HTG2.club

ไม่เข้าใจ Push Pull Class A กับ Push Pull Class AB แตกต่างกันอย่างไรในกรณีหลอด

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
คุณ nopphong ในโลกนี้เขา classify พวก class ของวงจรขยายรูปคลื่นของกระแส corrector ที่เกิดขึ้นเมื่อมีสัญญาณ i/p เข้ามา (ถ้าเป็นหลอดผมเดาว่าก็น่าจะเป็น Ipp) คราวนี้คุณจะไปต่อกับอะไรยังไงก็เรื่องของคุณ

ที่คุณ RFlover พูดถึงเรื่อง Classify วงจรขยายผมก็เห็นด้วยครับ แต่ในทางปฏิบัติแล้ววงจรหนึ่งสามารถทำงานได้มากกว่า 1 Class ครับ ยกตัวอย่างเช่นวงจรที่ Classify เป็น Class AB ก็มีช่วงที่ทำงานเป็น Class A เช่นกัน อย่างที่เราคุยกันไปในอีกกระทู้หนึ่ง

ในแง่ของการออกแบบวงจร จุดตั้งต้นเราคือ Characteristic Curve และสภาวะโดยรอบวงจรเช่น แรงดันจ่ายไฟ, Input Signal, Load เป็นต้น เราต้องทราบค่าพวกนี้ก่อนจึงจะกำหนดจุดทำงานของอุปกรณ์ได้ว่า อย่างไรจึงจะเป็น Class A, หรือถ้าจะเป็น Class AB จะมีมุมการนำกระแสถึงกี่องศา (360>X>180) สมมุติวงจร Class AB มี Max Current 3A ที่ Load ค่าหนึ่ง (R) ถ้าผมตั้งค่า Idle Current ไว้ที่ 1A และผมทำยังไงก็ได้เพื่อรับประกันว่า Input จะไม่ทำให้กระแสไหลเกิน 1A วงจรที่เดิมตั้งใจให้เป็น Class AB ของผมก็จะทำงานใน Class A เสมอ พื้นฐานมันถูกออกแบบมาเป็น Class AB แต่เราไปจำกัดสภาวะรอบๆ มันไม่ให้มันทำงานใน Class AB นั่นเองครับ ในอีกสภาวะหนึ่ง สมมุติค่าผมเปลี่ยน Load ให้ค่าเหลือแค่ครึ่งหนึ่ง (R/2) ก็จะเห็นว่าที่กระแสขับเท่าเดิม แรงดันตกคร่อม Load จะเหลือแค่ครึ่งหนึ่ง ในวงจร Signal Amplifier เช่นปรีแอมป์ เราต้องการใช้ Voltage เป็นหลักอยู่แล้ว จะเห็นว่าความเป็น Class A ที่เราตั้งไว้ที่ 1A เราได้ Output Voltage แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น แล้วถ้าผมต้องการ Output Voltage เท่าเดิมล่ะ แน่นอน กระแสก็ต้องไหลมากขึ้นและเลยจากสภาวะความเป็น Class A ไปเป็น Class AB ครับ

แนวคิดการเล่น Op-amp ที่คุณ nopphong พูดถึงก็อยู่บนพื้นฐานที่ว่านี้ครับ คือไปปรับสภาวะแวดล้อมให้ Class AB เดิม ทำงาน In deep เข้าไปใน Class A มากขึ้น และที่คุณ nopphong พูดถึงเรื่อง Load ก็ตามตัวอย่างข้างต้นครับ เพื่อรับประกันว่า Output Tr ของ Op-amp ยังคงทำงานใน Class A จึงต้องคิดที่สภาวะ Load ต่ำที่สุดที่เป็นไปได้ ส่วนถ้า Load สูงกว่านี้ เราก็จะได้แรงดันที่ต้องการในขณะที่กระแสน้อยกว่าที่เราตั้งค่าไว้ Tr ยังคงทำงาน 360 องศาตามที่ตั้งใจครับ  :)


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
ก็คงเหลือเรื่องเดียวคือ การ cancel ของ harmonic เลขคู่ของ วงจร complementary แบบ npn กับ pnp ที่ bias ทั้ง A และ B หรือ AB มาเปรียบเทียบกัน ไว้รอผมมีเวลาก่อน ผมจะลองใช้ทำ simulation ดูว่า phase ของ harmonic เลขคู่ ที่เกิดจากตัว npn และ pnp มันออกมายังไง คาดว่าหากใช้ Pspice ทำการ simulate เดาว่าอาจจะเห็น เพราะว่าผลที่ได้ออกมามันรวมกันเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้แยกกัน คิดว่าจะลอง Harmonic balance ทำดู หรือไม่ก็อาจจะลอง แยกบนล่าง sim ดู แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขอ plan ดูก่อนว่าจะเอายังไงดี ยังไงถ้าคุณ Mr.Tube มีข้อมูลเพิ่ม ก็บอกด้วยนะครับจะได้ช่วยได้มากขึ้น

ใช้คณิตศาสตร์ธรรมดาก็ได้ครับ พื้นฐานมาจากการที่ Even-Order Harmonic Distortion มี Phase สอดคล้องกับ Fundamental เสมอ เมื่อ Current Distortion ไหลสวนกันใน Load ค่าเดียวกัน ทำให้เกิดแรงดันตกคร่อม Load ในทิศทางตรงกันข้าม จึงเสมือนกับว่า Load ไม่ได้รับผลจาก Even-order HD ครับ

ผมมีตัวอย่างหลักการคำนวณของวงจรหลอดมาให้นะครับ ในวงจร Transistor ก็ใช้หลักการเดียวกันครับ http://turingbirds.com/articles/tubes/common_cathode/harmonic_distortion.html


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
max rating ของ tr ใน opamp ดูได้จากสเปกการปล่อยกระแสสูงสุดของตัว opamp ครับ ก็ราวๆ 10 - 30 mA ( opamp ธรรมดานะครับ ไม่ใช่ตัวใหญที่ใช้ใน gain clone) เวลาเราไบอัสคลาส A มักจะดึงกระแสราวๆ 2-5mA ต่ำว่า max ที่ opamp จ่ายได้เยอะครับ โดยภาคต่อไปที่จะขยายกระแสจะต้องมีอิมพีแดนซ์สูง กินกระแสน้อย เพื่อที่จะดึงกระแสไม่ให้เกินค่านี้ เพราะถ้าเกิน 2-5mA มันก็จะหลุดไปเข้า class B ครับ

ผมยังนึกว่าจะ In deep เข้าไปใน Class A ถึง 50% ครับ ถ้าแค่ 2-5mA ก็ไม่น่ากังวลอะไรอย่างที่คุณว่าครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับคุณ nopphong  O0



ออฟไลน์ พี่ดุ้น

  • เบื่อ
  • ผู้สนับสนุน web
  • *
    • กระทู้: 436
    • เพศ:ชาย
ก็แล้วแต่คนจะคิดนะครับ ผมก็รู้สึกไม่สบายใจที่ทำให้คุณ nopphong คิดไปเป็นแบบนั้น ยังไงก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย เพราะผมก็พยายามคุยด้วยเหตุผลแล้ว

อย่างที่ผมเคยบอกไปที่กระทู้อื่น ให้ focus ไปที่ fact ไม่ไช่คำพูดของคน แล้วผมก็มักจะอ้างเหตุผลจากตำราเรียน ไม่ไช่เหตุผลส่วนตัว และถ้าหากเป็นเหตุผลส่วนตัวผมก็จะกำกับบอกไว้ด้วยเพราะไม่แน่ใจ
แล้วที่ผมคุยกับคุณ Mr.Tube ก่อนหน้านี้ผมว่าผมก็คุยกันในโดยหลักการและเหตุผลนะครับ ค่อนข้างละเอียดพอสมควรด้วย

ก็ไม่เห็นแปลกนะครับเพราะต่างคนต่างความคิด เพราะบางทีผมเข้าใจผิดก็มีคนแย้งแล้วเปิดใจคุยกันด้วยเหตุและผล ถึงจะกระทบกระแท่นง่อนๆแง่นๆกันไปบ้าง มีการถามคำถามกวนๆถามกลับไปกลับมากันบ้างในตอนแรก สุดท้ายก็เข้าใจตรงกัน ก็เหมือนกับที่ผมคุยกับคุณ Mr.Tube ในกระทู้นี้และกระทู้อื่นๆแหละครับ คุณ Mr.Tube ก็เป็นคนที่สุภาพมากๆคนนึง บางคำถามที่เขาถามผมมาอาจจะดูกวนๆไปนิดๆเขาก็ออกมาขออภัย ซึ่งในทางกลับกันหลายทีผมก็ยิงคำถามกวนประสาทคุณ Mr.Tube ไปเยอะเหมือนกัน หากถ้าผมได้ใช้คำพูดอะไรล่วงเกินคุณ Mr.Tube ไปผมขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย สุดท้ายผมว่าก็ดีครับทำให้ webboard มันมีสีสรร ;D มีทั้งความรู้และความมัน



เบื่อ


ออฟไลน์ nopphong

  • *****
    • กระทู้: 915
 ;D ว่าแล้วก็มาสไตล์เดิม คือเสียดสี และยกหลักการที่ไม่มีการอธิบายให้คนอื่นเข้าใจขึ้นมาอ้าง เหมือนเดิมที่กระทู้โน้น ฮ่าๆไม่เป็นไรผมไม่ถือ คงงดการตอบกระทู้ไว้เท่านี้ครับ เพราะพูดไปอย่างไรคุณคงไม่เข้าใจ เชิญตามสบายครับ


ออฟไลน์ พี่ดุ้น

  • เบื่อ
  • ผู้สนับสนุน web
  • *
    • กระทู้: 436
    • เพศ:ชาย
คุณ nopphong ในโลกนี้เขา classify พวก class ของวงจรขยายรูปคลื่นของกระแส corrector ที่เกิดขึ้นเมื่อมีสัญญาณ i/p เข้ามา (ถ้าเป็นหลอดผมเดาว่าก็น่าจะเป็น Ipp) คราวนี้คุณจะไปต่อกับอะไรยังไงก็เรื่องของคุณ

ผมว่าคุณ nopphong หลงประเด็นในคำจำกัดความของการจำแนก class แล้วนะครับ

ผมว่าคุณ nopphong คงต้องเผาตำราเรียนพื้นฐานสมัยปริญญาตรีทิ้งแล้วละครับ แล้วก็แต่งหนังสือเล่มใหม่ขึ้นมาขาย ส่วนเรื่อง opamp เลิกมั่วเถอะครับผมสงสารคนอื่นเขาจะจำไปผิดๆ ผมเองก็ไม่ได้จบ analog IC design มา รู้แค่ผิวๆ แต่ที่น่าแปลกผมยังไม่เห็นจะรู้ลึกเหมือนคุณ nopphong เลย โดย basic พื้นฐานแล้วผมก็ยึดตำราเรียนเป็นหลักนะครับ จะได้คุยภาษาเดียวกันกับชาวบ้านรู้เรื่อง
เบื่อ


ออฟไลน์ nopphong

  • *****
    • กระทู้: 915
นั่นแหละครับ คือถ้าจะให้มันทำที่จุดเดิมก็ทำได้ แค่คำนวนไบอัสกันใหม่

แต่ในวงจรขยายจริงเขาไม่ได้ต้องการให้มันทำงานที่จุดเดิมครับ เขาแค่ต้องการให้ตลอดช่วงของโหลดที่เขาต้องการให้ครอบคลุมนั้นทำงานอยู่ในคลาสที่ต้องการเป็นพอ

เรื่องเคิฟของ TR คนออกแบบก็ต้องดูทั้งนั้นแหละครับ ไม่งั้นมันจะออกมาเป็นวงจรได้ยังไง แต่สิ่งที่คนออกแบบควบคุมไม่ได้คือคนใช้งานจะเอาไปใช้ที่โหลดเท่าไร
สมมุติว่าถ้าเป็นแอมป์บ้านก็ไม่เท่าไรโหลดก็แค่ ไม่ 8 ก็ 4 โอมห์
แต่ถ้าเป็นปรี ช่วงของโหลดจะกว้างมาก 1K-100K  หรือถ้าเป็นแอมป์หูฟัง ก็จะมีช่วงตั้งแต่ 16 - 300 โอมห์  จะให้ custom ไบอัสว่าแอมป์ตัวนี้ต้องโหลดเท่านี้มันไม่ได้ การออกแบบวงจรเลยต้องรองรับในส่วนนี้ได้

แต่ถ้าพูดเรื่องไบอัสคลาส A ใน opamp อันนั้นไม่ต้องดูเคิฟอะไรทั้งนั้น เพราะใน opamp มีการป้อนกลับอยู่ ต่อให้ tr ทำงานจนตัวมันเริ่มเสียสมดุล (คงจะทราบนะครับว่าที่กระแสต่างๆ ค่า hfe ของ tr ไม่เท่ากัน) ก็จะเกิดการป้อนกลับเพื่อเพิ่มกระแสที่มาขับ tr ตัวนั้นขึ้นไปอีก สิ่งที่ต้องดูเห็นจะเป็นความสามารถในการขับกระแสสูงสุดของมันเท่านั้นครับ ดูว่าแค่ไหนที่ opamp จ่ายกระแสได้โดยไม่ไหม้เป็นพอ ส่วนเคิฟอะไรนั่น การป้อนกลับจะเป็นตัวแก้ไขให้ทั้งหมดไม่ต้องไปยุ่งกับมันหรอกครับ


ออฟไลน์ พี่ดุ้น

  • เบื่อ
  • ผู้สนับสนุน web
  • *
    • กระทู้: 436
    • เพศ:ชาย
ก็เป็นข้อสงสัยที่ดีครับ คุณ nopphong ครับ

พื้นฐานการออกแบบวงจร amp ไดๆก็ตาม เราต้องรู้ characteristic curve ของตัว transistor เดี่ยวๆ ก่อนว่าจะให้มันทำงานที่จุดไหน สมมุติว่า แบบ npn คือที่ แรงดัน VCE กับ กระแส IC เท่าไหร่ ที่ต้องการ คราวนี้หากอยากจะเพิ่มหรือเปลี่ยนแปลงอะไรลงไปในวงจร เพิ่ม RE เพิ่ม RC เพิ่มโน่นนี่ ก็ต้องคำนวณจัด bias ให้ transistor ให้ทำงาน ณ จุดเดิม ก็ต้องทำให้ VCE กับ IC มีค่าเท่าเดิม

ถ้าคนออกที่แบบวงจรเป็นไม่ได้ก๊อปปี้วงจรชาวบ้าน เขาจะรู้ว่าต้องเริ่มจากอะไรนะครับ โดยเฉพาะโลกของความเป็นจริงก็ต้องวัดค่าของจริงบางค่าจากตัว transistor ตัวเดี่ยวๆ เพื่อมาออกแบบเหมือนกันนะครับ หลายอย่างก็อธิบายลำบากครับมันขึนกับโครงสร้างของวงจรด้วยครับ
เบื่อ


ออฟไลน์ nopphong

  • *****
    • กระทู้: 915
อ่านเรื่องมุมนำกระแสแล้วก็ งง ครับ

สำหรับผมพูดให้มันง่ายๆเห็นจะเป็นว่า ถ้าจะเป็น class A ได้ หมายถึง อุปกรณ์ตัวที่เป็น out put จะต้องนำกระแสอยู่ตลอดรูปสัญญาณ ไม่มีช่วงไหน off เลย หรือจะเรียกว่ามันนำกระแส 360 องศาเลยก็ได้

ทีนี้จะทำให้มันนำ 360 องศาได้ ตัวมันก็ต้องมีความสามารถในการนำกระแสได้มากกว่าที่จ่ายให้โหลด ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าถ้าอุปกรณ์ตัวนั้นไม่มีการ off เลยตลอดช่วงสัญญาณ และสามารถนำกระแสได้พอเพียงที่จะจ่ายให้โหลดได้ตลอดรูปสัญญาณ อันนั้นเป็น class A ครับ

ส่วนถ้าอุปกรณ์นั้น มีช่วงที่ off เป็นบางช่วง หรือนำกระแสได้ต่ำกว่าที่โหลดต้องการ ก็จะเป็นคลาสอื่นไป ซึ่งถ้ามองในแง่นี้ จะเห็นว่าที่โหลดกินกระแสต่ำๆ คลาส AB ก็จะทำงานเป็น class A ได้ หรือเรียกกันว่า pushpull class A  แต่ถ้าวงจรเดียวกันเลยไม่ต้องเปลี่ยนอะไรสักอย่าง แต่เปลี่ยนแค่โหลดให้ดึงกระแสมากขึ้น มันก็จะหลุดจาก class A ไปอยู่คลาส B กลายเป็น วงจร class AB ไป

โหลดที่กินกระแสต่างกันก็มีผลให้มุมนำกระแสต่างกันครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 เมษายน, 2009, 03:42:44 pm โดย nopphong »


ออฟไลน์ พี่ดุ้น

  • เบื่อ
  • ผู้สนับสนุน web
  • *
    • กระทู้: 436
    • เพศ:ชาย
ขอบคุณสำหรับทุกคำตอบครับ คุณ Mr.Tube

ก็คงเหลือเรื่องเดียวคือ การ cancel ของ harmonic เลขคู่ของ วงจร complementary แบบ npn กับ pnp ที่ bias ทั้ง A และ B หรือ AB มาเปรียบเทียบกัน ไว้รอผมมีเวลาก่อน ผมจะลองใช้ทำ simulation ดูว่า phase ของ harmonic เลขคู่ ที่เกิดจากตัว npn และ pnp มันออกมายังไง คาดว่าหากใช้ Pspice ทำการ simulate เดาว่าอาจจะเห็น เพราะว่าผลที่ได้ออกมามันรวมกันเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้แยกกัน คิดว่าจะลอง Harmonic balance ทำดู หรือไม่ก็อาจจะลอง แยกบนล่าง sim ดู แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขอ plan ดูก่อนว่าจะเอายังไงดี ยังไงถ้าคุณ Mr.Tube มีข้อมูลเพิ่ม ก็บอกด้วยนะครับจะได้ช่วยได้มากขึ้น

ส่วนเรื่องการข่มขืน opamp ถ้าใครอยากรู้ผมแนะนำให้ลองหา spice model ของ opamp ซักตัวมา ถ้าจำไม่ผิดใน model จะมีทรานซิสเตอร์หลายตัวต่อเป็นเป็น opamp ขึ้นมา มันเป็นแบบ net list จะทำก็ลำบากหน่อย แต่ตรงนี้ช่วยให้เราสามารถเรียนรู้และวิเคราะห์เข้าไปถึงข้างในตัวได้ง่าย ก็แค่เพิ่มวงจรที่จะข่มขืนมันเข้าไป แล้วลองดูจุดไบอัสของตัว transistor ทั้งสองตัวบนล่างทางด้าน o/p ขณะที่โดนข่มขืน เรียบร้อยแล้ว ดูว่ากระแส IC แรงดัน VBE แรงดัน VCE ของแต่ละตัวเป็นเท่าไหร่ จดแล้วตัดทรานซิสเตอร์แต่ละตัวเดี่ยวๆมา bias ให้ได้ตามที่จดไว้เลยครับ จะได้รู้ว่าอยู่ตรงไหนของ curve 
ใครทำได้ความไงบอกด้วยนะครับ ขี้เกียจทำ อิอิ

อย่างที่บอกในอีกกระทู้นะครับ ค่าของกระแสของ Ic หรือ Id ไม่ได้เป็นตัวกำหนด class ของวงจรขยาย ต้องดูมุมการนำกระแสเป็นหลัก
เบื่อ


ออฟไลน์ nopphong

  • *****
    • กระทู้: 915
เท่าที่อ่านคำอธิบายของคุณ nopphong ผมเข้าใจว่าผู้ออกแบบตั้งใจใช้ Tr แค่ตัวเดียวใน Op-amp ครับ การติดตั้ง Current Sink เข้าไปเพื่อดึงกระแสผ่าน Tr ที่ต่อกับไฟบวก ให้กระแสผ่านตัวมันมากขึ้นครับ เสมือนว่า Tr ถูก Bias in deep เข้าไปใน Class A มากขึ้นครับ โดยไม่สนใจว่า Tr อีกตัวจะทำงานหรือไม่อย่างไร ผมคิดว่าถ้าเรากำหนด Voltage และ Power Output ไว้ค่าหนึ่ง ก็น่าจะหา Idle Current ที่จะมั่นใจได้ว่า Tr ใน Op-amp ทำงานใน Class A แต่ก็คงต้องเสี่ยงพอสมควร เพราะเราไม่รู้ว่า Tr ใน Op-amp มี Max Rating อย่างไรครับ 


max rating ของ tr ใน opamp ดูได้จากสเปกการปล่อยกระแสสูงสุดของตัว opamp ครับ ก็ราวๆ 10 - 30 mA ( opamp ธรรมดานะครับ ไม่ใช่ตัวใหญที่ใช้ใน gain clone) เวลาเราไบอัสคลาส A มักจะดึงกระแสราวๆ 2-5mA ต่ำว่า max ที่ opamp จ่ายได้เยอะครับ โดยภาคต่อไปที่จะขยายกระแสจะต้องมีอิมพีแดนซ์สูง กินกระแสน้อย เพื่อที่จะดึงกระแสไม่ให้เกินค่านี้ เพราะถ้าเกิน 2-5mA มันก็จะหลุดไปเข้า class B ครับ


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
ขอบคุณมากครับคุณ Mr.Tube ผมมานั่งดูละเอียดแล้ว ถ้าเอาโครงสร้าง push pull มาไบอัส class A ก็ได้นะครับ แต่พอดีผมไม่เคยทำแอม push-pull class A ที่ต่อลักษณะแบบนี้นะครับ อย่างที่ผมบอกไปนะครับยังมีส่วนที่ผมไม่รู้ แล้วคุณ Mr.Tube แย้งมาดีครับ เพราะตัวผมเองก็ยังไม่เคยเห็น Complementary Class A นะครับ

ผมเองก็รู้มางูๆ ปลาๆ จับแพะชนแกะเอาครับ ผมคิดว่าการเอาสิ่งที่ตัวเองรู้มาแบให้คนอื่นดูกันเป็นสิ่งดีครับ อันไหนผิดคนที่รู้จริงจะได้ช่วยแก้ให้ อันไหนถูกอยู่แล้วก็เป็นประโยชน์กับผู้อื่น ก็น่าจะเป็นผลดีร่วมกันทั้งหมดครับ อย่างเรื่อง Class AB ในอีกกระทู้หนึ่ง ผมเข้าใจผิดคุณ RFlover ก็ท้วงให้คิดใหม่ แบบนี้เป็นต้นครับ  :clap :clap

อ้างถึง
อีกอย่างผมสับสนกับคำจำกัดความคำว่า push-pull นะครับ ถ้าต่อแบบ complementary bias ให้เป็น class A แบบใช้ npn pnp ดูเหมือนว่า transistor ตัวบนตัวล่างจะพุชก็พุชพร้อมกันและเวลาจะพูลก็จะพูลก็พูลพร้อมกัน ก็เลยงงครับ เอาโครงสร้างแบบ push-pull มา bias เป็น class A ก็ไม่น่าเรียกว่าวงจร push-pull แล้วนะครับ

สรุปผมชักสับสนแล้วครับกับคำจำกัดความคำว่า push-pull ตกลง อะไรกันแน่ ตกลง transistor สองตัวมันดึงกระแสผลักกระแสพร้อมกันหรือว่าคนละเวลากัน ????? เอะยังไง งง ตกลง bias แบบ classA นี่เป็น push-pull ได้ไช่มั๊ย เห็น on อยู่ตลอด

ในวงจร Complementary NPN/PNP สมมุติ Bias Tr ทั้งคู่ให้ Idlel Current เท่ากัน ผมมอง NPN เป็น Current Source และ PNP เป็น Current Sink ครับ เช่นนั้นในสภาวะสงบกระแสจะไหลจาก NPN ผ่าน PNP ไปเลย ไม่ผ่าน Load แต่เมื่อสัญญาณเข้ามา Tr ทั้งคู่ก็จะเริ่มทำงานกลับกันครับ ถ้า NPN พยายามจ่ายกระแสมากขึ้น PNP ก็จะดึงกระแสน้อยลง ส่วนต่างของกระแสจะวิ่งผ่าน Load ครับ และในทางกลับกันเช่นกันคือ เมื่อ NPN จ่ายกระแสน้อยลง PNP ก็จะดึงกระแสมากขึ้นครับ

อ้างถึง
ส่วน comment ขวางโลก ของผมในเรื่องการข่มขืน opamp ให้เป็น class A เนี่ย ผมบอกไปแล้วไงครับว่าผมไม่รู้ไม่เคยทำ แต่ผมขอถามคุณ Mr.Tube นิดนึงว่า รู้ได้ยังไงว่าที่ไอ้ทำทำไปมันเป็น class A ทั้งคู่บนคู่ล่าง ? รู้ได้ไงว่าจุดไบอัสมันเลื่อนไปอยู่ตรงไหน ?  IV curve ของ transistor คู่บนล่างใน opamp น้าตาเป็นยังไง?   ในเรื่องความสมมาตรฐานถ้าเป็น class A จริง ผมก็ไม่รู้เหมืนกันแต่เดาว่าไม่น่าจะมีผลอะไร
ผมอยากให้คุณ Mr.Tube อธิบายเข้าไปถึงตัวข้างในตรง output stage ที่ต่อ complematary กัน ของ opamp นะครับ ผมแค่อยากรู้ว่าจะรู้ได้ไงว่ามันเป็น class A
ที่ผมตั้ง comment ขวางโลกก็เพราะผมไม่รู้นะครับ

ผมอาจจะใช้คำไม่ค่อยเหมาะ แต่ผมชอบความคิดลักษณะนี้นะครับ มองในจุดที่ผู้อื่นไม่ได้มอง มันน่าสนใจครับ ขออภัยด้วยถ้าทำให้คุณ RFlover รู้สึกไม่ดีครับ เท่าที่อ่านคำอธิบายของคุณ nopphong ผมเข้าใจว่าผู้ออกแบบตั้งใจใช้ Tr แค่ตัวเดียวใน Op-amp ครับ การติดตั้ง Current Sink เข้าไปเพื่อดึงกระแสผ่าน Tr ที่ต่อกับไฟบวก ให้กระแสผ่านตัวมันมากขึ้นครับ เสมือนว่า Tr ถูก Bias in deep เข้าไปใน Class A มากขึ้นครับ โดยไม่สนใจว่า Tr อีกตัวจะทำงานหรือไม่อย่างไร ผมคิดว่าถ้าเรากำหนด Voltage และ Power Output ไว้ค่าหนึ่ง ก็น่าจะหา Idle Current ที่จะมั่นใจได้ว่า Tr ใน Op-amp ทำงานใน Class A แต่ก็คงต้องเสี่ยงพอสมควร เพราะเราไม่รู้ว่า Tr ใน Op-amp มี Max Rating อย่างไรครับ 

อ้างถึง
สุดท้ายไอ้เรื่อง cancellation ของ harmonic เลขคู่ เนี่ย การต่อแบบ complementary โดยใช้ npn pnp จะ class อะไรก็ตาม ว่างๆผมจะลองไปศึกษาดูว่ามัน cancel กันที่โหลดได้ไง บอกตรงๆจากที่คุณ Mr.Tube อธิบายผมยังงงครับนะ ผมก็ดูแบบลวกๆยังไงคุณ Mr.Tube ช่วยขยายความโดยละเอียดหน่อยครับ อยากรู้ mechanism ในการหักล้างนะครับ ผมดูแบบลวกๆก็เลยงงยังไงช่วยขยายความด้วยครับ

ผมขอยกวงจร PP NPN/PNP ที่ต่อกับแหล่งจ่าย +/- มาอธิบายนะครับ Load จะต่อจากจุด Emitter ร่วมลง Ground ครับ ถ้าเรามองแยกทีละวงจรจะเห็นว่าทั้งคู่เป็น Emitter Follower เหมือนกัน แต่มีทิศทางกระแสผ่าน Load ตรงข้ามกัน ดูรูปประกอบนะครับ (ไปเอามาจาก wikipedia น่ะครับ) เนื่องจากเป็นคู่ Complementary ความเพี้ยนเนื่องจาก I/V Curve ที่เกิดจึงเหมือนกัน และเฉพาะ Even-Order จะมี Phase ต่างกันตาม Phase ของกระแส ความเพี้ยนทางแรงดันที่ตกคร่อม Load จึงกลับเฟสกันและหักล้างทางแรงดันกันเองน่ะครับ แบบนี้พอใช้ได้ไม๊ครับ  :)


ออฟไลน์ พี่ดุ้น

  • เบื่อ
  • ผู้สนับสนุน web
  • *
    • กระทู้: 436
    • เพศ:ชาย
ขอบคุณมากครับคุณ Mr.Tube ผมมานั่งดูละเอียดแล้ว ถ้าเอาโครงสร้าง push pull มาไบอัส class A ก็ได้นะครับ แต่พอดีผมไม่เคยทำแอม push-pull class A ที่ต่อลักษณะแบบนี้นะครับ อย่างที่ผมบอกไปนะครับยังมีส่วนที่ผมไม่รู้ แล้วคุณ Mr.Tube แย้งมาดีครับ เพราะตัวผมเองก็ยังไม่เคยเห็น Complementary Class A นะครับ

อีกอย่างผมสับสนกับคำจำกัดความคำว่า push-pull นะครับ ถ้าต่อแบบ complementary bias ให้เป็น class A แบบใช้ npn pnp ดูเหมือนว่า transistor ตัวบนตัวล่างจะพุชก็พุชพร้อมกันและเวลาจะพูลก็จะพูลก็พูลพร้อมกัน ก็เลยงงครับ เอาโครงสร้างแบบ push-pull มา bias เป็น class A ก็ไม่น่าเรียกว่าวงจร push-pull แล้วนะครับ

สรุปผมชักสับสนแล้วครับกับคำจำกัดความคำว่า push-pull ตกลง อะไรกันแน่ ตกลง transistor สองตัวมันดึงกระแสผลักกระแสพร้อมกันหรือว่าคนละเวลากัน ????? เอะยังไง งง ตกลง bias แบบ classA นี่เป็น push-pull ได้ไช่มั๊ย เห็น on อยู่ตลอด

ส่วน comment ขวางโลก ของผมในเรื่องการข่มขืน opamp ให้เป็น class A เนี่ย ผมบอกไปแล้วไงครับว่าผมไม่รู้ไม่เคยทำ แต่ผมขอถามคุณ Mr.Tube นิดนึงว่า รู้ได้ยังไงว่าที่ไอ้ทำทำไปมันเป็น class A ทั้งคู่บนคู่ล่าง ? รู้ได้ไงว่าจุดไบอัสมันเลื่อนไปอยู่ตรงไหน ?  IV curve ของ transistor คู่บนล่างใน opamp น้าตาเป็นยังไง?   ในเรื่องความสมมาตรฐานถ้าเป็น class A จริง ผมก็ไม่รู้เหมืนกันแต่เดาว่าไม่น่าจะมีผลอะไร
ผมอยากให้คุณ Mr.Tube อธิบายเข้าไปถึงตัวข้างในตรง output stage ที่ต่อ complematary กัน ของ opamp นะครับ ผมแค่อยากรู้ว่าจะรู้ได้ไงว่ามันเป็น class A
ที่ผมตั้ง comment ขวางโลกก็เพราะผมไม่รู้นะครับ

สุดท้ายไอ้เรื่อง cancellation ของ harmonic เลขคู่ เนี่ย การต่อแบบ complementary โดยใช้ npn pnp จะ class อะไรก็ตาม ว่างๆผมจะลองไปศึกษาดูว่ามัน cancel กันที่โหลดได้ไง บอกตรงๆจากที่คุณ Mr.Tube อธิบายผมยังงงครับนะ ผมก็ดูแบบลวกๆยังไงคุณ Mr.Tube ช่วยขยายความโดยละเอียดหน่อยครับ อยากรู้ mechanism ในการหักล้างนะครับ ผมดูแบบลวกๆก็เลยงงยังไงช่วยขยายความด้วยครับ
เบื่อ


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
เอ้ มัน cancle กันที่หม้อแปลง o/p นะครับ กรณีแรกไม่ได้ใช้หม้อแปลงนี่ครับเพราะว่าใช้คู่ของ npn กับ pnp ว่าแต่เป็นคำถามที่ดีครับ แล้วคุณ Mr.Tube คิดว่ามัน cancle กันตรงไหนละครับแบบแรกเนี่ย? ที่ตัว transistor หลังจากสัญญาณมารวมกัน? อืมมม ผมไม่เคยมานั่งวิเคราะห์เรื่องนี้เหมือนกันนะครับยังไงผมฝากคุณ Mr.Tube ช่วยทำการบ้านมาตอบให้ได้ด้วยมั๊ยครับ จะเราได้รู้กันแบบกระจ่าง
คราวนี้ว่าหม้อแปลงมัน cancle harmonic ได้ไง โดยรายระเอียดไม่ขออธิบายครับ เพราะว่าต้องใช้รูปกับสมการซึ่งลำบากและที่สำคัญลืมไปหมดแล้วก็ต้องไปเปิดตำราเหมือนเดิมแหละครับ(ขี้เกียจ) แนะนำให้ลองหาหนังสือ text เกี่ยวกับ RF มาอ่าน หรือ application note ก็ได้ หลักการเดียวกัน ความถี่เหมือนกัน จะสูงหรือต่ำก็คือความถี่ เพียงแต่ที่ความถี่สูง ต้องมองละเอียดกว่าเยอะ

ขอบคุณที่แนะนำครับ  :)

ผมคิดว่ามัน Cancel กันที่ Load นั่นแหล่ะครับ สมมุติกรณีวงจร Symmetry ละกัน Tr ตัวหนึ่ง Source อีกตัว Sink ถ้า Bias ใน Class A Even-Order Harmonic ก็จะกลับ Phase กันที่ Load และ Cancel กันครับ ส่วนกรณี Class อื่นๆ นี่ไม่แน่ใจ และกรณีวงจร Asymmetry ด้วย

อ้างถึง
ส่วนในเรื่องของ การข่มขืน กระทำชำเลา ตัว opamp ผมแนะนำให้ไปถามคนที่ทำจะดีกว่าครับให้เขาอธิบาย ผมไม่เคยทำผมไม่รู้จริงๆ ง่ายสุดลอง mail ไปถามทาง technical support ของทาง TI หรือ Analog ก็ได้ หลอกมันไปว่าจะทำ super amp ขาย เป้าอยู่ที่ เป็น 10000k ชิ้นต่อ ปี บางทีเขาเผื่ออาจจะตอบก็ได้ครับ ก็ลองถามไปว่า ของเขามี opamp ที่เป็น class A ขายมั๊ย ถ้าไม่มี ทำไม opmap ของ you ไม่ทำเป็น class A ขายมั่ง? แล้วก็บอกสรรพคุณไปเลยว่ามันดียังไง ก็หวังว่าเขาจะตอบเมลกลับ

อย่างที่บอกผมก็ไม่เคยทำนะครับ ผมแค่เห็นนี้มีทำกัน ลอง search ดู แล้วก็ในเวปบางเวปทำ แต่ผมก็สงสัยอยู่การเอา current source ไป ดึงกระแส ผมเข้าใจว่าดึงได้เฉพาะ npn ตัวบน รึเปล่า เพราะดูทิศกระแสแล้วบอกตรงๆว่า งง ไม่รู้คิดยังไงคิดได้ไง เหมือนตัวล่างจะกินกระแสเท่าเดิมไม่ได้ลด สรุปว่า การทำแบบนี้ถ้าทำได้จริงวงจรก็ไม่สมมาตรครับ อย่างที่บอกผมไม่ได้คิดจะทำ ไม่ได้ดูระเอียด ดูจากคร่าวๆก็ประหลาดดี ไม่ make sense เกิดมายังไม่เคยเห็นผู้ผลิตแนะนะให้ทำ หรือผมอาจจะรู้น้อยก็ได้อาจจะมีมานานแล้ว ถ้ามีก็แปลกดี

ผมเป็นคนที่มักจะให้ความสนใจ Comment ที่ขวางโลกครับ ถ้าคนหนึ่งพยายามอย่างมากในการออกแบบเพื่อให้มันดีขึ้น แต่อีกคนบอกไม่รู้จะทำไปทำไม ไม่เห็นเข้าท่า ผมก็อยากจะรู้ความคิดทั้ง 2 ฝ่ายระหว่างคนทำกับคนคิดครับ ไม่ได้จะต่อว่าใครนะครับ ผมคิดแบบนี้จริงๆ อยากรู้มุมมองที่แตกต่างครับ ขอบคุณที่แนะนำมากมายครับ  :)

ขอบคุณคุณ nopphong ที่อธิบายการทำงานให้ทราบครับ ทำให้เปรียบเทียบกับ Comment ของคุณ RFlover ได้ด้วย  ;)

อ้างถึง
เอาว่าอย่าหลงประเด็ดครับ ให้มองไปว่า วงจร complementary เกิดขึ้นมาเพื่ออะไร มีใว้ทำไม ทำไม class B AB หรือ อาจจะ C ก็ได้ ถึงต้องการโครงสร้างวงจรแบบ complementary ตังแต่เกิดมาผมก็ไม่เคยเห็นใครเอา class A ไปทำ complementary เลย แต่ก็ไม่แน่นะครับอาจจะมีแต่ผมไม่รู้ก็เป็นได้

ผมไม่ทราบประวัติของ Complementary ครับ และจากการตั้งคำถาม ดูเหมือนคุณ RFlover จะทราบดี รบกวนเล่าให้พวกเราฟังหน่อยครับ

ส่วนที่ผมทราบ ในโลก Audio ส่วนใหญ่ก็ใช้วงจร Complementary Push-pull เป็นปกตินะครับ มีทั้ง Class A, AB, B ครับ มีให้เห็นตั้งแต่ระดับ Low-level ถึง Power Amp เลยครับ ส่วน Complementary Class A นี่มีน้อยหน่อยครับ แต่ในยุคที่ผมเล่น Tr อยู่ก็มี Mark Levinson ML-2 กับ ML-9 และ Musical Fidelity รุ่นหนึ่งครับ ปัจจุบันนี้ไม่ทราบเหมือนกันครับ  :bye1




ออฟไลน์ พี่ดุ้น

  • เบื่อ
  • ผู้สนับสนุน web
  • *
    • กระทู้: 436
    • เพศ:ชาย
อ้า ลืมไป มี feedback อีกทางให้ไหล แต่ถึงอย่างไร ขี้เกียจคิดแล้วครับ มึน ช่างมัน
เบื่อ


ออฟไลน์ พี่ดุ้น

  • เบื่อ
  • ผู้สนับสนุน web
  • *
    • กระทู้: 436
    • เพศ:ชาย
เอ้ มัน cancle กันที่หม้อแปลง o/p นะครับ กรณีแรกไม่ได้ใช้หม้อแปลงนี่ครับเพราะว่าใช้คู่ของ npn กับ pnp ว่าแต่เป็นคำถามที่ดีครับ แล้วคุณ Mr.Tube คิดว่ามัน cancle กันตรงไหนละครับแบบแรกเนี่ย? ที่ตัว transistor หลังจากสัญญาณมารวมกัน? อืมมม ผมไม่เคยมานั่งวิเคราะห์เรื่องนี้เหมือนกันนะครับยังไงผมฝากคุณ Mr.Tube ช่วยทำการบ้านมาตอบให้ได้ด้วยมั๊ยครับ จะเราได้รู้กันแบบกระจ่าง
คราวนี้ว่าหม้อแปลงมัน cancle harmonic ได้ไง โดยรายระเอียดไม่ขออธิบายครับ เพราะว่าต้องใช้รูปกับสมการซึ่งลำบากและที่สำคัญลืมไปหมดแล้วก็ต้องไปเปิดตำราเหมือนเดิมแหละครับ(ขี้เกียจ) แนะนำให้ลองหาหนังสือ text เกี่ยวกับ RF มาอ่าน หรือ application note ก็ได้ หลักการเดียวกัน ความถี่เหมือนกัน จะสูงหรือต่ำก็คือความถี่ เพียงแต่ที่ความถี่สูง ต้องมองละเอียดกว่าเยอะ

ส่วนในเรื่องของ การข่มขืน กระทำชำเลา ตัว opamp ผมแนะนำให้ไปถามคนที่ทำจะดีกว่าครับให้เขาอธิบาย ผมไม่เคยทำผมไม่รู้จริงๆ ง่ายสุดลอง mail ไปถามทาง technical support ของทาง TI หรือ Analog ก็ได้ หลอกมันไปว่าจะทำ super amp ขาย เป้าอยู่ที่ เป็น 10000k ชิ้นต่อ ปี บางทีเขาเผื่ออาจจะตอบก็ได้ครับ ก็ลองถามไปว่า ของเขามี opamp ที่เป็น class A ขายมั๊ย ถ้าไม่มี ทำไม opmap ของ you ไม่ทำเป็น class A ขายมั่ง? แล้วก็บอกสรรพคุณไปเลยว่ามันดียังไง ก็หวังว่าเขาจะตอบเมลกลับ

อย่างที่บอกผมก็ไม่เคยทำนะครับ ผมแค่เห็นนี้มีทำกัน ลอง search ดู แล้วก็ในเวปบางเวปทำ แต่ผมก็สงสัยอยู่การเอา current source ไป ดึงกระแส ผมเข้าใจว่าดึงได้เฉพาะ npn ตัวบน รึเปล่า เพราะดูทิศกระแสแล้วบอกตรงๆว่า งง ไม่รู้คิดยังไงคิดได้ไง เหมือนตัวล่างจะกินกระแสเท่าเดิมไม่ได้ลด สรุปว่า การทำแบบนี้ถ้าทำได้จริงวงจรก็ไม่สมมาตรครับ อย่างที่บอกผมไม่ได้คิดจะทำ ไม่ได้ดูระเอียด ดูจากคร่าวๆก็ประหลาดดี ไม่ make sense เกิดมายังไม่เคยเห็นผู้ผลิตแนะนะให้ทำ หรือผมอาจจะรู้น้อยก็ได้อาจจะมีมานานแล้ว ถ้ามีก็แปลกดี

เอาว่าอย่าหลงประเด็ดครับ ให้มองไปว่า วงจร complementary เกิดขึ้นมาเพื่ออะไร มีใว้ทำไม ทำไม class B AB หรือ อาจจะ C ก็ได้ ถึงต้องการโครงสร้างวงจรแบบ complementary ตังแต่เกิดมาผมก็ไม่เคยเห็นใครเอา class A ไปทำ complementary เลย แต่ก็ไม่แน่นะครับอาจจะมีแต่ผมไม่รู้ก็เป็นได้
เบื่อ



ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
ส่วนคำจำกัดความของ Pushpull ถ้าจำไม่ผิดก็ตามชื่อเลยนะครับ เอากรณีง่ายๆ 2 กรณีนะครับ
-กรณีแบบ ต่อแบบ complementary pair พอสัญญาณเข้ามาถ้าเป็นบวก NPN ตัวบนจะดัน push หรือ (source)  กระแสไปให้โหลด (ทิศกระแสไหลจาก node Vo ไป เข้าโหลด) พอสัญญาณเข้ามาทางซีกลบ PNP ตัวล่าง จะดึง pull (หรือ sink) กระแสจากโหลดมา (ทิศกระแสไหลจากโหลดไป node Vo ไป)
-กรณีต่อแบบ ใช้ NPN อย่างเดียว 2 ตัว แต่ต้องมีหม้อแปลงบาลันทางอินพุทและเอาต์พุท ทีเด็ดของแบบที่สองคือ ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามอุมคติเปะสามารถหักล้างฮาโมนิคเลคคู่ได้ โลกของความเป็นจริงได้แค่ลด

รบกวนสอบถามหน่อยครับ คือผมเข้าใจว่า Complementary Pair ตามอุดมคติก็น่าจะ Cancellation Even Harmonic เหมือนกัน เหตุใดคุณ RFlover จึงอธิบายว่าเฉพาะแบบที่ 2 ครับ  :)

อ้างถึง
ไอ้สองตัวข้างบน จะไบอัสทรานซิสเตอร์ให้ทำงาน class A AB B C อะไรก็ได้ตามสบายแล้วแต่ชอบ แต่ก็เห็นมีคนพยายามไปขมขืน opamp ทางด้าน output ที่ต่อแบบ complementary จาก AB หรือ class B ให้เป็น class A ไม่รู้จะทำไปทำไม ถ้าอยากใช้ class A ก็ต่อแบบ single end ไปเลย มันเปล่าประโยชน์ กินไฟเพิ่ม noise ในวงจรขึ้นเปล่าๆ ถ้าจะทำ class B ให้เป็น AB ก็ว่าไปอย่าง ดันเอา opamp มาต่อกับ regular เข้า o/p ของ opamp แล้วเพื่อทำเป็น class A ผมเดาว่าน่าจะเสมือนการเอา current source ไปต่อเพื่อดึงกระแสเพิ่ม ดังนั้นถ้าเป็นจริงอย่างที่ว่าแรงดันตรงขา base ของ transistor ทั้ง npn และ pnp ภายใน opamp ต้องเปลี่ยน แต่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าตัว npn กับ pnp ทั้งคู่ turn on ตลอดเวลาจะเกิดอะไรขึ้น อิอิ
สมมุติว่าแนวทางข้างบนสามารถไปข่มขืน opamp ให้ complementary pair กินกระแสมากขึ้นได้จริง (ยังไม่เคยวิเคราะห์วงจรแบบละเอียด) ผมก็สงสัยอย่างนึงว่ารู้ได้ไงว่าจุดไบแอสมันเลื่อนไปอยู่ที่ตรงไหน ไบอัสมากไปรึเปล่ามีโอกาศจะโดนถูกขลิบมั๊ย

เรื่องการข่มขืน Op-amp รบกวนคุณ RFlover หรือคุณ nopphong ช่วยแนะนำตัวอย่างวงจรหน่อยครับ ผมนึกภาพวงจรไม่ออกจึงตามไม่ค่อยทันครับ ขอบคุณมากครับ  :clap


ออฟไลน์ nopphong

  • *****
    • กระทู้: 915
ทำคลาส A ของ opamp คือการต่อแหล่งจ่ายกระแสเข้าที่ output ของ opamp ครับ โดยหลักการมีอยู่ว่า opamp จะพยายามดึงแรงดัน output ให้เท่ากับอินพุทเสมอ(เมื่อคูณด้วยอัตตราขยายแล้วนะครับ)  ทีนี้เมื่อมีการดึงกระแส(โดยปรกติเราจะต่อไฟลบเข้า เจ้า TR ตัวบนก็จะต้องนำกระแสเพื่อให้แรงดันยังคงอยู่ที่ 0 ส่วนเจ้าตัวล่างก็ต้องลดการนำกระแสหรือหยุดจ่ายไปเลย แล้วแต่วงจรของ opamp นั้นๆ
ซึ่งในที่นี้เราจะไม่สนใจตัวล่าง มันจะนำหรือไม่นำช่างมัน เรามาสนใจตัวบนอย่างเดียวเพราะเราจะทำ class A เเราก็เลยสนใจแค่ตัวเดียวเพราะเราจะให้มันเป็นตัวคุมกระแสตัวเดียว
ทีนี้มาดูว่ามันจะไบอัสที่จุดไหน โดยปรกติเราใช้วิธีกำปั้นทุบดินง่ายๆคือ กระแสที่ดึงจะต้องมากกว่ากระแที่จ่ายให้โหลดครับ คิดง่ายๆคือมันดึงลงลบอยู่ ทำให้ tr ตัวบน on
ตราบใดที่โหลดยังดึงกระแสขึ้น + ไม่เกินกระแสที่ดึงลง -  ยังไง Tr ตัวบนก็ไม่ off ครับเพราะมันยังต้องจ่ายกระแสลง ไฟ - อยู่ตลอดเวลา แบบนี้ก็เท่ากับเป็น class A เพราะ tr ตัวบน ทำงานกับคลื่นทั้งลูกครับ นัยว่าใช้อุปกรณ์ตัวเดียวลดความเพี้ยนของความแตกต่างของอุปกรณ์สองตัว
่ส่วนเรื่อง distortion จากการทำแบบนี้ยังไม่เคยวัดครับว่ามันเพิ่มหรือลด ส่วนตัวเคยทำกับ opamp ตัวเล็กแล้วไม่สามารถฟังความแตกต่างออก แต่มีหลายคนที่ทำแล้วยืนยันว่าเสียงดีขึ้น ซึ่งในความเห็นส่วนตัวคิดว่าไม่น่าจะดีขึ้นถ้า opamp นั้นดีพอ คือเทคโนโลยีสมัยนี้ใน opamp ดีๆนั้นผลิตมาได้อุปกรณ์ค่าใกล้กันมากๆอยู่แล้ว แถมยังมีการป้อนกลับเพื่อแก้ไขรูปคลื่นที่ผิดเพี้ยนอีกต่างหาก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 มีนาคม, 2009, 12:24:52 pm โดย nopphong »


ออฟไลน์ พี่ดุ้น

  • เบื่อ
  • ผู้สนับสนุน web
  • *
    • กระทู้: 436
    • เพศ:ชาย
พอดีตอบอีกกระทู้นึงเลยกอปมาโปะกระทู้นี้เผื่อเพื่อนๆด้วยเลย

ผมก็ไม่รู้เรื่องหลอดอะครับ เลยไม่รู้ว่ามันมี class ด้วยรึเปล่า

แต่ถ้าพูดถึง transistor พวก FET หรือ BJT ละก็น่าจะคล้ายๆหลอดนะครับ การแบ่ง class ของ transister เท่าที่ผมรู้ไม่ได้แบ่งที่การกินกระแส ความเป็นจริงจะแบ่งกันที่ มุมการนำกระแส

Class A คือ การ Bias ให้ transistor มีมุมการนำกระแสแบบเต็มๆลูกคลื่น เต็มๆ 360 องศา แบบนี้ก็จะได้ความเป็นเชิงเส้นมากที่สุด แต่ประสิทธิภาพต่ำสุดเพราะว่าถึงมีมีสัญญาณอะไรเข้ามาให้ขยาย ตัว transistor เองก็กินกระแสอยู่ตลอดเวลา (dairkไฟ)
Class B คือ การ Bias ให้ transistor มีมุมการนำกระแส ประมาณ 180 องศา
Class AB คือ การ Bias ให้ transistor มีมุมการนำกระแส ประมาณมากกว่า 180 องศา ก็คงเรียกได้ว่าอยู่ในช่วงระหว่าง class A กับ B แต่ว่าไกล้ class B มากกว่า แล้วแต่นะครับยังไงก็อยู่ในช่วงนี้
Class C คือ การ Bias ให้ transistor ถ้าจำไม่ผิดมีมุมการนำกระแส ต่ำกว่า 180 องศา ทั่วไปก็ประมาณ 90 มั้งครับหรือน้อยว่า ประสิทธิภาพสูงกินไฟต่ำ ความเป็นเชิงเส้นห่วยมาก ฮาโมนิคเพียบ เหมาะสำหรับใช้เครื่องส่งแบบพกพาแบบระบบFMอย่างเดียว(ประหยัดไฟ) ไม่สนใจเรื่องความเป็นเชิงเส้น เนื่องจาก demod ข้อมูลจากการเปลี่ยนแปลงความถี่ของคลื่นพาอย่างเดียว แต่ก็มีคนหลายคนดั้นเอาไปทำเครื่องส่ง FM วิทยุชุมชนขายกัน

ส่วนคำจำกัดความของ Pushpull ถ้าจำไม่ผิดก็ตามชื่อเลยนะครับ เอากรณีง่ายๆ 2 กรณีนะครับ
-กรณีแบบ ต่อแบบ complementary pair พอสัญญาณเข้ามาถ้าเป็นบวก NPN ตัวบนจะดัน push หรือ (source)  กระแสไปให้โหลด (ทิศกระแสไหลจาก node Vo ไป เข้าโหลด) พอสัญญาณเข้ามาทางซีกลบ PNP ตัวล่าง จะดึง pull (หรือ sink) กระแสจากโหลดมา (ทิศกระแสไหลจากโหลดไป node Vo ไป)
-กรณีต่อแบบ ใช้ NPN อย่างเดียว 2 ตัว แต่ต้องมีหม้อแปลงบาลันทางอินพุทและเอาต์พุท ทีเด็ดของแบบที่สองคือ ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามอุมคติเปะสามารถหักล้างฮาโมนิคเลคคู่ได้ โลกของความเป็นจริงได้แค่ลด

เน้นนะครับ class ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกินกระแส (ยกเว้นพวก class อื่นๆพวก D T H Z X Y ... อะไรนี่ไม่รวมนะครับที่ผมเข้าใจคนละ topology กัน) class คำจำกัดความขึ้นอยู่กับการมุมการนำกระแส

ไอ้สองตัวข้างบน จะไบอัสทรานซิสเตอร์ให้ทำงาน class A AB B C อะไรก็ได้ตามสบายแล้วแต่ชอบ แต่ก็เห็นมีคนพยายามไปขมขืน opamp ทางด้าน output ที่ต่อแบบ complementary จาก AB หรือ class B ให้เป็น class A ไม่รู้จะทำไปทำไม ถ้าอยากใช้ class A ก็ต่อแบบ single end ไปเลย มันเปล่าประโยชน์ กินไฟเพิ่ม noise ในวงจรขึ้นเปล่าๆ ถ้าจะทำ class B ให้เป็น AB ก็ว่าไปอย่าง ดันเอา opamp มาต่อกับ regular เข้า o/p ของ opamp แล้วเพื่อทำเป็น class A ผมเดาว่าน่าจะเสมือนการเอา current source ไปต่อเพื่อดึงกระแสเพิ่ม ดังนั้นถ้าเป็นจริงอย่างที่ว่าแรงดันตรงขา base ของ transistor ทั้ง npn และ pnp ภายใน opamp ต้องเปลี่ยน แต่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าตัว npn กับ pnp ทั้งคู่ turn on ตลอดเวลาจะเกิดอะไรขึ้น อิอิ
สมมุติว่าแนวทางข้างบนสามารถไปข่มขืน opamp ให้ complementary pair กินกระแสมากขึ้นได้จริง (ยังไม่เคยวิเคราะห์วงจรแบบละเอียด) ผมก็สงสัยอย่างนึงว่ารู้ได้ไงว่าจุดไบแอสมันเลื่อนไปอยู่ที่ตรงไหน ไบอัสมากไปรึเปล่ามีโอกาศจะโดนถูกขลิบมั๊ย

น่าสนใจนะครับ ผู้ผลิต opamp ไม่เคยเห็นมีใครทำ class A ออกมาขายเลย เห็นทำแต่ AB จริงๆอาจจะมีแต่ถ้ามี ก็น่าแปลกเรามีวงจร complementary ไว้เพื่ออะไรกัน วงจรขยาย push pull แบบใช้หม้อแปลงก็เหมือนกัน

สรุปคือ คำจำกัดความของ class คือ ขึ้นอยู่กับมุมการนำกระแสครับ จะไบแอสให้ได้กระแสเท่าไหร่ไม่สน ไม่มีค่ากระแสที่ตายตัว ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของตัวอุปกรณ์แต่ละตัว สุมมุติมั่วๆ transistor บางตัว bias 1A ไม่เป็น class A ก็ยังได้ครับ
ถ้ามันนำกระแสไม่ครบ 360 องศา

เบื่อ


ออฟไลน์ ใหญ่

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,548
  • เลิกซื้อก่อนครับ..... กระเป๋าบางแร้ววว...ว
ลองนึกถึงการเลื่อยต้นไม้ที่มีคนคอยดึงและผลักอยู่สองข้าง

ถ้าเป็น Pushpull ทั้งสองคนจะผลัดกันดึงและผลัก

ส่วน single ended ก็ทำงานแค่คนเดียว  ถ้าเป็นแบบหลายๆหลอดขนานกัน ก็เหมือนกับเอาคนมาหลายๆคน แต่แทนที่จะผลัดกันดึงและผลัก กลับเป็นสองคน
ส่วน pushpull ที่มีหลายๆหลอดขนานกัน ก็จะเป็นตั้งแต่สองคนขึ้นไป ทำงานทั้งสองข้าง

นั่นก็คือ
1.พุชพูล คลาสเอ นั่นคือจะมีหลอดสองหลอดต่อแชนแนลเป็นอย่างน้อย ตัวหนึ่งรับสัญญาณซีกบวก อีกตัวรับสัญญาณซีกลบ นั่นคือแม้ว่ามันจะเป็นคลาสเอแต่มันจะต้องมีวิธีในการเอาสัญญาณทั้งเฟสบวกและลบมารวมกัน  การออกแบบแอมป์นี้ไม่ใช่เรื่องง่าย
2.ส่วนซิงเกิ้ลเอนด์ ข้อดีที่เห็นๆ ก็คือหลอดเพียงหลอดเดียว แล้วรับหน้าที่ขยายสัญญาณทั้งเฟสบวกลบ  ข้อดีที่ได้ก็คือไม่มีปัญหาจากการผสมสัญญาณจากอุปกรณ์สองตัวเข้าหากัน แต่กำลังขับก็จะน้อยกว่า pushpull

สรุปว่าพุชพูลเป็นระบบการทำงานแบบกลุ่ม  ส่วนซิงเกิ้ลเอนด์ฉายเดี่ยว  จริงๆแล้วทั้งคู่ล้วนแล้วแต่มีข้อดีข้อเสีย  ไม่มีระบบใดสมบูรณ์แบบหรอกครับ แต่ที่น่าพิจารณาที่สุดคือการผสมผสานให้ได้สิ่งที่เราต้องการมากที่สุดครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 มีนาคม, 2009, 06:02:12 pm โดย kornkitj »


อย่าเอ่ยปากโทษโลก ...ถ้ายังไม่ลงมือทำ



ออฟไลน์ alexdiy

  • *****
    • กระทู้: 884
ที่สงสัยคือ ข้อดีของการทำ pushpull แต่เป็น class A คืออะไรครับ เพราะถ้ามันเป็นคลาส A ก็ต้องกินกระแสเท่าๆกันใช่ไหมครับ แล้วทำ pushpull ให้เปลืองอุปกรณ์เพื่ออะไรครับ

    เพื่อให้ได้กำลังที่มากขึ้นมั๊งครับ
    สมมติ 300B SE ได้ 8W ถ้าทำเป็น PP class A ก็จะได้ประมาณ 16W ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 มีนาคม, 2009, 04:54:44 pm โดย alexdiy »


ออฟไลน์ nopphong

  • *****
    • กระทู้: 915
ที่สงสัยคือ ข้อดีของการทำ pushpull แต่เป็น class A คืออะไรครับ เพราะถ้ามันเป็นคลาส A ก็ต้องกินกระแสเท่าๆกันใช่ไหมครับ แล้วทำ pushpull ให้เปลืองอุปกรณ์เพื่ออะไรครับ


ออฟไลน์ Withaya

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,390
การจัดวงจร กับการไบอัส ไม่เกี่ยวข้องกันนี่ครับ  วงจร PP push pull เราก็สามารถไบอัสให้มันเป็น class A หรือ class AB หรือ class B ก็ได้ครับ 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 มีนาคม, 2009, 02:55:27 pm โดย Withaya »


ออฟไลน์ nopphong

  • *****
    • กระทู้: 915
ฝรั่งบางคนเขาเรียกของเขาอย่างนั้นครับ พอดีไปอ่านเจอมาหลายที่ ซึ่งจริงๆน่าจะเป็น class ab นั่นแหละครับ แต่เขาปรับไบอัสสูงๆ
ประมาณว่าตลอดช่วงการใช้งานที่เขาออกแบบไว้จะไม่มี TR ตังไหน off เลย(ผมไปเจอมาเป็นวงจรโซลิต) ส่วนในวงจรหลอดผมเพิ่งเจอเมื่อวาน ซึ่งยังไม่ได้อ่านทำความเข้าใจการทำงานมันเท่าไรครับ ตามลิ้งนี้ครับ เป็นแอมป์
http://www.geocities.com/TimesSquare/1965/project.html
ของไทยก็มี ลิ้งนี้ครับ http://audio.mhzthai.com/index.php?showtopic=350
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 มีนาคม, 2009, 02:50:42 pm โดย nopphong »


ออฟไลน์ greenock1998

  • *
    • กระทู้: 37
อยากทราบว่า Push Pull Class A กับ Push Pull Class AB แตกต่างกันอย่างไรในกรณีเครื่อง Power หลอดครับ. ลักษณะวงจรเหมือนกันไหมครับ ? ผมเข้าใจว่า Push Pull มีแต่ Class AB อย่างเดียว.