กลับมาแล้วจ้า มาจากเชียงใหม่เมื่อเช้านี้จ้าว
ไปทอดกฐินสำเร็จสมดังวัตถุประสงค์ทุกประการ เอาบุญมาแบ่งให้เพื่อนๆ ทุกคนด้วยแล้วนะครับ
ได้ยอดกฐินที่ถวายวัดอุโมงค์มหาเถรจันทร์ (วัดโพธิ์น้อย) จ.เชียงใหม่ ในส่วนของผมทั้งสิ้น 375,000.- บาท ท่านเจ้าอาวาสดีใจสุดชีวิต เพราะตั้งแต่จำพรรษาที่วัดนี้มา 20 ปีเพิ่งได้กฐินที่ยอดสูงที่สุดก็คราวนี้เอง แต่สุดท้ายที่ทางวัดต้องการหทุนสำหรับสร้างศาลาปฏิบัติธรรมซึ่งคาดคร่าวๆ ว่าต้องใช้เงินทั้งสิ้นประมาณ 6 ล้านบาท ก็คงต้องทำกฐินและผ้าป่าอีกสัก 3 ปีแน่ๆ เอาครับไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมเลยกราบนมัสการท่านเจ้าอาวาสไปว่าผมจะช่วยหาทุนอีกแรงหนึ่งด้วย
ปล. สำหรับพี่และเพื่อนๆ ที่ช่วยทำบุญมาร่วมด้วยเดี๋ยวทางวัดจะออกใบอนุโมทนาตามมาให้นะครับ สาธุ
พอดีในพิธีใหญ่ที่ตำหนักหลวงปู่ของอาจารย์วารินทร์ฯ (หมู่บ้านสุขิโต) เขาห้ามถ่ายภาพเลยไม่ได้ดูบรรยากาศมากนักเอาเป็นว่า ท่านอาจารย์วารินทร์ฯ มอบหมายให้ผมเป็นตัวแทนนำกฐินไปทอดที่วัดอุโมงค์ในนามของอาจารย์วารินทร์และคณะศิษยนุศิษย์ในปีนี้ก็แล้วกันนะครับ
สำหรับปีนี้กฐินมหากุศลของอารย์วารินทร์ฯ มีทั้งสิ้น 15 วัด (ในเมืองเชียงใหม่) อาจารย์มอบให้ลูกศิษย์แต่ละกลุ่มรับไปดำเนินการ (ส่วนใหญ่ประธานแต่ละกลุ่มจะเป็นนายทหารระดับนายพลทั้ง 3 เหล่าทัพ ซะมากกว่า) ได้เงินทำบุญมาเท่าไหร่แล้วทุกคณะนำไปรวมกันที่กองกลาง จัดสรรใหม่เป็นวัดละ 300,000.- บาท พร้อมเครื่องกฐินต่างๆ ชุดใหญ่ และตู้พระไตรปิฎกพร้อมพระไตรปิฎกอีก 3 ชุด ส่วนเงินที่เหลือก็จะมอบเป็นทุนค่ารักษาพยาบาลแก่ตึกสงฆ์อาพาธที่โรงพยาบาลสวนดอกเชียงใหม่ จำนวน 1 ล้านบาท มอบเป็นทุนการศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่อีก 1 ล้านบาท ทุน ม. ราชภัทร อีก 1 ล้านบาท ทุนนักเรียนโรงเรียนประจำจังหวัดเชียงใหม่อีก 1 ล้านบาท ถ่ายชีวิตโค-กระบืออีก 9 ตัว นำไปมอบให้ค่ายทหารเป้นผู้เลี้ยงดูแลจนหมดอายุขัย และเงินที่เหลือ (ในปีนี้) จำนวน 3 ล้านบาท นำไปเป้นกองทุนจัดสร้าง ข่วงพุทธมณฑลล้านนา ซึ่งมีกำหนดเปิดและมอบให้จังหวัดเชียงใหม่ในวันที่ 5 ธันวาคม 2554
ต้องขอบคุณคุณอูฐที่กรุณารีบโทรศัพท์เข้ามาขอร่วมทำบุญด้วยพันบาทในขณะกำลังแจ้งยอดให้ตัวแทนของอาจารย์วารินทร์ทราบเลยทีเดียวแสดงว่าจะได้รับอนิสสงฆ์แรงมากๆ ครับ
มาดูรูปกันครับหน่อยครับ

ประรำพิธีในช่วงเช้าที่ตำหนักหลวงปู่ หมู่บ้านสุขิโต


พิธีรับมอบผ้าไตรกฐินและเครื่องกฐิน กอาจารย์วารินทร์ฯ

ท่านเจ้าอาวาสวัดอุโมงค์ฯ ผู้รับกฐิน กล่าวบรรยายประวัติวัด ให้กับคณะของผม พอดีในวันเดียวกันมีคณะผ้าป่าจากกรุงเทพมาแจมอีก 1 คณะ ได้เงินมาร่วมทำบุญด้วยอีก 175,000.-บาท

หล่วงพอเพชร หรือ พระสมใจนึก หรือที่ชาวบ้านและฝรั่งเรียกว่าพระยิ้มได้ ที่โด่งดังใน twitter
ทำไมถึงเรียกว่าพระยิ้มได้ มีประวัติจากท่านเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันดังนี้ครับ
หลวงพ่อเพชร จริงๆ สร้างขึ้นเมื่อ 720 ปีมาแล้วพร้อมๆ กับการสร้างวัดและเมืองเชียงใหม่โดยพระยาเม็งราย ท่านเจ้าอาวาสบอกว่าวัดนี้เดิมไม่ค่อยมีญาติโยมเข้ามาทำบุญ เพราะเป็นวัดเล็กๆ แถมยังมีวัดอโมงค์อีกแห่งอยู่ที่นอกตัวเมืองเชียงใหม่ซึ่งใหญ่กว่าและมีคนไปทำบุญกันมามาย วัดอุโมงค์น้อยนี้จึงชำรุดทรุดโทรมไม่ได้รับการบูรณะเท่าที่ควร จนท่านเจ้าอาวาสย้ยามาจากโคราชมาเป้นเจ้าอาวาสที่วัดนี้ก้พยายมทำทุกวิถีทางที่จะหาเงินเข้ามาบำรุงวัดก็ไม่สำเร็จ ท่านบอกว่าทำทุกวิถีทางตั้งแต่ไปนำเอาเหรียญหลวงพ่อคูณมาให้เช่า ดูดวง กึ่งๆ ใบ้หวยด้วย ก็ไม่สำเร็จ ท่านก็อับจนปัญญา ถอดใจกะจะลาท่านเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่กลับไปจำพรรษาที่วัดป่าในโคราช เมื่อ 7 ปีที่แล้ว ท่านก็เข้าไปกล่าวอำลากับหลวงพ่อเพชร ในวิหาร ว่าอยู่สู้หาทุนที่นี่ไม่ไหวจะลากลับไปอยู่โคราชแล้ว แล้วก็กราบลาออกจากวิหารไปจำวัดที่กุฏิ ตกห้าทุ่มก็ยังนอนไม่หลับ กังวลและรู้สึกไม่ดีที่จะทิ้งวัดนี้ไป จึงลุกออกมาเดินเล่นที่บริเวณลานวัด ก็ได้เหลือบตาเข้าไปมองในวิหารเห็นมีแสงไฟลอดออกมาจากช่องหลังคาที่ทะลุ ชำรุด จึงเดินเข้าไปในวิหารพบว่าท่านลืมปิดไฟตอนที่เข้าไปกราบลาพระพุทธรูปในวิหารตอนเย็น ท่านจึงเดินเข้าไปปิดไฟในวิหาร พอปิดสวิทช์ไฟควงที่อยู่ด้านหน้าพระพักตรืของหลวงพ่อเพชร ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ท่านเจ้าอาวาสเหลือบตาขึ้นมองหน้าพระพักตร์หลวงพ่ออีก พอมองขึ้นไปก็ตกใจเพราะตอนนี้พระพักตรืของหลวงพ่อมีรอยยิ้มเกิดขึ้นที่มุมปาก (เดิมเวลาเปิดไฟปกติจะไม่มีรอยยิ้มที่มุมปาก) พร้อมไ กับดวงพระเนตรที่ตอนเปิดไฟจะหลุบลงมองต่ำ แต่ตอนนี้ดวงพระเนตรกลับมองไปไกลขึ้นเหมือนกับเปิดดวงพระเนตรกว้างขึ้น ท่านก็ตกใจนึกได้ว่าคงเป็นนิมิตรที่ดีสำหรับท่านกับวัดนีท่านจึงลองไล่ปิดเปิดไฟในวิหารอยู่อีก 7 วันเจ็ดคืน โดยไม่ยอมบอกใคร ลองไปลองมาก็พบว่าด้วยตำแหน่งของแสงไฟจากที่ให้แสงสว่างในหลายๆ ตำแหน่งในวิหารสามารถสร้างแสงเงาในบนหน้าพระพักตร์ของหลวงพ่อเพชรองค์นี้ได้ถึง 9 หน้า ท่านก็ดีใจนึกวิธีหาทุนหาคนเข้ามาทำบุญที่วัดแห่งนี้ได้เสียที เช้สวันที่ 8 ท่านก็ไปเชิญปลัด อบต.มาดูเป้นสักขีพยานว่าท่านค้นพบสิ่งมหัศจรรย์ของปฎิมากรรมสมัยเชียงแสนนี้ ในขณะที่ท่านอธิบายพร้อมเปิดไฟประกอบให้เห็นตัวอย่างอยู่ก้มีฝรั่งใส่กางเกงขาสั้นเสื้อยืดถือกล้องมานั่งถ่ายอยู่รูปด้วย สุดท้ายฝรั่งคนี้เป้นช่างภาพของนิตยสาร Lonely Planet เขาเอาไปลงในหนังสือนำเที่ยวของเขาว่า วัดนี้ต้องมาดู Buddha Smiling ด้วย คราวนี้เลยดังกันใหญ่มีฝรั่งแห่กันมาดูแล้วทำบุญมากขึ้น จนถึงปัจจุบันน้ต้องกำหนดเวลาเปิดให้เข้าชมพระยิ้มได้นี้เป็นเวลา วันละ 2 เวลา แล้วท่านเจ้าอาวาสจะลงมาบรรยายเองทุกครั้งถ้าไม่ติดกิจนิมนต์ไปไหน
ต้องบอกว่าน่าไปเยี่ยมชมมากครับ จริงๆ ดังที่ท่านเจ้าอาวาสบอกแสงมีผลทำให้โอษฐืของพระพุทธรูปองค์นี้เสมือนหนึ่งกำลังยิ้มได้จริงๆ ต้องปดูเองนะครับ