HTG2.club

ขอถามเรื่องการคำนวน C coupling

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
ผมก็ลงทำตามนี้มาหลายวงจรแล้วอะครับสุดท้ายยังไงก็ต้องเปลี่ยนค่า c กับ R เป็นค่าอื่นอยู่ดี ยกเว้นพวก anode load  :) อันนี้จากการลองทำจริงนะครับ

ถ้าใช้ความพอใจเป็นตัววัด ก็สุดแล้วแต่บุคคลครับ ผมพูดถึงเฉพาะส่วนที่มีบรรทัดฐานทางวิชาการน่ะครับ หรือบางทีวงจรดั้งเดิมบกพร่องอยู่ก่อนก็เป็นไปได้ จึงต้องมาปรับค่าในการใช้งานอีกทีครับ


ออฟไลน์ kantang

  • Kantang LAB
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,569
    • เพศ:ชาย
แล้วอย่างค่า roll off ก็เหมือนกัน ทำไมใช้ 20 Hz ผมอ่านในเว็ปของนอกบางเว็ป เข้าบอกว่า base on solen 10 Hz ที่ Xc 1Meg เลย หมายความว่า ยี่ห้ออืน ค่าเดียวกัน Xc มันไม่เหมือนกันหรือครับ บางอัน ที่ 5 Hz ก็ยังเคยอ่านเจออะครับ แล้ว c ที่ค่าเดียวกันคนละยี่ห้อ Xc จะเท่ากันหรือครับสงสัยอะครับ :)
สมาชิกใหม่รายงานตัวครับ
http://www.htg2.net/index.php?topic=53597.0


ออฟไลน์ MrZyMx

  • ****
    • กระทู้: 319
    • เพศ:ชาย
  • Let it be..
ขอบคุณมากครับ ไม่เคยวัดไฟเหมือนกัน ได้ซีมาก็จับยัดเลย กลับบ้านต้องไปวัดไฟหน่อยแล้ว

จะได้รู้ด้วยว่า c รั่วหรือเปล่า   O0  O0  O0


ออฟไลน์ MuhMuh

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,038
    • เพศ:ชาย
  • รถแก่ๆ แอมป์เก่าๆ เราDIYสบายใจ
ได้ความรู้ดีจังครับ  O0
แต่ผมไม่เคยคำนวณเลย แหะๆ เค้าว่าไงก็ว่าตามนั้น
หรือถ้าหาค่าไม่ได้ ก็เอาค่ามากกว่าไว้ก่อนครับ บางวงจรเค้าใส่ค่ามา 0.22 ผมเล่น 1uF ทุ่มสุดตัวไปเลย ใช้ C ลำโพงครับ ถูกดี อิอิ  :D :secret :headphone
ข้อมูลตัวตนครับ http://www.htg2.net/index.php?topic=38750.0


ออฟไลน์ kantang

  • Kantang LAB
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,569
    • เพศ:ชาย
เอแต่ว่าใช้สมการ Xc = 1/(2*pi*f*c) หรือ เปล่าครับ
 :)
สมาชิกใหม่รายงานตัวครับ
http://www.htg2.net/index.php?topic=53597.0


ออฟไลน์ kantang

  • Kantang LAB
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,569
    • เพศ:ชาย
ผมก็ลงทำตามนี้มาหลายวงจรแล้วอะครับสุดท้ายยังไงก็ต้องเปลี่ยนค่า c กับ R เป็นค่าอื่นอยู่ดี ยกเว้นพวก anode load  :) อันนี้จากการลองทำจริงนะครับ
สมาชิกใหม่รายงานตัวครับ
http://www.htg2.net/index.php?topic=53597.0


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
ขอตัวอย่างหน่อยครับขอเป็๋นวงจร cathode follower หรือ mu ก็ได้ครับประดับความรู้ :)

เป็นวงจร Cathode Follower ธรรมดาละกันครับ ค่าต่างๆ ลองคำนวณดูเองนะครับ สมมุติค่า C หรือ R ขึ้นมาก่อนซักค่าหนึ่ง หรือเอาจากวงจรไหนก็ได้ครับ แล้วหาตัวที่เหลือโดยให้ได้ Cut-off Freq ที่ต้องการครับ (ปกติก็ 20Hz ครับ)  :)


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
แล้วเวลาเราไบแคป เราจะแยกการคำนวนออกมาเป็น c ตัวหลักอันนึงกับ c ที่เอามาไบแคปอีกอันนึงได้ไหมครับ หรือว่าเป็นค่า c ที่รวมกันแล้วครับ  ???

ต่อขนานกันถือเป็น C ตัวเดียวกันค่าบวกกันครับ แต่โดยมากการ Bi-cap มักจะใช้ C ที่ค่าเล็กกว่าตัวหลักมาก เช่น 2uF กับ 0.01uF ต่างกัน 200 เท่า ไม่ได้ทำให้การทำงานของวงจรเปลี่ยนไปจนต้องสนใจครับ แต่ถ้าเอา 0.47uF ไป Bicap 1uF แบบนี้ก็มีนัยยะในเรื่องการตอบสนองครับ อย่างไรก็ตามค่า C ที่เพิ่มขึ้นทำให้การตอบสนองด้านต่ำดีขึ้น ซึ่งถ้าปกติ 1uF ก็ตอบสนอง 20Hz ได้อยู่แล้ว การเพิ่มค่าลักษณะนี้จึงมักไม่ใครสนใจจะคำนวณย้อนครับครับ เพราะมันได้ต่ำกว่า 20Hz อยู่แล้ว


ออฟไลน์ kantang

  • Kantang LAB
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,569
    • เพศ:ชาย
แล้วเรื่อง c ค่าเดียวกันแต่คนละยี่ห้อเสียงไม่เหมือนกันเป็นเพราะอะไรครับ :)ความรู้น้อยช่วยด้วยครับ
สมาชิกใหม่รายงานตัวครับ
http://www.htg2.net/index.php?topic=53597.0


ออฟไลน์ kantang

  • Kantang LAB
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,569
    • เพศ:ชาย
ขอตัวอย่างหน่อยครับขอเป็๋นวงจร cathode follower หรือ mu ก็ได้ครับประดับความรู้ :)
สมาชิกใหม่รายงานตัวครับ
http://www.htg2.net/index.php?topic=53597.0


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
ใน output ทุกอย่างเลยหรือเปล่าครับ ปรีแอมป์ โฟโน แอมป์ รวมถึง โซลิดด้วย ขอบคุณมากครับ

ใช่ครับ โดยปกติแล้วเครื่องเสียงจะไม่ให้ Output เป็น DC เลย ไม่ว่าจะอยู่ส่วนใดในระบบครับ เหตุเพราะว่า DC สามารถทำให้ลำโพงพังได้ครับ และหลักของการไม่มี DC ที่ Output นี้ก็เป็นบรรทัดฐานในการออกแบบวงจรไปแล้วครับ  :)


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
แหม แว๊ปไปกินข้าวแป๊บเดียวมาเป็นชุดเลย สงสัยจะได้ขึ้นดาวแดงเอากระทู้นี้แน่  ;D ;D

แล้วสรุปต้องใช้ค่าเท่าไรจึงจะเหมาะเหมาะสมอะครับ แล้วที่เล่นกันค่าเดียวกัน ยี่ห้อเปลี่ยนชนิดเสียงก็เปลี่ยนตามนี้ครับ พูดถึงในแง่ของเสียงนะครับ ผมก็อยากรู้เหมือนกันอะครับหรือถ้าให้ดีลองยกตัวอย่างวงจรพวก mu follower หรือ cathode follower ที่ใช้ c ในการ coupilng สัญญาณประกอบด้วยก็ดีครับ สงสัยผมคงทำแบบฝึกหัดน้อยจริงอะครับคงต้องอาสัยพี่ Mr tube ช้วยแล้วครับขอบคุณครับ :)

ในแง่ของเสียงก็มีการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมครับ ผมกล่าวถึงเฉพาะส่วนที่เป็นรูปธรรมก็คือการตอบสนองความถี่ครับ ซึ่งสามารถทดสอบได้ โดยการเปลี่ยน C Coupling ให้เหลือค่าแค่ 1/10 ของเดิมที่ใช้ จะสังเกตเสียงความถี่ต่ำจะลดลงหรือหายไปเลยครับ ส่วนเรื่องเปลี่ยน C แล้วเสียงพลิ้ว, หวาน, ขม, เค็ม, ฯลฯ อะไรนั่นก็แล้วแต่บุคคลครับ ผมเห็นว่า C เป็นของตายครับ เรื่องนี้มันอยู่ที่คนจะรู้สึกครับ

อย่างที่อธิบายข้างต้นครับว่าค่าที่เหมาะสมไม่ใช่ค่าตายตัวครับ พื้นฐานความเหมาะสมมาจากสูตรคณิตศาสตร์ง่ายๆ อย่างที่อธิบายไว้ครับ ผมจึงแนะนำให้ลองทำแบบฝึกหัดคำนวณดู เพื่อที่จะเข้าใจมากขึ้นครับ  :)





ออฟไลน์ kantang

  • Kantang LAB
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,569
    • เพศ:ชาย
พี่ Mr tube ไปไหนแล้วอยากรู้เหมือนกันครับเกี่ยวกับการ bi cap คำนวนอย่างไง พี่ Mr tube ช่วยด้วยครับ :)
สมาชิกใหม่รายงานตัวครับ
http://www.htg2.net/index.php?topic=53597.0


ออฟไลน์ นายป้อ

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,937
    • เพศ:ชาย
แล้วเวลาเราไบแคป เราจะแยกการคำนวนออกมาเป็น c ตัวหลักอันนึงกับ c ที่เอามาไบแคปอีกอันนึงได้ไหมครับ หรือว่าเป็นค่า c ที่รวมกันแล้วครับ  ???


ออฟไลน์ kantang

  • Kantang LAB
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,569
    • เพศ:ชาย
เรื่องไฟตรงที่ออกมาจาก c ถ้าตอนเปิดเครื่องมีไฟตรงออกมาจำนวนหนึ่งแสดงว่า c รั้วหรือเปล่าครับ สงสัยคงจะไม่เกี่ยวกับไส้หลอดเสียแล้วคงต้องเปลี่ยน c แน่ๆ แต่ผมก็ยังสงสัยอะครับพอดีมีปรีหลายตัวเครื่องมียี่ห้อหลายตัวที่มีอยู่(บอกยี่ห้อไม่ได้)มันมีไฟออกหมดอะครับ มันไม่เป็น 0 volt สักตัวช่วยด้วยครับ ทำไงดี :cry2
สมาชิกใหม่รายงานตัวครับ
http://www.htg2.net/index.php?topic=53597.0


ออฟไลน์ 6922

  • ***
    • กระทู้: 177
    • เพศ:ชาย
  • โลกสวยด้วยเสียง
ขอให้ลืมเรื่องที่เข้าใจมาก่อนหน้านี้ไปก่อนนะครับ ผมจะอธิบายพื้นฐานให้เข้าใจใหม่ครับ ถ้าคุณอ่านจนเข้าใจทั้งหมดก็จะไม่มีปัญหากับ C Coupling อีกต่อไป :)

คุณสมบัติที่สำคัญของ Capacitor ข้อหนึ่งก็คือไม่ยอมให้กระแสตรง (DC) ไหลผ่าน และยอมให้กระแสสลับ (AC) ไหลผ่านได้ การใช้ Capacitor Coupling ก็เพื่อใช้คุณสมบัติข้อนี้ของ C ครับ ถ้าจะพูดภาษาทางวิชาการก็คือมีความต้านทานไฟตรงเป็นอนันต์ และมีความต้านทางทางไฟสลับ (Reactance, Xc) บ้าง โดยที่ Xc = 1/[2 x (pi) x f x C] เมื่อ pi = 3.1416 (22/7 นั่นแหล่ะ) และ f = ความถี่ที่ไหลผ่านตัวมัน และ C = ค่าความจุเป็น Farad

C = 1.0uF, f = 1kHz, Xc ~ 160 Ohm (159.16)
C = 0.5uF, f = 1kHz, Xc ~ 320 Ohm
C = 1.0uF, f = 10kHz, Xc ~ 16 Ohm
C = 1.0uF, f = 20kHz, Xc ~ 8 Ohm

จะเห็นว่า C ตัวหนึ่งๆ จะมีความต้านทานไฟสลับที่ความถี่เดียวกันแตกต่างกันไปตามค่า C และเมื่อค่า C เท่าเดิมความต้านทานก็จะเปลี่ยนไปตามความถี่อีก นี่เป็นคุณสมบัติของ C ซึ่งไม่ขึ้นกับยี่ห้อ, วัสดุที่ใช้, ผู้ผลิต, กรรมวิธีการผลิต ถ้าผู้ผลิตประกาศว่า C ค่า 1.0uF ก็ต้องมีคุณสมบัติเช่นนี้ครับ

ทีนี้ที่ว่ายอมให้กระแสสลับไหลผ่านได้ แล้วผ่านได้แค่ไหน จริงๆ แล้วขอให้เป็นกระแสสลับก็ผ่านได้ทั้งนั้นแหล่ะครับ ประเด็นคือมันมีการลดทอนครับ คือใส่เข้าไป 10V อาจจะได้ออกมาไม่ถึง 10V นั่นเอง วงจร C Coupling แท้จริงแล้วก็เป็นวงจรแบ่งแรงดัน ลองเขียนวงจร C Coupling ขึ้นมา แต่แทนที่ C ด้วย R ดูก็จะเข้าใจครับ และจะเห็นว่า R ในวงจรเป็นค่าตามตัว ในขณะที่ Xc เป็นค่าแปรผันตามความถี่ อัตราการลดทอนที่แต่ละความถี่จึงไม่เท่ากันครับ

สมมุติค่าแรงดัน Output 10V ถ้าวงจร C Coupling มีค่า C = 1uF และ R = 160 Ohm เอาค่าที่ผมแสดงไว้ข้างต้นมาแทนค่าดูนะครับจะเห็นว่า

@1kHz, Xc = 160, R = 160 ตามหลักของวงจรแบ่งแรงดัน ก็จะได้แรงดัน 5V ตกคร่อม C และ R เท่าๆ กัน
@10kHz, Xc = 16, R = 160 แรงดันตกคร่อม C = 0.91V และตกคร่อม R = 9.09V
@20kHz, Xc = 8, R = 160 แรงดันตกคร่อม C = 0.48V ที่เหลือ 9.52V ตกคร่อม R

และแรงดันที่เราเอาไปใช้งานคือแรงดันตกคร่อม R จะเห็นว่าแรงดันที่เราเอาไปใช้งานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามความถี่ที่เพิ่มขึ้น สมมุติใหม่ว่าใช้ R = 160k

@1kHz, Xc = 160, R = 160k Output = 9.9900V
@1kHz, Xc = 16, R = 160k Output = 9.9990V
@1kHz, Xc = 8, R = 160k Output = 9.9995V

ซึ่งไม่ต่างกันเลย หลักในการออกแบบ C Coupling ในระดับ Audio Signal จึงสนใจเฉพาะการตอบสนองด้านต่ำเท่านั้น ไม่ต้องสนใจการตอบสนองด้านสูงเลยครับ ลองดูค่าจากบรรทัดที่ผมแสดงเป็นสีแดงไว้อีกรอบ จะเห็นว่ามีความถี่ค่าหนึ่งซึ่งทำให้ Xc = R พอดี ซึ่งจุดนี้จะทำให้แรงดัน Output เหลือแค่ครึ่งหนึ่งของที่ใส่เข้าไป สัญญาณที่ลดลงไปก็หมายถึงว่าเราจะได้ยินเบากว่าความถี่อื่นๆ นั่นเอง เราเรียกจุดนี้ว่า Cut-off Freq (fc) หรือถ้าตีเป็นค่า Decibel ก็คือ -3dB (f-3db) ครับ

กลับมาดูที่สูตรคำนวณ Xc อีกที Xc = 1/[2 x (pi) x f x C] จะเห็นว่าที่ Cut-off Freq ค่า Xc = R ก็กลับสูตรเป็น C = 1/[2 x (pi) x f x Xc] หรือ C = 1/[2 x (pi) x f x R] นั่นเองครับ วิธีการใช้สูตรเราต้องทราบก่อนว่า R เป็นเท่าไหร่ และเราต้องการ Cut-off Freq เท่าไหร่ ก็จะได้ค่า C ออกมาครับ

จากที่อธิบายมานี้คุณต้องทำแบบฝึกหัดต่อเพื่อเสริมความเข้าใจของตนเองด้วยนะครับ ลองสมมุติค่า C และ/หรือ R ที่หลากหลาย และคำนวณ Cut-off Freq ออกมาดูครับ  :bye1


สุดยอด  O0 O0 O0
ที่อยู่ และ โอนเงิน
http://www.htg2.net/index.php?topic=57333.0


ออฟไลน์ MrZyMx

  • ****
    • กระทู้: 319
    • เพศ:ชาย
  • Let it be..
(อย่าลืมวัดไฟทุกครังที่ output หลังเปลี่ยน c ว่ามี dc ออกมามากเกินไปหรือป่าวอาจทำให้ power ตัด หรือ ลำโพง ขาดได้) เดียวท่านอื่นคงช่วยตอบอีก หัวข้อกระทูมีความรู้ต้องช่วยกันตอบครับ d_d

ถามนิดครับ ไฟออกมาเท่าไรจึงจะเกินครับ  :headphone

ที่ถูกต้องแล้วจะต้องไม่มีไฟตรง (DC) ออกมาเลยครับ ต้องได้ 0.000V ครับ ถ้าได้แรงดันไฟตรงออกมาแสดงว่า C รั่วครับ แต่ในทางปฏิบัติถ้าใช้ Meter ทั่วๆ ไปวัด บางทีสัญญาณรบกวนขนาดเล็กๆ อาจจะวิ่งผ่าน C ออกมา ทำให้ Meter เข้าใจว่าเป็นไฟตรงได้ครับ ถ้าเป็นไฟตรงจริงๆ อาจจะสร้างความเสียหายให้กับอุปกรณ์ต่อจากมันได้ครับ เช่นแอมป์หรือลำโพง  ;)

ใน output ทุกอย่างเลยหรือเปล่าครับ ปรีแอมป์ โฟโน แอมป์ รวมถึง โซลิดด้วย ขอบคุณมากครับ


ออฟไลน์ kantang

  • Kantang LAB
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,569
    • เพศ:ชาย
แล้วสรุปต้องใช้ค่าเท่าไรจึงจะเหมาะเหมาะสมอะครับ แล้วที่เล่นกันค่าเดียวกัน ยี่ห้อเปลี่ยนชนิดเสียงก็เปลี่ยนตามนี้ครับ พูดถึงในแง่ของเสียงนะครับ ผมก็อยากรู้เหมือนกันอะครับหรือถ้าให้ดีลองยกตัวอย่างวงจรพวก mu follower หรือ cathode follower ที่ใช้ c ในการ coupilng สัญญาณประกอบด้วยก็ดีครับ สงสัยผมคงทำแบบฝึกหัดน้อยจริงอะครับคงต้องอาสัยพี่ Mr tube ช้วยแล้วครับขอบคุณครับ :)
สมาชิกใหม่รายงานตัวครับ
http://www.htg2.net/index.php?topic=53597.0


ออฟไลน์ Martra

  • www.vonorfivestars.com
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,390
    • เพศ:ชาย
  • "One Stop Solution for Bed and Bedding Products"
    • http://www.vonorfivestars.com
ขอซูฮกจอมยุทธทุกท่าน :bowdown
Vinyl Sound = Toe Tapping and Heaven on Earth...:dj



ออฟไลน์ papaone

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,936
ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆครับ จากครูอาร์ต

อ้อ ขอบคุณเจ้าของกระทู้ด้วยครับ  :) :) :)
...........................................


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
(อย่าลืมวัดไฟทุกครังที่ output หลังเปลี่ยน c ว่ามี dc ออกมามากเกินไปหรือป่าวอาจทำให้ power ตัด หรือ ลำโพง ขาดได้) เดียวท่านอื่นคงช่วยตอบอีก หัวข้อกระทูมีความรู้ต้องช่วยกันตอบครับ d_d

ถามนิดครับ ไฟออกมาเท่าไรจึงจะเกินครับ  :headphone

ที่ถูกต้องแล้วจะต้องไม่มีไฟตรง (DC) ออกมาเลยครับ ต้องได้ 0.000V ครับ ถ้าได้แรงดันไฟตรงออกมาแสดงว่า C รั่วครับ แต่ในทางปฏิบัติถ้าใช้ Meter ทั่วๆ ไปวัด บางทีสัญญาณรบกวนขนาดเล็กๆ อาจจะวิ่งผ่าน C ออกมา ทำให้ Meter เข้าใจว่าเป็นไฟตรงได้ครับ ถ้าเป็นไฟตรงจริงๆ อาจจะสร้างความเสียหายให้กับอุปกรณ์ต่อจากมันได้ครับ เช่นแอมป์หรือลำโพง  ;)


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
ขอให้ลืมเรื่องที่เข้าใจมาก่อนหน้านี้ไปก่อนนะครับ ผมจะอธิบายพื้นฐานให้เข้าใจใหม่ครับ ถ้าคุณอ่านจนเข้าใจทั้งหมดก็จะไม่มีปัญหากับ C Coupling อีกต่อไป :)

คุณสมบัติที่สำคัญของ Capacitor ข้อหนึ่งก็คือไม่ยอมให้กระแสตรง (DC) ไหลผ่าน และยอมให้กระแสสลับ (AC) ไหลผ่านได้ การใช้ Capacitor Coupling ก็เพื่อใช้คุณสมบัติข้อนี้ของ C ครับ ถ้าจะพูดภาษาทางวิชาการก็คือมีความต้านทานไฟตรงเป็นอนันต์ และมีความต้านทางทางไฟสลับ (Reactance, Xc) บ้าง โดยที่ Xc = 1/[2 x (pi) x f x C] เมื่อ pi = 3.1416 (22/7 นั่นแหล่ะ) และ f = ความถี่ที่ไหลผ่านตัวมัน และ C = ค่าความจุเป็น Farad

C = 1.0uF, f = 1kHz, Xc ~ 160 Ohm (159.16)
C = 0.5uF, f = 1kHz, Xc ~ 320 Ohm
C = 1.0uF, f = 10kHz, Xc ~ 16 Ohm
C = 1.0uF, f = 20kHz, Xc ~ 8 Ohm

จะเห็นว่า C ตัวหนึ่งๆ จะมีความต้านทานไฟสลับที่ความถี่เดียวกันแตกต่างกันไปตามค่า C และเมื่อค่า C เท่าเดิมความต้านทานก็จะเปลี่ยนไปตามความถี่อีก นี่เป็นคุณสมบัติของ C ซึ่งไม่ขึ้นกับยี่ห้อ, วัสดุที่ใช้, ผู้ผลิต, กรรมวิธีการผลิต ถ้าผู้ผลิตประกาศว่า C ค่า 1.0uF ก็ต้องมีคุณสมบัติเช่นนี้ครับ

ทีนี้ที่ว่ายอมให้กระแสสลับไหลผ่านได้ แล้วผ่านได้แค่ไหน จริงๆ แล้วขอให้เป็นกระแสสลับก็ผ่านได้ทั้งนั้นแหล่ะครับ ประเด็นคือมันมีการลดทอนครับ คือใส่เข้าไป 10V อาจจะได้ออกมาไม่ถึง 10V นั่นเอง วงจร C Coupling แท้จริงแล้วก็เป็นวงจรแบ่งแรงดัน ลองเขียนวงจร C Coupling ขึ้นมา แต่แทนที่ C ด้วย R ดูก็จะเข้าใจครับ และจะเห็นว่า R ในวงจรเป็นค่าตามตัว ในขณะที่ Xc เป็นค่าแปรผันตามความถี่ อัตราการลดทอนที่แต่ละความถี่จึงไม่เท่ากันครับ

สมมุติค่าแรงดัน Output 10V ถ้าวงจร C Coupling มีค่า C = 1uF และ R = 160 Ohm เอาค่าที่ผมแสดงไว้ข้างต้นมาแทนค่าดูนะครับจะเห็นว่า

@1kHz, Xc = 160, R = 160 ตามหลักของวงจรแบ่งแรงดัน ก็จะได้แรงดัน 5V ตกคร่อม C และ R เท่าๆ กัน
@10kHz, Xc = 16, R = 160 แรงดันตกคร่อม C = 0.91V และตกคร่อม R = 9.09V
@20kHz, Xc = 8, R = 160 แรงดันตกคร่อม C = 0.48V ที่เหลือ 9.52V ตกคร่อม R

และแรงดันที่เราเอาไปใช้งานคือแรงดันตกคร่อม R จะเห็นว่าแรงดันที่เราเอาไปใช้งานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามความถี่ที่เพิ่มขึ้น สมมุติใหม่ว่าใช้ R = 160k

@1kHz, Xc = 160, R = 160k Output = 9.9900V
@1kHz, Xc = 16, R = 160k Output = 9.9990V
@1kHz, Xc = 8, R = 160k Output = 9.9995V

ซึ่งไม่ต่างกันเลย หลักในการออกแบบ C Coupling ในระดับ Audio Signal จึงสนใจเฉพาะการตอบสนองด้านต่ำเท่านั้น ไม่ต้องสนใจการตอบสนองด้านสูงเลยครับ ลองดูค่าจากบรรทัดที่ผมแสดงเป็นสีแดงไว้อีกรอบ จะเห็นว่ามีความถี่ค่าหนึ่งซึ่งทำให้ Xc = R พอดี ซึ่งจุดนี้จะทำให้แรงดัน Output เหลือแค่ครึ่งหนึ่งของที่ใส่เข้าไป สัญญาณที่ลดลงไปก็หมายถึงว่าเราจะได้ยินเบากว่าความถี่อื่นๆ นั่นเอง เราเรียกจุดนี้ว่า Cut-off Freq (fc) หรือถ้าตีเป็นค่า Decibel ก็คือ -3dB (f-3db) ครับ

กลับมาดูที่สูตรคำนวณ Xc อีกที Xc = 1/[2 x (pi) x f x C] จะเห็นว่าที่ Cut-off Freq ค่า Xc = R ก็กลับสูตรเป็น C = 1/[2 x (pi) x f x Xc] หรือ C = 1/[2 x (pi) x f x R] นั่นเองครับ วิธีการใช้สูตรเราต้องทราบก่อนว่า R เป็นเท่าไหร่ และเราต้องการ Cut-off Freq เท่าไหร่ ก็จะได้ค่า C ออกมาครับ

จากที่อธิบายมานี้คุณต้องทำแบบฝึกหัดต่อเพื่อเสริมความเข้าใจของตนเองด้วยนะครับ ลองสมมุติค่า C และ/หรือ R ที่หลากหลาย และคำนวณ Cut-off Freq ออกมาดูครับ  :bye1


ออฟไลน์ kantang

  • Kantang LAB
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,569
    • เพศ:ชาย
ในการทำปรีแอมป์หลอดนั้นควรระมัดระวังเรื่องเรื่อง c coupling กับ การยกใส้หลอดเป็นพิเศษครับในวงจรที่เป็น cathode follower ต้องทำการยกไส้ไม่เพียงแต่เรื่องการแก้เรื่องจี่หรือฮัมเท่านั้นแต่เป็นเรื่องของเสถียรภาพของหลอดนั้นๆซึ่งค่าที่ได้นั้นไม่ค่อยจะตรงกับ data นัก ยกตัวอย่างเมื่อจุดไส้หลอดแล้วแรงดันไส้หลอดตก(ถ้าหม้อแปลงจ่ายพอ)ต้องมาดูเรื่องการยกไส้หลอดครับว่ายกพอหรือป่าว หรือสายไฟที่ต่อมีค่าของ impedance มากจนเกินไป อันนี้ที่ผมลองเล่นดูเป็นแบบนี้ครับ :)
สมาชิกใหม่รายงานตัวครับ
http://www.htg2.net/index.php?topic=53597.0


ออฟไลน์ kantang

  • Kantang LAB
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,569
    • เพศ:ชาย
มันขึ้นอยู่กับตัวป้องกันลำโพงครับ ว่าไวขนาดไหนครับ อยากของผมประมาณ 500 mv ครับ หรือลอง test ตัวเปล่าของชุดต้วป้องกันดู โดยจ่าย dc ค่าน้อยๆดูว่ารีเลมันตัดที่กี่โวล์แต่บางรุ้นก็สามารถตั้งได้เหมือนกันครับ :)
สมาชิกใหม่รายงานตัวครับ
http://www.htg2.net/index.php?topic=53597.0


ออฟไลน์ MrZyMx

  • ****
    • กระทู้: 319
    • เพศ:ชาย
  • Let it be..
(อย่าลืมวัดไฟทุกครังที่ output หลังเปลี่ยน c ว่ามี dc ออกมามากเกินไปหรือป่าวอาจทำให้ power ตัด หรือ ลำโพง ขาดได้) เดียวท่านอื่นคงช่วยตอบอีก หัวข้อกระทูมีความรู้ต้องช่วยกันตอบครับ d_d

ถามนิดครับ ไฟออกมาเท่าไรจึงจะเกินครับ  :headphone


ออฟไลน์ kantang

  • Kantang LAB
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,569
    • เพศ:ชาย
Xc หรืือ capacitive reactance เป็นความต้านทานของตัว capacitor ที่มีผลกับไฟสลับครับมีหน่าวเป็นโอร์ม ซึ่งมันจะแปรผันกับความถื่ครับคือความถี่สูงค่าความต้านทานจะตำ่ำและความถี่ต่ำค่าความต้านทานจะสูง ซึ่งค่า Xc นี้และยี่ห้อก็ไม่เท่ากันลองเอาค่าเดียวกันเป็นเป็นยี่ห้ออื่นเสียงก็จะเปลี่ยนไปตามยี่ห้อนั้น และอีกอย่างมันเกี่ยวกับเรื่องของการ coupling imedance ด้วยว่าเหมาะกับวงจรนั้นหรือป่าวอันนี้เรื่องวิธีคำนวนมันไม่เป็นไปตามที่คิดหลอกครับเพราะผู้ผลิต c คงไม่บอกสเปกของ c มาให้ทั้งหมดหลอกครับ ส่วนใหญ่จะใช้ค่าตามๆกันซึ่งมันเป็นค่าที่ใช่กันทั้วไปในวงจรนั้นๆ ลองปรับเปลี่ยนได้ขึ้นอยู่กับความชอบ ขนาดห้อง ตำแหน่งของลำโพง ความไวทาง input ของ poweramp ส่วนใหญ่ที่ผมเล่นจะใช้ค่าน้อย ประมาณ 0.47uf วงจร cathode follower แล้วจะเปลี่ยน c ยี่ห้ออื่นดูแล้วลองขยับขึ้นขยับลงหาค่าที่ชอบเหมาะกับขนาดห้องและแนวเพลงที่ชอบ (อย่าลืมวัดไฟทุกครังที่ output หลังเปลี่ยน c ว่ามี dc ออกมามากเกินไปหรือป่าวอาจทำให้ power ตัด หรือ ลำโพง ขาดได้) เดียวท่านอื่นคงช่วยตอบอีก หัวข้อกระทูมีความรู้ต้องช่วยกันตอบครับ d_d
สมาชิกใหม่รายงานตัวครับ
http://www.htg2.net/index.php?topic=53597.0


ออฟไลน์ PAIPAI

  • ****
    • กระทู้: 257
c=1/2piXcf  C coupling ไม่มีค่าตายตัว คงต้องลองหลายๆค่า

Xc เป็นค่าความต้านทานกระแสสลับของตัวเก็บประจุ เรียกว่า รีแอกแตนซ์ มีหน่วยเป็น โอมห์ ครับ
Chill......



ออฟไลน์ ลำน้ำ

  • >> Voodo SilverMica Cable <<
  • Superstar..
  • ***
    • กระทู้: 3,211
    • เพศ:ชาย
มี c อยู่ 2 ฝั่งเลยหรือครับ จะลองแทนค่าแล้ว งงๆ

c=1/2piXcf  C coupling ไม่มีค่าตายตัว คงต้องลองหลายๆค่า
โปรดดู ข้อมูลส่วนตัวผมครับ.... ของที่มีอยู่แล้วไม่มีปัญญาทำให้เสียงถูกใจได้ ไม่ต้องหวังจะซื้อมาเพิ่ม ต่อให้ของชั้นเทพ ... มันก็ช่วยอะไรไม่ได้ถ้าไร้ความพยายาม...ว่าแล้ว htg2 ไม่ได้ดั่งใจ เป็น ebay เลยดีกว่าหมดตัวเร็วดี


ออฟไลน์ Eak-tubeamp

  • วันนี้ไม่เริ่ม ก็ไม่มีวันสำเร็จ
  • Superstar...
  • ****
    • กระทู้: 4,849
    • เพศ:ชาย
  • ....ด้วยใจรัก....
c=1/2piXcf  C coupling ไม่มีค่าตายตัว คงต้องลองหลายๆค่า
tel 083-3887864


ข้อมูลส่วนตัว  http://www.htg2.net/index.php?topic=44962.0


ออฟไลน์ PAIPAI

  • ****
    • กระทู้: 257
แล้วแต่ว่าเราอยากให้เสียงแหลมมากแหลมน้อยครับ

ยิ่งค่าซีน้อยๆ  เสียงต่ำจะผ่านไปได้ยาก  ต้องลองใส่ดูครับ   ถ้าใส่ค่ามาก  เสียงก็จะผ่านไปได้ครบมากขึ้น


Chill......


ออฟไลน์ sapa2008

  • *****
    • กระทู้: 536
ผมรบกวนถามเรื่องการคำนวน C coupling ครับ  :help
คือเห็นบางวงจรใน preamp ใช้ C ค่า 0.1 บางวงจรใช้ 0.22 ตอนขาออกบางวงจรก็ใช้ 0.47 บางวงจรใช้ 1 uF
ใน power amp ภาคขยายแรกบางวงจรใช้ C ค่า 0.1 บางวงจรใช้ 0.47
มันมีวิธีการคำนวนไหมครับ ว่าจะใช้ค่าเท่าไรจึงจะได้ความถี่ออกมาครบครับ
และถ้าเราเอาค่าสัก 1 uF ใส่เข้าไปเลยมันจะมีผลอะไรบ้างครับ