HTG2.club
Home Theater Guide webboard => มุม Thai DIY Audio => ข้อความที่เริ่มโดย: Mr. One ที่ 01 ธันวาคม, 2012, 05:03:50 pm
-
1)ถามเรื่องกระแสกริด ที่หลอด Power กรณี Fix Bias โดยใช้ Neagtive Vg ว่า หลอดจะดึงกระแสแบบใหนครับ ระหว่าง ดึงจาก Vg หรือ Front Stage ครับ
2)กรณี ดึงจาก Vg นอกจากเรื่องน้ำเสียงแล้ว จำเป็นแค่ใหนที่ Front Stage ต้อง High Current
-
ชอตอบแบบไม่มีความรู้นะครับ :black_eye :black_eye จากที่เคยทำ fix bias มา ถ้ามันดึงกระแสจาก vg vg จะต้องร้อนถูกต้องไหมครับ แต่จากที่เคยทำมา vg มันไม่ได้ร้อนเลยอะ :'( :'(
ปล. ผมมั่่วล้วนๆนะครับ 2f 2f 2f 2f
-
รูปบนสิครับ กระแสตรงมันไหลผ่าน c บ่ ได้
-
เอาด้วย เหงาครับ
ถ้าเป็น class a กระแสกริดไม่ไหลครับ ต้องการแค่แรงดัน Vg ไปโผล่ที่กริดเฉยๆ ครับ
-
กระแสไหนครับ? grid leak หรือ signal
-
เวลา Grid มีศักย์เป็นลบเมื่อเทียบกับ cathode electron ที่หลุดออกจาก cathode จะไหลไปที่ plate ครับ
Grid มีหน้าที่ผลัก electron บางส่วนไว้ไม่ให้วิ่งไปที่ cathode ซึ่งยิ่ง grid มีค่าเป็นลบมากทำให้ electron ไหลน้อย หมายความว่าหลอดนำกระแสลดลง
พอ grid มีค่าลบน้อยลง electron ไหลไป cathode มากขึ้น ทำให้หลอดนำกระแสมากขึ้น
เมื่อ grid มีค่าเป็นบวก มันจะทำหน้าที่คล้ายกับ plate ซึ่งจะมี electron ส่วนหนึ่งไหลจาก cathode ไปยังกริด ทำให้เกิดกระแส grid หรือ grid current ขึ้น impedance ของ grid จะตกลง เทียบกับตอน grid เป็นลบ ตอนนั้นมี impedance สูงมากครับ
แต่ถ้า grid เป็นบวก กระแสจะพยายามไหลผ่าน grid ไปที่ R grid leak ซึ่งมีความต้านทานสูง ทำให้ electron ไหลไปไม่ได้ ซึ่งทำให้เกิด distortion ตามมาครับ
-
เรียนถาม อ.Karin ครับ ว่า การเลือกค่า R grid leak ต้องคำนึงถึงค่าอะไรบ้างครับ
ใน datasheet ของหลอด มักจะมีค่า Max. R grid ไว้ ค่าของ fixed bias มักจะมีค่าน้อยกว่าของ cathode bias เนื่องจากสาเหตุอะไรครับ มันเกี่ยวกับการ set ค่า DC bias ของหลอด Power ด้วยมั้ยครับ
เวลาหาค่า freq. roll off ตามที่อ่านมา จะใช้ค่า R load ของภาค drive ขนานกับค่า R grid leak เพื่อเข้าสูตรคำนวนหา freq. roll off มันเกี่ยวเนื่องกับ AC load ของภาค drive ด้วยใช่มั้ยครับ ถ้า R มากค่า AC load ของหลอด drive น่าจะแปรผันไม่มาก แต่ถ้า R grid leak น้อย ค่า AC load ของหลอด drive จะมีผลต่อการลด gain ของหลอด drive หรือปล่าวครับ ถ้าใช่ มันก็จะเกี่ยวเนื่องกับการ set ค่า AC bias ของหลอด drive ด้วยใช่มั้ยครับ
ขออภัยที่รบกวนถามค่อนข้างมาก เพราะผมกำลังหาทางเข้าใจการกำหนดค่าที่เหมาะสมของ R grid leak อยู่พอดีครับ หาอ่านในเน็ต ยิ่งอ่านยิ่งสับสนครับ
-
การเลือกค่า R grid leak ต้องคำนึงถึงค่าอะไรบ้างครับ
เวลาหาค่า freq. roll off ตามที่อ่านมา จะใช้ค่า R load ของภาค drive ขนานกับค่า R grid leak เพื่อเข้าสูตรคำนวนหา freq. roll off มันเกี่ยวเนื่องกับ AC load ของภาค drive ด้วยใช่มั้ยครับ ถ้า R มากค่า AC load ของหลอด drive น่าจะแปรผันไม่มาก แต่ถ้า R grid leak น้อย ค่า AC load ของหลอด drive จะมีผลต่อการลด gain ของหลอด drive หรือปล่าวครับ ถ้าใช่ มันก็จะเกี่ยวเนื่องกับการ set ค่า AC bias ของหลอด drive ด้วยใช่มั้ยครับ
ผมใช้วิธีเลือกอย่างที่คุณ Gai post ไว้ในย่อหน้าที่สองนี่ละครับ คุณ Gai เข้าใจถูกต้องแล้ว ค่า R รวมที่ขนานกันก็ควรจะเป็นอย่างน้อย 5 เท่าของ plate resistance (Rp) ของหลอด ถ้าซัก 10 เท่าก็ยิ่งดี
ค่า AC load ของหลอด drive จะมีผลต่อการลด gain ของหลอด drive หรือปล่าวครับ ถ้าใช่ มันก็จะเกี่ยวเนื่องกับการ set ค่า AC bias ของหลอด drive ด้วยใช่มั้ยครับ
เข้าใจถูกต้องแล้วครับ ยิ่ง load มีค่าต่ำ gain จะยิ่งลดลง ส่วนที่บอก AC bias จริงๆแล้วควรเรียกว่า DC bias ครับ ซึ่งตรงนี้สำคัญมากเพราะจุดที่เรา bias จะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะกำหนด gain ของวงจร
ใน datasheet ของหลอด มักจะมีค่า Max. R grid ไว้ ค่าของ fixed bias มักจะมีค่าน้อยกว่าของ cathode bias เนื่องจากสาเหตุอะไรครับ มันเกี่ยวกับการ set ค่า DC bias ของหลอด Power ด้วยมั้ยครับ
ผมคุ้นๆว่าเคยอ่านเหตุผลตรงนี้จากที่ใดที่หนึ่ง แต่จำไม่ได้แล้วครับว่าทำไม
-
2)กรณี ดึงจาก Vg นอกจากเรื่องน้ำเสียงแล้ว จำเป็นแค่ใหนที่ Front Stage ต้อง High Current
-
grid จะดึงกระแสเมื่อมันเป็นบวก เพราะฉนั้นภาคที่ drive grid ที่เป็นบวก มีการต่อสองแบบคือใช้ cathode follower หรือใช้ interstage transformer
ถ้าใช้ cathode follower ก็ต้อง bias กระแสสูงพอควรเพื่อจะมีกระแสไห drive grid ได้โดยตัวมันเองไม่ cut off ไปก่อน
ถ้าเป็น interstage transformer ขึ้นอยู่กับ Rp ของหลอดที่จะมา drive interstage มากกว่าครับ โดยปกติการ bias กระแสที่สูง มักจะทำให้ Rp ต่ำ ซึ่งจำเป็นสำหรับ drive grid ที่เป็นบวก เพราะตอนนั้น grid มี input impedance ต่ำ อาจจะอยู่ในช่วง 2-3Kohm เท่านั้นครับ
-
ตอบคำถามน้าไก่ตามแบบที่ผมเข้าใจ ถ้าผิดช่วยแก้ให้ด้วยครับ
R grid leak มันทำหน้าที่หลายอย่างครับ เท่าที่ผมรู้ ก็ สามอย่างเข้าไปแล้ว
1. set input impedance ให้กับภาคถัดไป (= R grid leak) เนื่องจากคอนโทรลกริดของหลอดไม่ได้ต่อกับอะไรในหลอด อยู่ลอยๆ และกริดเป็นลบ ไม่มีกระแสไหล อิมพีแดนซ์จะสูงมากถึงอินฟินิตี้ มันเลยเท่ากับ R ตัวที่เอามาใส่
2. ร่วมกับ c coupling กำหนดให้ความถี่สูงผ่าน (f = 1/(2*3.14*C*R))
3. ร่วมกับ Rp และ RL ของภาคหน้า กำหนด stage output impedance (RL//Rp//R grid leak) เมื่อภาคหลังมองเข้ามา
4. gain satge อันนี้เพิ่มเข้ามาตามที่เห็นสนทนากัน แต่ค่าต้องต่ำมากนะครับ เช่น 10K-50K จะเห็นผลว่าเกนลด สำหรับ 100K ขึ้นไป ไม่เห็นว่าเกนจะลด คือลดน้อย เหตุที่เกนลดก็เพราะ R grid leak ไปแบ่งแรงดันกับ tube's output impedance (RL//Rp) ค่าน้อยกว่าก็แบ่งแรงดันได้น้อยกว่า
5. สูตรสำเร็จของการเชื่อมต่อวงจรขยายคือ ภาคหลังมีอิมพีแดนซ์สูงมากภาคหน้า 3 เท่าขึ้นไป (ก็แบ่งแรงดันกันตามข้อ 4) เพื่อให้มีแรงดันมาตกคร่อมให้ภาคถัดไปขยายต่อ
6. ข้อ 3 , 4 และ 5 อันเดียวกัน
7. สุดท้ายก็จูนเอา (แบบแคร์สื่อหน่อยๆ)
-
ผมใช้วิธีเลือกอย่างที่คุณ Gai post ไว้ในย่อหน้าที่สองนี่ละครับ คุณ Gai เข้าใจถูกต้องแล้ว ค่า R รวมที่ขนานกันก็ควรจะเป็นอย่างน้อย 5 เท่าของ plate resistance (Rp) ของหลอด ถ้าซัก 10 เท่าก็ยิ่งดี
เรียนถาม อาจารย์ เพิ่มครับว่า Rp ของหลอดตรงนี้ หมายถึง Rp ของหลอดภาคหน้า หรือ ภาคหลังครับ ผมยังสับสนอยู่เล็กน้อย ขอบคุณมากครับ
1. set input impedance ให้กับภาคถัดไป (= R grid leak) เนื่องจากคอนโทรลกริดของหลอดไม่ได้ต่อกับอะไรในหลอด อยู่ลอยๆ และกริดเป็นลบ ไม่มีกระแสไหล อิมพีแดนซ์จะสูงมากถึงอินฟินิตี้ มันเลยเท่ากับ R ตัวที่เอามาใส่
3. ร่วมกับ Rp และ RL ของภาคหน้า กำหนด stage output impedance (RL//Rp//R grid leak) เมื่อภาคหลังมองเข้ามา
5. สูตรสำเร็จของการเชื่อมต่อวงจรขยายคือ ภาคหลังมีอิมพีแดนซ์สูงมากภาคหน้า 3 เท่าขึ้นไป (ก็แบ่งแรงดันกันตามข้อ 4) เพื่อให้มีแรงดันมาตกคร่อมให้ภาคถัดไปขยายต่อ
ขอบคุณครับ ป๋าออฯ ผมยังไม่มีความสามารถในการทำความเข้าใจกับ input/output impedance มากนัก ป๋าพอจะสรุปวิธีการ/สูตรหา input/output impedance ง่ายๆ ให้หน่อยได้มั้ยครับ
ต้องขออภัยเจ้าของกระทู้ด้วยครับ ถ้าคำถามผมเบี่ยงเบนไปจากจุดประสงค์เดิมของเจ้าของกระทู้ครับ
-
ผมสรุปคำตอบ นะครับ
1)ถ้า ออกแบบหลอด Power ใน CLass A1 หลอด Drive ก็ไม่จำเป็นต้อง จ่ายกระแสสูงเพราะ ไม่มีผลต่อ Grid ของหลอด Power
2)Rg ใช้ค่ามากว่า 100 k เพื่อไม่ให้ Gain หลอด power ตกและส่งผ่านความถี่เต็มย่าน
ใช่ใหมนี่ :)
ต้องขออภัยเจ้าของกระทู้ด้วยครับ ถ้าคำถามผมเบี่ยงเบนไปจากจุดประสงค์เดิมของเจ้าของกระทู้ครับ
ไม่เป็นไรครับ ผมก็ได้ความรู้เพิ่มครับ
-
:headphone
ตามมาเรียนด้วย d_d d_d
-
1) ถูกต้องครับ
2) ค่า R plate load (RL) ขนานกับ R grid ของหลอดถัดไป รวมกันแล้วควรมีค่ามากกว่า Rp (plate resistance) ของหลอด drive ซัก 5 เท่าขึ้นไป หรือไม่ควรต่ำกว่า 3 เท่าครับ เช่น 6SN7 มี Rp 7K load ด้วย R 30K และ R grid ของหลอดถัดไป 150K เมื่อขนาน 30Kกับ 150K ได้ 25K เกือบสี่เท่าของ Rp ของ 6SN7 ถือว่าพอใช้ได้ครับ
Rp ของหลอดตรงนี้ หมายถึง Rp ของหลอดภาคหน้า หรือ ภาคหลังครับ
หลอดภาคหน้าครับ
-
ขอบคุณครับ อาจารย์ และ Mr.One
ผมมีปัญหาในการหัดทำแอมป์ผม ที่ผ่านมา ผมมีปัญหาเรื่อง gain ของหลอด drive ทำให้เสียงมักจะแตก (clip) เมื่อเร่งวอลลุ่มสูงๆ วิธีที่ผมใช้แก้และได้ผลที่พอใจ คือ ลด Rload หลอด drive ลงเพื่อลด gain และแก้ปัญหาได้ แอมป์ที่ผมทำผ่านมา Rload ลดลงค่อนข้างมาก และน้อยกว่า 3 เท่า Rp ของหลอด drive แต่ผมไม่เคยลดค่า Rgrid leak เลย สงสัยผมต้องหันไปลองเพิ่ม Rload และหันมาลองลด R grid leak นี้แทน
เรียนถามอาจารย์ต่อว่า ที่ผ่านมา ผมแก้ปัญหาได้ แต่น่าจะไม่ค่อยถูกต้อง ผลเสียของการแก้ปัญหาแบบผม มันมีด้านไหนกับวงจรบ้างครับ
-
ปรี / ไดร์ / เพาเวอร์ สามภาคนี้ ผมว่าแบบนี้นะครับ
น้าไก่เอาหลอดแบบไหนทำปรี กับไดร์เวอร์ ครับ หลอดไฮมิว กับหลอดมีเดี่ยมมิว
ถ้าปรีใช้ไฮมิว ไดร์ใช้มีเดี่ยมมิว ผมว่าน่าจะแก้ปัญหาได้ครับ เพราะอะไร
1. ปรีใช้หลอดไฮมิว หลอดไฮมิวกริดสวิงน้อย สังเกตุดูจากกราฟของหลอดไฮมิว กริดสวิงอยู่ที่ 1-5 Vp-p ก็ให้แรงดันเอ้าพุทสวิงออกมาค่าหนึ่ง
2. ไดร์ใช้หลอดมีเดี่ยมมิว หลอดมีเดี่ยมมิวกริดสวิงมาก ดูจากกราฟสวิง 1-12 Vp-p คือรับแรงดันสวิงจากข้อ 1 ได้กว้าง
จัดหลอดแบบนี้น่าจะแก้ปัญหาการขลิปได้ เว้นแต่ กริดภาคเพาเวอร์ต้องการแรงดันสวิงสูง ตั้งแต่ 80 Vp-p ขึ้นไป อันนี้หาหลอดไดร์ยากหน่อย
เรื่องเกน เรื่องอะไรต่อมิอะไรน่าไก่รู้หมดแล้วล่ะ
เกี่ยวกันหรือเปล่า.....
-
ขอบคุณครับ อาจารย์ และ Mr.One
ผมมีปัญหาในการหัดทำแอมป์ผม ที่ผ่านมา ผมมีปัญหาเรื่อง gain ของหลอด drive ทำให้เสียงมักจะแตก (clip) เมื่อเร่งวอลลุ่มสูงๆ วิธีที่ผมใช้แก้และได้ผลที่พอใจ คือ ลด Rload หลอด drive ลงเพื่อลด gain และแก้ปัญหาได้ แอมป์ที่ผมทำผ่านมา Rload ลดลงค่อนข้างมาก และน้อยกว่า 3 เท่า Rp ของหลอด drive แต่ผมไม่เคยลดค่า Rgrid leak เลย สงสัยผมต้องหันไปลองเพิ่ม Rload และหันมาลองลด R grid leak นี้แทน
เรียนถามอาจารย์ต่อว่า ที่ผ่านมา ผมแก้ปัญหาได้ แต่น่าจะไม่ค่อยถูกต้อง ผลเสียของการแก้ปัญหาแบบผม มันมีด้านไหนกับวงจรบ้างครับ
ขออณุญาตถามเพิ่มโดยอ้างโพสของ พี่gai นะครับ ปัญหาเรื่อง gain ผมใช้วิธีลดแรงดันสัญญาณที่อินพุท ตรงตำแหน่ง โวลุ่ม กับ Rg ของหลอดแรกน่ะครับ
อยากทราบว่าการลดแรงดันสัญญาณตรงจุดนี้มากๆจะมี ผลเสีย ยังไงบ้างครับ
-
ผลเสียของการแก้ปัญหาแบบผม มันมีด้านไหนกับวงจรบ้างครับ
ปกติถ้าลด R plate load ก็จะทำให้ gain ตกลง และ linearity ของหลอดลดลงไปด้วย คือ distortion เพิ่มขึ้นครับ แต่อาจะไม่มาก
ปัญหาเรื่อง gain ผมใช้วิธีลดแรงดันสัญญาณที่อินพุท ตรงตำแหน่ง โวลุ่ม กับ Rg ของหลอดแรกน่ะครับ
อยากทราบว่าการลดแรงดันสัญญาณตรงจุดนี้มากๆจะมี ผลเสีย ยังไงบ้างครับ
ถ้าใช้ R ค่ามากๆบางทีก็มี lost บ้างครับ เสียงก็อาจจะทึบลงไปบ้างเมื่อเทียบกับไม่มี
-
2) ค่า R plate load (RL) ขนานกับ R grid ของหลอดถัดไป รวมกันแล้วควรมีค่ามากกว่า Rp (plate resistance) ของหลอด drive ซัก 5 เท่าขึ้นไป หรือไม่ควรต่ำกว่า 3 เท่าครับ เช่น 6SN7 มี Rp 7K load ด้วย R 30K และ R grid ของหลอดถัดไป 150K เมื่อขนาน 30Kกับ 150K ได้ 25K เกือบสี่เท่าของ Rp ของ 6SN7 ถือว่าพอใช้ได้ครับ
กรณีนี้ หากใช้ rg ของ power 25 k แล้วความถี่ต่ำ Rolloff เร็วไป ก็เพิ่ม C Coupling ใช่ใหมครับ
หรือถ้าใช้ เกินจากที่คำนวน กรณีนี้คือ 25 k จะมีผลเสียอย่างไรครับ
-
หลอดปรีที่ว่าหลอดไตรโอดหรือเพนโทดครับ?
ขอบคุณครับ อาจารย์ และ Mr.One
ผมมีปัญหาในการหัดทำแอมป์ผม ที่ผ่านมา ผมมีปัญหาเรื่อง gain ของหลอด drive ทำให้เสียงมักจะแตก (clip) เมื่อเร่งวอลลุ่มสูงๆ วิธีที่ผมใช้แก้และได้ผลที่พอใจ คือ ลด Rload หลอด drive ลงเพื่อลด gain และแก้ปัญหาได้ แอมป์ที่ผมทำผ่านมา Rload ลดลงค่อนข้างมาก และน้อยกว่า 3 เท่า Rp ของหลอด drive แต่ผมไม่เคยลดค่า Rgrid leak เลย สงสัยผมต้องหันไปลองเพิ่ม Rload และหันมาลองลด R grid leak นี้แทน
เรียนถามอาจารย์ต่อว่า ที่ผ่านมา ผมแก้ปัญหาได้ แต่น่าจะไม่ค่อยถูกต้อง ผลเสียของการแก้ปัญหาแบบผม มันมีด้านไหนกับวงจรบ้างครับ
-
หลอดปรีที่ว่าหลอดไตรโอดหรือเพนโทดครับ?ขอบคุณครับ อาจารย์ และ Mr.One
ผมมีปัญหาในการหัดทำแอมป์ผม ที่ผ่านมา ผมมีปัญหาเรื่อง gain ของหลอด drive ทำให้เสียงมักจะแตก (clip) เมื่อเร่งวอลลุ่มสูงๆ วิธีที่ผมใช้แก้และได้ผลที่พอใจ คือ ลด Rload หลอด drive ลงเพื่อลด gain และแก้ปัญหาได้ แอมป์ที่ผมทำผ่านมา Rload ลดลงค่อนข้างมาก และน้อยกว่า 3 เท่า Rp ของหลอด drive แต่ผมไม่เคยลดค่า Rgrid leak เลย สงสัยผมต้องหันไปลองเพิ่ม Rload และหันมาลองลด R grid leak นี้แทน
เรียนถามอาจารย์ต่อว่า ที่ผ่านมา ผมแก้ปัญหาได้ แต่น่าจะไม่ค่อยถูกต้อง ผลเสียของการแก้ปัญหาแบบผม มันมีด้านไหนกับวงจรบ้างครับ
ไตรโอดทุกเครื่องเลยครับ
-
ผมมีหน้าที่วาดรูป อ.กะรินมีหน้าที่อธิบาย แบ่งงานกันทำ น้าไก่มีหน้าที่งง
เมื่อ DC bias ได้ที่แล้ว มีเกน 20
มีสัญญาณสลับน้อยๆ 1Vp-p เข้ามา หลอดจะกลายเป็นแหล่งกำเนิดแรงดัน ทำงานในโหมด AC bias (ให้มองว่าวงกลมที่มีหนอนอยู่ข้างในเป็นแบตเตอรี่จ่ายแรงดันก็ได้)
จะผลิตแรงดันได้เท่ากับ สัญญาณเข้าคูณเกน = 20Vp-p แรงดันค่านี้จะไปโผล่ที่เพลตของหลอด
Rp1 ขนานกับ RL1 จะเป็น Rout
Rout อนุกรมกับ Rg2 แล้วลงกราวน์
โจทก์ ตามวงรอบเส้นสีแดง แรงดันจะตกคร่อม Rout และ Rg2 เท่าไหร่
ตอบ 20Vp-p = VRout + VRg2 หรือ 20Vp-p - VRout - VRg2 = 0
ก็เป็นรูปเก่าที่ อ.กะรินเคยอธิบายไว้ ผมเอามาวาดใหม่ไม่ให้จำเจ
ถ้าเป็นหลอดไตรโอดเรามักจะให้ RL เป็น 3 เท่า ของ Rp จะได้ Rout ประมาณเท่ากับ Rp หรือต่ำกว่า
ถ้าเป็นหลอดเพนโทด Rp มักจะสูงมากๆ จนไม่ต้องสนใจ จะได้ Rout ประมาณเท่ากับ RL
สำหรับ Rg2 เรามักจะใช้ค่าระหว่าง 220K - 470K
ในหลอดทั้งสองแบบ โดยรวมแล้ว Rg2 จะมากกว่า Rout
นั่นหมายความว่า แรงดันที่ตกคร่อม VRg2 จะมากกว่า VRout
ถึงตอนนี้แล้ว Voltage gain จะเป็น VRg2/Vinput ซึ่งจะไม่ใช่ 20 แแต่จะน้อยกว่า 20
คราวนี้ Rg2 มีผลต่อเกนมั้ย ตอบว่ามีครับ
ถ้า Rg2 = Rout แล้ว จะแบ่งแรงดันเท่ากัน คือ VRg2 = VRout = 10V แน่นอนว่า Voltage gain = 10
ถ้า Rg2 น้อยกว่า Rout แล้ว Rg2 จะแบ่งแรงดันได้น้อยกว่า Rout แน่นอนว่า Voltage gain จะต้องน้อยกว่า 10
ถ้า Rg2 มากกว่า Rout แล้ว Rg2 จะแบ่งแรงดันได้มากกว่า Rout แน่นอนว่า Voltage gain จะต้องมากกว่า 10 แต่จะน้อยกว่า 20
-
เอาด้วย เหงาครับ
ถ้าเป็น class a กระแสกริดไม่ไหลครับ ต้องการแค่แรงดัน Vg ไปโผล่ที่กริดเฉยๆ ครับ
ขอเรียนถามแบบไม่ทราบจริงๆครับมีหลักการดูอย่างไรว่าอันไหนเป็น class a - class b ชว้ยแนะนำหน่อยครับอันนี้ไม่ทราบจริงๆครับ :secret
-
ขอบคุณป๋ามาก ก็งงๆ เหมือนกัน แต่พอจะมองเห็นอะไรบางอย่าง ขอเอาไปลองเล่นดูก่อนครับ :clap
-
น้าไก่ลองแล้วมาเล่าให้ผมฟังบ้างนะครับ ผมรู้อยู่แค่นี้ ทั้งจำทั้งลอก แต่รู้ไม่จริงครับ
-
เอาด้วย เหงาครับ
ถ้าเป็น class a กระแสกริดไม่ไหลครับ ต้องการแค่แรงดัน Vg ไปโผล่ที่กริดเฉยๆ ครับ
ขอเรียนถามแบบไม่ทราบจริงๆครับมีหลักการดูอย่างไรว่าอันไหนเป็น class a - class b ชว้ยแนะนำหน่อยครับอันนี้ไม่ทราบจริงๆครับ :secret
มาดูนิยามกัน
class a = คลื่นไซน์เวฟสวิงได้เต็มลูกคลื่น 360 องศา (คลาสนี้จะเป็น single end)
class b = คลื่นไซน์เวฟสวิงได้ครึ่งลูก 180 องศา อีกครึ่งหนึ่งสวิงไม่ได้เพราะ cutoff หรือ saturateไปซะก่อน, สลับการทำงานครึ่งบวกกับครึ่งลบ (คลาสนี้จะเป็น push pull)
class ab = กึ่งๆ a กับ b คือสวิงได้ไม่ถึงกับเต็มคลื่น แต่ก็ไม่ถึงกับ cutoff เมื่อสวิงขวาสุด และไม่ saturate เมื่อสวิงซ้ายสุด
1 = ไม่มีกระแสกริด
2 = กระแสกริดไหล
เช่น
class a1 = คลื่นไซน์เวฟสวิงได้เต็มลูกคลื่น 360 องศา ไม่มีกระแสกริด
class a2 = คลื่นไซน์เวฟสวิงได้เต็มลูกคลื่น 360 องศา กระแสกริดไหล
ทำนองนี้ครับ
-
มาดูกราฟกัน เป็นกราฟของหลอด 801-A กริดสวิงได้ตั้งแต่ +100V ไปจนถึง -100V นั่นคือช่วงสวิงของกริด 200V
ผมลากเส้นโหลดไลน์ที่ 6K
ตั้งจุดไบอัสไว้ 5 จุด
จุดที่ 4 Vg1 0V ส่วนใหญ่จะเป็นจุดอ้างอิง เพราะถ้ากริดสวิงข้ามผ่าน 0V ไปมา จะมี noise เกิดขึ้น เพราะกริดนำกระแส กับหยุดนำกระแส
ถ้าเลือกไบอัสให้กริดสวิงระหว่าง 0V ไปถึง -70V กระแสกริดจะไม่ไหล จะมีเลข 1 ตามหลังคลาส บางทีก็ไม่เติมเลข 1
ถ้าเลือกไบอัสให้กริดสวิงระหว่าง 0V ไปถึง +60V กระแสกริดจะไหล จะมีเลข 2 ตามหลังคลาส
จุดที่ 2 Vg1 -30V
ถ้ากำหนดให้กริดสวิงจากจุดไบอัส -30V ไปทางซ้ายถึง 0V แล้วสวิงกลับไปทางขวาถึง -60V คลื่นไซน์เวฟสวิงได้เต็มลูกคลื่น 360 องศา เป็นคลาส a และกระแสกริดไม่ไหล เป็น class a1
จุดที่ 1 Vg1 -50V
ถ้ากำหนดให้กริดสวิงจากจุดไบอัส -50V ไปทางซ้ายถึง 0V แล้วสวิงกลับไปทางขวา พอถึง -60V ยังได้อยู่ แต่พอถึง -70V จะเริ่ม cutoff แล้ว น่าจะเป็นคลาส b หรือจะเป็น ab ก็ได้ และกระแสกริดไม่ไหลเป็น class b1 หรือ ab1
จุดที่ 3 Vg1 -10V
ถ้ากำหนดให้กริดสวิงจากจุดไบอัส -10V ไปทางซ้ายถึง 0V แล้วสวิงกลับไปทางขวาถึง -20V คลื่นไซน์เวฟสวิงได้เต็มลูกคลื่น 360 องศา เป็นคลาส a และกระแสกริดไม่ไหล เป็น class a1
ถ้ากำหนดให้กริดสวิงจากจุดไบอัสไปทางซ้ายมือ ผ่าน 0V ไปถึง +50V แล้วสวิงกลับไปทางขวามือ ถึง -70V สวิงได้ข้างละ 60V สวิงได้เต็มคลื่น 360 องศา ช่วงที่สวิงผ่าน 0V ไปทางซ้ายกระแสกริดไหล ช่วงที่สวิงลงมาทางลบ กระแสกริดไม่ไหล
คราวนี้จะว่าคลาสไหน หรือว่าคลาสผสม บางคนบอกว่าจุดไบอัสอยู่แดนลบ ก็คลาส a1 นั่นแหละ บางคนว่ามันทำงานที่แดนบวกด้วย เป็นคลาส a2
บางคนว่าถ้าสวิงไม่ข้ามเส้น 0V ก็เป็นคลาส a1 พอเปิดวอลุ่มมากขึ้น เสียงดังขึ้น มันสวิงข้าม 0V ก็เป็นคลาส a2 คือทำงานได้สองคลาส
จุดที่ 4 Vg1 0V อีกซักครั้ง ไม่นิยมตั้งจุดไบอัสที่จุดนี้ เพราะว่า noise เยอะ แต่ก็มีคนทำได้อยู่ครับ
จุดที่ 5 Vg1 +20V
ถ้าสวิงอยู่แดนบวกก็เป็น class a2 แท้ๆ ล่ะครับ
ถ้าสวิงลงมาแดนลบด้วย ก็คงจะทำนองเดียวกันกับข้างบนครับ
ผมรวบรวมมาจากหลายๆท่านที่เคยปรึกษาหารือกัน หน้าดำคร่ำเครียด มาหลายปีแล้ว น่าจะตั้งแต่ผมเข้ามาในบอร์ด
น่าจะสรุปว่า
การเลือกจุดไบอัส จะเป็นการเลือกคลาสว่าจะเป็นคลาสไหน ส่วนการทำงานอาจจะทำงานได้หลายคลาส ขึ้นอยู่กับการเปิดดัง เบา
น้าหรั่งสรุปได้หรือเปล่าครับ
-
แต่ถ้าจะทำคลาสที่มีเลข 2 คือกระแสกริดไหล ภาคไดร์ต้องใช้ plate choke นะครับ
ภาค์ไดร์ใช้ c coupling กระแสไหลผ่าน c coupling ไม่ได้นะครับ
-
พากันเงียบไปเลย
ผมเข้ากระทู้ วงแตกไปเลย
-
ยังมีข้อแตกต่างกันอยู่ครับ ระหว่างภาคปรี กับภาคเพาเวอร์
ที่กล่าวมาข้างบน ถ้าถูกทุกข้อนะครับ ภาคปรีก็จะเป็นแบบข้างบน ทุกข้อด้วย
ส่วนภาคเพาเวอร์ เราใช้หม้อ OPT ซึ่งเป็นลวดพันรอบแกน เรียกว่า โหลดแบบอินดั๊กถีบ
จุดที่ 1 ไบอัสที่กริด -50V สวิงซ้ายได้เต็มที่ ไปจนถึง +50V โน่นแหละ รวมแล้วสวิงไปทางซ้ายมือได้ 100V พอสวิงขวา หม้อที่เป็นคอยล์ อาจจะสวิงไปได้โดยไม่ cutoff เพราะว่าเหนี่ยวนำ สะสมพลังงานไว้ได้ อาจจะสวิงไปได้รวม 100V คือไปถึง -150V ตรงนี้ผมไม่ขอสรุป รอผู้รู้มาอธิบายครับ
แบบนี้ครับ จำได้ว่าน้า tube club เคยสอนผมอยู่ แต่ผมอาจจะจำผิดก็ได้ครับ
(http://image.ohozaa.com/i/ebd/jgfujV.GIF) (http://image.ohozaa.com/view2/wv2UAyanUddqLy7t)
-
2) ค่า R plate load (RL) ขนานกับ R grid ของหลอดถัดไป รวมกันแล้วควรมีค่ามากกว่า Rp (plate resistance) ของหลอด drive ซัก 5 เท่าขึ้นไป หรือไม่ควรต่ำกว่า 3 เท่าครับ เช่น 6SN7 มี Rp 7K load ด้วย R 30K และ R grid ของหลอดถัดไป 150K เมื่อขนาน 30Kกับ 150K ได้ 25K เกือบสี่เท่าของ Rp ของ 6SN7 ถือว่าพอใช้ได้ครับ
กรณีนี้ หากใช้ rg ของ power 25 k แล้วความถี่ต่ำ Rolloff เร็วไป ก็เพิ่ม C Coupling ใช่ใหมครับ
หรือถ้าใช้ เกินจากที่คำนวน กรณีนี้คือ 25 k จะมีผลเสียอย่างไรครับ
เข้าใจถูกต้องแล้วครับ ถ้าใช้เกิน 25K ไปก็ไม่ควรจะมีปัญหาอะไรเช่นกันครับ
พากันเงียบไปเลย
ผมเข้ากระทู้ วงแตกไปเลย
คุณ Audioman ตอบได้ครบถ้วนพร้อมของแถมเลยครับ :clap
-
2) ค่า R plate load (RL) ขนานกับ R grid ของหลอดถัดไป รวมกันแล้วควรมีค่ามากกว่า Rp (plate resistance) ของหลอด drive ซัก 5 เท่าขึ้นไป หรือไม่ควรต่ำกว่า 3 เท่าครับ เช่น 6SN7 มี Rp 7K load ด้วย R 30K และ R grid ของหลอดถัดไป 150K เมื่อขนาน 30Kกับ 150K ได้ 25K เกือบสี่เท่าของ Rp ของ 6SN7 ถือว่าพอใช้ได้ครับ
กรณีนี้ หากใช้ rg ของ power 25 k แล้วความถี่ต่ำ Rolloff เร็วไป ก็เพิ่ม C Coupling ใช่ใหมครับ
หรือถ้าใช้ เกินจากที่คำนวน กรณีนี้คือ 25 k จะมีผลเสียอย่างไรครับ
เข้าใจถูกต้องแล้วครับ ถ้าใช้เกิน 25K ไปก็ไม่ควรจะมีปัญหาอะไรเช่นกันครับ
พากันเงียบไปเลย
ผมเข้ากระทู้ วงแตกไปเลย
คุณ Audioman ตอบได้ครบถ้วนพร้อมของแถมเลยครับ :clap
O0
-
ถ้ายังงั้นการวางจุดไบอัสสำหรับภาคเพาเวอร์ ก็ไม่ต้องวิตกกังวลอะไรเลย ไม่ต้องกลัวว่าจะ cutoff วางที่ตำแหน่งไหนทางขวามือก็ได้ ใช่ไหมครับ
-
ถ้ายังงั้นการวางจุดไบอัสสำหรับภาคเพาเวอร์ ก็ไม่ต้องวิตกกังวลอะไรเลย ไม่ต้องกลัวว่าจะ cutoff วางที่ตำแหน่งไหนทางขวามือก็ได้ ใช่ไหมครับ
แล้ว ยิ่งวางขวามา B+ ก็ยิ่งสูงไปกันใหญ่ หม้อแปลงจะทนไหวใหมครับ
-
ถ้ายังงั้นการวางจุดไบอัสสำหรับภาคเพาเวอร์ ก็ไม่ต้องวิตกกังวลอะไรเลย ไม่ต้องกลัวว่าจะ cutoff วางที่ตำแหน่งไหนทางขวามือก็ได้ ใช่ไหมครับ
แล้ว ยิ่งวางขวามา B+ ก็ยิ่งสูงไปกันใหญ่ หม้อแปลงจะทนไหวใหมครับ
ถ้าอุปกรณ์รอบข้าง และวงจรอุดมคติครับ
แต่โลกเราไม่อุดมคติ ก็ต้องแก้ปรับกันเรื่อยๆครับ
-
หม้อแปลงเรากำหนดสเปค และสั่งพันเองครับ ทนได้แน่นอนครับ
หม้อขนาด 1.2KV ยังมีคนสั่งพันกันเลยครับ :D
-
รบกวน อ.กะริน เล่าเรื่อง inter stage ด้วยครับ ผมอยากรู้ว่าดูกันยังไงบ้าง จะเอามาใช้งานมีกติกา กฎเกณฑ์ยังไง มีค่าทางไฟฟ้าต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อะไรบ้าง สวิงแรงดันได้สูงสุดกี่โวลต์
พักหลังนี้เริ่มไบอัสกริดของเพาเวอร์สูงขึ้้นๆๆๆๆ จนหลอดหลอดไดร์เล็กๆ เอาไม่อยู่ และอยากลองทำ class a2 ดูมั่งครับ มันสวิงได้กว้างดี
ผมดูราคาหม้อ inter stage ของ sac thailand แล้วลิ้นห้อย คงจะหามือ diy ในเวบเราพันล่ะครับ
-
เป็นนักเรียนต้องขยัน ให้อาจารย์หามาป้อนให้ไม่ดี ไปค้นมาแล้วครับ
อันหม้อแปลงนั้น ทำหน้าที่อยู่สามอย่าง
1. The couple AC without passing DC
2. they balance and unbalance signals
3. they transform signal levels and signal impedances
สำหรับข้อ 3. นั้น ขึ้นอยู่กับ turns ratio ของหม้อแปลง เช่น 1:1 สัญญาณอินพุทกับสัญญาณเอ้าพุทจะ same signal level และ same impedance
ถ้าเป็นหม้อแบบ step up เช่น 1:2 , 1:5 มันก็จะ step up both the signal and the impedance
ทำนองเดียวกันถ้าเป็นหม้อแบบ step down ก็จะ step down both the signal and the impedance
-
ถ้าหม้อมี the highest ratio มักจะมี coloration
Interstage transformers จะนำมาใช้เมื่อต้องการ transform the impedance of a signal ระหว่าง two tube stages หรือเมื่อต้องการ convert between single-ended and differential signals (for example, feeding a single-ended input stage into a push-pull output amp)
ยังไงก็ตาม หม้อแปลงก็คือหม้อแปลง มักจะมี coloration ให้มาด้วยเสมอ
-
เข้าใจถูกทุกอย่างครับ :clap วิธีใช้งานมันก็ให้ดู Rp ของหลอดที่ drive กับ reflection impedance ของ R ที่ terminate grid ด้าน secondary ให้ Rp มีค่าต่ำกว่าหน่อยซัก 4-10 เท่าครับ
เรื่องถัดไปคือ inductance ของ interstage ซึ่งค่า reactance ของมันควรจะมีค่าสูงกว่า Rp ของหลอด drive ซัก 4 เท่าขึ้นไป ไม่งั้น bass จะ roll off เกินไป
impedance ratio บอกค่า step up/down ซึ่งเกี่ยวข้องกับ inductance ของ transformer เหมือนกัน หม้อแปลง interstage สองตัวที่มี impedance ratio เท่ากัน ตัวที่มี inductance มากกว่าก็จะมี bass roll off ที่ต่ำกว่า แต่ถ้ามีมากเกินไปก็เกิด capacitance แฝงมากอีก ปกติผมจะดู spec คร่าวๆ จากนั้นก็ทดลองจริงและวัดผลจริงครับ
-
ฟามรู้ล้วน ๆๆๆ ขอจดจดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ d_d d_d d_d d_d d_d
แต่ว่าไปแล้ว print ไปอ่านง่ายก่าเยอะเลยแฮะ :P
-
2. they balance and unbalance signals
ข้อสองนี่ผมยังไม่เข้าใจครับ บาลานซ์สัญญาณ กับ สัญญาณไม่บาลานซ์ คืออะไรครับ
-
เข้าใจถูกทุกอย่างครับ :clap วิธีใช้งานมันก็ให้ดู Rp ของหลอดที่ drive กับ reflection impedance ของ R ที่ terminate grid ด้าน secondary ให้ Rp มีค่าต่ำกว่าหน่อยซัก 4-10 เท่าครับ
เรื่องถัดไปคือ inductance ของ interstage ซึ่งค่า reactance ของมันควรจะมีค่าสูงกว่า Rp ของหลอด drive ซัก 4 เท่าขึ้นไป ไม่งั้น bass จะ roll off เกินไป
impedance ratio บอกค่า step up/down ซึ่งเกี่ยวข้องกับ inductance ของ transformer เหมือนกัน หม้อแปลง interstage สองตัวที่มี impedance ratio เท่ากัน ตัวที่มี inductance มากกว่าก็จะมี bass roll off ที่ต่ำกว่า แต่ถ้ามีมากเกินไปก็เกิด capacitance แฝงมากอีก ปกติผมจะดู spec คร่าวๆ จากนั้นก็ทดลองจริงและวัดผลจริงครับ
Rp ของหลอดที่ drive........ ไม่ใช่ RL ที่เราลากเส้นโหลดไลน์หรือครับ
reflection impedance ของ R ที่ terminate grid ด้าน secondary ..... ภาคเพาเวอร์ที่ผมเห็นวงจร ไม่มี Rg นะครับ ขาข้างหนึ่งของ inter stage ต่อเข้ากับกริดหรือ Rgs เลยครับ อีกด้านถ้าไม่ลงกราวน์ ก็ต่อเข้ากับไฟไบอัสกริดกรณีทำ fixed bias
-
แต่ว่าไปแล้ว print ไปอ่านง่ายก่าเยอะเลยแฮะ :P
เดี๋ยวรอ จบ Lecture ก่อน จะ print เก็บเหมือนกันครับ
ช่วยตอบกันมาเรื่อยๆนะครับ :bowdown
-
เห็นมั้ยครับอาจารย์ มีคนสนใจ inter stage พอสมควรนะครับ อาจจะเนื่องมาจากทำหลอดไดร์เอ้าพุทสวิง 60Vp-p มาเยอะแล้ว มือจะหนักขึ้น เลือกจุดไบอัสมาทางขวามือมากขึ้นเรื่อยๆ จนกริดของเพาเวอร์สวิงเกิน 80Vp-p คราวนี้จะถามหา inter stage กันเป็นแถว
ถ้า solve ตรงนี้ได้ ก็หาเด็กสร้าง มาทำ inter stage ถ้าทำราคาได้พอๆกับ OPT หนึ่งคู่ก็น่าสนใจครับ มีลุ้น
พวกหลอดเผาตรงเบอร์ใหญ่ๆ จะไม่เป็นปัญหาเลย เดี๋ยวปล่อยออกมาเพียบ
สำหรับคุณภาพของอินเตอร์สเตจก็เอาเท่าที่ได้ครับ ไม่ไปเทียบกับยี่ห้อดังๆ
-
2. they balance and unbalance signals
ข้อสองนี่ผมยังไม่เข้าใจครับ บาลานซ์สัญญาณ กับ สัญญาณไม่บาลานซ์ คืออะไรครับ
บอกแค่นี้อาจจะแปลความหมายได้หลายอย่างเหมือนกันครับ ถ้าหมายถึงหม้อแปลง line level มันก็สามารถแปลงสัญญาณ single end (unbalance) ไปเป็น balance ได้
แต่ถ้าหมายถึง interstage transformer ก็หมายถึงใช้หลอด drive ทาง primary เป็นแบบ single end แต่ secondary ได้สํญญาณออกเป็น balance ครับ
-
เข้าใจถูกทุกอย่างครับ :clap วิธีใช้งานมันก็ให้ดู Rp ของหลอดที่ drive กับ reflection impedance ของ R ที่ terminate grid ด้าน secondary ให้ Rp มีค่าต่ำกว่าหน่อยซัก 4-10 เท่าครับ
เรื่องถัดไปคือ inductance ของ interstage ซึ่งค่า reactance ของมันควรจะมีค่าสูงกว่า Rp ของหลอด drive ซัก 4 เท่าขึ้นไป ไม่งั้น bass จะ roll off เกินไป
impedance ratio บอกค่า step up/down ซึ่งเกี่ยวข้องกับ inductance ของ transformer เหมือนกัน หม้อแปลง interstage สองตัวที่มี impedance ratio เท่ากัน ตัวที่มี inductance มากกว่าก็จะมี bass roll off ที่ต่ำกว่า แต่ถ้ามีมากเกินไปก็เกิด capacitance แฝงมากอีก ปกติผมจะดู spec คร่าวๆ จากนั้นก็ทดลองจริงและวัดผลจริงครับ
Rp ของหลอดที่ drive........ ไม่ใช่ RL ที่เราลากเส้นโหลดไลน์หรือครับ
reflection impedance ของ R ที่ terminate grid ด้าน secondary ..... ภาคเพาเวอร์ที่ผมเห็นวงจร ไม่มี Rg นะครับ ขาข้างหนึ่งของ inter stage ต่อเข้ากับกริดหรือ Rgs เลยครับ อีกด้านถ้าไม่ลงกราวน์ ก็ต่อเข้ากับไฟไบอัสกริดกรณีทำ fixed bias
ในกรณีที่มี R terminate ด้าน secondary ไว้ impedance reflection ที่เกิดขึ้นทางด้าน primary จะประมาณว่าเท่ากับ R ตัวนั้นครับ เพราะฉนั้น RL ที่หลอดมองเห็นจะเท่ากับ R ตัวนั้น ซึ่งบางครั้ง R terminate เราใช้ค่ามากกว่าหลอด driver พอสมควร เช่น 47K กับหลอด drive อย่าง 5687 ซึ่งมี Rp เพียงแค่ 2K
แต่ถ้าไม่มี R terminate ด้าน secondary หลอด drive จะเห็น impedance reflection สูงมาก เพราะ grid มี input impedance สูงอยู่แล้วครับ
-
เห็นมั้ยครับอาจารย์ มีคนสนใจ inter stage พอสมควรนะครับ อาจจะเนื่องมาจากทำหลอดไดร์เอ้าพุทสวิง 60Vp-p มาเยอะแล้ว มือจะหนักขึ้น เลือกจุดไบอัสมาทางขวามือมากขึ้นเรื่อยๆ จนกริดของเพาเวอร์สวิงเกิน 80Vp-p คราวนี้จะถามหา inter stage กันเป็นแถว
ถ้า solve ตรงนี้ได้ ก็หาเด็กสร้าง มาทำ inter stage ถ้าทำราคาได้พอๆกับ OPT หนึ่งคู่ก็น่าสนใจครับ มีลุ้น
พวกหลอดเผาตรงเบอร์ใหญ่ๆ จะไม่เป็นปัญหาเลย เดี๋ยวปล่อยออกมาเพียบ
สำหรับคุณภาพของอินเตอร์สเตจก็เอาเท่าที่ได้ครับ ไม่ไปเทียบกับยี่ห้อดังๆ
80Vpp นี่ถือว่าไม่มากนะครับ หลอด directly heated อย่าง 2A3 ยังต้องการ 110Vpp ซึ่งหลอด medium mu อย่าง 6SN7, 12AU7 สามารถ drive ได้ไม่ยาก
ถ้าเป็น 300B นี่ยากหน่อย เพราะต้องการ 160Vpp หรือมากกว่า อันนี้ใช้ interstage ก็ช่วยได้ครับ
แต่ถ้างบไม่พออาจลองพิจารณา choke load หรือ CCS IC ก็ได้ครับ CCS IC อย่าง 10M45 นี่ผมใช้บ่อย เพราะมันสามารถ swing voltage ได้เยอะ เคยใช้ 6W6 ให้ 10M45 เป็น load มันสามารถทำงานได้ถึง 350Vpp สำหรับ drive 845 ได้ครับ
-
พอจะเลาๆ แล้วครับอาจารย์
อินเตอร์ฯ มีอยู่สองแบบ แบบแรก หลอดเพาเวอร์ทำ self bias ก็ต่อตามรูปใช่ไหมครับ ซึ่งก็ควรจะมีทั้ง Rgs และ Rg
ขออนุญาตยืมรูปมาดัดแปลงนะครับ
แบบนี้ถ้าวงจรถูก สเปคของหม้ออินเตอร์ฯ ควรจะกำหนดเท่าไหร่ครับ ทั้งอิมพีแดนซ์ , turn ratio , การทนวัตต์ ,การรับกระแส
-
แบบที่สอง หลอดเพาเวอร์ทำ fixed bias ก็ต่อตามรูปใช่ไหมครับ ซึ่งก็ควรจะมีทั้ง Rgs และ Rg เช่นกัน ป้องกันการสะท้อนกลับของอิมพีแดนซ์ขด sec.
แบบนี้ถ้าวงจรถูก สเปคของหม้ออินเตอร์ฯ ควรจะกำหนดเท่าไหร่ครับ ทั้งอิมพีแดนซ์ , turn ratio , การทนวัตต์ ,การรับกระแส และที่เพิ่มเข้ามาคือแหล่งจ่ายไฟไบอัสกริด เพราะเป็นได้ทั้งไฟลบ และไฟบวก
กรณีไฟลบ ก็คือการจัดวงจรแบบ class a1, ab1, b1 ธรรมดาเพียงแต่ไม่ใช้ c couple ต้องการแต่แรงดันสวิงออก ไม่ต้องคำนึงถึงกระแสที่จะป้อนเข้ากริด ใช่ไหมครับ เอาแค่แรงดันเท่า Vg1 ก็ใช้ได้ แต่ในกรณีที่ต้องการให้กริดสวิงไปถึงแดนบวก โดยที่ตั้งจุดไบอัสไว้ที่แดนลบ จะทำยังไงครับ
กรณีไฟบวก คือการตั้งจุดไบอัสไว้ที่แดนบวก อันนี้ต้อจัดให้ทั้งแรงดันและกระแสใช่ไหมครับ
-
อาจารย์ไปมองแต่หลอดยักษ์ใหญ่ซึ่งมีคนใจถึงกล้าเล่นน้อยคน
ยักษ์เล็กก็มีนะครับ อาจจะลืมนึกถึง 6080 ไงครับ ผมมีสองหลอด ทำ PP ได้เลย
จัดไปซัก 200V กริดก็ต้องสวิง 200Vp-p แล้วนะครับ
-
อ่านแล้ว ผมก็ยังมีหน้าที่ งง ต่อไป 2f
แต่ดีใจมากที่จุดหัวเทียนติดเครื่องอาจารย์ 2 ท่านมาให้ความรู้ คงต้องเอามาอ่านทบทวนหลายรอบกว่าจะหาย งงงงงงง 2f
ขอความกรุณาอาจารย์ฆริณ ขยายความหน่อยครับ ว่า bass roll off เร็ว กับ bass roll off ต่ำ ที่อาจารย์อธิบาย เสียงมันเป็นยังไงครับ จะได้เข้าใจที่อาจารย์บรรยายมากขึ้นครับ :black_eye
-
อาจารย์ไปมองแต่หลอดยักษ์ใหญ่ซึ่งมีคนใจถึงกล้าเล่นน้อยคน
ยักษ์เล็กก็มีนะครับ อาจจะลืมนึกถึง 6080 ไงครับ ผมมีสองหลอด ทำ PP ได้เลย
จัดไปซัก 200V กริดก็ต้องสวิง 200Vp-p แล้วนะครับ
Pa มันต่ำนะครับ ไบอัสไปที่200V นี่ คงเล้น ABแน่นอน น่าสนดีครับ
-
Interstage transformer ไม่มี spec ที่เป็นมาตรฐานครับ ผู้ผลิตแต่ละเจ้าก็ใช้คำอธิบายต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่จะใช้อัตราส่วน เช่น 1:1, 1:1+1, 1:1.5 เป็นต้น
ส่วน impedance นี่บางเจ้าบอก 10K:10K หมายถึงใช้กับหลอดที่มี Rp ไม่เกิน 10K หรือบางเจ้า 10K:10K หมายถึงให้ใช้หลอดที่ Rp ต่ำหน่อย เพราะมันมี impedance ประมาณ 10K ทางที่ดีที่สุดคือลองาถามไปยังผู้ผลิตครับ
อีกข้อนึงที่ต้องถามด้วยคือ voltage rating ของ primaray/seconday ครับ บางเจ้าเป็นหลัก 1,000V บางเจ้าแค่ 400-500V ยิ่งใช้ bias ด้าน secondary แล้วด้วย สมมติว่า rating มัน 350V เราใช้ bias -100V ด้าน secondary หมายความว่า primary ไม่ควรเกิน 250V
bass roll off เร็ว กับ bass roll off ต่ำ ที่อาจารย์อธิบาย เสียงมันเป็นยังไงครับ
น่าจะเป็นเร็วกับช้าครับ roll off เร็วหมายถึง roll off ที่ความที่ไม่ตำมาก อย่างที่ 100Hz เป็นต้น ปกติไม่ควรเกิน -6dB (gain เหลือครึ่งเดียว)ที่ 50Hz ถ้า roll off เร็วมากๆเสียงเบสหายครับ
-
อีกข้อนึงที่ต้องถามด้วยคือ voltage rating ของ primaray/seconday ครับ บางเจ้าเป็นหลัก 1,000V บางเจ้าแค่ 400-500V ยิ่งใช้ bias ด้าน secondary แล้วด้วย สมมติว่า rating มัน 350V เราใช้ bias -100V ด้าน secondary หมายความว่า primary ไม่ควรเกิน 250V
สงสัยท่อนนี้ครับ ทำไมต้องเอาแรงดันลบกันครับ มันอยู่คนละขดกัน คนละด้านกัน มันไม่ได้อนุกรมกัน
แล้ว voltage rating นี้ คือพิกัดทนแรงดันสูงสุดที่อินเตอร์ฯ สามารถจะทนได้ หรือเป็น voltage swing ได้สูงสุดโดยไม่ขลิปครับ
-
Voltage rating ในที่นี้คืออัตราทน DC bias voltage ระหว่าง primary กับ secondary ครับ พูดง่ายๆคือความสามารถที่ฉนวนทนแรงดันครับ จริงๆผู้ผลิตควรจะบอกตรงนี้ไว้ด้วย output transformer จะทนหน่อยเพราะใช้ฉนวนหนาได้ เนื่องจากขด secondary มันมีรอบน้อยกว่า primary มาก แต่ interstage จะน้อยหน่อยเพราะโครงสร้างที่ต้องพันขดแบบ 1:1 ครับ
-
แบบนี้หรือเปล่าครับ ถ้ากำหนด voltage rating ไว้ 500V นั่นคือในกระบวนการพันหม้ออินเตอร์ฯ ก็เลือกใช้ฉนวนที่ทนแรงดันได้ 500V
เมื่อกริดใช้ไป -100V จึงเหลือพิกัดที่ใช้ได้อีก 400V สำหรับขด primary
-
:secret
สอบตก เลยเรา มึนตึ๊บ
:black_eye
-
พอจะหอมปากหอมคอแล้วก็เอาของจริงมาลองนะครับ ผมเลือกหลอด 805 เพราะมีกริดบวกด้วย เพลตดิส 100W
เลือก RL 7.5K , Vp 850V , Vg1 +10V , Ia 88mA , Ig2 4mA , plate diss. 75V
ได้ค่าต่างๆ ตามกราฟ
-
ทำ fixed bias นะครับ
กริดสวิงในช่วง +50V ถึง -40V สวิงได้รวม 90V
แรงดันที่เพลตสวิงได้รวม เกือบๆ 1,400Vp-p โอยๆๆๆๆๆๆๆๆ
เอามาลงวงจร ตามภาพครับ
ถึงตรงนี้ถูกไหมครับ
-
แบบนี้หรือเปล่าครับ ถ้ากำหนด voltage rating ไว้ 500V นั่นคือในกระบวนการพันหม้ออินเตอร์ฯ ก็เลือกใช้ฉนวนที่ทนแรงดันได้ 500V
เมื่อกริดใช้ไป -100V จึงเหลือพิกัดที่ใช้ได้อีก 400V สำหรับขด primary
ถูกต้องครับ :victory
-
Ig ไม่ได้กินกระแสคงที่ 4mAนะครับ มันแปรผันตามโหลดไลน์ที่เราเลือกในแต่ละจุดแรงดันด้วยครับ
-
ตัวอย่างครับ
-
ขอบคุณน้า Era ครับ
กระแสกริดก็สวิงเหมือนกันกับกระแสเพลต แต่เราก็ต้องตั้งค่าไว้ซักค่า แล้วเตรียมภาคจ่ายไฟให้กริดโดยเผื่อกระแสให้สวิงได้ถึงค่าสูงสุด
ตามรูปของน้า Era กระแสกริดสวิงระหว่าง 10mA ถึง 30mA ซึ่งภาคจ่ายไฟไบอัสกริดต้องจ่ายกระแสให้ได้ตามนี้
และขด sec. ของอินเตอร์ฯ ต้องทนกระแสได้ตามนี้ด้วย
ใช่ไหมครับ
-
เรื่องกริดสวิงกระแสไม่คงที่ที่ 4mA ผมหาทางออกได้แล้วครับ
ผมมองเหมือนหม้อจ่ายไฟสูง กระแสไอเดิ้ลของหลอดก็ไม่คงที่แต่เราไปเผื่อหม้อจ่ายไฟให้จ่ายกระแสได้เกินกระแสไอเดิ้ล
ดังนั้น ภาคจ่ายไฟ fixed bias ให้กริดก็ตั้งแรงดัน +10V 4mA แต่หม้อที่ใช้เราก็เผื่อไปเป็น 0-50V 60mA
แบบนี้ก็น่าจะได้นะครับ
อินเตอร์ฯ ทำหน้าที่สวิงแรงดันเอ้าพุท แต่หม้อจ่ายไฟมีหน้าที่จ่ายกระแสที่สวิงให้กริด
-
หม้อจ่ายไฟทำ fixed bias ถ้าใช้หม้อแยก หรือขดแยก ต้องทำกราวน์ร่วมกับไฟสูง ไม่ยังงั้นกระแสไม่ไหลผ่านกริด
-
ถึงตรงนี้มีที่ผิดไหมครับ ไปทีละจุดครับ
ถ้าไม่ผิด จะถึงตอน climax ต้องมีโฆษณาคั่นด้วย :-*
จะเป็นการเลือกหลอดไดร์ครับ ผมมองเอาไว้ที่ 6v6 หรือไม่ก็ el84 ครับ
-
มาถึงภาคไดร์ ผมเลือกหลอด 6v6 เนื่องจาก คาดว่าจะมีแรงดันและกระแสพอที่จะลากอินเตอร์สเตจไหว คือมีเรี่ยวมีแรงว่างั้นเถอะ
กริดของ 805 ต้องการแรงดันสวิงจาก +50V ถึง -40V รวม 90Vp-p ก็ไม่เยอะเท่าไหร่ หลอดทวินไตรโอดเล็กก็ทำแรงดันสวิงเอ้าได้ แต่ class a2 ต้องการกระแสกริดด้วย จึงต้องพึ่งอินเตอร์สเตจ
แต่ผมไม่รู้นะครับว่าช่วงที่กริดของ 805 สวิงไปบวก กลับไปลบ นี่ แหล่งจ่ายแรงดันไบอัสกริดจะจ่ายบวก จ่ายลบได้หรือเปล่า หรือจ่ายได้แต่บวกอย่างเดียว
-
มาถึงการเลือกไบอัสหลอดไดร์จะใช้หลักการอะไรประกอบการเลือกครับ
เลือกโหลดไลน์ 8K
1. เลือกจุดไบอัส แบบการไบอัสภาคปรี ภาคไดร์ทั่วๆไป คือเลือกกึ่งกลางระหว่าง Vg 0V ถึง -50V
2. เลือกจุดไบอัส แบบการไบอัสหลอดเพาเวอร์ คือเลือกไปทางขวามือได้เลย เพราะอินเตอร์สเตจก็เป็น inductive load เหมือน OPT ไม่ต้องกลัวว่าจะ cut off
-
รบกวนคุณ ออดิโอแมน ถอดวงจรคุณมด วงจรนี้ http://www.htg2.net/index.php?topic=60402.0 เฉพาะ EL34 เป็น Load Line ให้หน่อยซิครับ
-
หลอด 6V6 triode มี Rp ประมาณ 2k ซึ่งถือว่าสูงเกินสำหรับ drive grid ของหลอดที่ต้องการกระแส ที่ผมเคยทำพวก A2 มา ควรจะต่ำว่า 1K ลงมาอีกครับ
หรืออีกวิธีนึงคือใช้ interstage transformer ที่เป็น step down อาจจะเป็น 2:1 ก็ได้ครับ impedance ขาออกจะลดลง 4 เท่า น่าจะใช้งานได้
-
หลอด 6V6 triode มี Rp ประมาณ 2k ซึ่งถือว่าสูงเกินสำหรับ drive grid ของหลอดที่ต้องการกระแส ที่ผมเคยทำพวก A2 มา ควรจะต่ำว่า 1K ลงมาอีกครับ
หรืออีกวิธีนึงคือใช้ interstage transformer ที่เป็น step down อาจจะเป็น 2:1 ก็ได้ครับ impedance ขาออกจะลดลง 4 เท่า น่าจะใช้งานได้
เรียนถามเพิ่มเติมครับ อัตราส่วน IST 2:1 ที่ pri = 2.5 k. ด้าน sec เท่าไรครับ
-
ขอบคุณน้า Era ครับ
กระแสกริดก็สวิงเหมือนกันกับกระแสเพลต แต่เราก็ต้องตั้งค่าไว้ซักค่า แล้วเตรียมภาคจ่ายไฟให้กริดโดยเผื่อกระแสให้สวิงได้ถึงค่าสูงสุด
ตามรูปของน้า Era กระแสกริดสวิงระหว่าง 10mA ถึง 30mA ซึ่งภาคจ่ายไฟไบอัสกริดต้องจ่ายกระแสให้ได้ตามนี้
และขด sec. ของอินเตอร์ฯ ต้องทนกระแสได้ตามนี้ด้วย
ใช่ไหมครับ
ใช่ครับ
-
หลอด 6V6 triode มี Rp ประมาณ 2k ซึ่งถือว่าสูงเกินสำหรับ drive grid ของหลอดที่ต้องการกระแส ที่ผมเคยทำพวก A2 มา ควรจะต่ำว่า 1K ลงมาอีกครับ
หรืออีกวิธีนึงคือใช้ interstage transformer ที่เป็น step down อาจจะเป็น 2:1 ก็ได้ครับ impedance ขาออกจะลดลง 4 เท่า น่าจะใช้งานได้
ต้องใช้หลอดไดร์ที่มี Rp ต่ำกว่า 1K มันหาไม่ง่ายนะครับอาจารย์
ที่ผมพอจะคุ้นๆเพราะเคยทำก็คือหลอด 6080 ซึ่งถ้าเอามาทำก็ควรจะใช้แท่นที่ระบายความร้อนด้วยหม้อน้ำแบบวีออส อัลเมร่า
หลอดประเภทนี้น่าจะเป็นหลอด low mu จำพวกหลอด power triode
เดี๋ยวผมไปหาดูก่อนครับ
-
รบกวนคุณ ออดิโอแมน ถอดวงจรคุณมด วงจรนี้ http://www.htg2.net/index.php?topic=60402.0 เฉพาะ EL34 เป็น Load Line ให้หน่อยซิครับ
ขออนุญาตเจ้าของวงจรก่อนด้วยครับ จะดีมากครับ
-
หลอด 6V6 triode มี Rp ประมาณ 2k ซึ่งถือว่าสูงเกินสำหรับ drive grid ของหลอดที่ต้องการกระแส ที่ผมเคยทำพวก A2 มา ควรจะต่ำว่า 1K ลงมาอีกครับ
หรืออีกวิธีนึงคือใช้ interstage transformer ที่เป็น step down อาจจะเป็น 2:1 ก็ได้ครับ impedance ขาออกจะลดลง 4 เท่า น่าจะใช้งานได้
เรียนถามเพิ่มเติมครับ อัตราส่วน IST 2:1 ที่ pri = 2.5 k. ด้าน sec เท่าไรครับ
มันน่าจะลงแบบคิดจาก turn ratio นะครับ .....เดา
-
หลอด 6V6 triode มี Rp ประมาณ 2k ซึ่งถือว่าสูงเกินสำหรับ drive grid ของหลอดที่ต้องการกระแส ที่ผมเคยทำพวก A2 มา ควรจะต่ำว่า 1K ลงมาอีกครับ
หรืออีกวิธีนึงคือใช้ interstage transformer ที่เป็น step down อาจจะเป็น 2:1 ก็ได้ครับ impedance ขาออกจะลดลง 4 เท่า น่าจะใช้งานได้
ต้องใช้หลอดไดร์ที่มี Rp ต่ำกว่า 1K มันหาไม่ง่ายนะครับอาจารย์
ที่ผมพอจะคุ้นๆเพราะเคยทำก็คือหลอด 6080 ซึ่งถ้าเอามาทำก็ควรจะใช้แท่นที่ระบายความร้อนด้วยหม้อน้ำแบบวีออส อัลเมร่า
หลอดประเภทนี้น่าจะเป็นหลอด low mu จำพวกหลอด power triode
เดี๋ยวผมไปหาดูก่อนครับ
ผมใช้ 6EM7ขับ 304tl เสียงออกมาดีทีเดียว กำลังสนใจเจ้า 805 อยู่ครับ
-
หลอด 6V6 triode มี Rp ประมาณ 2k ซึ่งถือว่าสูงเกินสำหรับ drive grid ของหลอดที่ต้องการกระแส ที่ผมเคยทำพวก A2 มา ควรจะต่ำว่า 1K ลงมาอีกครับ
หรืออีกวิธีนึงคือใช้ interstage transformer ที่เป็น step down อาจจะเป็น 2:1 ก็ได้ครับ impedance ขาออกจะลดลง 4 เท่า น่าจะใช้งานได้
เรียนถามเพิ่มเติมครับ อัตราส่วน IST 2:1 ที่ pri = 2.5 k. ด้าน sec เท่าไรครับ
มันน่าจะลงแบบคิดจาก turn ratio นะครับ .....เดา
4 เท่าตามที่พี่ฆฤณกล่าวไว้ครับ
หม้อจ่ายไฟทำ fixed bias ถ้าใช้หม้อแยก หรือขดแยก ต้องทำกราวน์ร่วมกับไฟสูง ไม่ยังงั้นกระแสไม่ไหลผ่านกริด
Rgsไม่ต้องมีครับ หรือจะมีเพื่อจุนเนื้อเสียงก็ได้
-
รบกวนคุณ ออดิโอแมน ถอดวงจรคุณมด วงจรนี้ http://www.htg2.net/index.php?topic=60402.0 เฉพาะ EL34 เป็น Load Line ให้หน่อยซิครับ
วงจรน่าจะเป็น se a1 ไม่ได้ใช้ inter stage เลยครับ
-
หลอด 6V6 triode มี Rp ประมาณ 2k ซึ่งถือว่าสูงเกินสำหรับ drive grid ของหลอดที่ต้องการกระแส ที่ผมเคยทำพวก A2 มา ควรจะต่ำว่า 1K ลงมาอีกครับ
หรืออีกวิธีนึงคือใช้ interstage transformer ที่เป็น step down อาจจะเป็น 2:1 ก็ได้ครับ impedance ขาออกจะลดลง 4 เท่า น่าจะใช้งานได้
เรียนถามเพิ่มเติมครับ อัตราส่วน IST 2:1 ที่ pri = 2.5 k. ด้าน sec เท่าไรครับ
มันน่าจะลงแบบคิดจาก turn ratio นะครับ .....เดา
4 เท่าตามที่พี่ฆฤณกล่าวไว้ครับ
หม้อจ่ายไฟทำ fixed bias ถ้าใช้หม้อแยก หรือขดแยก ต้องทำกราวน์ร่วมกับไฟสูง ไม่ยังงั้นกระแสไม่ไหลผ่านกริด
Rgsไม่ต้องมีครับ หรือจะมีเพื่อจุนเนื้อเสียงก็ได้
ขอบคุณครับ
-
รบกวนคุณ ออดิโอแมน ถอดวงจรคุณมด วงจรนี้ http://www.htg2.net/index.php?topic=60402.0 เฉพาะ EL34 เป็น Load Line ให้หน่อยซิครับ
ขออนุญาตเจ้าของวงจรก่อนด้วยครับ จะดีมากครับ
น่าจะเป็นวงจรของจีนนะครับ เห็น ในวงจรมีแต่ภาษาจีน หรือ ยี่ปุ่น :)
-
รบกวนคุณ ออดิโอแมน ถอดวงจรคุณมด วงจรนี้ http://www.htg2.net/index.php?topic=60402.0 เฉพาะ EL34 เป็น Load Line ให้หน่อยซิครับ
el34 ต่อแบบไตรโอดโหมด ลองลากดูแล้ว Ia 18mA ไม่เท่ากับในวงจร ๆ 9.ุ6mA น่าจะมีการปรับเปลี่ยน
-
el34 ต่อแบบไตรโอดโหมด ลองลากดูแล้ว Ia 18mA ไม่เท่ากับในวงจร ๆ 9.ุ6mA น่าจะมีการปรับเปลี่ยน
กราฟค่อนข้างราบ ความเพี้ยน เป็นอย่างไรบ้างครับ :)
-
หลอด 6V6 triode มี Rp ประมาณ 2k ซึ่งถือว่าสูงเกินสำหรับ drive grid ของหลอดที่ต้องการกระแส ที่ผมเคยทำพวก A2 มา ควรจะต่ำว่า 1K ลงมาอีกครับ
หรืออีกวิธีนึงคือใช้ interstage transformer ที่เป็น step down อาจจะเป็น 2:1 ก็ได้ครับ impedance ขาออกจะลดลง 4 เท่า น่าจะใช้งานได้
ต้องใช้หลอดไดร์ที่มี Rp ต่ำกว่า 1K มันหาไม่ง่ายนะครับอาจารย์
ที่ผมพอจะคุ้นๆเพราะเคยทำก็คือหลอด 6080 ซึ่งถ้าเอามาทำก็ควรจะใช้แท่นที่ระบายความร้อนด้วยหม้อน้ำแบบวีออส อัลเมร่า
หลอดประเภทนี้น่าจะเป็นหลอด low mu จำพวกหลอด power triode
เดี๋ยวผมไปหาดูก่อนครับ
10em7 750R
13emt 750R
5998 350R
6080 300R
6336 250R
6520 300R
6528 245R
6as7 250R
ฯลฯ
-
ขออนุญาตต่อไปเลยนะครับ เพราะเห็นว่านิ่งแล้ว ไม่ขยับ
เอา 6v6 ต่อเพราะทำแล้ว ผมเลือกจุดไบอัสค่อนไปทางขวามือแบบไบอัสหลอดเพาเวอร์
ได้ค่าต่างๆตามกราฟ
-
เอามาลงวงจรแบบ งงๆ
ตามรูปครับ
สงสัยว่าไฟ B2+ 260V ถูกไหมครับ เพราะ inductive load แทบจะไม่มีแรงดันไฟตรงตกคร่อม อย่างของหม้อ OPT ก็จะเผื่อให้ 10V แต่วัดดูแล้วก้ไม่เคยถึง มันจะทำให้ไฟที่เพลตสูงตามไปด้วย
สำหรับ interstage ใช้แบบ 2:1 เมื่อ Rp = 2.7K ก็จะได้ impedance ด้าน sec. หารด้วยสี่ = 675R
-
อาจารย์ตรวจการบ้านด้วยนะครับ ;D
-
น่าจะใช้ได้ครับ แต่รับรองฮัมระเบิด ;D เพราะไฟที่ป้อนใหักับ grid ของ 805 ไม่ filter เลย ripple ที่โผล่ที่ grid ของ 805 จะขยายเต็มๆเลยครับ
หลอดประเภท hi-mu อย่าง 805 มี gain มากก็จริง แต่ plate resistance ก็มากตามไปด้วย เท่าที่ผมกะดู มันน่าจะ 6K หรือมากกว่าด้วยซ้ำ การใช้ OPT ที่มี impedance ไม่มากนัก gain ก็จะตกลงโดยปริยาย สมมติว่าเหลือครึ่งนึง ก็ยังมากอยู่ ประมาณ 20 บวกกับเราไม่ได้ bias มันที่ voltage สูงๆ gain ก็ยิ่งตกลงไปอีก อาจจะเหลือ 15
พอ gain ลด ก็ต้องการภาค drive ที่มีทั้ง voltage และ current ด้วย ดังนั้นวงจรที่ออกแบบมาน่าจะใช้งานได้ แต่ถ้าจะให้ได้ประสิทธิภาพจริงๆคงต้องทำไปวัดไปครับ interstage transformer ที่ใช้ ด้าน secondary ควรจะมี DCR ต่ำๆเพื่อให้กระแสไหลผ่าน grid ของ 805 ได้ดีครับ อาจะมี R terminate ไว้ที่ secondary ด้วย ค่าไม่มากนัก ซัก 3-5K เพื่อไม่ให้ 6V6 มันต้องเจอ load ที่วูบวาบ คือตอน 805 ไม่มีกระแส grid 6V6 จะเห็น load impedance สูงมาก แต่พอมีกระแส grid (A2) impedance จะตกวูบ มาใช้ R terminate จะลดผลกระทบตรงนี้ ผมเข้าใจว่านี่สาเหตุที่ทำไมปรมาจารย์ SE อย่าง Nobu Shishido ถึงได้ bias หลอดพวกนี้ให้เป็น A2 ตลอดเวลา และใช้ OPT ที่มี primary impedance ไม่สูงนัก (พันง่ายกว่า) จากนั้นจึงใช้ Negative Feedback มาช่วยเรื่อง output impedance อีกที
-
เพิ่ม c filter ที่จ่ายไฟใฟ้กริดแล้วครับ
ตามหลักที่อาจารญ์ให้ว้าคือ
1. Rp ของหลอดที่ drive กับ reflection impedance ของ R ที่ terminate grid ด้าน secondary
ให้ Rp มีค่าต่ำกว่าหน่อยซัก 4-10 เท่าครับ
.........R terminate = 4-10 เท่าของ Rp = 10.8K-27K
2. inductance ของ interstage ซึ่งค่า reactance ของมันควรจะมีค่าสูงกว่า Rp ของหลอด drive ซัก 4 เท่าขึ้นไป
ไม่งั้น bass จะ roll off เกินไป
.........primary reactance = 10.8K
สเปคของหม้ออินเตอร์ฯ
เป็นหม้อ step down 2:1 primary impedance 2.7K primary reactance 10K
sec. impedance 675R
sec. DCR ที่ว่าต่ำๆ ควรเป็นเท่าไหร่ครับ
Rg ควรใช้ค่าเท่าไหร่ครับ
-
DCR ของ secondary ต่ำๆก็พอครับ บอกไม่ได้เหมือนกันว่าควรเป็นเท่าไหร่ คงต้องให้คนพันเค้าทดลองให้
ส่วน R ที่ grid ของหลอด power เริ่มที่ 3K ก็ได้ครับ
-
ใส่ Rg 3K ขึ้นไปแล้วครับ
คำถามที่สำคัญครับ
R terminate กับ Rg ถือว่าต่ออนุกรมกันไหมครับ แล้วถ้าเพิ่ม/ลดค่าหนึ่ง ต้องลด/เพิ่มอีกค่าหนึ่งไหมครับ หรือทั้งสองค่าเป็นอิสระต่อกัน
เราจะประมาณแรงดันสวิงคร่อม pri. interstage กับ sec. interstage ได้จากอะไรครับ แรงดันสวิงขาออกนี่จะสำคัญมากต้องได้มากกว่าที่กริดของเพาเวอร์สวิง
เหตุที่จัดวงจรเพาเวอร์แบบ a2 ก็เพราะต้องการให้กริดของเพาเวอร์สวิงได้กว้างขึ้นตั้งแต่แดนบวกถึงแดนลบ (แต่ที่อาจารย์เล่ามาก็มีข้อเสีย ควรจะจัดแดนบวก หรือแดนลบอย่างใดอย่างหนึ่ง)
นั่นหมายความว่าแรงดันที่เพลตของเพาเวอร์ก็จะสวิงได้กว้างขึ้นเหมือนกัน เป็นพันโวลต์
pri. ของ OPT ก็จะรับแรงดันสวิงในระดับ พันโวลต์พีค-พีค เลยนะครับ อย่างในกรณีหลอด 805 ที่ผมเอามาเป็นตัวอย่าง
หม้อ OPT ต้องใช้หม้อสำหรับ class a2 ระบุสเปคทนแรงดันพันโวลต์ไหมครับ แล้วต้องเป็นแรงดันที่หักแรงดันที่ขด sec. ของ OPT ออกไปแล้ว เหมือนที่คิดกับหม้อ interstage ไหมครับ
-
พอดีไม่ได้สังเกต จริงๆแล้ว Rg ไม่ต้องใส่ครับ ใส่แค่ R ที่ terminate secondary อย่างเดียวครับ
ปกติ output transformer ที่ได้มาตรฐานมักจะทนแรงดัน swing ได้เป็นหลักพันโวลต์อยู่แล้วครับ
การคำนวน voltage ที่จะมา drive หลอด power ก็ประมาณได้จาก impedance reflection ที่หลอด drive เห็นที่ primary ครับ ถ้ามันเห็นซัก 10K ก็วาด loadline ที่ 10K ส่วน output ที่เรา step down ลงมาก็เอาสัดส่วนนั้นมาคิดด้วยก็จะได้ค่าประมาณออกมาครับ
-
เอา Rg ออก เหลือแค่นี้ครับ
ไปๆมาๆ ที่ได้้คุยกับอาจารย์แล้วนี่ ผมว่า ให้กริดสวิงอยู่ด้านเดียวก็พอ ถ้าสวิงข้าม Vg1 0V ไปมาแล้วจะมีหลายเรื่องที่ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ แท้ๆ อย่างลึกซึ้งแล้ว จะแก้ปัญหาที่ตามมาไม่ได้
เอาอินเตอร์สเตจเข้ามาช่วยในเรื่องที่ไดร์สวิงเอ้าพุทได้ไม่พอ ก็น่าจะพอ
-
A2/AB2 มันยากตรงนี้ละครับ คือออกแบบในกระดาษให้พอได้ไอเดีย แต่ในที่สุดก็ต้องทำออกมาและก็วัดจริง ถ้ามีปัญหาก็ค่อยๆแก้ไปทีละจุดครับ
-
รบกวนอาจารย์ต่อครับ วันหยุดผมไม่ได้ไปไหน
คราวนี้ pure class a2 ใช้หลอด 811a power triode เพลตดิส 65W
ของชูกวงราคา ราคา 24$ ประมาณ 800 บาทไทย ไม่แพงเลย :o
ผมเลือก RL ต่ำ 2.5K ได้จุดไบอัสตามภาพ พบว่า
หลอดนี้เป็นหลอด hi mu มี u = 88 เกือบๆ 12ax7 เลยนะครับ
-
จับลงวงจรตามภาพครับ
มีข้อน่าสังเกตุว่า RL 2.5K ส่วน Rp 16K อันนี้จะเป็นปัญหาไหมครับ เข้ากันได้ไหม
แรงดันจะมาตกคร่อม Rp เกือบหมดหรือเปล่าครับ
-
มันก็ทำงานได้นะครับ แต่ gain จริงๆอาจจะเหลือไม่มากนัก และอาจจะต้องใช้ feedback ช่วยนิดหน่อย
สังเกตเห็นตัว interstage เขียนแปลกๆ จริงๆเวลาสั่งพันจะบอกว่าเป็น 10K:2K นะครับ ส่วนอัตราส่วน impedance ถูกต้องแล้ว คือทำให้ output impedance ลดลงจาก 2.7K เหลือ 675 ohm เมื่อเทียบกับ 10K:10K (1:1)
ลองดูวงจรที่ออกแบบโดย Shishido ที่นี่นะครับ จะเห็นความคล้ายคลึงกันระหว่างวงจรของคุณ Audioman กับ Shishido
http://lagarto-ex-infoseek.jp/shishido/shishido-skema.htm
-
วงจรนี้หลอดคนละเบอร์กับวงจรก่อนนะครับอาจารย์
อันแรก 805 อันนี้ 811a ครับ
อาจารย์ว่าใช้ feedback ช่วย เป็น negative feed back หรือ positive feed back ครับ
เพราะผมเคยทำแล้วเกนลดลงนะครับ
-
negative feedback ครับช่วยลด output impedance ของตัว poweramp เพราะ Rp ของหลอด power แบบ hi-mu มันสูงพอสมควรครับ
-
ขอบคุณครับ แต่ผมยังไม่รู้ว่าฟีดแบคช่วยลดยังไง
มาต่อครับ หลอด 811a จะเอาหลอดไตรโอดอะไรมาไดร์ดีครับ ที่เลือกไตรโอดเพราะ Rp จะต่ำกว่าเพนโทดครับ 12au7, 6100 ได้ไหมครับ
-
หลอด triode อย่าง 6N6 ก็น่าสนใจครับ ถูกดีด้วย
ส่วน negative feedback ทำให้ output impedance ต่ำลงยังไงนี่ถ้าอธิบายทางคณิตศาสตร์อาจจะยาวหน่อย แต่ถ้าอธิบายทางกายภาพน่าจะง่ายกว่า
ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่จะพอนึกออกว่า negative feedback คือการแบ่งสํญญาณส่วนหนึ่งที่ output ในสัดส่วนที่แน่นอมาหักล้างกับ input ซึ่งทำให้ gain ลดลง ในส่วนของด้าน output นั้น ปกติจะมีความต้านทานภายในอยู่แล้ว ถ้าเทียบกับหลอดก็คือ Rp เมื่อมีสํญญาณออกที่ output ก็จะมีแรงดันส่วนหนึ่งตกคร่อมความต้านทานตรงนี้อยู่ สัญญาณตรง output ที่เราเอาไปทำ feedback นี้จะลดลงไปตามความต้านทานของ output เอง ทำให้มีสัญญาณไปหักล้างที่ input น้อยลง ซึ่งก็หมายความว่าจะมี gain เพิ่มขึ้นมาด้วย ทำให้ output สามารถขยายสัญญาณได้ดีขึ้น
จะเห็นว่า feedback ไม่ได้ทำให้ output impedance ต่ำลงทางกายภาพ แต่ด้วยกลไกลของมัน ทำให้ดูเหมือนกับว่า output impedance ต่ำลงซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ทางคณิตศาสตร์ครับ
ลองดูรายละเอียดใน youtube ก็ได้ครับ บางครั้งผมก็ชอบกลับไปทบทวนสิ่งที่เคยเรียนมากับอาจารย์ Youtube แบบนี้เหมือนกันครับ ;D
http://www.youtube.com/watch?v=sT7nQypM5uU
-
หา datasheet ของ 6N6 ไม่มีครับ เอา 6100 แทนครับ
หาค่าต่างๆตามภาพ
ข้อสังเกตุ B2+ ต่ำจังครับ เพราะคิดแบบหลอดเพาเวอร์เพราะโหลดเป็น inductive load มีทางที่จะยกแรงดันขึ้นไปอีกได้ไหมครับ เพิ่ม R current sink ซักร้อยโวลต์ ยกแล้วจะเป็นยังไง
-
เอามาลงวงจรครับ
สเปคอินเตอร์ฯ จะเป็น
2:1
pri. 8K , reactance 32K
sec. impedance 2K , low DCR
R terminate 32K
เป็นยังไงมั่งครับ
-
6100 มันคือ 1/2 ของ 12AU7 ซึ่ง Rp มันสูงเกินไปครับ พอ step down แล้วเหลือ gain นิดเดียวด้วย
6N6P datahseet ลองที่นี่นะครับ http://lib.store.yahoo.net/lib/thetubestore/RU-6N6P.pdf
แต่ทั้ง 6100 และ 6N6P ก็ยังมี gain น้อยเกินไปอยู่ดี น่าจะมี pre-driver อีกตัวนึงครับ
ถ้าอยากใช้ gain stage เดียว อาจลองพิจารณา 417A/5842 หรือ 6C45/6S45 ดูครับ
-
หลอดภาคขับน่าจะใหญ่ขึ้นหน่อยนะครับ เช่นพวก 6v6 6f6 หรือไม่ก็ 6l6 ต่อแบบไทรโอด ทำให้ Rp ต่ำลงมา อินเตอร์สเตจร์น่าจะพันง่ายขึ้น และเพิ่มภาคหน้าขึ้นใช้ 6100 คิดว่าน่าจะฉิวครับ
-
ใช้หลอด 6N6P รัสเซีย
ผมเลือกจุดไบอัสขวามือสุดเลย เนื่องจากอยากให้ไฟเลี้ยงวงจรสูงมาหน่อย และถือว่าโหลดเป็น inductive load ไม่มี cut-off
แต่หาค่า Gm ไม่ได้
ได้ค่า Rp 4K สูงกว่าดาต้าชีต ซึ่งบอกไว้ 1.8K
-
เอามาลงวงจร ได้สเปคอินเตอร์ฯ เป็น
primary 4K, reactance 16K
turn ratio 2:1
secondary impedance 1K , low DCR
R terminate 16K
เป็นยังไงมั่งครับ
-
ภาคแรกน่าจะจัดสเตจเป็นไดเลคคลั๊ปปลิ้งไปเลยครับ เพราะภาคไดเวอร์ ใช้ไฟอยู่ช่วง 350 โวลล์ ข้อแนะนำอีกอย่าง คือ อาจารย์ Karin Preeda ได้พูดเรื่องอิมพีเด้นซ์หลอดเอ้าพุทไว้ หากเราฟีดเบรค (Cf ) ที่คาโทรด หลอด 811a โดยเพิ่มขดลวด 16 โอร์ม ของ OPT อีกชุด แอมป์หลอดเครื่องนี้ เสียงน่าจะไปไกลครับ
-
ไดเรกคับปิ้ง ผมทำไม่เคยได้ครับ ทำไม่เป็น
ใส่ฟีดแบ็คแล้วครับ ไม่รู้จะถูกหรือเปล่า เฟสตรงกันไหมครับ
-
ไดเรกคับปิ้ง ผมทำไม่เคยได้ครับ ทำไม่เป็น
ใส่ฟีดแบ็คแล้วครับ ไม่รู้จะถูกหรือเปล่า เฟสตรงกันไหมครับ
ตามวงจรนี้เลยครับ โดยแยกชุด 16 ohm อีกชุด และ ถ้าหากจุดไส้หลอดด้วยไฟ DC pot adj ใช้ R Fix ได้เลยครับ
(http://image.ohozaa.com/i/2ef/WNR0Nr.JPG) (http://image.ohozaa.com/view2/wvWpdPYnjCqUHzZT)
-
ไอ๊ย่ะ มีแบบนี้ด้วย
-
กรณี ขนาน หลอด Power เล่นใน Class A1 ก็ไม่ดึงกระแสกริด เช่น เดียวกันใช่ใหมครับ :)
-
กรณี ขนาน หลอด Power เล่นใน Class A1 ก็ไม่ดึงกระแสกริด เช่น เดียวกันใช่ใหมครับ :)
เอาด้วย เหงาครับ
ถ้าเป็น class a กระแสกริดไม่ไหลครับ ต้องการแค่แรงดัน Vg ไปโผล่ที่กริดเฉยๆ ครับ
ขอเรียนถามแบบไม่ทราบจริงๆครับมีหลักการดูอย่างไรว่าอันไหนเป็น class a - class b ชว้ยแนะนำหน่อยครับอันนี้ไม่ทราบจริงๆครับ :secret
มาดูนิยามกัน
class a = คลื่นไซน์เวฟสวิงได้เต็มลูกคลื่น 360 องศา (คลาสนี้จะเป็น single end)
class b = คลื่นไซน์เวฟสวิงได้ครึ่งลูก 180 องศา อีกครึ่งหนึ่งสวิงไม่ได้เพราะ cutoff หรือ saturateไปซะก่อน, สลับการทำงานครึ่งบวกกับครึ่งลบ (คลาสนี้จะเป็น push pull)
class ab = กึ่งๆ a กับ b คือสวิงได้ไม่ถึงกับเต็มคลื่น แต่ก็ไม่ถึงกับ cutoff เมื่อสวิงขวาสุด และไม่ saturate เมื่อสวิงซ้ายสุด
1 = ไม่มีกระแสกริด
2 = กระแสกริดไหล
เช่น
class a1 = คลื่นไซน์เวฟสวิงได้เต็มลูกคลื่น 360 องศา ไม่มีกระแสกริด
class a2 = คลื่นไซน์เวฟสวิงได้เต็มลูกคลื่น 360 องศา กระแสกริดไหล
ทำนองนี้ครับ
a1 ไม่ดึงกระแสครับ
-
ไอ๊ย่ะ มีแบบนี้ด้วย
ผมทำงานทดลองเรื่องนี้มา กว่า 3 ปี แล้วครับ แนวคิดแบบนี้ ญี่ปุ่น โดย Shinobu ปรมาจารญ์แอมป์หลอด นำเทคนิก CF มาใช้ ร่วมแอมป์หลอดชื่อก้องโลก อย่าง Mcintosh ก็เอามาใช้ก่อนญี่ปุ่น แถมจดลิขสิทธิไว้ด้วย
-
แล้วการขนาน หลอด Power Triode Load Line จะเปลี่ยนไปอย่างไรครับ :)
-
แล้วการขนาน หลอด Power Triode Load Line จะเปลี่ยนไปอย่างไรครับ :)
โหลดไลน์ไม่เปลี่ยนครับ แต่
1. กระแสจะเพิ่มสองเท่า กระแสใหม่เท่ากับกระแสเดิมคูณสอง
2. Rk ใหม่ลดลงสองเท่า คือ Rk เดิมหารด้วยสอง
3. Rp ใหม่เท่ากับ Rp เดิมหารสอง
4. เกนเท่าเดิม
5. power output นี่น่าจะเพิ่มครับ เพิ่มสองเท่าหรือเปล่าผมไม่แน่ใจครับ
-
6. OPT ใหม่เท่ากับ เส้นโหลดไลน์หารสองครับ
-
ขนานหลอด แบบใหน ถูกต้อง ครับ
1) แยก Bias แต่ละหลอด
2)Bias รวม
-
ถูกทั้งคู่ครับ แบบสองก็ดีตรงที่ปรับ bias แยกกันได้ แต่จริงๆแล้วถ้าไม่ต่างกันมากก็อาจจะไม่จำเป็นครับ
-
ถ้าหลอด match pair ก็ไบอัสรวม
แต่ ส่วนใหญ่ใช้หลอดเท่าที่มี แบบนี้ไบอัสแยกครับ
-
ถูกทั้งคู่ครับ แบบสองก็ดีตรงที่ปรับ bias แยกกันได้ แต่จริงๆแล้วถ้าไม่ต่างกันมากก็อาจจะไม่จำเป็นครับ
กรณี แยกปรับ Bias C-Coupling ต้อง Match ใหม ครับ เพราะ C ก็มี ความคลาดเคลื่อน 5 % ทำให้ Cut-Off ต่างกันหรือไม่ครับ :)
-
คงไม่จำเป็นครับ ลองคำนวนตัวนึงน้อยกว่า 5% อีกตัวนึงมากกว่า 5% สองตัวรวมกัน 10% คำนวนออกมาค่าไม่ต่างกันพอที่จะมีผลมากขนาดฟังออกครับ
-
ท่าทางจะได้ทำหลอดใหญ่กะเขาซะแล้วครับ
ไปได้มวลสารศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์มาจำนวนหนึ่ง
หม้อจ่ายไฟ 600V 100W 200mA อันนี้หลวมตัวซื้อแล้วครับ
-
ท่าทางบึกบึน
-
อันนี้ ว่าเอามาทำอินเตอร์สเตจได้ ว่างั้น
แต่ยังไม่ได้ซื้อครับ
-
เอาหลอดใหญ่อะไรมาทำครับ งานนี้จัด se class a2 ไปครับ
ไฟสูงซัก 800V กระแส 60-80mA
-
หม้ออินเตอร์สองคู่นั่น เอาหม้อไหนดีครับ
-
ท่าทางจะได้ทำหลอดใหญ่กะเขาซะแล้วครับ
ไปได้มวลสารศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์มาจำนวนหนึ่ง
หม้อจ่ายไฟ 600V 100W 200mA อันนี้หลวมตัวซื้อแล้วครับ
ขออนุญาตถามคุณaudioman ด้วยครับคือข้าน้อยสงสัยนิดนึงว่า ไฟขาออก 600V 0.1kVA ทำไมถีงได้กระแส 200mA หรือว่าเขาทำเผื่อมาครับผม
-
อันนี้ ว่าเอามาทำอินเตอร์สเตจได้ ว่างั้น
แต่ยังไม่ได้ซื้อครับ
คู่บนน่ะ อินเตอได้ แต่คู่ล่าง เอามาทำ หม้ออินพุท ไม่ก็ พาสซีพ ปรีดีกว่า น่าจะเหมาะ กับหน้าที่ของมันครับ ทำอินเตอไม่น่าจะรอด(พัง เพราะรองรับกระแสนิดเดียวเองมั้งครับ)
คู่ล่างนั้น ผมเคยมี เคยใช้ เอาไปทำ iv อยู่ และก้ให้รุ่นพี่ ที่เคารพไป เป้น เกรททหาร ตอนแรกคิดว่า หัวกุด ท้าย จม แต่เอามาลอง ก้ไม่พบปัญหาครับ
-
ท่าทางจะได้ทำหลอดใหญ่กะเขาซะแล้วครับ
ไปได้มวลสารศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์มาจำนวนหนึ่ง
หม้อจ่ายไฟ 600V 100W 200mA อันนี้หลวมตัวซื้อแล้วครับ
ขออนุญาตถามคุณaudioman ด้วยครับคือข้าน้อยสงสัยนิดนึงว่า ไฟขาออก 600V 0.1kVA ทำไมถีงได้กระแส 200mA หรือว่าเขาทำเผื่อมาครับผม
ทำมาเผื่อ คนขายรับรองว่าได้ครับ
-
คู่ล่าง เอามาทำ หม้ออินพุท ไม่ก็ พาสซีพ ปรีดีกว่า น่าจะเหมาะ กับหน้าที่ของมันครับ
พาสซีพปรี เป็นยังไงครับ