HTG2.club
Home Theater Guide webboard => มุม Thai DIY Audio => ข้อความที่เริ่มโดย: Create_Lek ที่ 16 พฤษภาคม, 2009, 12:35:55 am
-
การต่อ R ( 2K ) และ C ( 390pF ) จาก Sec OPT ไปที่ คาโทดของหลอด drive เพื่ออะไร และ มีผลจากการทำแบบนี้อย่างไรบ้าง ครับ ขอบคุณครับ :)
(http://www2u.biglobe.ne.jp/~tossie/PEN45SE.sch.gif)
-
เห็นเขียนว่า NFB น่าจะเป็น negative feedback ครับ (ความเห็นส่วนตัวผิดถูกยังไงขออภัยด้วยครับ มือใหม่)
-
ขอบคุณครับ นั่นแหละครับ ที่อยากรู้ว่ามีผลอย่างไรเพื่ออะไร และ มี กับ ไม่มี ต่างกันอย่างไร :)
-
NFB ทำให้ Stability ของวงจรดีขึ้น เกิดการ Oscillation ได้ยากขึ้น Distortion ลดลง คือดีหมดทุกอย่างเลย
แต่ถ้า feed back มากเกินไปเสียงจะอับ ไม่เปิด ไม่ได้เรื่องเลย แต่มีนิดๆ น่าจะดีครับ
c ค่าเล็ก เอาไว้ ชดเชยของ Phase Shift ที่ High Frequencey ครับ ลืมไปครับ Noise ด้วยครับ
-
NFB ทำให้ Stability ของวงจรดีขึ้น เกิดการ Oscillation ได้ยากขึ้น Distortion ลดลง คือดีหมดทุกอย่างเลย
แต่ถ้า feed back มากเกินไปเสียงจะอับ ไม่เปิด ไม่ได้เรื่องเลย แต่มีนิดๆ น่าจะดีครับ
Y] Y]ตามตำราท่านว่าอย่างนั้นแหละครับ ช่วยลดความเพี้ยนได้/ช่วยให้อัตราขยายของวงจรทำงานได้เสถียร และถ้าป้อนกลับแล้วเสียงจะอับทึบ เลยต้องใส่ไฮพาสฟิลเตอร์(ซี.ค่าน้อยๆกับอาร์.นั่นแหละ)เพื่อชดเชยความถี่สูง
-
ลองอ่านที่นี่ http://www.htg2.net/index.php?topic=14934.0
-
ไม่ทราบว่ามันทำงานเหมือนกับ RC ป้อนกลับ ที่ใช้กำหนดเกนขยายของ Opamp หรือเปล่าครับ
-
ขอบคุณทุกท่านครับ ถามต่ออีกหน่อย แล้วมีวิธีการคำนาณ หาค่า NFB มั้ย แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเหมาะสมกับวงจร หรือ ไม่ นอกจากการฟัง :)
-
NFB ทำให้ Stability ของวงจรดีขึ้น เกิดการ Oscillation ได้ยากขึ้น Distortion ลดลง คือดีหมดทุกอย่างเลย
แต่ถ้า feed back มากเกินไปเสียงจะอับ ไม่เปิด ไม่ได้เรื่องเลย แต่มีนิดๆ น่าจะดีครับ
c ค่าเล็ก เอาไว้ ชดเชยของ Phase Shift ที่ High Frequencey ครับ ลืมไปครับ Noise ด้วยครับ
เป็นดั่งที่พี่ลำน้ำว่าครับ ค่าที่วงจรเขาใส่มา บางครั้งก็ดี บางครั้งก็เลว เนื่องจากค่าที่เขาคำนวนมาไม่ตรงกับ OPT ที่เรามี หรือหากมีเบอร์นั้นเลยคงดีแน่
ผมใช้วิธินี้ครับ ใส่สวิสต์ไว้ ใช้ได้ทั้งแบบมี NFB และแบบไม่มี NFB บางครั้งลองเพิ่มค่า R หรือไม่ก็ลดครับ Y]
-
NFB ทำให้ Stability ของวงจรดีขึ้น เกิดการ Oscillation ได้ยากขึ้น Distortion ลดลง คือดีหมดทุกอย่างเลย
แต่ถ้า feed back มากเกินไปเสียงจะอับ ไม่เปิด ไม่ได้เรื่องเลย แต่มีนิดๆ น่าจะดีครับ
c ค่าเล็ก เอาไว้ ชดเชยของ Phase Shift ที่ High Frequencey ครับ ลืมไปครับ Noise ด้วยครับ
เป็นดั่งที่พี่ลำน้ำว่าครับ ค่าที่วงจรเขาใส่มา บางครั้งก็ดี บางครั้งก็เลว เนื่องจากค่าที่เขาคำนวนมาไม่ตรงกับ OPT ที่เรามี หรือหากมีเบอร์นั้นเลยคงดีแน่
ผมใช้วิธินี้ครับ ใส่สวิสต์ไว้ ใช้ได้ทั้งแบบมี NFB และแบบไม่มี NFB บางครั้งลองเพิ่มค่า R หรือไม่ก็ลดครับ Y]
ขอบคุณครับ แต่อยากรู้ที่มาครับ :)
-
http://en.wikipedia.org/wiki/Negative_feedback_amplifier
-
หามาได้แค่ Rf ครับ ส่วนค่า Cf ไม่ทราบว่า หาได้อย่างไรเหมือนกันครับ
Gf = Gt / 1+RkGt/(Rk+Rf)
Gf = เกนขยายที่มี NFB แล้ว
Gt = เกนขยายที่ยังไม่มี NFB
Rf = R NFB
คุณเล็ก ลองฟังทั้งแบบมี NFB มาก NFB น้อย กับ ไม่มี NFB แล้ว post แล้วเล่าว่าผลเป็นอย่างไร
เห็นสงสัยกันมานานแล้วว่า แบบไหน ให้เสียงดีสมจริงกว่ากัน :)
-
แถมอีกนิดเค้าว่ากันว่าถ้ามีมันจะทำให้ เครื่องมีdamping factorมากขึ้นครับ และก็ c ตัวนั้นที่มาไม่รู้เหมือนกันโดยปกติตอนครูสอนแกก็สอนแค่หาค่าrเท่ามั้นครับ(ส่วนที่เหลือสงสัยผมไม่ตั้งใจเรียนอีกอย่างผ่านมาสิบกว่าปีแล้วและก็ไม่เคยใช้งาน ) เพราะว่าบางวงจรเค้าไม่ใส่เลยนะครับ
-
หามาได้แค่ Rf ครับ ส่วนค่า Cf ไม่ทราบว่า หาได้อย่างไรเหมือนกันครับ
Gf = Gt / 1+RkGt/(Rk+Rf)
Gf = เกนขยายที่มี NFB แล้ว
Gt = เกนขยายที่ยังไม่มี NFB
Rf = R NFB
คุณเล็ก ลองฟังทั้งแบบมี NFB มาก NFB น้อย กับ ไม่มี NFB แล้ว post แล้วเล่าว่าผลเป็นอย่างไร
เห็นสงสัยกันมานานแล้วว่า แบบไหน ให้เสียงดีสมจริงกว่ากัน :)
ขอบคุณครับ ผมกำลังโคลนแอมป์ตัวนี้อยู่ สงสัยมานานแล้ว ตั้งแต่ทำแอมป์มา ไม่เคยลอง NFB เลย ขอลองซะหน่อยได้ผลอย่างไรเดี๋ยวจะรายงานผลครับ ขอเวลาสักสามเดือน เดี๋ยวจัดห้องก่อน รกมากครับ ;D
ปล. ผมมอง NFB เหมือนพาสซีฟ ตัวนึง R ก็คือ L ตัวนึงเหมือน Low Pass filter ถ้าตัดได้พอดีก็ครบ มากไปความถี่สูงบางช่วงก็หายไป จึงต้องทำ Hi pass filter ขึ้นมาชดเชยความถี่สูง การมีน่าจะทำให้ เสียงสอาดขึ้น แต่ก็น่าจะแลกกับ เกนที่ลดลง จึงต้องป้อนกับมายังหลอดหน้า เพื่อรักษา สมดุล ของเกน ขยาย ไม่รู้ถูกเปล่า เชิญผู้ สันทัดให้ความกระจ่างด้วยครับ :black_eye
-
เท่าที่ความรู้ที่ผมมีนะครับ
0. ขอขยายคำว่า Negative ก่อน
0.1 NFB (negative Feed Back) การป้อนกลับแบบลบ หมายถึง เมื่อเพิ่มการป้อนกลับให้มากขึ้น อัตราขยายจะลดลง มักมีการใช้งานในเครื่องขยายเสียง (โดยเฉพาะ SS)
0.2 PFB (Positive Feed Back) การป้อนกลับแบบบวก หมายถึง เมื่อเพิ่มการป้อนกลับให้มากขี้น อัตราขยายจะเพิ่มขึ้น จนขาด Stability จนเกิด การ Oscillation มักมีการใช้งานในเครื่องส่งวิทยุ (ไม่แน่ใจนะครับ)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1. การป้อนกลับ โดยจะเอาสัญญาณจากทาง Out put กลับมาเป็นสัญญาณ In put [ขอเรียกว่า IN(fb)] อีกช่องทางนึง (นอกจาก Input ปรติ) เท่าที่เคยเห็นในวงจร amp หลอดมักจะเอามาจาก
1.1. ขั้วลำโพง
ข้อดีคือ :: ไม่ต้องให้สัญญาณ feed back กลับมาที่ IN(fb) ผ่านค่า C ตัวใหญ่
ข้อเสียคือ :: ต้องมีการต่อขั้วลำโพงอีกขั้ว ลง Ground [ความเห็นส่วนตัว :: มันทำให้เสียงอับ]
1.2. ขั้ว plate ของ หลอด Power
ข้อดีคือ :: ไม่ต้องต่อขั้วลำโพงอีกขั้วลง Ground
ขอ้เสียคือ :: ต้องใช้ C เป็นตัวกั้นไม่ให้ไฟตรงกลับมาผ่าน IN(fb)
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
2. ที่ IN(fb) เท่าที่เคยเห็นในวงจร amp หลอด มันจะเห็นจาก (ดูตัวอย่างวงจรจาก post ข้างล่างครับ)
2.1. C cathode ของสัญญาณ ภาค pre amp (หลอดหน้า ดังตัวอย่างให้ วงจรข้างบน)
2.2. ไปยัง Grid ของวงจรเฉพาะที่ใช้จัดการเรื่อง NFB ซี่งได้แก่วงจร Differential Circuit (วงจรขยายความแตกต่าง) ยังไม่ขอพูดถึง
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
3. ขนาดของ การ feedback ก็ตามสูตรที่ท่าน ธีรพัชร์ TJAM จัดมาให้ (เห็นสูตรจะเป็นลม)
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
4. วงจรที่ Cathode (จากข้อ 2.1)
โดยปกติแล้ว การจัด IN(fb) แบบนี้จะทำได้กับ วงจรที่เป็น Self Bias เท่านั้น ไม่สามารถใช้กับ Fixed Bias ได้เพราะ มันต้องการใช้
R Cathode ด้วย โดยปกติแล้ว วงจร Self Bias หาก*ไม่มี* C Cathode มันก็มี NFB อยู่แล้ว แต่เป็นการ NFB ของหลอดนั้นเพียงหลอดเดียว
(Local Feedback) มันเป็นอย่างไร ขออธิบายผ่านสูตร
วงจรขยายทั่วไป จะได้สูตรพื้นฐานดังนี้
V(out) = V(in) * Gain
V(in) ในวงจรหลอด Self Bias ได้แก่ V ที่ตกคร่อมระหว่างขา grid กับ ขา cathode [V(grid-cathode)] จะเห็นได้ว่าหาก V(grid-cathode) สูง
จะทำให้ Vout ก็จะสูงตาม
เมื่อ grid ได้สัญญาณขาเข้า V(in) มาจากภาคก่อนหน้า จะทำให้ V(grid) จะเป็นบวกเพิ่มขึ้น ตามรูปคลื่อนของสัญญาณเข้า ยิ่งทำให้ V(grid-cathode) ทำให้ V ต่างกันมากขึ้น
กระแสก็ไหลผ่านมาจาก Plate ผ่านหลอดทาง Cathode แล้วผ่าน R cathode ไปยัง Ground สูงขึ้นตาม
... แต่กระแสไหลผ่าน R Cathode ดังกล่าวนี้ จะทำให้ V คร่อม R Cathode เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ Ground ซึ่งมันจะทำให้ V(grid-cathode) ตกคร่อมน้อยลง ซึ่งก็ทำให้ *ดูเหมือน* อัตราขยายของวงจรน้อยลง)
นั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เราต้อง ใช้ C cathode มาคร่อม R cathode ... C cathode นี้จะทำตัวเสมือนสะพานสำหรับสัญญาณเสียง (AC) ลง Ground ไป คือให้ V(grid-cathode) เหลือเป็นแต่ DC ล้วนๆ เพื่อ *ขจัด* NFB ของวงจรนี้ออกไป ทำให้เหมือนว่าวงจรมี Gain สูงขึ้นด้วย
แต่ FB ตามวงจร เป็น Global Feedback คือเป็นการ FB ทั้งวงจร โดยใช้หลักการที่อธิบายข้างต้น นั้นเอง ซึ่งนั้นเป็นสาเหตุให้เราต้อง แบ่งค่า R cathode ออกเป็น 2 ส่วน ในวงจรเป็น 1.1K กับ 100 Ohm นั้นเอง
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
5. ทำไมต้องมี C(fb) ค่าน้อยมาก ระดับ pF คร่อม R(fb) เอาไว้ทำไม
ในวงจรขยาย จะมีการเลือนของ Phase ของสัญญาณ (ที่เรียกว่า Phase Shift หน่วยของมันจะเป็น องศา อย่าไปพูดถึงมันเลยปวดหัว) โดยเฉพาะความถี่สูงๆ หากการเลื่อนของช่วงความถี่สูง มีมากจะเกือบจะเป็น 180 องศา (ไม่มั่นใจ) ที่ Output หากเรานำนสัญญาณนั้นกลับมาเป็น Feedback แต่แทนที่จะเป็น NFB มันจะกลายเป็น PFB ซึ่งจะทำให้เกิดการ Oscillation ได้โดยเฉพาะความถี่สูง ถึง สูงมาก (น่าจะเกิน 20K Hz)
เราจึงใช้หลักการที่ว่า สัญญาณที่ผ่าน C จะเกิดการ Phase Shift ขึ้น เราจะเอา C (ค่าน้อยๆ เพราะเป็นความถี่ที่สูงมาก) มาคร่อม R (fb) เพื่อไม่ให้เกิดเป็น PFB นั้นเอง
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สรุป NFB ทำให้วงจรดีขึ้นทุกอย่าง
1. เพิ่ม Stability ของวงจรดีขึ้น
2. เพิ่ม Bandwidth ของวงจร
3. ลดเกิดการ Oscillation
4. ลด Distortion
5. ลด Noise
ข้อเสีย (สำหรับผม)
1. ลดเสียงที่ถูกใจ
สำหรับผม ผมว่าควรมี NFB ครับ แต่น้อยๆ มากๆ เลย
จบบริบูรณ์ ... ไม่เข้าใจจะอธิบายให้วัน Meeting บ้านน้า AJ ครับ
-
ตัวอย่าง ของวงจรที่ต่อ NFB จาก Plate แทนที่จะเป็นขั้วลำโพง
จากข้อ
1.2. ขั้ว plate ของ หลอด Power (R 1M กับ C 0.1uF) แต่อย่างสนใจ ค่าครับ เพราะมั่วเอาครับไม่ได้คำนวณ
(http://www.htg2.net/index.php?action=dlattach;topic=42892.0;attach=105235;image)
-
k.ลำน้ำอธิบายได้...เยี่ยมครับ :clap
-
ชัดเจน ตรงประเด็น เฉียบไว ที่เหลือ รอการพิสูจน์ ว่าจริงเท็จประการใด ขอบคุณครับ :)
-
ข้อเสีย (สำหรับผม)
1. ลดเสียงที่ถูกใจ
ชอบตรงนี้ หูสังกะสีผุ ๆ แบบผม ถึงไม่เคยใช้ NFB :whistling :whistling :whistling :whistling :whistling
-
ข้อเสีย (สำหรับผม)
1. ลดเสียงที่ถูกใจ
ชอบตรงนี้ หูสังกะสีผุ ๆ แบบผม ถึงไม่เคยใช้ NFB :whistling :whistling :whistling :whistling :whistling
เพราะไม่เคยลองน่ะซิครับ จารย์ ถึง อยากลอง ว่า ดี หรือ แย่ ประการใด เผื่อจะเจออะไรใหม่ๆ มาลองเล่น บ้างครับ :)
-
ข้อเสีย (สำหรับผม)
1. ลดเสียงที่ถูกใจ
ชอบตรงนี้ หูสังกะสีผุ ๆ แบบผม ถึงไม่เคยใช้ NFB :whistling :whistling :whistling :whistling :whistling
เพราะไม่เคยลองน่ะซิครับ จารย์ ถึง อยากลอง ว่า ดี หรือ แย่ ประการใด เผื่อจะเจออะไรใหม่ๆ มาลองเล่น บ้างครับ :)
ก็เคยลองครับ หลายวงจร เพิ่มลด R C แต่ฟังแล้วไม่ชอบ เลยไม่ใช้
(สำหรับผม ไม่ชอบใช้ คำว่าเสียงดี หรือไม่ดีในการทดสอบ เพราะ หูไม่ใช่มาตรฐานเหมือนเครื่องมือวัด และเครื่องมือวัด ไม่สามารถวัดอารมณ์ความรู้สึก และอารมณ์ความรู้สึก มีอิทธิพลมากกว่า มาตรฐาน :D :D :D :D :D 2f 2f 2f 2f 2f 2f 2f)
-
ขออนุญาตตอบนะครับ R มีไว้ควบคุมเกนของโคลส ลูปเกน ส่วน C ทำหน้าที่ปรับการเลื่อนเฟสของวงจร ดังนั้นการที่เราจะใช้ C ค่าตามที่เขาให้มานั้น...ผิดครับ !... เนื่องจากเราไม่สามารถทราบได้ว่า เฟสระหว่าง อินพุต กับ เอาต์พุต นั้นต่างกันอยู่เท่าไหร่ การที่หลายท่านใส่แล้วไม่ชอบก็เป็นการยืนยันได้ครับว่า ใส่ไม่ถูกค่า ไม่ใส่เสียยังดีกว่า การทดสอบที่ดีต้องใช้โหลดเทียมกับ สโคป
ผมเองก็ไม่ทราบข้อมูลมากว่านี้นะ เพราะเพิ่งจับหลอดมาแค่ช่วงที่เรียน ปวช เท่านั้นเอง
-
ขออนุญาตตอบนะครับ R มีไว้ควบคุมเกนของโคลส ลูปเกน ส่วน C ทำหน้าที่ปรับการเลื่อนเฟสของวงจร ดังนั้นการที่เราจะใช้ C ค่าตามที่เขาให้มานั้น...ผิดครับ !... เนื่องจากเราไม่สามารถทราบได้ว่า เฟสระหว่าง อินพุต กับ เอาต์พุต นั้นต่างกันอยู่เท่าไหร่ การที่หลายท่านใส่แล้วไม่ชอบก็เป็นการยืนยันได้ครับว่า ใส่ไม่ถูกค่า ไม่ใส่เสียยังดีกว่า การทดสอบที่ดีต้องใช้โหลดเทียมกับ สโคป
ผมเองก็ไม่ทราบข้อมูลมากว่านี้นะ เพราะเพิ่งจับหลอดมาแค่ช่วงที่เรียน ปวช เท่านั้นเอง
ถามคุณ Nut_ty ต่อครับ รู้ได้อย่างไรว่าผิดครับ อะไรเป็นปัจจัย ในเมื่อทำทุกอย่างตามวงจรต้นแบบ รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้วงจร โปรด ชี้แนะให้ความกระจ่างด้วยครับ :)
-
แบบนีัล่ะน้าลำน้ำ
-
ขออนุญาตตอบนะครับ R มีไว้ควบคุมเกนของโคลส ลูปเกน ส่วน C ทำหน้าที่ปรับการเลื่อนเฟสของวงจร ดังนั้นการที่เราจะใช้ C ค่าตามที่เขาให้มานั้น...ผิดครับ !... เนื่องจากเราไม่สามารถทราบได้ว่า เฟสระหว่าง อินพุต กับ เอาต์พุต นั้นต่างกันอยู่เท่าไหร่ การที่หลายท่านใส่แล้วไม่ชอบก็เป็นการยืนยันได้ครับว่า ใส่ไม่ถูกค่า ไม่ใส่เสียยังดีกว่า การทดสอบที่ดีต้องใช้โหลดเทียมกับ สโคป
ผมเองก็ไม่ทราบข้อมูลมากว่านี้นะ เพราะเพิ่งจับหลอดมาแค่ช่วงที่เรียน ปวช เท่านั้นเอง
ถามคุณ Nut_ty ต่อครับ รู้ได้อย่างไรว่าผิดครับ อะไรเป็นปัจจัย ในเมื่อทำทุกอย่างตามวงจรต้นแบบ รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้วงจร โปรด ชี้แนะให้ความกระจ่างด้วยครับ :)
ด้วยคำตอบที่เป็นคำถามซ้อนกันนะครับ อยากทราบว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าค่าที่เขาให้มานั้นถูกต้องครับ คำตอบของผมก็คือ ถ้าเรามีหม้อแปลงเอาต์พุตที่เป็นค่าอุดมคติ นั้นก็ไม่แน่ครับ มีส่วนที่จะทำให้วงจรดีแน่ๆ แต่ถ้าเราทำหม้อแปลงเอาต์พุตให้อุดมคติไม่ได้ ก็เป็ยการยากที่จะมานั่งเปิดตำราทำกันครับ มีหลายคนที่อ่านหนังสือญี่ปุ่นแล้วทำตามเขา ก็หลงประเด็นกันนาน จนกว่าเขาจะรู้ว่าลองเปลี่ยนค่าที่ "หูต้องการ" แล้วมันได้รับความพึงพอใจที่มากกว่า มิหนำซ้ำอาจจะยังได้รูปคลื่นที่เฟสถูกต้องกว่า
ผมไม่ได้พูดว่า ค่าที่เขาให้มานั้นผิด แต่ผมให้แนวคิดว่าจะทำตามเขาด้วยค่านั้น และ คิดว่าค่านั้นคือที่ค่าถูกต้องนั้น " ผิด"
ปัจจัยของการเลื่อนเฟสไม่ได้มาจากวงจรเพียงอย่างเดียว มันขึ้นอยู่กับวงจร + หม้อแปลงเอาต์พุตด้วย ทีนี้หากมีคำถามต่อว่าทำไมวงจรซิงเกิ้ลเอนด์ที่ไม่มีฟี้ดแบ็ค แล้วมันเฟสไม่เลื่อนหรือ ? คำตอบคือเลื่อนครับ แต่มันทำให้เราชอบสไตล์เสียงแบบนั้น ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องมานั่งแก้ หากศึกษาเรื่อง BACK EMF จะทราบว่าคอซิงเกิ้ลเอนด์ เกลียดพวกนี้นักหนา จึงไม่ใช้ทั้ง R และ C ฟี้ดแบ็ค
การที่เราจะซื้อหลอดแพงๆ หม้อแปลงแพงๆ หรือ แม้แต่อะไหล่หรูหรา แล้วคิดว่ามันจะทำให้เรารู้ลึกวงจรมากขึ้นนั้น ผมว่าไม่ถูกต้องนะ ตราบใดที่เรายังไม่ทราบว่า R และ C ธรรมดามันทำงานอย่างไร ?
-
พอจะสรุปว่า ค่า Cf สัมพันธ์กับ ค่า Lของขด Sec.OPT. ใช่หรือไม่ครับ
คุณเล็กเคยฟัง Amp.หลอด PP. brand ดังๆมาแล้ว ล้วนมี NFB ทั้งนั้น ครับ :)
-
ขออนุญาตตอบนะครับ R มีไว้ควบคุมเกนของโคลส ลูปเกน ส่วน C ทำหน้าที่ปรับการเลื่อนเฟสของวงจร ดังนั้นการที่เราจะใช้ C ค่าตามที่เขาให้มานั้น...ผิดครับ !... เนื่องจากเราไม่สามารถทราบได้ว่า เฟสระหว่าง อินพุต กับ เอาต์พุต นั้นต่างกันอยู่เท่าไหร่ การที่หลายท่านใส่แล้วไม่ชอบก็เป็นการยืนยันได้ครับว่า ใส่ไม่ถูกค่า ไม่ใส่เสียยังดีกว่า การทดสอบที่ดีต้องใช้โหลดเทียมกับ สโคป
ผมเองก็ไม่ทราบข้อมูลมากว่านี้นะ เพราะเพิ่งจับหลอดมาแค่ช่วงที่เรียน ปวช เท่านั้นเอง
ถามคุณ Nut_ty ต่อครับ รู้ได้อย่างไรว่าผิดครับ อะไรเป็นปัจจัย ในเมื่อทำทุกอย่างตามวงจรต้นแบบ รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้วงจร โปรด ชี้แนะให้ความกระจ่างด้วยครับ :)
ด้วยคำตอบที่เป็นคำถามซ้อนกันนะครับ อยากทราบว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าค่าที่เขาให้มานั้นถูกต้องครับ คำตอบของผมก็คือ ถ้าเรามีหม้อแปลงเอาต์พุตที่เป็นค่าอุดมคติ นั้นก็ไม่แน่ครับ มีส่วนที่จะทำให้วงจรดีแน่ๆ แต่ถ้าเราทำหม้อแปลงเอาต์พุตให้อุดมคติไม่ได้ ก็เป็ยการยากที่จะมานั่งเปิดตำราทำกันครับ มีหลายคนที่อ่านหนังสือญี่ปุ่นแล้วทำตามเขา ก็หลงประเด็นกันนาน จนกว่าเขาจะรู้ว่าลองเปลี่ยนค่าที่ "หูต้องการ" แล้วมันได้รับความพึงพอใจที่มากกว่า มิหนำซ้ำอาจจะยังได้รูปคลื่นที่เฟสถูกต้องกว่า
ผมไม่ได้พูดว่า ค่าที่เขาให้มานั้นผิด แต่ผมให้แนวคิดว่าจะทำตามเขาด้วยค่านั้น และ คิดว่าค่านั้นคือที่ค่าถูกต้องนั้น " ผิด"
ปัจจัยของการเลื่อนเฟสไม่ได้มาจากวงจรเพียงอย่างเดียว มันขึ้นอยู่กับวงจร + หม้อแปลงเอาต์พุตด้วย ทีนี้หากมีคำถามต่อว่าทำไมวงจรซิงเกิ้ลเอนด์ที่ไม่มีฟี้ดแบ็ค แล้วมันเฟสไม่เลื่อนหรือ ? คำตอบคือเลื่อนครับ แต่มันทำให้เราชอบสไตล์เสียงแบบนั้น ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องมานั่งแก้ หากศึกษาเรื่อง BACK EMF จะทราบว่าคอซิงเกิ้ลเอนด์ เกลียดพวกนี้นักหนา จึงไม่ใช้ทั้ง R และ C ฟี้ดแบ็ค
การที่เราจะซื้อหลอดแพงๆ หม้อแปลงแพงๆ หรือ แม้แต่อะไหล่หรูหรา แล้วคิดว่ามันจะทำให้เรารู้ลึกวงจรมากขึ้นนั้น ผมว่าไม่ถูกต้องนะ ตราบใดที่เรายังไม่ทราบว่า R และ C ธรรมดามันทำงานอย่างไร ?
ครับผมทราบดีว่าตรงนี้มีหลายปัจจัยมาเกี่ยวข้อง แต่มันก็บอกไม่ได้ไม่ใช่หรือครับ ว่า ถูกต้อง หรือ ผิด จนกว่าจะมีการพิสูจน์ทราบ การที่บอกว่าค่าในวงจรเค้าผิด ควรจะมีข้อมูลมาสนับสนุนเพื่อหักล้าง โปรดชี้แนะครับ ( ปล. ผมใช้ Tam F -475 ในวงจรนี้ครับ เผื่ออยากจะลองคำนวณดูเล่นๆ และ คงจะใช้ค่านี้ในการเิริ่มต้น ก่อนที่จะลองคำนวณเปลี่ยนค่าอื่นต่อไป)
ส่วนการใช้ R C หรือ Inter อันนี้ นานาจิตตัง ครับ ขึ้นอยู่กับความชอบเป็นหลัก คนใช้ Inter ก็อยากได้เนื้อเสียง อย่าง R ส่วนคนใช้ R ก็อยากได้ รายละเอียด อย่าง Inter :nonono
-
แป่ววววววววววว 2f 2f 2f มาได้ไง(ฟะ) วงจรนี้ ต้องท่านผู้รู้แล้วครับ ผมท่านผู้มั่วครับ
แบบนีัล่ะน้าลำน้ำ
-
ขออนุญาตตอบนะครับ R มีไว้ควบคุมเกนของโคลส ลูปเกน ส่วน C ทำหน้าที่ปรับการเลื่อนเฟสของวงจร ดังนั้นการที่เราจะใช้ C ค่าตามที่เขาให้มานั้น...ผิดครับ !... เนื่องจากเราไม่สามารถทราบได้ว่า เฟสระหว่าง อินพุต กับ เอาต์พุต นั้นต่างกันอยู่เท่าไหร่ การที่หลายท่านใส่แล้วไม่ชอบก็เป็นการยืนยันได้ครับว่า ใส่ไม่ถูกค่า ไม่ใส่เสียยังดีกว่า การทดสอบที่ดีต้องใช้โหลดเทียมกับ สโคป
ผมเองก็ไม่ทราบข้อมูลมากว่านี้นะ เพราะเพิ่งจับหลอดมาแค่ช่วงที่เรียน ปวช เท่านั้นเอง
ถามคุณ Nut_ty ต่อครับ รู้ได้อย่างไรว่าผิดครับ อะไรเป็นปัจจัย ในเมื่อทำทุกอย่างตามวงจรต้นแบบ รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้วงจร โปรด ชี้แนะให้ความกระจ่างด้วยครับ :)
ด้วยคำตอบที่เป็นคำถามซ้อนกันนะครับ อยากทราบว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าค่าที่เขาให้มานั้นถูกต้องครับ คำตอบของผมก็คือ ถ้าเรามีหม้อแปลงเอาต์พุตที่เป็นค่าอุดมคติ นั้นก็ไม่แน่ครับ มีส่วนที่จะทำให้วงจรดีแน่ๆ แต่ถ้าเราทำหม้อแปลงเอาต์พุตให้อุดมคติไม่ได้ ก็เป็ยการยากที่จะมานั่งเปิดตำราทำกันครับ มีหลายคนที่อ่านหนังสือญี่ปุ่นแล้วทำตามเขา ก็หลงประเด็นกันนาน จนกว่าเขาจะรู้ว่าลองเปลี่ยนค่าที่ "หูต้องการ" แล้วมันได้รับความพึงพอใจที่มากกว่า มิหนำซ้ำอาจจะยังได้รูปคลื่นที่เฟสถูกต้องกว่า
ผมไม่ได้พูดว่า ค่าที่เขาให้มานั้นผิด แต่ผมให้แนวคิดว่าจะทำตามเขาด้วยค่านั้น และ คิดว่าค่านั้นคือที่ค่าถูกต้องนั้น " ผิด"
ปัจจัยของการเลื่อนเฟสไม่ได้มาจากวงจรเพียงอย่างเดียว มันขึ้นอยู่กับวงจร + หม้อแปลงเอาต์พุตด้วย ทีนี้หากมีคำถามต่อว่าทำไมวงจรซิงเกิ้ลเอนด์ที่ไม่มีฟี้ดแบ็ค แล้วมันเฟสไม่เลื่อนหรือ ? คำตอบคือเลื่อนครับ แต่มันทำให้เราชอบสไตล์เสียงแบบนั้น ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องมานั่งแก้ หากศึกษาเรื่อง BACK EMF จะทราบว่าคอซิงเกิ้ลเอนด์ เกลียดพวกนี้นักหนา จึงไม่ใช้ทั้ง R และ C ฟี้ดแบ็ค
การที่เราจะซื้อหลอดแพงๆ หม้อแปลงแพงๆ หรือ แม้แต่อะไหล่หรูหรา แล้วคิดว่ามันจะทำให้เรารู้ลึกวงจรมากขึ้นนั้น ผมว่าไม่ถูกต้องนะ ตราบใดที่เรายังไม่ทราบว่า R และ C ธรรมดามันทำงานอย่างไร ?
ครับผมทราบดีว่าตรงนี้มีหลายปัจจัยมาเกี่ยวข้อง แต่มันก็บอกไม่ได้ไม่ใช่หรือครับ ว่า ถูกต้อง หรือ ผิด จนกว่าจะมีการพิสูจน์ทราบ การที่บอกว่าค่าในวงจรเค้าผิด ควรจะมีข้อมูลมาสนับสนุนเพื่อหักล้าง โปรดชี้แนะครับ ( ปล. ผมใช้ Tam F -475 ในวงจรนี้ครับ เผื่ออยากจะลองคำนวณดูเล่นๆ และ คงจะใช้ค่านี้ในการเิริ่มต้น ก่อนที่จะลองคำนวณเปลี่ยนค่าอื่นต่อไป)
ส่วนการใช้ R C หรือ Inter อันนี้ นานาจิตตัง ครับ ขึ้นอยู่กับความชอบเป็นหลัก คนใช้ Inter ก็อยากได้เนื้อเสียง อย่าง R ส่วนคนใช้ R ก็อยากได้ รายละเอียด อย่าง Inter :nonono
ผมอาจจะอธิบายไม่ละเอียดนะ แต่ลองเปลี่ยน C เป็น 2 ค่านี้ดู ค่าแรก 5pF ค่าที่ สอง 1000pF คำตอบจะอยู่ในการทดลองนั้นครับ ตั้งลำโพงให้อยู่ในระนาบไม่ต้องโทอินด้วยนะครับ ผมไม่ได้หมายความว่าวงจรเขาผิด แต่การที่เราจะทำตามนั้น แล้วคิดว่ามันถูกต้องนั้น " ผิด"
เท่าที่ทราบมา มีวงจรฟี้ดแบ็คที่ใช้ Inter Stage ในการควบคุมเกน และ เฟสด้วยเหรอครับ รบกวนชี้แนะด้วยครับ เผื่อเป็นความรู้ใหม่ O0
-
(สำหรับผม ไม่ชอบใช้ คำว่าเสียงดี หรือไม่ดีในการทดสอบ เพราะ หูไม่ใช่มาตรฐานเหมือนเครื่องมือวัด และเครื่องมือวัด ไม่สามารถวัดอารมณ์ความรู้สึก และอารมณ์ความรู้สึก มีอิทธิพลมากกว่า มาตรฐาน
[/quote]
ถูกใจประทั้งประโยคครับ โดยเฉพาะท่อนท้ายๆ "และอารมณ์ความรู้สึก มีอิทธิพลมากกว่า มาตรฐาน"
ผมคิดว่า มาตรฐานก็เป็นเพียงขั้นต่ำที่มีไว้ให้คนรุ่นหลังก้าวข้ามพ้น เพื่อพัฒนาต่อยอด
(เชื้อโรคยังมีพัฒนาการมากเลย)
ไม่ได้มีความเห็นให้พี่เล็กเลย .....เพราะผมก็ไม่ใช้ฟีดแบ็คครับ (มีแต่เคยปลดของชาวบ้าน"แบร็นด์เนม"ทิ้งไป แล้วยัดวงจรใหม่ลงไปแทน)
-
(สำหรับผม ไม่ชอบใช้ คำว่าเสียงดี หรือไม่ดีในการทดสอบ เพราะ หูไม่ใช่มาตรฐานเหมือนเครื่องมือวัด และเครื่องมือวัด ไม่สามารถวัดอารมณ์ความรู้สึก และอารมณ์ความรู้สึก มีอิทธิพลมากกว่า มาตรฐาน
ถูกใจประทั้งประโยคครับ โดยเฉพาะท่อนท้ายๆ "และอารมณ์ความรู้สึก มีอิทธิพลมากกว่า มาตรฐาน"
ผมคิดว่า มาตรฐานก็เป็นเพียงขั้นต่ำที่มีไว้ให้คนรุ่นหลังก้าวข้ามพ้น เพื่อพัฒนาต่อยอด
(เชื้อโรคยังมีพัฒนาการมากเลย)
ไม่ได้มีความเห็นให้พี่เล็กเลย .....เพราะผมก็ไม่ใช้ฟีดแบ็คครับ (มีแต่เคยปลดของชาวบ้าน"แบร็นด์เนม"ทิ้งไป แล้วยัดวงจรใหม่ลงไปแทน)
[/quote]
ดีเลยครับ ผมขอทราบเหตุผลของการปลดออก ดี หรือไม่ ดี อย่างไร เพราะอะไร ขอบคุณล่วงหน้าครับ แต่หากไม่ดีจริง คงไม่มีการพูดถึง และ ทำกันมากมาย ผมคิดว่าคงมีคำอธิบาย มากกว่าแค่ กราฟสวยๆ จากสโคป เพราะถ้าเสียงแย่คงไม่มีใครทำกัน โดยเฉพาะเครื่องคอมเมอเชี่ยน และ นี่ก็เป็นสาเหตุที่ผมเปิดประเด็นขึ้นมา เพื่อได้ทราบข้อมูลเบื้องต้นจากผู้ที่เคยผ่านประสบการณ์การทำมาแล้ว มาแชร์กัน โดยที่ไม่ได้คาดหวังกับผลที่จะได้รับ แค่อยากจะลองพิสูจน์ และ จากข้อมูลที่ได้มา ผลดี น่า จะมีมากกว่าผลเสีย ครับ :)