ต่อนะครับ บังเอิญไปโดนปุ่ม enter เลยโพสต์ไปแล้ว
ตัวที่สองคือเครื่องคุมไฟ (Stabilizer) พวกนี้เป็นการควบคุมกระแสไฟฟ้าสลับที่ส่งมาตามบ้านที่มีการสวิงขึ้น ๆ ลง ๆ เรียกอีกอย่างก็คือไฟตกไฟเกินนั่นเองครับ ซึ่งรวมถึงพวกไฟกระโชก (transient, surge, spike) ที่ว่ามาแล้วน่ะครับ
ถามว่าต้องใช้ตัวไหน ขึ้นกับปัญหาเรื่องกระแสไฟฟ้าที่ท่านเผชิญอยู่ครับ หากบ้านท่านมีปัญหาเรื่องไฟตกไฟเกินมาก ๆ ต้องใช้เครื่องคุมไฟครับ ส่วนเครื่องกรองไฟนั้นมีประเด็นถกกันมากว่า มันทำให้ไฟสะอาดขึ้น แต่ทำให้เสียงแห้งด้วย ไม่คุ้มที่จะใช้ จริงหรือไม่?
คำตอบคือ 1. ขึ้นกับระบบเครื่องเสียงของท่าน 2. ขึ้นกับหูและตาของท่าน และ 3.ขึ้นกับผู้ผลิตเครื่องกรองไฟแต่ละเจ้าครับ
ผมไม่ใช้เครื่องคุมไฟ เนื่องจากบ้านผมไม่มีปัญหาเรื่องไฟตกไฟเกิน และจริง ๆ แล้ว อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จะทนกับกระแสไฟขึ้นลงได้ในระดับหนึ่ง อย่างที่ว่าล่ะครับ หากมีปัญหาเรื่องไฟตกเกิน ดับ ๆ มา ๆ เป็นประจำ อย่างนี้ควรใช้เครื่องคุมไฟครับ เป็นการรักษาชีวิตของระบบฯ ให้ยืนยาวออกไป
แต่ผมใช้เครื่องกรองไฟครับ ประเด็นก็คือว่า ผมสังเกตได้ว่าระบบฯ ของผมจะมีเสียงดีขึ้นในช่วงเวลาดึก ๆ มีเสียงรบกวนน้อยลง ซึ่งอธิบายได้ว่า เป็นช่วงที่มีคนใช้ไฟฟ้าน้อยลง สัญญาณรบกวนต่าง ๆ ก็น้อยลงไปด้วย และจากการศึกษาเรื่องนี้เพิ่มเติมถึงได้ทราบว่า สํญญานรบกวนทั้งหลายมีมากมาย ที่สำคัญคือมาจากระบบเครื่องเสียงเราเองด้วย
ระบบเครื่องเสียงผมมีเสียงรบกวนมานานแล้ว ผมจึงปรับปรุงระบบฯ โดยเริ่มจากเจาะท้ายอุปกรณ์ทุกตัวเพื่อใส่ปลั๊ก IEC สามขา ไม่เว้นแม้แต่ดีวีดีที่ใช้ภาคจ่ายไฟแบบ switching ซึ่งหลายคนบอกว่าไม่ควรต่อสาย ground แต่ผมทำแล้วไม่มีปัญหา (และที่จริงแล้วภาคจ่ายไฟแบบนี้ล่ะครับที่ส่งสัญญาณรบกวนดีนักแล) แล้วจัดหาสายไฟ AC ของ Supra รุ่น LoRad มาใช้ ซึ่งผมพิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมารบกวน (ผมใช้อุปกรณ์ทดสอบที่มีลักษณะคล้ายปากกามาทดสอบ หากมีไฟรั่วจะเรืองแสงสีแดงให้เห็น) ที่จริงคงมีสายเอซีหลายยี่ห้อที่ปลอดคลื่นรบกวน แต่ผมใช้ LoRad เนื่องจากมันถูกดีครับ เมตรละเจ็ดร้อยกว่า ๆ เท่านั้น
ที่สำคัญที่สุดของเรื่องนี้ก็คือ ระบบไฟบ้านท่านต้องมีสายดิน (ground) ถ้าไม่อย่างนั้น การปรับปรุงระบบจะทำไม่ได้เลย การต่อสายดินนี่นอกจากทำให้ปลอดภัยแล้ว ยังเป็นทางระบายสัญญาณรบกวนต่าง ๆ ออกไปด้วย ผมมีแอมป์กีตาร์ Roland ซื้อมาตอนแรกปลั๊กตัวผู้มีสองขาไม่ได้ต่อขากราวนด์ มีเสียงจี่เสียงฮัมดังมาก ๆ พอเปลี่ยนปลั๊กเป็นสามขา (สายเอซีของแอมป์ตัวนี้มีสายดินครับ แต่รุ่นที่ส่งมาขายบ้านเราให้ปลั๊กตัวผู้แบบสองขามา) ลองใหม่คราวนี้เสียงรบกวนหายสนิท
อย่างไรก็ตาม ยังมีเสียงฮัมอยู่หากหมุนปุ่ม volume เกิน 11 นาฬิกา ผมจัดหาสายสัญญาณที่ดีกว่าสายแดงดำของแถมมาใช้ ผมเลือกซูปรา รุ่น Eff-i และคิมเบอร์ รุ่น Tonik ใช้ร่วมกับออดิโอเควสท์ รุ่น Topaz (เป็นรุ่นเก่าที่ผมมีอยู่เดิม แต่ไม่ได้ใช้เนื่องจากมีเสียงฮัม มารู้ที่หลังว่าเกิดจากการไม่ได้ต่อสายดินให้กับแอมป์ พอใช้สายดินเสียงฮัมก็หายสนิท) จากนั้นถึงได้รู้ว่าเสียงฮัมที่เกิดขึ้นทั้ง ๆ ที่ต่อสายดินแล้ว เกิดจากสายสัญญาณแดงดำถูก ๆ ที่แถมมากับเครื่อง และยังรู้อีกด้วยว่า เครื่องใช้ไฟฟ้าโดยเฉพาะแอมป์นี่ต้องมีสายดิน พวกที่ส่งขายบ้านเราบางรุ่นบางยี่ห้อที่มีการทำฉนวนสองชั้น (ที่แสดงด้วยเครื่องหมายสี่เหลี่ยมซ้อนกันสองรูป) นี่ ใช้ไม่ได้ผลครับ มีเสียงรบกวนและมีไฟดูดที่ตัวถังอยู่ดี ต่อสายดินแล้วนี้หายสนิทครับ ทั้งเสียงกวนทั้งไฟดูด แสดงว่าหากไม่ทำระบบ ground ให้ถูกต้อง ไปใช้สายไฟสายสัญญาณระดับโลกก็ไม่คุ้มค่าของครับ
คราวนี้มาเรื่องเครื่องกรองไฟ ตอนแรกผมก็ไม่สนใจเรื่องนี้เลย แต่ตอนหลังนี่เห็นมีอุปกรณ์พวกนี้มาขายกันเยอะ ทั้งของไทย/ฝรั่ง/ญี่ปุ่น ก็นึกเอะใจว่ามันคงมีประโยชน์อยู่บ้าง อยู่ระหว่างกำลังหาปลั๊กรางมาใช้แทนของเดิม แล้วไปอ่านรายงานทดสอบเครื่องกรองไฟตัวหนึ่ง เลยซื้อมาใช้ราคาราวสี่พันบาท ใช้ดูก็พบว่าเสียงมันสะอาดขึ้น ดูภาพแล้วสีสันดีขึ้น ก็ใช้มาราว ๆ สองปี
ต่อมาได้เอาแอมป์กับ players ไปเจาะท้ายที่ AV Zone แถวแจ้งวัฒนะครับ เหลือบไปเห็นเครื่องกรองไฟระบบ Isolator รุ่น IS-500 Plus Premium Mark2 เลยขอลองฟังเปรียบเทียบ A-B ระหว่างใช้เครื่องกรองกับไม่ใช้ ฟังออกชัดเจนว่าเสียงดีขึ้น แต่ผมก็ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อทันที เนื่องจากตอนนั้นยังไม่มั่นใจว่าระบบเขามีการทำให้เสียงดีขึ้นจากปัจจัยอื่น ๆ ที่ผมไม่ทราบหรือไม่ พูดอีกอย่างก็คือยังไม่ได้ลองฟังกับระบบของผม
ผมกลับมาหาข้อมูลเพิ่ม ถึงได้เห็นว่าเครื่องกรองไฟมีหลายระบบหลายราคา ตั้งแต่ถูก ๆ หลักพัน ไปถึงหลักหลายแสนบาท มีโอกาสไปดูงานที่สิงคโปร์เลยไปหาตำราฝรั่งมาอ่าน โดยเฉพาะหนังสือ The Complete Guide of Hi-End Audio ของ Robert Harley ซึ่งพูดว่า จะให้ระบบที่สมบูรณ์แบบจริง ๆ อาจต้องใช้เครื่องกรองไฟ (เนื่องจากเราควบคุมกระแสไฟเอซีที่ส่งมาตามบ้านไม่ได้ อันนี้ผมว่าเองครับ ) ผมตัดสินใจอยู่พักหนึ่ง เลยไปซื้อเครื่องกรองของเอวีโซนรุ่นที่ว่าจากดีลเลอร์เจ้าประจำมาลองใช้ ราคาราว ๆ หมื่นปลาย ๆ
สิ่งที่พบคือ ทั้งเสียงทั้งภาพดีขึ้นมาก (อันนี้เป็นประสบการณ์และความเห็นส่วนตัวของผม หากท่านใช้อาจไม่ได้คิดอย่างผมก็ได้ครับ) ลองฟังกับแผ่นที่เสียงจัด ๆ นี่ ฟังออกเลยว่าเสียงจัดจ้านน้อยลง แสดงว่ามันไม่แห้งใช่ไหมครับ เสียงมันกลมกล่อมขึ้น แต่ก็ยังมี focus และ impact ของเสียงอยู่ ไม่ใช่นุ้มขึ้นแต่เบลอ ๆ ขาดความชัดเจน ผมลองฟังเทียบกับเครื่องกรองไฟตัวเดิมที่ซื้อมาก่อนหน้านี้ราคาสี่พันบาท เห็นได้ชัดเลยว่าตัวเดิมนั้นให้เสียงที่สะอาด แต่ก็แห้งกว่าอย่างชัดเจนมาก ตอนนี้ผมก็ทราบแล้วว่าที่เขาว่าใช้เครื่องกรองไฟแล้วเสียงแห้งนั้นเป็นอย่างไร แต่อย่างว่าล่ะครับ ราคาที่ต่างกันสี่ถึงห้าเท่า จะให้มันสู้กันได้ก็กระไรอยู่ ผมก็เอาตัวเดิมไปใช้กับชุดคอมพิวเตอร์ นัยว่าดีกว่าปลั๊กรางพลาสติกถูก ๆ มาก อย่างน้อยทั้งสวิทช์ทั้งปลั๊กตัวเมียที่ใช้กับเครื่องกรองไฟตัวนี้ให้ความมั่นใจว่าไม่มีการ short หรือ spark แน่นอน
ที่ว่ามาทั้งหมดนี่ เป็นประสบการณ์ของผมครับ บางท่านอาจมีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ถึงตอนนี้บางท่านอาจคิดว่า ผมมีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับเอวีโซนหรือเปล่า ขอเรียนด้วยความสัตย์ว่า ผมเป็นเพียงแค่ลูกค้าของเขาครับ ผมไปใช้บริการเขา เขาก็คิดราคาเท่ากับลูกค้ารายอื่น ไม่ได้มีส่วนลดอะไรเลย แต่หากเครื่องกรองไฟของเขาดี คุ้มราคา อยู่ในเกณฑ์ที่ผมพอจะจัดหาได้ ผมก็ต้องบอกว่าดีตามที่ผมประสบมา มันไม่ใช่เครื่องกรองไฟทุกตัวหรอกครับที่เสียงแห้ง ทางที่ดีที่สุดก็คือ นำไปลองฟังกับชุดของท่าน หากดีขึ้นแล้วค่อยซื้อ
อาจจะยาวมากเกินไป ผมขอสรุปว่า ก่อนที่ท่านจะลองหาเครื่องกรองไฟมาใช้สักตัว ควรจะ
1. ทำระบบ ground ให้เรียบร้อย หาก ground ไม่ดี เครื่องกรองไฟจะไม่คุ้มค่าเลย
2. จัดหาสายไฟ สายสัญญาณ ปลั๊กตัวผู้ตัวเมีย ที่มีคุณภาพในราคาเท่าที่ท่านจัดหาได้มาใช้
3. แล้วค่อยจัดหาเครื่องกรองไฟ พิจารณาดูจากยี่ห้อและรุ่นต่าง ๆ หากเป็นไปได้ให้นำมาลองฟังกับชุดของท่าน หรืออย่างน้อยก็ขอให้มีโอกาสลองฟัง เอาแผ่นซีดีที่ท่านคุ้นเคยไปด้วย
4. ปรับปรุงสภาพ acoustic ของห้องฟัง หากมีงบพอ ทำไมผมถึงจัดข้อนี้หลังเครื่องกรองไฟ คำตอบคือว่า ผมว่าการปรับปรุงห้องฟังอย่างสมบูรณ์แบบจริง ๆ มันยุ่งยากและใช้เงินมากกว่าเยอะครับ
ทั้งนี้ ขึ้นกับสมมติฐานว่า ท่านพอใจกับชุดเครื่องเสียงของท่านแล้วนะครับ หากยังไม่ลงตัวกับชุดเดิม เช่น ยังไม่แฮปปี้กับเครื่องเล่นซีดี ฯลฯ ผมว่าจัดงบไปเปลี่ยนเครื่องก่อนดีกว่า เป็นการแก้ที่ต้นทางก่อน แต่หากระบบของท่านลงตัวแล้ว จะลองทำตามสี่ข้อที่ว่าดูก็ได้ครับ ผมเชื่อมั่นว่าจะเป็นการขุดศักยภาพของระบบของท่านออกมาอีกมาก ผมลองแล้วได้ผลถึงแสดงความเห็นตามนี้ล่ะครับ