HTG2.club

มีคำถามจะรบกวนซัก 2 ข้อครับ

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
แบ็ตหมดครับ  เอาต่อ  I= กระแส  และ R = ความต้านทาน

ถ้าเราอ่านต่อตาม wikipedia ที่ต้องขอบคุณ Mr. Tube ทีหามาให้ http://en.wikipedia.org/wiki/Ohm's_law  ในตอนแรกก็กล่าวถึง Resistive Circuit ที่เราเข้าใจคือ
R= Resistance ที่จะทำงานตาม Ohm Law ที่ผมก็เห็นด้วยในส่วนนี้  พอดีข้อความที่Mr. Tubeโพสไว้สั้นไปนิดหนึ่ง มาตามอ่าน Wikipedia ของ Ohm Law ต่อครับ ในบรรทัดต่อมาเพราะ Mr.Tubeอาจจะลืมเกียวกับ Reactive Circuit ที่มี C,Lมาเกียวข้องในวงจรอีเล็คโทรนิคส์ด้วยดังที่ Wikipediaได้อธิบายเพิ่มเติมต่อไปดังที่ปรากฎข้างล่างนี้

Reactive Circuit with time varing signal : When reactive elements such as Capacitors , Inductances or Transmission Line
                                                             (ขออธิบายเพิ่ม Transmission Lineประกอบด้วยค่าซับซ้อนของ C (Capacitance) , L (Inductance ) ทั้งยังมี
                                                              Parameter ที่หก คือ  ความยาว มาเพิ่มด้วย )
,are involved in circuit to which AC or Current is applied ,
                                                              The relation between Voltage and current become the solution to a differential equation.
                                                              So Ohm's law(Defined above for V=IR) does not dirrectly apply. Since that form(ขอ อธิบายเพิ่มว่าคือ
                                                              Ohm Law )contains only resistance having value R , not complex impedance which may contain capacitance
                                                              (c) or Inductance (L)
ในส่วนนี้ตาม Wikipedia ที่ได้ยกมาอธิบายในตอนแรกๆของกระทู้นี้เพียงบางส่วน แต่ผมเอาทั้งหมดมาให้อ่าน ได้อธิบายไว้หมดแล้ว ผมจะไม่ขอแปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย เนื่องจากอาจจะทำให้ความถูกต้องของความหมายอาจจะคลาดเคลื่อนไปได้ เพื่อนๆน้องๆอยากเข้าใจละเอียดไปอ่านทั้งหมดใน Wikipedia
http://en.wikipedia.org/wiki/Ohm's_law จะยาวหน่อยประมาณสองหน้าแต่ภาษาที่ใช้ไม่ยากสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ  จะได้เข้าใจมากขึ้น  สำหรับกระทู้นี้ผมได้อธิบายไปโดยหมดแล้ว  ผมเองจะไม่ขอตอบเพิ่มเติมอีกในกระทู้นี้อีก  ขอบคุณครับ

จริงๆ แล้วเราคุยกันเลยจากประโยคใน Wikipedia ไปแล้วครับพี่ เหตุที่ Wiki บอกว่า So Ohm's law(Defined above for V=IR) does not dirrectly apply เพราะเค้าตรงไปตรงมากับการใช้สัญลักษณ์ R ซึ่งหมายถึง Resistance เท่านั้น แน่นอนว่าถ้าเอา meter วัด L ก็จะได้ R ต่ำมาก และวัด C ได้ R เป็นอนันต์ เค้าก็เลยเตือนไว้ว่า not directly apply ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับคำเตือน แต่ไม่ใช่กฎครับ เราต้องเข้าใจที่ไปที่มาของมันครับ ในมุมมองหนึ่ง ถ้าจะบอกว่ามันเลยจากกฎของโอมห์ไป ผมก็คิดว่ากล่าวเช่นนั้นได้ครับ เพราะตอนที่โอมห์สรุปเรื่องนี้เป็นกฎไว้ โลกอิเล็กทรอนิกส์ยังไม่เกิดเลยครับ แต่อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์วงจรไฟสลับชั้นสูง ก็ยังคงอยู่บนพื้นฐาน V = IR ครับ เพียงแค่ V-I-R มันจะเป็น Function ซับซ้อนเท่านั้นเองครับ

ผมเห็นว่าเราคุยเลยจากตรงนี้ไปแล้วครับ อย่างที่พี่ยืนยันสูตรจำนวนเชิงซ้อนที่คุณ chairat ยกมา และผมก็อธิบายด้วยหลักทางฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ไปแล้ว ว่าทำไมความสัมพันธ์ถึงอยู่ในรูปของจำนวนเชิงซ้อน เป็นเหตุที่เราเรียกความต้านทานไฟตรงกับไฟสลับด้วยคนละคำกันครับเพราะนอกจากป้องกันความสับสนในการใช้แล้ว ความหมายมันลึกซึ้งต่างกันครับ อันนี้เป็นหลักฐานว่าเราคุยกันเลยจากเรื่องกระแสตรงไปนานแล้วครับ ผมก็คิดว่าพี่ TC คงเข้าใจไปแล้วว่า L กับ C ต่างกับ R อย่างไร

ส่วนเรื่อง Linear หรือ Non-linear นั้น ผมพยายามยกตัวอย่างเพื่ออธิบายว่ามันไม่เกี่ยวกัน โดยสรุปคือ เราคุยกันเรื่องความสัมพันธ์ V กับ I อยู่ Linear ก็คือความสัมพันธ์เป็นเส้นตรง Non-linear คือความสัมพันธ์ไม่เป็นเส้นตรง แต่ก็ยังคงเป็นเรื่องความสัมพันธ์ V กับ I อยู่ คือผมมีความตั้งใจจะแก้ความเข้าใจผิดครับ ที่เหลือก็สุดแล้วแต่พี่ TC ครับ ขอบคุณที่อุตส่าห์เข้ามาถกกันครับ สนุกดีครับ  :)  :bye1


ออฟไลน์ Tube Collector

  • Super Star.
  • **
    • กระทู้: 2,690
    • เพศ:ชาย
  • มีความสุข ในการที่จะเป็นผู้ให้
แบ็ตหมดครับ  เอาต่อ  I= กระแส  และ R = ความต้านทาน

ถ้าเราอ่านต่อตาม wikipedia ที่ต้องขอบคุณ Mr. Tube ทีหามาให้ http://en.wikipedia.org/wiki/Ohm's_law  ในตอนแรกก็กล่าวถึง Resistive Circuit ที่เราเข้าใจคือ
R= Resistance ที่จะทำงานตาม Ohm Law ที่ผมก็เห็นด้วยในส่วนนี้  พอดีข้อความที่Mr. Tubeโพสไว้สั้นไปนิดหนึ่ง มาตามอ่าน Wikipedia ของ Ohm Law ต่อครับ ในบรรทัดต่อมาเพราะ Mr.Tubeอาจจะลืมเกียวกับ Reactive Circuit ที่มี C,Lมาเกียวข้องในวงจรอีเล็คโทรนิคส์ด้วยดังที่ Wikipediaได้อธิบายเพิ่มเติมต่อไปดังที่ปรากฎข้างล่างนี้

Reactive Circuit with time varing signal : When reactive elements such as Capacitors , Inductances or Transmission Line
                                                             (ขออธิบายเพิ่ม Transmission Lineประกอบด้วยค่าซับซ้อนของ C (Capacitance) , L (Inductance ) ทั้งยังมี
                                                              Parameter ที่หก คือ  ความยาว มาเพิ่มด้วย )
,are involved in circuit to which AC or Current is applied ,
                                                              The relation between Voltage and current become the solution to a differential equation.
                                                              So Ohm's law(Defined above for V=IR) does not dirrectly apply. Since that form(ขอ อธิบายเพิ่มว่าคือ
                                                              Ohm Law )contains only resistance having value R , not complex impedance which may contain capacitance
                                                              (c) or Inductance (L)
ในส่วนนี้ตาม Wikipedia ที่ได้ยกมาอธิบายในตอนแรกๆของกระทู้นี้เพียงบางส่วน แต่ผมเอาทั้งหมดมาให้อ่าน ได้อธิบายไว้หมดแล้ว ผมจะไม่ขอแปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย เนื่องจากอาจจะทำให้ความถูกต้องของความหมายอาจจะคลาดเคลื่อนไปได้ เพื่อนๆน้องๆอยากเข้าใจละเอียดไปอ่านทั้งหมดใน Wikipedia
http://en.wikipedia.org/wiki/Ohm's_law จะยาวหน่อยประมาณสองหน้าแต่ภาษาที่ใช้ไม่ยากสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ  จะได้เข้าใจมากขึ้น  สำหรับกระทู้นี้ผมได้อธิบายไปโดยหมดแล้ว  ผมเองจะไม่ขอตอบเพิ่มเติมอีกในกระทู้นี้อีก  ขอบคุณครับ
ชีวิตนี้ต้องเรียนรู้ไม่รู้จบ พร้อมที่จะยอมรับความเห็นของผู้อื่น 
ยอมรับในความผิดพลาดของตัวเอง พร้อมที่จะให้โดยไม่มีความหวังใดๆ
ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย  ทำงานหนัก และมีความรับผิดชอบต่อตัว
เองและผู้อื่น เมื่อนั้นความสุขจะอยู่กับ เราตลอดเวลา และตลอดไป
และอย่าลืมรักษาสุขภาพด้วย


ออฟไลน์ Tube Collector

  • Super Star.
  • **
    • กระทู้: 2,690
    • เพศ:ชาย
  • มีความสุข ในการที่จะเป็นผู้ให้
ต้องขอโทษที่ตอบช้าเพราะว่าโดยปกติแล้ว ทุกอาทิตย์ตั้งแต่บ่ายวันศุกร์ ถึงเช้าวันจันทร์ ผมจะไม่ค่อยอยู่กรุงเทพ อยู่ที่บ้านทอฝัน ที่ไม่มีสายโทรศัพท์ แม้ว่าจะมี Edge แต่ความเร็วช้ามาก ในสองสามปีหลังจะปีหลายวันในหนึ่งอาทิตย์ที่ผมจะตัดอาจ Information ไม่มี Net ใช้ แม้ว่าลูกจะมี I-phone แต่ตัวหนังสือเล็กเกินไปสำหรับคนอายุมาก
สายๆวันจันทร์ผมจะมี  เมล์มหาศาลเช่นวันนี้ กว่าจะตอบเมล์ทั้งหมดก็เกือบสองทุ่ม    ลองกลับมาอานกระทู้นี้ตั้งแต่ต้นใหม่
คำถามที่ถามอันแรก "อุปกรณ์ชิ้นใด ที่ค้านกับกฎ V= IR "  ผมก็ขอเพิ่มเติมว่ามันก็คือ Ohm Law   ผมก็ตอบหลายอย่างแต่เอาที่ อธิบายได้ชัดเจนคือ

Non-Linear มีค่าเป็น Exponential เช่น Charge / Discharge ของ Condenser  และ Inductance ก็เป็น Non-Linear ไม่ขึ้นกับสัญญาณเชิงเส้นที่เป็น Linear เช่นกฎของโอมห์  เพราะว่า ในความเป็นจริงวงจรอีเล็คโทรนิคส์ไม่ได้มีแต่  V, I, R อย่างเดียว ยังมี C (Capacitor ) , L(Inductance ) เพิ่มขึ้นไปอีก ที่ผมบอกว่า เป็น Non Linearที่ไม่ทำงานตามกฏของโอมห์ โดยที่ V, I,R เป็น Resistive Circuit แต่  ผมจึงให้ความเห็นว่าถ้ามี อุปกรณ์ที่ Parameter ที่ 4 คือ เวลา หรือ Frequency เข้ามาเพิ่มในวงจรอีเล็คโทรนิคส์  เราไม่สามารถใช้ กฎของโอมห์ อธิบายได้

ขอบคุณ Mr Tube มากครับที่ยก Wikipedia ขึ้นมา ขอยกกฎของโอมห์มาจาก Wikipedia นะครับ http://en.wikipedia.org/wiki/Ohm's_law อ้างถึง
Ohm's law states that the current through a conductor between two points is directly proportional to the potential difference across the two points, and inversely proportional to the resistance between them  อันนี้ดีครับทำให้เราสามารถอธิบายได้ง่ายขึ้น  ผมขอแปลเป็นภาษไทยแบบง่ายๆถ้าผมแปลไม่ถูกขอความกรุณาแก้ใขให้ด้วยครับ "กระแสที่ไหลในตัวนำไฟฟ้าระหว่างจุดสองจุด เป็นสัดส่วนโดยตรงของผลต่างระดับไฟฟ้าระหว่างสองจุดนั้น  และแปรผันเป็นสัดส่วนผกผันกับค่าความต้านทานระหว่างสองจุดนั้น         เราจะเห็นได้ว่า กฎของโอมห์ กลาวเกียวกับค่าเพียง สามตัวเท่านั้น V= ความต่างระดับไฟ 




ชีวิตนี้ต้องเรียนรู้ไม่รู้จบ พร้อมที่จะยอมรับความเห็นของผู้อื่น 
ยอมรับในความผิดพลาดของตัวเอง พร้อมที่จะให้โดยไม่มีความหวังใดๆ
ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย  ทำงานหนัก และมีความรับผิดชอบต่อตัว
เองและผู้อื่น เมื่อนั้นความสุขจะอยู่กับ เราตลอดเวลา และตลอดไป
และอย่าลืมรักษาสุขภาพด้วย


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
     ถาม   อุปกรณ์ใดที่ค้านกับ V=IR
      ตอบ   ถ่านไฟฉาย
              ไม่เชื่อไปลองดูก็ได้โดยเอาถ่าน 1 ก้อน 1.5V ต่อกับ R 1.5 Ohm
               จาก V=IR  จะต้องได้กระแส 1A
               แต่ถ้าเอามิเตอร์วัดมันไม่ได้หรอก
               สาเหตุ  เพราะถ่านไฟฉายมันจ่ายกระแสได้ไม่ถึง 1A

เอาไฟฉายของโดเรม่อน ขยายให้ก้อนมันใหญ่ๆ ก็จะจ่ายได้เป็น 10A ครับ  ;D

จริงๆ จะบอกว่าเพราะคุณลืมคิดความต้านทานในถ่ายไฟฉายเองน่ะครับ ถ้าเอามาคิดด้วยก็จะรู้ว่าทำไมมันจ่าย 1A ไม่ได้ครับ แล้วทำไม Battery ถึงจ่ายได้เป็น 10A หรือเอา ถ่านไฟฉายมาขนานกันหลายๆ ก้อนก็จ่ายได้ 1A เหมือนกัน


ออฟไลน์ prepiag

  • ****
    • กระทู้: 439


      ถาม   อุปกรณ์ใดที่ค้านกับ V=IR
      ตอบ   ถ่านไฟฉาย
              ไม่เชื่อไปลองดูก็ได้โดยเอาถ่าน 1 ก้อน 1.5V ต่อกับ R 1.5 Ohm
               จาก V=IR  จะต้องได้กระแส 1A
               แต่ถ้าเอามิเตอร์วัดมันไม่ได้หรอก
               สาเหตุ  เพราะถ่านไฟฉายมันจ่ายกระแสได้ไม่ถึง 1A


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
แล้วไดโอดเวลาที่มันoff  กับ onล่ะครับ?

กรณี Diode ประเด็นอยู่ที่ Diode ทำงานเหมือน Switch ครับ ถ้าเป็นหลอดก็คือเพลท (Anode) ปล่อย Electron ไม่ได้ ส่วน Cathode ปล่อย Electron ได้ หลอดจะนำกระแสเฉพาะเมื่อแรงดันที่ Anode สูงกว่าที่ Cathode เท่านั้น ถ้าเรารู้แรงดันระหว่าง Anode - Cathode วัดกระแสที่ไหลได้ ก็รู้ค่า R ของหลอดครับ ถ้าแรงดันที่ Anode ต่ำกว่า กระแสก็ไม่ไหล แต่ในทางปฏิบัติแล้ว Anode สามารถปล่อย Electron ได้เหมือนกัน แต่ปล่อยได้ยากมาก ต้องใช้แรงดันสูงๆ มาดึง Electron จึงจะหลุดจาก Anode ครับ นั่นก็คือ Break down voltage นั่นเองครับ ซึ่ง ณ จุดที่ Break down จะมีกระแสไหล และเหมือนเดิมครับ V/I = R

ส่วน Silicon Diode ก็ทำตัวเหมือนหลอด Diode ทุกประการครับ แต่หลักการทำงานของมัน ใช้การเปลี่ยนสภาพนำไฟฟ้าได้ของสารกึ่งตัวนำเอาครับ โดย Diode ที่ทำจาก Silicon จำเป็นต้องใช้แรงดัน 0.6-0.7V มาตกคร่อมเพื่อให้สารกึ่งตัวนำ นำไฟฟ้าได้ (Forward Bias) ซึ่งจริงๆ แล้ว Silicon Diode ก็มีความต้านทานไฟฟ้าของมันเอง แต่มันน้อยมาก กรณีกระแสไหล 20-30A อาจจะมีแรงดันตกคร่อมความต้านทานจริงๆ ของ Diode ไม่ถึง 10mV ครับ เมื่อเทียบกับ 0.7V แล้ว ในทางวิศวกรรมจึงไม่พูดถึงครับ เพราะถูกค่าใหญ่ 0.7V กลบไปหมด ส่วนกรณี Reverse Bias สารกึ่งตัวนำจะทำตัวเป็นฉนวน แต่ความเป็นฉนวนก็ไม่สมบูรณ์แบบครับ จะมีกระแสรั่วน้อยๆ ระดับ 10nA ไหลย้อนกลับได้ จะเอามาคิดเป็น R ของ Reverse Bias ก็ย่อมได้ แต่โดยมากจะไม่พูดถึงกันครับ เพราะมันน้อยมาก


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
ระหว่างรอถกกับพี่ TC และคุณ chairat ขอตอบคุณลำน้ำก่อนนะครับ

หลอด หรือ อื่นๆ ที่ต่อ เป็น วงจร CCS  Sink Source   ตัววงจร (ไม่ใช่อุปกรณ์) แบบนี้ ยังเป็นไปตาม Ohm 's Law หรือไม่ ครับ

ได้ R เสมือน สูงกว่า Rplate ในหลอด ไม่ครับ

ถ้าวัด V ตกคร่อม และ I ไหลผ่านได้ สัดส่วนของมันก็คือ R ครับ ส่วนที่เรามักจะเข้าใจว่า CCS มี Impedance เป็น Infinity นั้น เป็นเทคนิคในการวิเคราะห์วงจร AC ครับ ถ้าเราเอา CCS ไปเป็น Load ในหลอด แล้วป้อนไฟตรงเข้าไป ก็วัด V - I ได้ ก็คือ R ณ เวลานั้น แต่ถ้ามี AC เข้ามาที่ Input หลอดจะปรับ Impedance ของตัวเอง ในขณะที่ CCS จะบังคับให้ I ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้น Impedance ของ CCS จะแปรผกผันกับ R ของหลอดที่เปลี่ยนไปครับ แต่เพื่อให้เข้าใจง่ายบน Plate Curve จึงอนุมานว่าเป็น Infinity เพื่อจะได้พิจารณาเฉพาะการ Swing ของหลอดครับ

สุดท้ายจะแนะนำวิธีวิเคราะห์ว่า อย่าลืมว่า R เป็นค่าที่ไม่สามารถวัดได้โดยตรงครับ ต้องรู้ V และ I เท่านั้น จึงจะรู้ R ครับ Meter ไหนๆ ก็ต้องป้อน V วัด I แล้วค่อยแสดงผลเป็น R ทั้งนั้นครับ ถ้าจะมี Meter ที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าแล้ววัด R ได้ ก็ช่วยแนะนำด้วยครับ


ออฟไลน์ -=(หวาก)=-

  • ****
    • กระทู้: 260
เห็นด้วยกับท่าน Mr. Tube ครับผม  ;) กฏของโอมห์ ไม่ได้จำกัดว่าจะเป็น AC/DC อุปกรณ์หรือวงจรแบบไหนครับ
จริงๆมันเป็นแค่ ความสำพันธ์ระหว่าง V I  R  และ W เท่านั้นเอง  ;)

และเห็นด้วยที่นำมาถกกันด้วยเหตุผลครับ คนที่ไม่รู้หรือยังเข้าใจผิดอยู่จะได้รับความรู้ไปด้วย
จริงๆแล้วเรื่องพวกนี้คนเข้าใจมีเยอะ แต่คนที่อธิบายเก่งๆให้เข้าใจง่ายๆหายากมากก ^__^
-=(เสียงที่ดี คือ เสียงที่ชอบ)=-


ออฟไลน์ Aonamp

  • ใช้หลักเศรฐศาสตร์แบบพอเพี่ยงเพื่อชีวิตที่มั่นคง
  • Super Star.
  • **
    • กระทู้: 2,601
    • เพศ:ชาย
  • เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และ ราชนาวี
สุดยอดเลยครับ กระทู้นี้ ผมเซฟเก้บไว้อ่านเลยครับ  เป้นการนำเสนอ ความรู้ ข้อเท็จจริงได้อย่างดีเยี่ยมครับ  :clap :clap :clap
อยากมี อยากได้ อยากทำ แต่แค่ขำๆแบบพอเพียง 
 ( ข้อความทุกข้อความเป้นความเห้นส่วนตัวและขอรับผิดชอบต่อข้อความที่ได้พิมพ์หรือเขียนไว้ครับ)     ข้อมูลส่วนตัว      http://www.htg2.net/index.php?topic=33682.0


ออฟไลน์ Eak-tubeamp

  • วันนี้ไม่เริ่ม ก็ไม่มีวันสำเร็จ
  • Superstar...
  • ****
    • กระทู้: 4,849
    • เพศ:ชาย
  • ....ด้วยใจรัก....
เหมือนนั่งอยู่ในห้องเรียน เพียงแต่วันนั้น ไม่ตั้งใจเรียน ความรู้ที่ติดตัวมาแค่น้อยนิด รู้สึกเสียดายเวลาที่ล่วงเลยจริงๆครับ ผมอ่านแล้วผมทึ่งครับ ข้อมูลล้วนแล้วแต่เป็นข้อเท็จจริง ที่ต่างฝ่ายต่างเอามาหักล้างกัน คนอ่านได้รับอานิสงค์ไปเต็มๆ ปกติผมมักจะตามอ่านกระทู้ของทั้งสองท่านนี้ตลอด และยอมรับในข้อมูลที่หามา ล้วนแล้วแต่เป็นหลักวิชาการทั้งสิ้น .......บางครั้งความเชื่อกับคำเขาบอกอาจไม่ถูกต้องเสมอไป ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 กรกฎาคม, 2011, 09:15:51 pm โดย เอก-tubeamp »
tel 083-3887864


ข้อมูลส่วนตัว  http://www.htg2.net/index.php?topic=44962.0


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
ถกกับคุณ Chairat ครับ

ผมสรุปประเด็นที่นำเสนอว่าเป็นเรื่องการสะสมพลังงานของอุปกรณ์นะครับ  อุปกรณ์อย่าง C / L จะมีการสะสมพลังงาน เมื่อต่อกับ DC และมีการสะสมและปลดปล่อยสลับกันไป เมื่อต่อกับ AC ข้อนี้เราน่าจะเข้าใจตรงกัน

กรณี C เก็บพลังงานไว้ในรูปสนามไฟฟ้า ถ้ามองในเชิงปริมาณแล้วก็คือจำนวนประจุ (Q) ที่ถูกเหนี่ยวนำไว้ในสนามไฟฟ้านั่นเอง กรณี DC พอเราต่อ C กับแหล่งจ่าย ประจุก็ Charge เข้า C ถูกไม๊ครับ (ถ้าเป็นสภาพในอุดมคติ วินาทีนี้ R = 0 ไงครับ) แต่ระหว่างที่ถูก Charge ประจุก็วิ่งเข้า C น้อยลงเรื่อยๆ เพราะ C เริ่มมีความต่างศักดิ์ในตัวเองครับ (R > 0) เมื่อถูก Charge จนความต่างศักดิ์ระหว่าง 2 Plate เท่ากับแหล่งจ่าย กระแสก็หยุดไหล (R = Infinity) นี่คือพฤติกรรมพื้นฐานของ C ซึ่งผมคิดว่าคนที่เรียน Physic มัธยมมา น่าจะทราบอยู่แล้ว ทีนี้ถ้าเราป้อน AC เข้าไปล่ะ

a. 1/4 cycle แรก (1 Cycle คือ 1 ลูกคลื่น) แรงดันเปลี่ยนจาก 0 to V ก็เกิดการ Charge แต่ปริมาณกระแสที่ Charge จะแปรผกผันกับการเพิ่มขึ้นของ V ถูกไม๊ครับ (ถ้าใครงงก็กลับไปอ่านย่อหน้านี้ใหม่)
b. ต่อมาใน 1/4 Cycle ที่ 2 แรงดันเปลี่ยนจาก V to 0 เนื่องจากความต่างศักดิ์ของตัว C มากกว่าแหล่งจ่าย ประจุ (กระแส) ก็ไหลออกจาก C ครับ
c. พอถึง 1/4 Cycle ที่ 3 ทีนี้กลับขั้วแล้ว แต่พฤติกรรม C ก็ยังคงเหมือนกับข้อ a. ครับ
d. รวมถึง 1/4 Cycle สุดท้ายด้วย ก็จะเหมือนกับ b.

จะเห็นว่า Phase ของกระแส Diff กับ Phase ของแรงดัน 90 องศา ซึ่งผมคิดว่าหลายๆ คนรู้ในเรื่องนี้แบบท่องจำ แต่ไม่ทราบว่าเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น ซึ่งในแต่ละช่วงเวลา ก็ย่อมรู้ R ก็คือ V/I ครับ ที่ผมยกเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพื่อจะบอกว่าสูตรจำนวนเชิงซ้อนที่คุณ Chairat ยกมา มีพื้นฐานมาจากเรื่องนี้ครับ ในเชิงของ Vector แล้ว Xc จึงตั้งฉากกับ R ไงครับ และก็คือสูตรจำนวนเชิงซ้อนที่คุณ Chairat ยกมาครับ 

รวมทั้งที่พี่ TC แปลสูตรจาก Xc มาเป็น 1/2pi.... เหล่านั้นด้วย ซึ่งสูตรนึ้เป็นการคิดค่าเฉลี่ยของ Reactance โดยคิดทั้ง Cycle ครับ (สังเกตที่ค่า 2pi ในสูตรครับ, สูตรมาจากการ Integrate พฤติกรรมของ C ใน 1 Cycle ตามที่ผมอธิบายมาครับ) โดยสรุปของเรื่องนี้ก็คือพี่ TC จะเอาสูตรค่าเฉลี่ยมาอธิบายเหตุการณ์ ณ เวลาหนึ่งๆ ไม่ได้ครับ

ส่วนตัว L ก็มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับ C เพียงแต่สนามแม่เหล็กกับสนามไฟฟ้า มีผลต่อการเคลื่อนที่ของประจุต่างกัน Phase V และ I ยังคง Diff 90 องศา แต่กลับด้านกับ C ครับ วิธีการอธิบายก็เหมือนกันครับ

สรุปว่าการสะสมพลังงานของอุปกรณ์ มีผลให้ Phase ของ V / I ไม่ตรงกันเฉยๆ ครับ แต่ R ก็ยังคงเท่ากับ V/I อยู่เสมอครับ เพราะกฎของโอมห์เป็นเรื่องความสัมพันธ์ของค่า V กับ I ไม่เกี่ยวกับพฤติกรรมของอุปกรณ์ครับ


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
ไม่มีปัญหาครับพี่ TC เราคุยเรื่องวิชาการกัน อย่างที่พี่ทราบอยู่แล้วว่าควรต้องมีข้อสรุป เพราะเป็นเรื่องข้อเท็จจริง เราคุยกันเพื่อให้ได้ความรู้และข้อสรุป เป็นเรื่องของเข้าใจถูกกับเข้าใจผิดเท่านั้นเอง ยิ่งเรื่องหน้าตาหรือเกียรติยศนี่ไม่เคยคิดถึงเลยครับ สุดท้ายเราต่างก็ไม่มีตัวตนจริงในโลก Cyber ครับ ว่ากันที่ความรู้และเหตุผลกันครับ

ประเด็นแรกที่สรุปไว้
1. กฎของโอห์มใช้ได้กับไฟกระแสตรงเท่านั้น

ขอยกกฎของโอมห์มาอีกทีนะครับ

Ohm's law states that the current through a conductor between two points is directly proportional to the potential difference across the two points, and inversely proportional to the resistance between them

กฎของโอมห์ไม่ได้จำกัดว่ากระแสที่ไหลเป็น DC หรือ AC ครับ วิธีพิจารณาง่ายมาก สมมุติผมมี R อยู่ตัวหนึ่ง ถ้าผมป้อนแรงดัน V ให้มัน กระแส I ก็จะไหลจากขั้ว + ไป - เสมอ ถ้าผมกลับทิศแรงดัน กระแสก็จะไหลกลับทิศกับรอบแรก ซึ่งก็ยังเท่ากับ I อยู่ดี ถ้าผมกลับทิศแรงดันเร็วๆ มันก็คือ AC นั่นเองครับ เพราะฉะนั้นกฎของโอมห์ใช้ได้กับ AC ครับ หมายเหตุว่า Resistance ทาง AC เรามักจะเรียกกันว่า Impedance ครับ

2. อุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ประเภท Active ที่ทำงานไม่ Linear เช่น Triode, Pentode ไม่ทำงานตามกฎของโอห์ม

ประเด็นคือความเป็นเชิงเส้น (Linear) กับไม่เป็นเชิงเส้น (Non-linear) ถูกไม๊ครับ ซึ่งเรารู้ได้อย่างไรว่าเป็นเชิงเส้นหรือไม่เป็นเชิงเส้นครับ เรารู้ได้จากว่า R เปลี่ยนแปลงค่าไปตามสภาวะแวดล้อม กรณี Triode ค่า R มันเปลี่ยนไปตามแรงดัน Bias และแรงดัน Plate พักไว้ตรงนี้ก่อน ลองมาดู R ธรรมดาๆ ที่เราเข้าใจว่า Linear กันครับ จริงๆ แล้ววัสดุทุกชนิดมีสัมประสิทธิ์อุณหภูมิ หมายถึงว่าเมื่ออุณหภูมิของมันเปลี่ยนไป ค่า R ก็จะเปลี่ยนไป เพราะฉะนั้น R ธรรมดาๆ ก็เข้าข่าย ไม่เป็นเชิงเส้น เหมือนกัน เมื่ออุณหภูมิเปลี่ยน ถูกไม๊ครับ เพราะ R มันไม่คงที่ แต่ ณ เวลาหนึ่งๆ มันมีค่า R คงที ซึ่งเรารู้ได้อย่างไรว่า R เป็นเท่าไหร่ ก็โดยการป้อน V แล้ววัด I ใช่ไม๊ครับ สัดส่วน V/I ก็คือ R ครับ กลับมาที่ Triode ครับ เรารู้แรงดันเพลท, เรารู้กระแสเพลท สัดส่วนของมันก็คือ ความต้านทานเพลทครับ เพียงแต่ความต้านทานเพลทมันเปลี่ยนแปลงไปได้ตามสภาวะแวดล้อมเท่านั้นเอง กรณีถ้าเราป้อน AC เข้าที่ Grid ก็คือแรงดัน Bias เปลี่ยนไป ค่าความต้านทานเพลทก็เปลี่ยนไป เพราะสภาวะแวดล้อมมันเปลี่ยนไปครับ แต่เราก็รู้ได้อยู่ดีว่า Rp มันเปลี่ยนไปเป็นเท่าไหร่ โดยการเอา Vp ตั้งหารด้วย Ip ครับ เพราะฉะนั้น เชิงเส้น หรือ ไม่เป็นเชิงเส้น ก็ยังใช้กฎของโอมห์ได้เสมอครับ

อย่างที่ผมชี้แจงว่า R ไม่ใช่ค่าที่วัดได้โดยตรงครับ เป็นค่าผลลัพท์ที่เป็นสัดส่วนของ V/I ถ้าเข้าใจประเด็นนี้จะเห็นว่าไม่ว่าอุปกรณ์หรือวงจรใดๆ หรือไม่ว่าอุปกรณ์จะเป็นเชิงเส้นหรือไม่เป็นเชิงเส้น หรือ จะเอา Time เข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่  ถ้ารู้ V กับ I ณ ขณะนั้น ก็รู้ R ครับ R ไม่ใช่ตัวต้น แต่เป็นผลลัพท์ทางคณิตศาสตร์ครับ  :)


ออฟไลน์ Tube Collector

  • Super Star.
  • **
    • กระทู้: 2,690
    • เพศ:ชาย
  • มีความสุข ในการที่จะเป็นผู้ให้
เรียนคุณ IL2 Addict
ผมว่าในกระทู้อันนี้ดีมาก ไม่เห็นว่ามีใครเถียงกัน แบบดุเดือดเลย เราต้องปรับทัศนคติกันใหม่  การเห็นแตกต่างในสังคมเป็นเรื่องปกติ  ยิ่งในสังคมที่มีความเจริญด้านความคิดและความเข้าใจ เรื่องนี้เกิดขึ้นทุกวัน  ถ้าเห็นไม่เหมือนกันก็ต้องหาเหตุผลมาประกอบ  มันจำเป็นที่คนเห็นแตกต่าง ไม่ว่าจะมีมากมายมหาศาลหรือคนเหมือนกันมีคนเดียว
ในกรณีย์ที่เราเอาเหตุผลเข้ามา โต้แย้งกัน  ขอให้เข้าใจว่า ความจริงโต้แย้งไม่ใช่ทะเลาะกัน  โต้แย้งเกิดได้ตลอดเวลา หลังจากการยกเหตุผลมาประกอบกันทั้งสองมุม อาจมีการสรุปหรือไม่สรุปก็ได้ เพียงแต่คนที่มีส่วนร่วมหรือได้เปรียบเสียเปรียบ ได้มีความรู้ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เหมือนเอากระจกสองด้านไปส่องแล้วมองภาพที่เห็นในความคิดของแต่ละบุคคลออกมา  โลกเราที่เจริญก้าวหน้ามานานเป็นพันปี ก็มีบางส่วนมาจากส่วนช่วยของสิ่งนี้  นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ Nobel Prize คิดเห็นแตกต่างมากมายกว่าคนทั้งโลกนะครับ   การ Debate ในบางครั้งไม่มีผู้แพ้หรือผู้ชนะ  แต่บางครั้งในสังคมเมืองไทยต้องการผู้ชนะ  ผุ้แพ้อาจจะต้องถูกมองด้อยค่าถูกประณาม อันนี้ก็เป็นความพิกลพิการของสังคมไทย  เห็นแตกต่างได้ ไม่เห็นด้วยได้ แต่อย่างใช้ อารมณหรือความต้องการชัยชนะ การเป็น Hero บนทรากศพมากมายไม่ว่าใครถูกใตรผิด หาใช้ทางที่ถูกไม่

คุณเป็นคนรุ่นหนุ่ม ในสังคมไทยที่มีอะไรแปลกๆเกิดมากมาย ก็หวังว่าจะได้ฝากแนวทางในการคิด กระทำ และทำทุกอย่างให้ได้ตามแต่ละบุคคลปราถนา ไว้ บ้างทั้งหมดในหลายตอนที่ฝากมาในกระทู้นี้ เป็นความเห็นส่วนตัวผมเอง ไม่ได้เป็นความเห็นเลิศหรูประการใด ถ้าผิดพลาดทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลใดๆก็ต้องขออภัยมา ณ.ที่นี้ด้วยครับ
ชีวิตนี้ต้องเรียนรู้ไม่รู้จบ พร้อมที่จะยอมรับความเห็นของผู้อื่น 
ยอมรับในความผิดพลาดของตัวเอง พร้อมที่จะให้โดยไม่มีความหวังใดๆ
ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย  ทำงานหนัก และมีความรับผิดชอบต่อตัว
เองและผู้อื่น เมื่อนั้นความสุขจะอยู่กับ เราตลอดเวลา และตลอดไป
และอย่าลืมรักษาสุขภาพด้วย


ออฟไลน์ IL2 Addict

  • ****
    • กระทู้: 391
    • เพศ:ชาย

ออฟไลน์ ลำน้ำ

  • >> Voodo SilverMica Cable <<
  • Superstar..
  • ***
    • กระทู้: 3,211
    • เพศ:ชาย
หลอด หรือ อื่นๆ ที่ต่อ เป็น วงจร CCS  Sink Source   ตัววงจร (ไม่ใช่อุปกรณ์) แบบนี้ ยังเป็นไปตาม Ohm 's Law หรือไม่ ครับ

ได้ R เสมือน สูงกว่า Rplate ในหลอด ไม่ครับ
โปรดดู ข้อมูลส่วนตัวผมครับ.... ของที่มีอยู่แล้วไม่มีปัญญาทำให้เสียงถูกใจได้ ไม่ต้องหวังจะซื้อมาเพิ่ม ต่อให้ของชั้นเทพ ... มันก็ช่วยอะไรไม่ได้ถ้าไร้ความพยายาม...ว่าแล้ว htg2 ไม่ได้ดั่งใจ เป็น ebay เลยดีกว่าหมดตัวเร็วดี


ออฟไลน์ nut_ty

  • คนดีคือคนที่ไม่เอาเปรียบผู้อื่น ทั้งในทางตรงและทางอ้อม
  • ผู้สนับสนุน web 1ปี
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,901
    • เพศ:ชาย
สงสัยจะต้องเปลี่ยนคำตอบเป็น "ไม่มีอุุปกรณ์ตัวใด" ในสภาวะอิเล็กทรอนิกส์พื้นฐานครับ คำถามไม่มีเงื่อนไขให้อธิบายเลย
นายวัชระ สลัดแก้ว
โทร 083 1214445


ออฟไลน์ IL2 Addict

  • ****
    • กระทู้: 391
    • เพศ:ชาย
ถ้าพื้นหลังสีเขียวนี่ผมนึกว่าห้องหว้ากอ ณ พันติ๊ปแล้วนะครับเนี่ย    เถียงกันดุเดือดจริงๆ :clap


ออฟไลน์ Tube Collector

  • Super Star.
  • **
    • กระทู้: 2,690
    • เพศ:ชาย
  • มีความสุข ในการที่จะเป็นผู้ให้
เรียน Mr Tube อย่าพึ่งเคลียดมาก เราถกกันเรื่องวิชาการ ไม่ว่าใครจะผิดใครจะถูกไม่มีใครเสียหายอะไร  มีแต่ความรู้และเส้นสมองยาวขึ้น ทุกคนได้ประโยชน์ขึ้น มนุษย์เราถ้าเกิดเข้าใจผิดและได้ข้อมูลใหม่ก็ปรับความเข้าใจ   เราทุกคนเข้าใจถูกหรือเข้าใจผิดได้เสมอ  สังคมของการเรียนรู้ที่เราต้องการให้เกิดในประเทศนี้ ต้องการสิ่งนี้  การไม่รู้ไม่เสียหาย   การทำผิดก็ไม่เสียหาย ไม่มีใครเสียหน้าหรือได้หน้าอะไร    ไม่มีใครเสียเกียรติหรือได้เกียรติอะไร  สิ่งที่ทุกคนจะได้คือความรู้ไม่ว่าเล็กน้อยเกือบไม่มี หรือมากมายมหาศาล  นี้แหละคือสังคมที่ประกอบด้วยมนุษย์ที่มีการศึกษาพัฒนาทางด้วยความคิดและการยอมรับในความคิดของบุคคลอื่นที่แม้นไม่เหมือนกันเสมอไปที่เราอยากได้

ผมจำได้ว่าเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน ผมต้องไปทำงานให้บริษัทและเป็นที่ปรึกษาของหน่วยงานของรัฐบาลอินเดีย โดยเวลาเกือบปีต้องอยู่ในเมืองหลายเมืองทั้ง เดลลี บอมเบย์  มาดลาส   และดูเลียจรรณในอัสสัม  สมัยนั้นผมเป็นวิศวกรหนุ่ม ร้อนวิชา  สิ่งที่ผมทึ่งอยู่อย่างหนึ่งวิศวกรอินเดียหนุ่มมีความรู้มากจำนวนมาก เรามีเรื่องต้องถกเถียงทางวิชาการมากมาย  บางครั้งผมถูกบางครั้งผมผิด แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นคือเช้าวันต่อมา ผมและผู้ร่วมงานที่เป็นชาวอินเดียกลับมามีความสัมพันธ์เหมือนก่อนจะ Debate ทำให้การทำงานที่ต้องทำร่วมกันได้ผลดีขึ้นมาก  หลายครั้งเห็นคนอินเดียต่อคารมกัน จนน้ำลายแต่ละคนรดหน้าแต่ละคน  ผมไม่เห็นมันชกกันเลย สักครั้งเดียวกัน  อย่างมากสุดก็กระชากคอเสื้อกัน เป็นเมืองไทยคงได้ปากแตกหรือโกรธกันไปสามชาติ นี้แหละเป็นรากฐานให้ประเทศนี้ที่เมื่อสามสิบปีก่อนจนกว่าประเทศไทย  ปัจจุบันเกือบเป็นจ้าวของการเขียน Software และจะเป็นหนึ่งในจ้าววิศวกรรมในอนาคต  ทิ้งประเทศไทยจนไม่ติดฝุ่น ผมไม่สงสัยในความจริงข้อนี้ ปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งในเมืองไทย คือเกียรติยศและศักดิศรี  สำหรับเกียรติยศเป็นสิ่งดีที่ต้องรักษา  แต่บางครั้งเราอาจจะเหมาหลายๆอย่างมารวมกันจนเกินไป และเราให้ค่าเกียรติยศมากเกินไปจนยอมให้ถูกกระทบกระเทือนได้
      ผมไม่หนีประเด็นทีเราคุยกัน  ผมก็ยืนยันในทั้งสองข้อ ในส่วนข้อหนึ่งก็ได้อธิบายไปบ้างแล้วบ้างในบางส่วนครับ  แล้วค่อยๆคุยกัน ถ้ามีเวลาได้เจอกันจะได้คุยกันเห็นหน้าก็ดีเหมือนกันครับ  จะทำให้เข้าใจง่ายขึ้นถ้าคิดว่าผมเข้าใจผิดในข้อใดก็ขอความกรุณาอธิบายให้ผมทราบ จะได้เข้าใจได้ถูกต้องกว่าเก่า  ไม่มีใครจะถูกทุกอย่างทุกครั้งเหมือนศรีธนชัยครับ  ผมติดตามสิ่งที่ Mr. Tube ทำหรือเขียนออกมาเป็นระยะเป็นเวลานานพอสมควรและคิดว่าเป็น ทรัพย์กรที่มีค่าของวงการ Audio DIY ในเมืองไทย
ชีวิตนี้ต้องเรียนรู้ไม่รู้จบ พร้อมที่จะยอมรับความเห็นของผู้อื่น 
ยอมรับในความผิดพลาดของตัวเอง พร้อมที่จะให้โดยไม่มีความหวังใดๆ
ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย  ทำงานหนัก และมีความรับผิดชอบต่อตัว
เองและผู้อื่น เมื่อนั้นความสุขจะอยู่กับ เราตลอดเวลา และตลอดไป
และอย่าลืมรักษาสุขภาพด้วย


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
ถกกับคุณ analogue และคุณ nut_ty นะครับ

สภาวะ 0K เป็นสภาวะในจินตนาการครับ คือพลังงานจลน์ในอะตอมเป็น 0 ขณะนี้ยังไม่พบในธรรมชาติจริงครับ แต่เข้าใจว่าคุณ analogue ตั้งใจจะพูดถึง Superconductor ซึ่งไปตรงกับที่คุณ nut_ty พูดถึง ซึ่งผมเห็นว่า Off-topic เพราะว่ายังไม่มีอุปกรณ์ตัวใดทำจาก Superconductor ครับ

ขอทบทวนประเด็นที่คุยกันอีกทีนะครับ
อ้างถึง
2.อุปกรณ์ชิ้นใดที่ค้านกับกฎ V = IR (นึกไม่ออกเลยครับ)

ส่วนเรื่องสมการจำนวนเชิงซ้อนที่คุณ Chairat ยกมา ผมขอ Clear ประเด็นกับพี่ TC ก่อนแล้วค่อยมาถกด้วยนะครับ เพราะเป็นเรื่องต่อเนื่องกัน


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
อย่าเพิ่งดิ้นหนีประเด็นครับพี่ TC สรุปว่าพี่ยืนยันประเด็นที่พี่นำเสนอรึเปล่าครับ?

อ้างถึง
ผมสรุปประเด็นที่พี่ TC นำเสนอ มีอยู่ 2 เรื่องหลักๆ คือ

1. กฎของโอห์มใช้ได้กับไฟกระแสตรงเท่านั้น
2. อุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ประเภท Active ที่ทำงานไม่ Linear เช่น Triode, Pentode ไม่ทำงานตามกฎของโอห์ม


ออฟไลน์ Tube Collector

  • Super Star.
  • **
    • กระทู้: 2,690
    • เพศ:ชาย
  • มีความสุข ในการที่จะเป็นผู้ให้
เขียนตกนะครับ ตามประสาคนตาไม่ค่อยดี   ตก กระแส I แก้เป็น

เฉพาะในวงจร RC  นั้น ใน เมื่อReactanceของ C (Xc)นั้น       =  2 Pi FC   ทำให้      Xc = 2 x Pi  x F(Frequency in Hz ) x C ( Capacitance in Farad )

V=IR + j (2 Pi F C )I      = IR +j (2 x 22/7 x Frequency(Hz)  X C ( Farad)X I      = IR +  44/7 j x Capacitance (in Farad) XF (ความถี่ ) X I (กระแส)
ฉนั้น  กฎของโอมห์  อาจจะใช้ได้ไม่ถูกต้องนักในวงจรที่มี  C เพิ่มมาคิดในวงจรนั้น เพราะเมื่อตราบใดมี C หรือ L เพิ่มขึ้นมา มันจำเป็นที่เราต้องเอา พารามิเตอร์ ตัวที่สี่มาคิด
ในกรณีย์ RC Network

ถ้า RC Network .ใช้งานใน ไฟกระแสตรงนั้น  F (Frequency )=0 ทำให้เมื่อแทน 0 เข้าไปในสูตรของ Reactance ของ C จะทำให้ Reactance ของ C เท่ากับ ศูนย์
เลยทำให้  V= IR + j x 2 x Pi x 0 x C X I      = IR    + 0     = IR  เลยทำงานตามกฎของโอมห์ ถ้ามีอุปกรณ์ตัวอื่นเช่น ไดโอดมาต่อร่วมก็ต้องคิดเพิ่มไปอีกครับ
ชีวิตนี้ต้องเรียนรู้ไม่รู้จบ พร้อมที่จะยอมรับความเห็นของผู้อื่น 
ยอมรับในความผิดพลาดของตัวเอง พร้อมที่จะให้โดยไม่มีความหวังใดๆ
ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย  ทำงานหนัก และมีความรับผิดชอบต่อตัว
เองและผู้อื่น เมื่อนั้นความสุขจะอยู่กับ เราตลอดเวลา และตลอดไป
และอย่าลืมรักษาสุขภาพด้วย


ออฟไลน์ Tube Collector

  • Super Star.
  • **
    • กระทู้: 2,690
    • เพศ:ชาย
  • มีความสุข ในการที่จะเป็นผู้ให้
ขอบคุณคุณ Chairat ที่ยกสูตร ขึ้นมาให้   ทำให้สามารถอธิบาย กระทู้นี้ได้ง่ายขึ้น เพราะว่ากำลังหาทางที่จะอธิบายสำหรับเพื่อนๆหรือ น้องๆที่ไม่มีพื้นฐานอีเล็คโทรนิคส์
แล้วใช้ ศัพท์ วิชาการ หรือ คำอธิบายตามหลังวิชาการที่อ่านแล้วเข้าใจยาก   ขอยืมสูตรที่ เพื่อนๆยกมา เอามาอธิบายต่อ
 
V=(R+jXc)I=RI+j(Xc)I   ในกรณีย์  R,C  Component ที่อธิบายความสัมพันธ์ของ  R กับ I ในกรณีย์มี C มาเกียวข้อง กับ  กฎของโอมห์
ในกรณีย์ที่เป็น R,L,C ก็จะยุ่งซับซ้อนกันไปอีก  จะยังไม่ขออธิบายให้ละเอียดไปมากกว่านี้ จะทำให้น้องๆบางคน งง ไปมากขึ้น

เฉพาะในวงจร RC  นั้น ในส่วนของ เมื่อReactance   ของ  C  นั้น                      Xc = 2 x Pi  x F(Frequency in Hz ) x C ( Capacitance in Farad )
V=IR + j (2 Pi F C )       = IR +j (2 x 22/7 x Frequency(Hz)  X C in Farad)     = IR +  44/7 j  Capacitance (in Farad) F (ความถี่ )
ฉนั้น  กฎของโอมห์  อาจจะใช้ได้ไม่ถูกต้องนักในวงจรที่มี  C เพิ่มมาคิดในวงจรนั้น เพราะเมื่อตราบใดมี C หรือ L เพิ่มขึ้นมา มันจำเป็นที่เราต้องเอา พารามิเตอร์ ตัวที่สี่มาคิด
คือ เวลา ส่วนกลับของมันคือ   ความถี่(Frequency ) มาคิด  ในส่วนที่เพิ่มออกมาอาจจะเป็นบวกหรือลบก็ได้ เนื่อง จากค่าของ j (Imaginary )แล้วแต่ว่าเป็น C หรือ L


ชีวิตนี้ต้องเรียนรู้ไม่รู้จบ พร้อมที่จะยอมรับความเห็นของผู้อื่น 
ยอมรับในความผิดพลาดของตัวเอง พร้อมที่จะให้โดยไม่มีความหวังใดๆ
ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย  ทำงานหนัก และมีความรับผิดชอบต่อตัว
เองและผู้อื่น เมื่อนั้นความสุขจะอยู่กับ เราตลอดเวลา และตลอดไป
และอย่าลืมรักษาสุขภาพด้วย


ออฟไลน์ nopphong

  • *****
    • กระทู้: 915
V จะไม่เท่ากับ RI ก็ต่อเมื่อ อุปกรณ์ตัวนั้น ประกอบด้วย
ส่วนส่วนสะสมพลังงาน

ถ้าพลังงานที่สะสมเป็นสนามไฟฟ้า อุปกรณ์ตัวนั้นคือ ตัวเก็บประจุ
ถ้าในรูปสนามแม่เหล็กคือ             อุปกรณ์ตัวนั้นคือ ขดลวด

แหม...จะถามเอาไปทำการบ้าน ส่งครูหรือเปล่าครับ
ถ้าเอาไปส่งแล้วไม่ถูก ไม่ได้คะแนน อย่าว่ากันนะครับ

ตอบได้ชัดเจนครับ
แต่ประเด็นนี้ก็คงจะต้องถกกันอีกว่า ถ้าเป็นแบบนี้จะยังถือว่าอยู่ในกฎของโอมห์หรือไม่ เพราะที่จุดนั้นๆ V ไม่เท่ากับ IR เสียแล้ว เพราะพลังงานส่วนนึงได้แปรรูปไปเป็นอย่างอื่น
แล้วเราจะถือได้ไหมว่าพลังงานที่แปรรูปไปนั้นสามารถแปลงกลับมาเป็น V หรือ I ณ.เวลานั้นๆ เพื่อให้กฎของโอมห์ยังมีผลใช้การได้อยู่

ตรงนี้ผมว่าน่าจะต้องตีความกันนะครับ


ออฟไลน์ chairat

  • **
    • กระทู้: 76
    • เพศ:ชาย
อีกข้อหนึง ขออธิบายเป็นคณิตศาสตร์ นะครับ

ถ้าให้แหล่งกำเนิดพลังงานมีการแปรเปลี่ยนตามเวลา
ในรูปไซน์นูซอย์ ความสัมพันธ์ของแรงดัน และกระแส
บนอุปกรณ์จำพวก passive สามารถหาได้จากสมการรูปทั่วไปดังนี้

V=ZI

ถ้าให้อุปกรณ์ตัวหนึ่ง (มองเป็นก้อนๆหนึ่ง) มีอิมพิแดนซ์เท่ากับ Z
ซึ่งประกอบด้วย ส่วนความต้านทาน R และส่วนรีแอกแตนซ์ Xc
หรือ Z=R+jXc ทำให้ได้

V=(R+jXc)I=RI+j(Xc)I

จะเห็นได้ว่า V=RI พอดี ถ้าอุปกรณ์ตัวนั้นที่เป็นก้อนๆหนึ่งประกอบด้วย
ตัวต้านทานลัวนๆ อุปกรณ์นี้จะเอาผลาญพลังงานเพียงอย่างเดียว

V จะไม่เท่ากับ RI ก็ต่อเมื่อ อุปกรณ์ตัวนั้น ประกอบด้วย
ส่วนส่วนสะสมพลังงาน

ถ้าพลังงานที่สะสมเป็นสนามไฟฟ้า อุปกรณ์ตัวนั้นคือ ตัวเก็บประจุ
ถ้าในรูปสนามแม่เหล็กคือ             อุปกรณ์ตัวนั้นคือ ขดลวด

แหม...จะถามเอาไปทำการบ้าน ส่งครูหรือเปล่าครับ
ถ้าเอาไปส่งแล้วไม่ถูก ไม่ได้คะแนน อย่าว่ากันนะครับ


ออฟไลน์ chairat

  • **
    • กระทู้: 76
    • เพศ:ชาย
ชื่อก็บอกแล้วครับว่า rms=root mean square

ต้องทำตามลำดับ จากหลังไปหน้า ดังนี้ครับ
1. square หมายถึงยกกำลังสอง ทำได้โดยนำฟังก์ชัในรูปโดเมนเวลา
    มายกกำลังสอง ค่าที่ได้จะเป็นค่าบวก (positive definite) ซึ่งความหมายในทางกายภาพ ก็คือ
    เปลี่ยนฟังก์ชันให้อยู่ในรูปพลังงาน

2. จากนั้น เฉลี่ยตลอดหนึ่งคาบ (ถ้าเป็นไซน์นูซอย์ คาบเท่ากับ 2*pi) ซึ่งทำได้โดย
    การอินทิเกรตบนตัวแปรเวลาตลอดช่วงหนึ่งคาบ จากนั้นหารด้วยคาบเพื่อเฉลี่ย

3. หลังจากนั้น root หมายถึงรากที่สอง แต่ละคำว่าที่ "สอง" ไว้ในใจครับ
    เพราะไม่ต้องการให้เบิ้นเสียง "สอง" สองครั้ง ซ้ำกับข้อแรก
    การหาค่ารากที่สอง จะทำให้ พลังงานกลับมาอยู่หน่วยเดิมครับ
    เช่น ในรูปโวลต์ ถ้าเป็นแรงดัน

rms มีที่มาจากพลังงาน ตามข้อความตอบกระทู้ข้างบนนี้ถูกต้องแล้วครับ
 


ออฟไลน์ -=(หวาก)=-

  • ****
    • กระทู้: 260
ที่ผมเข้าใจ ไม่ว่าจะ DC หรือ AC กฏของโอมห์ยังใช้ได้เสมอครับ
แต่ในกรณีของ AC หรือความถี่นั้นต้องมีการนำค่าพารามิเตอร์ต่างๆเข้ามาคำนวนด้วย แล้วสุดท้ายจึงเข้ากฏของโอมห์

ซึ่งบางกรณีอุปกรณ์ที่ใช้วัดเช่นมิเตอร์ธรรมดา ก็ไม่สามารถจับค่าได้หมด ผลที่วัดออกมาได้จึงเหมือนว่าไม่เป็นไปตามกฏของโอมห์

ตอบคำถาม
1.ทำไมเวลาแปลง AC เป็น DC ถึงต้องคูณความต่างศักย์ด้วย 1.414 ครับ
>>>>1.414 เป็นส่วนกลับของ Vrms หรือ1/0.707 ค่า Vrms คือค่าประสิทธิผลที่เกิดกำลังงานจริงของ AC เมื่อเที่ยบกับ DC
>>>>แต่ไม่ใช่ค่าเฉลี่ยโดยพื้นที่นะครับ อันนั้นคือ Vavg 

2.อุปกรณ์ชิ้นใดที่ค้านกับกฎ V = IR (นึกไม่ออกเลยครับ) >>> ถ้าเอากันลึกๆจริงๆแล้วไม่มีครับ เหตุผลข้างต้น
-=(เสียงที่ดี คือ เสียงที่ชอบ)=-


ออฟไลน์ nopphong

  • *****
    • กระทู้: 915
อุปกรณ์ที่ไม่เป็นเชิงเส้น เปลี่ยนแปลงตามความถี่ หรือเปลี่ยนตามอะไรก็แล้วแต่ ก็มีสูตรคำนวนหาส่วนที่เปี่ยนแปลงเพื่อมาคำนวนเป็นค่า R,i,V (ณ.จุดนั้นๆ หรือ ความถี่นั้นๆ) แล้วนำมาเข้ากฎของโอมห์ได้เสมอครับ อย่างขดลวด มีค่า xL ซึ่งก็คือค่า R ณ.ความถี่นั้นๆและสามารถเข้ากฎของโอมห์เพื่อหากระแสไหลผ่านที่ความถี่นั้นๆได้ครับ แต่ความถี่เปลี่ยนค่า xL ก็เปลี่ยน กระแสในแต่ละความถี่ก็จะไม่เท่ากันครับ

ดังนั้นส่วนตัวคิดว่ากฎของโอมห์ใช้ได้เสมอ เพียงแต่การหาค่า v,I,R นั้นแตกต่างกันไปตามสถานะการณ์และอุปกรณ์แต่ละชนิดครับ


ออฟไลน์ Withaya

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,390
ผมก็เข้าใจเหมือน Mr Tube ครับ  Ohm's Law ใช้ได้เสมอ  เพียงแต่บางคนจะงง เวลาที่อุปกรณ์ทำงานไม่เป็นเชิงเส้น  หรือ เวลาเปลี่ยนจาก DC เป็น AC  , resistance เป็น impedance  หรือมีตัวแปรใดเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา 
ในวงจรเครื่องเสียงเราพูดกันแค่ traditional physic เท่านั้น ohm's Law ใช้ได้เสมอครับ  เราไม่มีทางเอา Quantum physic มายุ่งเกี่ยวในวงจรเครื่องเสียงได้  หรือว่าได้แฮะ ถ้าได้นี่ผมเลิกทำเลยนะ  :giveup  วิชานี้เกือบจะตกเอา


ออฟไลน์ 100db

  • สมาชิกรุ่น Classic ..
  • Super Star.
  • **
    • กระทู้: 2,571
    • เพศ:ชาย
  • Just fall in love with music....
    • Siam Audiophile

ออฟไลน์ oilsphinx

  • *
    • กระทู้: 43
ผมได้เข้ามาอ่านแล้ว ผมขออธิบายตามความเข้าใจของผมนะครับ (ไม่รู้ถูกรึเปลา่)

โดยส่วนตัวผมคิดว่า

Ohm's Law สามารถใช้ได้ทั้งไฟตรงและไฟสลับนะครับ  เพียงแต่ไฟตรงและสลับ ถ้าให้คำนวณกันจริงๆ อาจจะแตกต่างตรงค่าพารมิเตอร์บางอย่างที่ใช้ในการคำนวณ

และ สูตร R=V/I, V=RxI ผมว่ามันเป็นสูตรพื้นฐานในการคิด เป็นสูตรสำเร็จที่มีการคิดค้นจากสูตรยากๆ มันเป็นสูตรพื้นฐานในวงจรอิเล็คฯ ซึ่งสามารถแปลงสูตรไปหาค่าต่างๆ ได้ครับ

แต่ถ้าวงจรมีความซับซ้อนมากๆ การคิดคำนวณอาจต้องใช้สูตรอื่นที่แก้ปัญหาได้เร็วกว่า กฎของโอห์ม

ซึ่งถ้าจำไม่ผิด ค่าบางอย่างอาจมี ความถี่หรือเวลาเข้ามาเกี่ยวด้วยครับ

ยังไงก็แสดงความคิดเห็น แบ่งปันกันเยอะครับเป็นความรู้



ออฟไลน์ nut_ty

  • คนดีคือคนที่ไม่เอาเปรียบผู้อื่น ทั้งในทางตรงและทางอ้อม
  • ผู้สนับสนุน web 1ปี
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,901
    • เพศ:ชาย
เท่าที่ทราบมา Superconductivity กำเนิดขึ้นหลังจาก Ohm Laws ครับ นี่อาจจะเป็นจุดหักเหก็ได้ เพราะ R=V/I ในกรณีที่มันมีค่าความต้านทาน เป็นศูนย์ (อุปกรณ์ใดๆ ถูกทำให้ความต้านทานเป็นศูนย์โดยกระบวนการ) ก็หมายถึง V เป็น 0 ด้วย แต่ถ้ามันไม่มีโวลเตจมาเกี่ยวข้อง แล้วกระแสยังไหลได้ล่ะ เราจะเรียกมันว่าการค้านกฏของโอห์มรึเปล่า เอ่อ...งงมั้ย

อันที่จริงเรื่องนี้ตกผลึกมาตั้งแต่ก่อนผมจบ ปวช. นะ ไม่รู้ว่าผมเข้าใจผิดไปรึเปล่า http://en.wikipedia.org/wiki/Superconductivity หรือว่าผมเข้าใจผิดมา 20 กว่าปีก็ไม่ทราบ อันนั้นข้าน้อยฯ ขออภัย
นายวัชระ สลัดแก้ว
โทร 083 1214445


ออฟไลน์ analoque

  • Lifetime DIYer
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,833
  • Pro fide ablectus - Chosen for fidelity
ผมเห็นด้วยกับพี่ Mr. Tube ครับ ในขณะเดียวกันก็พอเข้าใจว่าพี TC ต้องการสื่อถึงอะไร

ที่อาจารย์ถาม แสดงว่าอาจจะมีคำตอบ ผมว่าคำตอบอาจจะไม่ลึกมาก น่าจะทำนองเดียวกับที่พี่ TC นำเสนอ แต่ถ้ามีหักมุม ผมว่าคำตอบน่าจะเป็นประมาณของพี่ Mr.Tube

ส่วนตัวไม่แน่ใจว่าที่อุณหภูมิต่ำมากๆเช่น 0k วัสดุต่างๆอาจจะไม่เป็นไปตามกฏของโอห์มนะครับ ผมแค่เดาเอา  :-X
:headphone accipio conscientia propono molior partis liberum :headphone
analoque's project
analoque's download


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
Passive component เช่น ความต้านทาน แน่นอน ต้องทำงานตาม กฎของ โอมห์ (Ohm Law ; R  = V (Voltage= volt))/ I (Current กระแส แอมป์) ในวงจรกระแสตรงแต่  Active component เช่น   ไดโอด  ไตรโอด เพ็นโตรดและอื่นๆ มันก็จะไม่ Linear ละความเป็นเชิงเส้นก็ไม่เป็นเส้นตรง ถ้าเราดูกราฟของ กระแสเพรด ของไตรโอด กับไฟที่เลี้ยงก็ไม่เป็นเส้นตรง แต่ไตรโอด มีความเป็นเชิงเส้นมากกว่าเพ็นโตรดที่ต่อแบบเพ็นโตรด    เราจึงเห็นนักเล่น Single-Ended มักจะเล่น ไตรโอดมากกว่า เพ็นโตรด เพราะว่าเราเข้าใจว่า  ความเป็นเชิงเส้นดีกว่า  Active Component (อุปกรณ์ที่ต้องการใช้พลังงานให้ทำงาน )ในบางกรณีย์ไม่ทำงานตามกฎของโอมห์ เมื่อใดมีความถี่มาเกียวข้องและมีการเปลี่ยแปลงของความถี่ กฎของโอมห์ในวงจรอีเล็คโทรนิคส์ อาจจะไม่ถูกต้องเสมอไปแล้วแต่วงจรนั้นๆ

Condenser , Resistor ถ้าใช้ในวงจรกระแสตรงแน่นอนมันทำงานตาม กฏของ โอมห์ (Ohm Law) แต่ในความเป็นจริง ถ้าเราเอา Resistor , Condenser มาใช้ในวงจร
กระแสสลับ  เนื่องจากมีความถี่ (Frequency) มาเกี่ยวข้อง ตอนนี้แม้นว่า ความถี่ไม่ใช่อุปกรณ์  แต่เป็นสิ่งที่เราต้องการคือเสียง เช่นในกรณีย์ของความถี่เสียง   ถ้าเราเอา คอนเด็นเซอร์มาต่อกับสัญญาณเสียงขาหนึ่ง และอีกขาหนึ่งของคอนเด็นเซอร์ มาต่อกับควาต้านทานลงกราวด์  ดังวงจรภาคหน้าที่นัก DIY ทุกคนใช้อยู่เช่น วงจร C 0.1 uF ต่อกับ R 200Kohm  ขาอีกด้านของ R ลงกราวด์ มันคือ High pass filter ที่ จุดตัดด้านความถี่ต่ำ -3dB Low Frequency roll off ขึ้นกับค่าของ R,C  แม้ว่าเราคงระดับ Voltage AC ไว้แต่ถ้า ความถี่ที่เข้ามาเปลี่ยนไปตั้งแต่ 5Hz ถึง 5,000Hz  สัญญาณที่ออกจาก อีกขาของ C จะมีขนาดลดลงที่ความถี่ต่ำๆ  ขนาดความสูงของสัญญาณ Vac ที่ออกจาก C โดยสัญญาณ Vac จะสูงขึ้นเมื่อความถี่สูงขึ้นจาก 5 Hz ขึ้นไปเรื่อยๆและอาจเท่ากับสัญญาณที่เข้ามาเมื่อความถี่เป็น 20Hz, 30Hz , 50Hz , 100Hz แล้วแต่ค่าของ R,C   ตอนนี้ R,C ที่อยู่ด้วยกันไม่ทำงานตามกฏของ โอมห์ เมื่อเราเอาความถี่มาเกี่ยวข้อง

สรุป V=Voltage ), R =Resistance , I= current (กระแส )จะทำงานตามกฏของโอมห์ เมื่ออยู่ในวงจรที่เป็นกระแสตรง Vdc (Voltage Dirrect current) เมื่อไรมี พารามิเตอร์ที่ 4 คือเวลา หรือ กลับกันของมันคือความถี่ มาเกี่ยวข้องอุปกรณ์นั้นๆทั้ง R, C ที่ประกอบรวมกันเป็นวงจรใด อาจจะไม่ทำงานเป็นวงจรเชิงเส้น ก็ได้

ผมสรุปประเด็นที่พี่ TC นำเสนอ มีอยู่ 2 เรื่องหลักๆ คือ

1. กฎของโอห์มใช้ได้กับไฟกระแสตรงเท่านั้น
2. อุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ประเภท Active ที่ทำงานไม่ Linear เช่น Triode, Pentode ไม่ทำงานตามกฎของโอห์ม

ผมเข้าใจพี่ TC ถูกต้องรึเปล่าครับ? ถ้าผมเข้าใจผิดรบกวนช่วยแก้ให้ด้วยครับ ถ้าผมเข้าใจประเด็นถูกต้องแล้วค่อยตอบประเด็นครับ เกรงว่าเรื่องมันจะแตกประเด็นไปมากน่ะครับ :)


ออฟไลน์ ช็อต

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,394
  • Michael Faraday
เศรษฐีตบตีกัน แก้วแหวนเงินทองตกกระเด็นให้คนยากแค้นเก็บ O0
พระสงฆ์ถกปัญหาธรรม ธรรมนั้นตกแก่ผู้ประพฤติตาม O0 O0
บัณฑิตแก้ความรู้กัน ความรู้นั้นก็ตกแก่ผู้รับฟัง O0 O0 O0
...ฉันใดก็ฉันนั้นครับ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 กรกฎาคม, 2011, 09:33:38 pm โดย ช็อต »
ข้อมูลส่วนตัว http://www.htg2.net/index.php?topic=37145.0


ออฟไลน์ Tube Collector

  • Super Star.
  • **
    • กระทู้: 2,690
    • เพศ:ชาย
  • มีความสุข ในการที่จะเป็นผู้ให้
Passive component เช่น ความต้านทาน แน่นอน ต้องทำงานตาม กฎของ โอมห์ (Ohm Law ; R  = V (Voltage= volt))/ I (Current กระแส แอมป์) ในวงจรกระแสตรงแต่  Active component เช่น   ไดโอด  ไตรโอด เพ็นโตรดและอื่นๆ มันก็จะไม่ Linear ละความเป็นเชิงเส้นก็ไม่เป็นเส้นตรง ถ้าเราดูกราฟของ กระแสเพรด ของไตรโอด กับไฟที่เลี้ยงก็ไม่เป็นเส้นตรง แต่ไตรโอด มีความเป็นเชิงเส้นมากกว่าเพ็นโตรดที่ต่อแบบเพ็นโตรด    เราจึงเห็นนักเล่น Single-Ended มักจะเล่น ไตรโอดมากกว่า เพ็นโตรด เพราะว่าเราเข้าใจว่า  ความเป็นเชิงเส้นดีกว่า  Active Component (อุปกรณ์ที่ต้องการใช้พลังงานให้ทำงาน )ในบางกรณีย์ไม่ทำงานตามกฎของโอมห์ เมื่อใดมีความถี่มาเกียวข้องและมีการเปลี่ยแปลงของความถี่ กฎของโอมห์ในวงจรอีเล็คโทรนิคส์ อาจจะไม่ถูกต้องเสมอไปแล้วแต่วงจรนั้นๆ

Condenser , Resistor ถ้าใช้ในวงจรกระแสตรงแน่นอนมันทำงานตาม กฏของ โอมห์ (Ohm Law) แต่ในความเป็นจริง ถ้าเราเอา Resistor , Condenser มาใช้ในวงจร
กระแสสลับ  เนื่องจากมีความถี่ (Frequency) มาเกี่ยวข้อง ตอนนี้แม้นว่า ความถี่ไม่ใช่อุปกรณ์  แต่เป็นสิ่งที่เราต้องการคือเสียง เช่นในกรณีย์ของความถี่เสียง   ถ้าเราเอา คอนเด็นเซอร์มาต่อกับสัญญาณเสียงขาหนึ่ง และอีกขาหนึ่งของคอนเด็นเซอร์ มาต่อกับควาต้านทานลงกราวด์  ดังวงจรภาคหน้าที่นัก DIY ทุกคนใช้อยู่เช่น วงจร C 0.1 uF ต่อกับ R 200Kohm  ขาอีกด้านของ R ลงกราวด์ มันคือ High pass filter ที่ จุดตัดด้านความถี่ต่ำ -3dB Low Frequency roll off ขึ้นกับค่าของ R,C  แม้ว่าเราคงระดับ Voltage AC ไว้แต่ถ้า ความถี่ที่เข้ามาเปลี่ยนไปตั้งแต่ 5Hz ถึง 5,000Hz  สัญญาณที่ออกจาก อีกขาของ C จะมีขนาดลดลงที่ความถี่ต่ำๆ  ขนาดความสูงของสัญญาณ Vac ที่ออกจาก C โดยสัญญาณ Vac จะสูงขึ้นเมื่อความถี่สูงขึ้นจาก 5 Hz ขึ้นไปเรื่อยๆและอาจเท่ากับสัญญาณที่เข้ามาเมื่อความถี่เป็น 20Hz, 30Hz , 50Hz , 100Hz แล้วแต่ค่าของ R,C   ตอนนี้ R,C ที่อยู่ด้วยกันไม่ทำงานตามกฏของ โอมห์ เมื่อเราเอาความถี่มาเกี่ยวข้อง

สรุป V=Voltage ), R =Resistance , I= current (กระแส )จะทำงานตามกฏของโอมห์ เมื่ออยู่ในวงจรที่เป็นกระแสตรง Vdc (Voltage Dirrect current) เมื่อไรมี พารามิเตอร์ที่ 4 คือเวลา หรือ กลับกันของมันคือความถี่ มาเกี่ยวข้องอุปกรณ์นั้นๆทั้ง R, C ที่ประกอบรวมกันเป็นวงจรใด อาจจะไม่ทำงานเป็นวงจรเชิงเส้น ก็ได้
ชีวิตนี้ต้องเรียนรู้ไม่รู้จบ พร้อมที่จะยอมรับความเห็นของผู้อื่น 
ยอมรับในความผิดพลาดของตัวเอง พร้อมที่จะให้โดยไม่มีความหวังใดๆ
ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย  ทำงานหนัก และมีความรับผิดชอบต่อตัว
เองและผู้อื่น เมื่อนั้นความสุขจะอยู่กับ เราตลอดเวลา และตลอดไป
และอย่าลืมรักษาสุขภาพด้วย


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
Non-Linear มีค่าเป็น Exponential เช่น Charge / Discharge ของ Condenser .

Frequency Ringing ที่ค่อยดังและเงียบลงไป  เช่นเมื่อเราเอาหินโยนขึ้นฟ้าและให้ตกลงน้ำจะเห็นวงของคลื่นน้ำ
ที่เกิดรอบๆจุดที่หินตกน้ำ และวงที่กว้างขึ้นแตขนาดความสูงของคลื่นน้ำที่ลดลงโดยไม่เป็นเชิงเส้น

Harmonics ของเสียง ทั้ง เลขคี่ (Odd Harmonics ) และ เลขคู่ (Even Harmonics )

Inductance ก็เป็น Non-Linear ไม่ขึ้นกับสัญญาณเชิงเส้นที่เป็น Linear เช่นกฎของโอมห์

Frequency Oscillator ( ตัวสร้างสัญญาณความถี่ )ทั้งความถี่เสียง และ ความถี่วิทยุ
และอีกมาก ไม่เข้ากับ กฏของโอมห์

ขออนุญาตหักล้างนะครับ Freq Ringing, Harmonic ไม่เป็นอุปกรณ์ Electronic ครับ ขอไม่พูดถึงนะครับ

Condensor มีการ Charge/Discharge ไม่เป็นเชิงเส้นจริง (Q/t เป็น Exponential) แต่ ณ เวลาหนึ่ง เราก็รู้ว่า V และ I เป็นเท่าไหร่ ก็รู้ว่า R เป็นเท่าไหร่ครับ

Inductance ก็เช่นกัน การสะสมพลังงานต่อเวลา ไม่เป็นเชิงเส้น แต่ ณ เวลาหนึ่ง เราก็รู้ V/I ก็คือ R เช่นกันครับ

Freq Oscillator นับเป็นวงจรครับ ถ้าจะพูดถึงอุปกรณ์ที่กำเนิดความถี่ ก็มี Crystal และ Resonator (มี R/L/C เป็นส่วนประกอบ) ครับ R/L/C คงไม่ต้องพูดถึงเพราะอธิบายได้ตามกฎของโอมห์อยู่แล้ว ส่วน Crystal นี่ผมไม่แน่ใจครับ แต่ก็ยังเห็นว่าเรารู้ V กับ I ได้ ก็รู้ว่า R เป็นเท่าไหร่ครับ คงที่หรือไม่ ผมว่าไม่ใช่ประเด็นสำคัญในเรื่องเป็นไปตามหรือค้านกฎของโอมห์ครับ

ขอยกกฎของโอมห์มาจาก Wikipedia นะครับ http://en.wikipedia.org/wiki/Ohm's_law
อ้างถึง
Ohm's law states that the current through a conductor between two points is directly proportional to the potential difference across the two points, and inversely proportional to the resistance between them

จะเห็นว่าอุปกรณ์นั้นไม่ว่าจะ Linear หรือ Non-Linear ก็ล้วนถูกอธิบายด้วยกฎของโอมห์ครับ ถ้าจะมีอุปกรณ์ตัวไหน ที่ค้านกับกฎของโอมห์ ก็คือวัด V กับ I แล้วเอามาหารกันไม่เท่ากับ R ซึ่งเป็นไปไม่ได้ครับ เพราะนิยามของ R คือ V/I ถ้าหารกันแล้วไม่เท่า ก็แสดงว่านั่นไม่ใช่ค่า R เป็นแต่ค่าอย่างอื่นครับ


ออฟไลน์ Tube Collector

  • Super Star.
  • **
    • กระทู้: 2,690
    • เพศ:ชาย
  • มีความสุข ในการที่จะเป็นผู้ให้
Non-Linear มีค่าเป็น Exponential เช่น Charge / Discharge ของ Condenser .

Frequency Ringing ที่ค่อยดังและเงียบลงไป  เช่นเมื่อเราเอาหินโยนขึ้นฟ้าและให้ตกลงน้ำจะเห็นวงของคลื่นน้ำ
ที่เกิดรอบๆจุดที่หินตกน้ำ และวงที่กว้างขึ้นแตขนาดความสูงของคลื่นน้ำที่ลดลงโดยไม่เป็นเชิงเส้น

Harmonics ของเสียง ทั้ง เลขคี่ (Odd Harmonics ) และ เลขคู่ (Even Harmonics )

Inductance ก็เป็น Non-Linear ไม่ขึ้นกับสัญญาณเชิงเส้นที่เป็น Linear เช่นกฎของโอมห์

Frequency Oscillator ( ตัวสร้างสัญญาณความถี่ )ทั้งความถี่เสียง และ ความถี่วิทยุ
และอีกมาก ไม่เข้ากับ กฏของโอมห์
ชีวิตนี้ต้องเรียนรู้ไม่รู้จบ พร้อมที่จะยอมรับความเห็นของผู้อื่น 
ยอมรับในความผิดพลาดของตัวเอง พร้อมที่จะให้โดยไม่มีความหวังใดๆ
ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย  ทำงานหนัก และมีความรับผิดชอบต่อตัว
เองและผู้อื่น เมื่อนั้นความสุขจะอยู่กับ เราตลอดเวลา และตลอดไป
และอย่าลืมรักษาสุขภาพด้วย


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
2.อุปกรณ์ชิ้นใดที่ค้านกับกฎ V = IR (นึกไม่ออกเลยครับ)
ขอบคุณน้าๆอย่างสูงครับ  :'(

แง้มกะลามาตอบว่า ไม่มีครับ ขึ้นชื่อว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แล้ว พื้นฐานมาจากกฎของโอมห์ทั้งนั้นครับ แต่ผมอาจจะเข้าใจคำถามไม่ดีพอหรือคำถามมันอาจจะดิ้นได้ ก็ต้องรอฟังเฉลยครับ

จริงๆ แล้วในสูตร V = IR นั้น สูตรต้นของมันคือ V/I = R ครับ คือ V และ I เป็นค่าจริงทางไฟฟ้า ส่วนค่า R นั้นเป็นค่าสมมุติแทนค่าสัดส่วน V/I ครับ จะเห็นว่าเราไม่สามารถวัดค่า R ได้ โดยไม่รู้ V กับ I ครับ ผมเห็นว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไม่มีวันหนีพ้นจากกฎข้อนี้ครับ ;)

ส่วนที่คุณ dragonus และคุณ WIM ยกตัวอย่างมา ผมคิดว่าก็ยังคงเป็นไปตามกฎของโอมห์ครับ เพราะเราสามารถบอกได้ว่า R ของอุปกรณ์มันไม่คงที่ เรารู้ได้ว่า R ไม่คงที่ ก็เพราะเราวัดความเปลี่ยนแปลงของ V กับ I แล้วพบว่าสัดส่วนมันไม่คงที่นั่นเองครับ หมายถึงค่า R มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามค่าแรงดันหรือกระแสที่เปลี่ยนไป ก็คือกฎของโอมห์ R = V/I นั่นเองครับ


ออฟไลน์ ช็อต

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,394
  • Michael Faraday
หลังจากนั้นเราก็มาแปลงให้มันเรียบโดยใช้ตัว C มาช่วยจ่ายไฟส่วนที่ว่างตรงกลาง
แบบว่าเหมือนเราเอาดินมาถมระหว่าภูเขาเพื่อให้มันเรียบ ส่วนเรื่องตัวเลขก็ตามที่คุณ yoss ว่าไว้อ่ะครับ  Y]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 กรกฎาคม, 2011, 07:59:58 pm โดย ช็อต »
ข้อมูลส่วนตัว http://www.htg2.net/index.php?topic=37145.0


ออฟไลน์ ช็อต

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,394
  • Michael Faraday
ขอเพิ่มเติมสำหรับคนที่ยังงงๆ
ปรกติไฟกระแสสลับจะมีทั้งบวกและลบ เมื่อเราเปลี่ยนไฟสลับเป็นไฟตรง
ลูกคลื่นด้านลบจะถูกยกมาเป็นด้านบวกดังรูป
ข้อมูลส่วนตัว http://www.htg2.net/index.php?topic=37145.0


ออฟไลน์ XMan

  • E29CRZ
  • ****
    • กระทู้: 416
    • รับออกแบบแผ่น PCB สนใจติดต่อมาได้เลยครับ
1-ค่าแรงดันที่เราพูดถึงกันสำหรับแรงดัน AC จะเป็นแรงดัน RMS (Root Mean Squre) ซึ่งเท่ากับ 0.707*V Peak หรือ V Peak=1.414*VRMS ครับ (สำหรับรูปคลื่น Sine) ซึ่งแรงดัน Peak นี่จะเป็นแรงดันไฟ DC ที่ได้หลังจากผ่านวงจร Rectifier ซึ่งในความเป็นจริงค่าแรงดันจะต่ำกว่านี้เล็กน้อยครับ ส่วนหนึ่งจะหายไปกับ Recrifier และขึ้นอยู่กับวงจร filter ที่ใช้ด้วยครับ



2-งงกับคำถามเหมือนกันครับ :D

ขอกด like ให้พี่ yoss 10 ที  O0 O0
You can make it by your self
If you try it again!!!

รับออกแบบแผ่น PCB
รับติดตั้งและออกแบบระบบ Linux/Unix/Windows Server ทั้ง Internet, Firewall, Proxy, DHCP, DNS , ระบบ IP Phone, Call Center
รับเขียนโปรแกรมตามสั่งทุกประเภท


ออฟไลน์ WIM

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,396
    • เพศ:ชาย
ข้อ2 กฏของโอห์มRต้องคงที่จะได้VแปรผันตรงกับI (เป็นกราฟเส้นตรง) แต่มีสารบางชนิดที่Rไม่คงที่ขึ้นอยู่กับpotentialเช่นสารกึ่งตัวนำ ที่ทำเป็นไดโอด เเอลอีดี หรือพวกวาริสเตอร์ พวกนี้จะไม่เป็นไปตามกฏของโอห์ม
อารมณ์สร้างดนตรี......ดนตรีสร้างอารมณ์... :)
http://www.htg2.net/index.php?topic=54247.msg647885


ออฟไลน์ Milestone

  • ***
    • กระทู้: 100
    • เพศ:ชาย
ขอบคุณสำหรับข้อ 1 ครับ
ส่วนข้อ 2 อาจารย์เค้าถามมา เล่นเอานั่ง งง กันทั้งห้องมันมีด้วยเหรอ
แล้วก็โดนว่า เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้  :'(

ปล ผมจบเอกเคมีครับคุณครู  :shutup
ที่อยู่&เบอร์โทร  http://www.htg2.net/index.php?topic=71166.msg881268


ออฟไลน์ dragonus

  • ****
    • กระทู้: 263
ข้อที่ 2 ผมเข้าใจว่าคุณ Milestone คงหมายถึงอุปกรณ์ที่ไม่เป็นเชิงเส้นหรือเปล่า เพราะอุปกรณ์ที่ไม่เป็นเชิงเส้นจะไม่เป็นไปตามกฎของโอห์ม เช่น ไดโอด ตามกฎของโอห์มเมื่อความต้านทานคงที่ แรงดันเพิ่มกระแสจะเพิ่มตาม  :victory


ออฟไลน์ yoss

  • Super Star.
  • **
    • กระทู้: 2,170
1-ค่าแรงดันที่เราพูดถึงกันสำหรับแรงดัน AC จะเป็นแรงดัน RMS (Root Mean Squre) ซึ่งเท่ากับ 0.707*V Peak หรือ V Peak=1.414*VRMS ครับ (สำหรับรูปคลื่น Sine) ซึ่งแรงดัน Peak นี่จะเป็นแรงดันไฟ DC ที่ได้หลังจากผ่านวงจร Rectifier ซึ่งในความเป็นจริงค่าแรงดันจะต่ำกว่านี้เล็กน้อยครับ ส่วนหนึ่งจะหายไปกับ Recrifier และขึ้นอยู่กับวงจร filter ที่ใช้ด้วยครับ



2-งงกับคำถามเหมือนกันครับ :D
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 กรกฎาคม, 2011, 06:18:14 pm โดย yoss »


ออฟไลน์ Milestone

  • ***
    • กระทู้: 100
    • เพศ:ชาย
1.ทำไมเวลาแปลง AC เป็น DC ถึงต้องคูณความต่างศักย์ด้วย 1.414 ครับ
2.อุปกรณ์ชิ้นใดที่ค้านกับกฎ V = IR (นึกไม่ออกเลยครับ)

ขอบคุณน้าๆอย่างสูงครับ  :'(
ที่อยู่&เบอร์โทร  http://www.htg2.net/index.php?topic=71166.msg881268