยนเฉพาะตนกันขนาดไหน คนที่เข้า sound reproduction คงเข้าใจ จะไม่มีการใช้ปรีโทนมาปรุงแต่งไดๆทั้งสิ้น สำหรับผมเสียงดีคือเสียงที่นั่งอยู่ที่บ้านเหมือนเสียงที่ไปนั้งฟังที่ concert hall อะไรทำนองนั้น เอากันเป็น system เลยนะครั้บตั้งแต่แผ่นที่เอามาเล่น มันอัดมายังไง source ที่เล่น, amp, ลำโพง, แล้วก็ยันไปถึงห้องต่ำแหน่งการวาง แล้วก็ตำแหน่งที่คุณฟังด้วย (หลายทีที่ผมไปฟังตามร้าน ต้องนั่งยองๆฟัง เพราะเก้าอี้นั่งดันสูงกว่าลำโพงเยอะ มึน)

ดาต้าชีท ผลคือให้สเปกเริ่ด พอมาใส่ในวงจรจริงกลับเสียงไม่ดีก็ได้ <-- วงจรอะไรละครับ THD ความเพี้ยนสำหรับผมมันไม่ไร้สาระหรอกครับ ถ้าคุณ nopphong คิดว่าความเพี้ยนทาง IMD และ THD ไร้สาระ สงสัยผมคงต้องพยายามหาเครื่องเสียง Class C มาให้คุณ nopphong ฟังดูซะหน่อยแล้ว บางคนหูเขาฟังความเพี้ยน 0.1% เขาก็เครียดแล้ว (หูทองครับหูทอง)
คุณอย่าลืมนะครับ ไอ้ OPAMP ที่เขานิยมมาใช้ขยายสัญญาณเริ่มตั้งแต่ front end เนี่ย หาก มี THD, IMD3, แล้วก็ noise ห่วย (ยังพูดรวมถึงเรื่อง phase และ group delay นะครับ) ไอ้ stage ข้างหลังคุณมีกี่ stage แล้ว contribution จากการ cascade กันไปจนไปถึงลำโพงจะสูงขึ้นทวีเป็นเท่าไหร่ ผมก็ไม่อยากให้คนอื่นที่เขาอยากรู้จำอะไรเข้าใจไปผิดๆ
 
สังเกตุนะครับไอ้พวกเครื่องเสียงแพงๆดังๆ เขาก็แจกวงจรไว้ให้ซ่อมกันเองกันเกลื่อนกลาด ทำไมเขาไม่หวงวงจร แล้วก็ถามว่าทำไมมันแพง พอทราบมั๊ยครับ (ยี่ห้อนะส่วนนึงแน่นอน) เขาไม่ได้มาถึงเอาอุปกรณ์ลงปรินท์ตูมแบบของจีนหรือว่าประกอบเสร็จขายกันตามบ้านหม้อแล้วก็มาจูนนิดหน่อยได้เลย ผมเดาดังเช่นว่า สมมุติว่าเขาซื้อมา 100 เอามาวัดทุกตัวตัวไหนใช้ได้มั่ง ตัวไหนใช้เป็นคู่กันบ้างได้มั่ง ไอ้พวกไม่เข้าพวกก็คงโยนทิ้งเป็นกระบุง เหตุผลเหรอครับ ก็เขาไม่อยากให้มันเพี้ยนเนื่องจากความไม่เหมือนกันหรือความไม่สมมาตรกันภายในวงจรไงครับ ซื้อยกโหลกับซื้อของที่ rescreen แล้ว cost มันต่างกันนะครับ ไหนจะค่าแรงการทำอีก

LT1115 ของเขาก็ดีนะครับ แจกให้ฟรีให้ใช้ตลอดชีวิตโดยมีข้อผูมัดห้ามใช้ยี้ห้อ BB ผมก็ยอม ปัญหาคือ คุณใช้มันยังไง? แล้วไอ้ BB ที่ว่าเบอร์อะไร spec BB ที่ว่ามันดีกว่ารึเปล่า แต่ละยี้ห้อใครๆมันก็เขียนชักชวนไว้เหมือนกันแหละครับของฉัน super ultra bravo low noise + low distortion มันต้องเทียบกันที่ condition ในการ test เดียวกันด้วยเหมือนกัน ถึงจะบอกได้ว่าอันไหนดีกว่ากัน ส่วนที่มาเทียบว่า LT1115 slew rate สูงว่าไม่เห็นจะดีเลย <-- ประเด็นคือ ไม่ได้เอาไปขยายสัญญาณ pulse ส่งต่อให้พวกวงจรขยาย class E ครับ

ส่วน DC offset ต่ำนี่ ถ้าคุณอยากใช้คุณสมบัติที่โดดเด่นด้านนี้ น่าจะเอาไปใช้ในงานพวกขยาย DC ที่ แรงดัน input ต่ำจัดๆ ในพวกงานที่ต้องการ precision มากๆนะครับ เครื่องมือวัด คนละประเด็นแล้วครับ สำหรับผมก็จะใช้ opamp ห่วยๆ ใช้เทคนิคการ chop สัญญาณเอาหลบปัญหาเรื่อง offset เพราะถูกดี

ส่วน noise ถ้าคุณคิดว่าไม่เกี่ยว ก็ลองเอา opamp BB ที่มีค่า noise สูงกว่าตัว LT1115 มาต่อแทนดูซิครับ ไหนๆคุณไม่บอกเบอร์มาเหมือเหมาว่าของ BB จะดีหมดงั้นลองเอา OPA549 มาโมวายสายต่อเอาแค่ที่ stage แรกของคุณดู แล้วต่อ R ทางด้าน input เป็น noise source ของวงจรคุณดูเอาค่าน้อยซัก 1k โอมห์ หรือ 100 ก็ได้เสียง noise จะได้ดังฟังชัดดี บิด volumeเสียง ของคุณให้สุด แล้วลองฟังดู เสียงซี๊ดอันไหนมันจะดังกว่ากัน คราวนี้คุณจะได้รู้ถึงความสำคัญ เพราะคนบางประเภท (หูทองหูทอง) ความสามารถในการรับรู้ได้ยินเขาสูงเขารำคาญเอาได้ง่ายๆ 

ไอ้พวก opamp ที่ใช้ทรานซิสเตอร์เป็นตัวๆ ที่เรียกว่า discrete ที่ไม่ได้เป็นวงจรรวม (integrate circuit) เนี่ย ผมเห็นมีขายในเวป แล้วผมก็เพิ่งรู้จากคุณว่ามันแพง ผมไม่รูหรอกครับว่าเสียงดีรึเปล่า แต่ขอเดายังไงไม่น่าสู้แบบที่เป็นวงจรรวมได้ วงจรอะไรก็ตามยิ่งใหญ่ โอกาสที่ตัวมันจะรับสัญญาณข้างนอกที่ไม่พึงประสงเข้ามารบกวนก็สูง แต่ก็ไม่แน่นะครับอาจจะดีก็ได้ถ้าหากมี spec ในการวัดที่มีวิธีการวัดและเครื่องมือที่ใช้ในการวัดที่น่าเชื่อถือ เท่าที่ผมเห็น ไม่เห็นจะมี spec อะไรเลย ผมไม่ซื้ออะ เสียว

ส่วนเรื่องหลอดเนี่ย ผมบอกเลย ผมไม่เคยเล่น แต่จากการศึกษานิดๆหน่อยๆ ผมเกลียดหม้อแปลงทางด้าน o/p ที่จำเป็นต้องใช้ไปต่อกับลำโพงครับ (เกลียดขึ้นใส้เลย) และต้องใช้ C ที่มันทน high volt แพงงงง 

อีกเรื่อง ถูกต้องครับเรื่องเสียงต้องฟังเอาเอง แต่ไปถามจากคนอื่นระวังจะซวยคนเราชอบไม่เหมือนกัน เหมือนดูหนังนะครับเพื่อนผู้ ญ ผมผู้หญิงไปดูหนังเกาหลีมาบอกซาหนู๊กซาหนุก ผมเลยรีบไปดูกับกิ๊กกิ๊กผมหลับคาโรง ออกมาโดนด่าอีกบอกว่าพามาดูอะไรน่าเบื่อ  :black_eye
เบื่อ


ออฟไลน์ nopphong

  • *****
    • กระทู้: 915
พวก discreet พวกนี้เขาว่าเสียงดีกว่าครับ ผมก็ยังไม่เคยลองสักที แบบว่ามันแพงน่ะครับ

ส่วนเรื่อง datasheet กับเสียงผมเถียงตายเลยครับว่าถ้าสเปกดีแล้วเสียงดีกว่า อันนี้ไม่จริงแน่ๆครับ เพราะลองมาสารพัดแล้วอย่างที่ลองเบอร์ LT 1115 สเปกสุดยอด noise ต่ำสุดๆ slew rate สูงมาก offset ต่ำมากๆ แต่พอต่อออกมาแล้วกลับให้เสียงที่สู้  BB ไม่ได้ เพราะเราฟังเสียงไม่ได้ทำเครื่องมือวัด

คือ opamp เนี่ยนอกจากจะจะมีสเปกทั่วๆไปแล้ว ในวงจรจริงมันจะมีว่าที่โหลดกระแสต่างๆมันจะตอบสนองความถี่ได้เท่าไรด้วย ซึ่งตัวนี้มักจะมีบอกไว้ในดาต้าชีทแค่คร่าวๆ และยังมีอีกหลายปัจจัยที่ไม่สามารถบอกได้ในดาต้าชีท ผลคือให้สเปกเริ่ด พอมาใส่ในวงจรจริงกลับเสียงไม่ดีก็ได้ โดยเฉพาะเรื่อง THD หรือความเพี้ยนต่างๆผมว่ามัน ไร้สาระครับ เพราะบอกได้เลยว่าความเพี้ยนไม่ได้บอกสักนิดเดียวว่าเสียงมันจะดีกว่า(ยกเว้นมันจะเพี้ยนกันเกิน 1%) แฟนๆหลอดคงจะเข้าใจคำนี้ดี

สุดท้ายแล้ว Datasheet มีไว้ออกแบบวงจรครับ เรื่องเสียงต้องฟังเองตัดสินใจเองครับ หรือการถามแนวเสียงจากคนที่ลองมาแล้วก็ช่วยในการเลือกซื้อได้ระดับนึง แล้วค่อยมาลองฟังเอาเองอีกที

ย้ำเลยครับว่า สเปกกับเรื่องความเพี้ยน thd นี่มันเรื่องไร้สาระในวงการเสียง มันก็แค่ดูดีเวลาเอาสเปกไว้โชวเท่านั้นแหละ ไม่ได้บอกเลยว่าเสียงมันจะดีครับ เพราะถ้า thd ,slew rate,noise สำคัญคงไม่มีคนเล่นเครื่องหลอดกันแล้ว