Home Theater Guide webboard > มุม โฮมเธียเตอร์ (HT)
ฟังเพลงจาก Mac กันดีกว่าครับ (Thunderbolt) ภาค2 ต่อจากปี 2008
GUNTAM:
ผมแคปหน้าจอมานะครับ การจัดเก็บเพลงให้เป็นระเบียบ ค้นหาง่าย จำเป็นต้องใช้ iTune ที่เน้นเรื่องนี้โดยเฉพาะ
ถ้าริปแผ่นแบบง่ายๆก็ริปผ่าน iTune ได้เลย สำหรับ Mac ผมทกสอบแล้วว่า .aiff ให้คุณภาพได้ดีที่สุด
สำหรับ iTune เลือกได้สูงสุดที่ 16bit/48 เวลาริปผ่าน iTune ต้องมี Apple ID ก่อน และต่ออินเตอร์เนทไว้ชณะใส่แผ่น iTune จะค้นหาชื่อแผ่นและรายชื่อเพลงได้เลย
เมื่อสั่งริปแล้วจะได้ชื่ออัลบั้มและรายชื่อเพลงที่ถูกต้อง และสั่ง Get Album Artbork ก็จะได้หน้าตาการจัดเก็บแบบที่ผมแคปเจอร์หน้าจอมาครับ
แต่ถ้าต้องการริปให้ได้เป็น 88, 96 ต้องใช้โปรแกรมอื่นครับ และไฟล์จะใหญ่ขึ้นอีกมาแทบจะเท่ากับแผ่น DVD
สำหรับชุดของผมที่เป็น Macbook Air + Motu Ultralite MKII จะปรับตั้งประมาณนี้ได้เสียงดีที่สุด ทดลองปรับแต่งอยู่หลายอาทิตย์จนลงตัว
ชุดมาตราฐาน Mac mini (เปลี่ยน HDD เป็น SSD) + HDD Buffalo Firewire (เก็บเพลง) + M-Audio Profire 610 (Firewire) เอาท์พุทเป็น COAX ต่อเข้ากับ DAC ของ Poem ครับ
surapong.d:
--- อ้างจาก: Goda Takeshi ที่ 12 มีนาคม, 2013, 08:44:32 pm ---เห็นด้วยกับ คุณ Guntam ครับ อุปกรณ์ไว้ฟังเพลงก็ไว้ฟังเพลง อุปกรณ์ไว้ทำเพลงก็ไว้ทำเพลงครับ สำหรับการ ทำเพลง ซึ่งต้อง mix เสียงจากหลายแหล่ง firewire ทำได้ดีกว่ามากครับ เห็นได้ชัดครับว่า firewire support channel ได้มากกว่า และมี lantency น้อยกว่าครับ ซึ่งถ้าฟังเพลงจากหลายแหล่งพร้อมกัน มอง interface firewire ไว้จะทำขยับขยายได้สะดวกครับ
ที่ผมเอามาเขียน ผมไม่ได้ลำบากอะไรที่จะหามาเล่าให้ฟัง ใครๆก็หาจากอากู๋ หาจาก wiki ก็ได้ไม่ยากครับ เพียงแค่ทำความเข้าใจกับมันคร่าวๆครับ ว่ามันทำงานได้อย่างไร
เสียงที่ฟังแล้วไม่เหมือนกัน ทั้งๆที่ไฟล์เท่ากันมันน่าจะปรับที่จุดไหน มันน่าจะเกิดขึ้นได้เพราะอะไร เท่านั้นเองครับ
หลายท่านในนี้ก็มีกำลังทรัพย์ต่างกันดังนั้นการเข้าถึงอุปกรณ์ก็ทำได้ต่างกัน แต่เรื่องการทำความเข้าใจนั้นขอให้รักการอ่านก็พอ ก็สามารถลงมืออ่านได้เลยครับ ถ้าเข้าใจว่ามันทำงานได้อย่างไร
ก็จะทำให้เราฟังเพลงโดยลดจำนวนข้อกังวลไปได้ครับ และทำให้มีความเข้าใจมากขึ้นในการเลือกอุปกรณ์ครับ
ผมเองเป็นทั้ง คนฟังเพลง และ diy เครื่องเสียงเอง โปรแกรมอ่านไฟล์เพลงก็เคยเขียน ซึ่งผมก็เข้าใจดีครับว่า ต่อให้เป็นอุปกรณ์ตัวเดียวกัน เล่นเพลงต่างเวลากันก็ฟังได้ไม่เหมือนกัน เรื่องนี้เราฟังเพลงกันก็คงทราบกันดีครับ
--- End quote ---
กด Like :clap :clap :clap
Goda Takeshi:
เห็นด้วยกับ คุณ Guntam ครับ อุปกรณ์ไว้ฟังเพลงก็ไว้ฟังเพลง อุปกรณ์ไว้ทำเพลงก็ไว้ทำเพลงครับ สำหรับการ ทำเพลง ซึ่งต้อง mix เสียงจากหลายแหล่ง firewire ทำได้ดีกว่ามากครับ เห็นได้ชัดครับว่า firewire support channel ได้มากกว่า และมี lantency น้อยกว่าครับ ซึ่งถ้าฟังเพลงจากหลายแหล่งพร้อมกัน มอง interface firewire ไว้จะทำขยับขยายได้สะดวกครับ
ที่ผมเอามาเขียน ผมไม่ได้ลำบากอะไรที่จะหามาเล่าให้ฟัง ใครๆก็หาจากอากู๋ หาจาก wiki ก็ได้ไม่ยากครับ เพียงแค่ทำความเข้าใจกับมันคร่าวๆครับ ว่ามันทำงานได้อย่างไร
เสียงที่ฟังแล้วไม่เหมือนกัน ทั้งๆที่ไฟล์เท่ากันมันน่าจะปรับที่จุดไหน มันน่าจะเกิดขึ้นได้เพราะอะไร เท่านั้นเองครับ
หลายท่านในนี้ก็มีกำลังทรัพย์ต่างกันดังนั้นการเข้าถึงอุปกรณ์ก็ทำได้ต่างกัน แต่เรื่องการทำความเข้าใจนั้นขอให้รักการอ่านก็พอ ก็สามารถลงมืออ่านได้เลยครับ ถ้าเข้าใจว่ามันทำงานได้อย่างไร
ก็จะทำให้เราฟังเพลงโดยลดจำนวนข้อกังวลไปได้ครับ และทำให้มีความเข้าใจมากขึ้นในการเลือกอุปกรณ์ครับ
ผมเองเป็นทั้ง คนฟังเพลง และ diy เครื่องเสียงเอง โปรแกรมอ่านไฟล์เพลงก็เคยเขียน ซึ่งผมก็เข้าใจดีครับว่า ต่อให้เป็นอุปกรณ์ตัวเดียวกัน เล่นเพลงต่างเวลากันก็ฟังได้ไม่เหมือนกัน เรื่องนี้เราฟังเพลงกันก็คงทราบกันดีครับ
GUNTAM:
--- อ้างจาก: Goda Takeshi ที่ 11 มีนาคม, 2013, 10:01:32 pm ---อุปกรณ์ในห้องอัดเสียง ใช้ firewire ก็เหมาะสมครับ เพราะต้องการ latency ต่ำมากในการ mix เสียง
ถ้าไม่ต้องการ latency ต่ำเพื่อ mix usb 2.0 ก็ยังเอาอยู่ครับ ปัจจุบัน DAC chip กับ i2s chip พัฒนาเป็นเบบ buffer/reclock
ทำให้ปัญหาเรื่อง clock กับ jitter ลดลงไปมาก เวลาที่ i2s chip convert SPDIF เป็น i2s จะใช้ reclock ด้วย clock คนละตัวกับ usb clock ทำให้ clock ของ medium of transport มีผลน้อยลงครับ พวก DAC commercial ยังเอาจุดนี้มาโฆษณาครับ
ใน ไฟล์เพลง จะไม่มีการบันทึก ช่วงเวลาระหว่าง bit ไว้ ซึ่งก็ไม่ได้มีการกำหนดว่าข้อมูล bit ถัดไปจะมาอีกกี่ pico sec ดังนั้นจะไม่มีการเกิดขึ้นของ jitter จากข้อมูลโดยตรงครับ ส่วนข้อมูล clock ที่มีอยู่ในไฟล์ จะเป็น clock ของ sampling rate ครับ ไม่ใช่ clock ของ ช่องไฟ ของแต่ละ bit ครับ
jitter จะเกิดขึ้นตอนเล่น เมื่อทำการ stream ข้อมูลนั้นๆจาก device หนึ่งไปอีกที่ jitter จะมาโดยอยู่ที่ความแม่นยำของ clock ในแต่ละช่องไฟ ตรงนี้จะอยู่ที่ความสามารถของคนเขียน driver ว่าเขียนการ stream ได้ดีแค่ไหน และ clock ของอุปกรณ์ส่งไม่แย่จนเกินไป ซึ่งมันก็พอกับ การฟังเพลง 2 channel ครับ ซึ่งปัญหานี้บริษัท ผลิต chip ก็ใช้วิธี buffer แล้วเอาไป reclock ด้วย precision clock อีกที
จะเห็นได้ว่า ต่อให้ส่งข้อมูลได้มากขึ้นเร็วขึ้น จาก transport medium ก็จะไปถูก buffer อยู่ดี ข้อกำหนดคือ transport medium ขอให้ส่ง bit ได้ครบ ก็ทำงานได้ครับ
ซึ่ง ทำให้ DAC จะมีความสำคัญมากกว่า transport medium แต่หลังจาก ภาด DAC ก็จะเป็น ภาค อนาล็อค ของ DAC ซึ่งภาคนี้ให้ผลกับเสียงได้่ชัดเจนมากกว่าครับ เรื่องการใช้ buffer นี้ลองสังเกตุได้จาก chip ที่ใช้ใน hires-usb DAC ก็ได้ครับ ตัว chip เป็น DSP แบบหนี่งซึ่ง โหลดเอา software (firmware) เข้าไป firmware ของ chip ก็จะเก็บข้อมูลที่ส่งมา buffer ไว้ แล้วค่อยส่งไปให้ i2s chip อีกที่ครับ i2s chip ก็ส่ง ข้อมูลให้ DAC ต่อไปครับ
--- End quote ---
แนะนำให้หาเครื่องมาทดสอบดูนะครับ ไม่ต้องไปขุดตำรามากมายหรอกครับ เครื่องเสียงมีไว้ฟังเพลงครับ ไฟล์ที่ส่งผ่านแบบ USB อ่านข้อมูลส่วนไหนก่อนก็ส่งก่อน ซึ่งในการทำงานเพลงระบบนี้ไม่มีความเหมาะสม
ใช้ทำงานระดับพอใช้ได้ แต่ไม่ใช่ระบบที่ดีสำหรับความต้องการคุณภาพสูงสุด ซึ่งเป็นเรื่องที่สดสอบง่ายมากๆๆๆๆๆๆๆๆ นะครับ ลองหา DAC มาฟังเทียบดูก็รู้แล้วครับ
พวก DAC USB คุณภาพพอใช้ได้เพราะพัฒนามาหลายปี แต่ถ้าเอาคุณภาพจริงๆก็ต้องใช้ Firewire เรียกว่า USB เอาไว้ทำเพลงเดโม่ แต่ถ้าจะทำของจริงก็ใช้ Firewire
แต่เดิม USB ก็เอาไว้ต่อเมาส์ คีย์บอร์ด ปริ๊นเตอร์ พออัพความเร็วขึ้นมาหน่อยก็ทำอะไรได้มากขึ้น แต่ Firewire ถูกออกแบบสำหรับงานวีดีโอและดิจิตอลสตูดิโอโดยเฉพาะตั้งแต่แรก และไม่มีความจำเป็นที่จะเอามาทำปริ๊นเตอร์ Firewire
หรือเมาส์ เรียกว่าโครงสร้างตอนเกิดก็ต่างกันมากแล้วยังไม่รวมถึงการพัฒนาไดรเวอร์ที่มีศักยภาพต่างกัน
Goda Takeshi:
อุปกรณ์ในห้องอัดเสียง ใช้ firewire ก็เหมาะสมครับ เพราะต้องการ latency ต่ำมากในการ mix เสียง
ถ้าไม่ต้องการ latency ต่ำเพื่อ mix usb 2.0 ก็ยังเอาอยู่ครับ ปัจจุบัน DAC chip กับ i2s chip พัฒนาเป็นเบบ buffer/reclock
ทำให้ปัญหาเรื่อง clock กับ jitter ลดลงไปมาก เวลาที่ i2s chip convert SPDIF เป็น i2s จะใช้ reclock ด้วย clock คนละตัวกับ usb clock ทำให้ clock ของ medium of transport มีผลน้อยลงครับ พวก DAC commercial ยังเอาจุดนี้มาโฆษณาครับ
ใน ไฟล์เพลง จะไม่มีการบันทึก ช่วงเวลาระหว่าง bit ไว้ ซึ่งก็ไม่ได้มีการกำหนดว่าข้อมูล bit ถัดไปจะมาอีกกี่ pico sec ดังนั้นจะไม่มีการเกิดขึ้นของ jitter จากข้อมูลโดยตรงครับ ส่วนข้อมูล clock ที่มีอยู่ในไฟล์ จะเป็น clock ของ sampling rate ครับ ไม่ใช่ clock ของ ช่องไฟ ของแต่ละ bit ครับ
jitter จะเกิดขึ้นตอนเล่น เมื่อทำการ stream ข้อมูลนั้นๆจาก device หนึ่งไปอีกที่ jitter จะมาโดยอยู่ที่ความแม่นยำของ clock ในแต่ละช่องไฟ ตรงนี้จะอยู่ที่ความสามารถของคนเขียน driver ว่าเขียนการ stream ได้ดีแค่ไหน และ clock ของอุปกรณ์ส่งไม่แย่จนเกินไป ซึ่งมันก็พอกับ การฟังเพลง 2 channel ครับ ซึ่งปัญหานี้บริษัท ผลิต chip ก็ใช้วิธี buffer แล้วเอาไป reclock ด้วย precision clock อีกที
จะเห็นได้ว่า ต่อให้ส่งข้อมูลได้มากขึ้นเร็วขึ้น จาก transport medium ก็จะไปถูก buffer อยู่ดี ข้อกำหนดคือ transport medium ขอให้ส่ง bit ได้ครบ ก็ทำงานได้ครับ
ซึ่ง ทำให้ DAC จะมีความสำคัญมากกว่า transport medium แต่หลังจาก ภาด DAC ก็จะเป็น ภาค อนาล็อค ของ DAC ซึ่งภาคนี้ให้ผลกับเสียงได้่ชัดเจนมากกว่าครับ เรื่องการใช้ buffer นี้ลองสังเกตุได้จาก chip ที่ใช้ใน hires-usb DAC ก็ได้ครับ ตัว chip เป็น DSP แบบหนี่งซึ่ง โหลดเอา software (firmware) เข้าไป firmware ของ chip ก็จะเก็บข้อมูลที่ส่งมา buffer ไว้ แล้วค่อยส่งไปให้ i2s chip อีกที่ครับ i2s chip ก็ส่ง ข้อมูลให้ DAC ต่อไปครับ
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version