HTG2.club

อีกห้องหนึ่งที่อุดรครับ

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ M.lex

  • M.Lex HTG (Home Theater GURU)
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,154
    • เพศ:ชาย
ใช้ลำโพง Home Audio แล้วใช้วิธีการปรับเสียงแบบ Home Cinema สิ่งที่เราจะไม่ได้เลยกับลำโพง Home Audio นั่นก็คือ เวทีเสียงเสียไป ราดละเอียดหายไม่ใช่น้อย คุณสมบัติที่โดดเด่นของลำโพงหายไป

ลำโพง Home Audio ถูกออกแบบมาให้ใช้คู่กัน จะทำงานเป็นเงาซึ่งกันและกัน ฉนั้นการปรับเสียงแบบ Home Cinema กับลำโพง Home Audio มักจะไม่ได้ผลดีเท่าลำโพง Home Cinema โดยตรง ลำโพง Home Audio

จำเป็นต้องปรับเสียงแบบ 2Channel จริงอยู่การปรับเสียงแบบ Home Cinema ค่าทางตัวเลขอาจจะออกมาดีแต่ค่าทางเสียงที่เราสัมผัสได้นั้นไม่คิดว่ามันจะดี การใช้ DSP มาแก้ใขข้อผิดพลาดนั้น ส่วนมากแล้วเราจะเอามาแก้

ใขปัญหาเรื่อง Acoustic ในความมเป็นจริงแล้วในบ้านไม่จำเป็นต้องใช้เลย เพราะในบ้านมันมีพื้นที่ไม่ใหญ่โตเราสามารถแก้ใข Acoustic ได้ไม่ยากเย็น แต่สำหรับในงาน Commercial แล้ว DSP มีความจำเป็นอย่างยิ่ง

เหตุเพราะว่าไม่สะดวกที่จะแก้ใขได้ทาง mechanic เพราะมีพื้นที่ใหญ่โต ฉนั้นการแก้ใขด้วย electronic จึงเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า การแก้ใขที่ดีที่สุดคือแก้ใขตั้งแต่ต้นทางคือในภาค Digital domain การแก้ใขในภาค

Analog Domain จะมีความผิดพลาดได้มากกว่าเที่ยงตรงน้อยกว่าและเห็นผลน้อยกว่าการแก้ใขในภาค Digital domain การทำตัวเลขให้ออกเป๊ะใช่ว่าเสียงจะออกมา Perfect บางครั้งความเพี้ยนเล็กน้อยอาจทำให้เรารู้สึก

ว่าเสียงดีกว่าถูกต้องเป๊ะๆ

แสดงความเห็นเล็กน้อยครับ

จิตอาสาพาเราเจริญ

โหลดเพลง คลิปวีดีโอ นิยาย การ์ตูน" width="190" height="58" border="0


ออฟไลน์ หมอเอก

  • *****
    • กระทู้: 892
    • เพศ:ชาย
หมอเอกครับ    ผมมีเรื่องเตือนนิดครับ  การเอา เครื่อง PA มาใช้แก้ไขเสียงในบ้านตามหลักการ  ให้เสียงถูกต้อง เป็นเรื่องดีครับ  แต่สิ่งที่ต้องระวัง คือ quality of signal   การที่ใส้ dsp ทุก ch  มันเท่ากับ    เพิ่ม  A/D  D/A  เพิ่มเขาไปในระบบ  ซึ่งในทางออดิโอฟาย เท่ากับทำเพิ่ม latency และทำให้ สัญญาณ เกิดการสูญเสีย     อีกอย่าง qsc ในวงการ pa ไม่ใช่แอม ดี แต่เป็นแอมราคาถูก   แอมป์ดีของ pa  จะเป็น crown และ labgruppen  ครับ      เครื่องมือวัดค่าได้แต่ไม่ได้หมายความว่าเสียงดีครับ   ว่างๆลองเอา dps มาใส่ใน mode  2ch จะเห็นชัดครับว่า บรรยากาศหายไป พอสมควร   เสียงจาก bluray มา 96k-192   และแปลงลงเป็น  anolog     แต่ตัว dsp ส่วนมากจะมี samping แค่ 48 k    เท่ากับเอาเราเอาเสียงมา process อีกที่ 48k แน่นอน  latency เกิด และสัญญาณ ลดทอนครับ  ถึงจะวัดค่าได้ตรง เสียงสัญญษณเสียงสุญเสียครับ   ถ้าเป็นจะเลือกซื้อ  decoder ดีๆมาแล้วปรับในนั้นเลย เพื่อลดงการสูญฌสีย
ขอบคุณครับเสี่ยเบนซ์ เจ้าพ่อ PA ตัวจริงที่มาให้คำแนะนำเอง ความจริงการเล่นแบบนี้ไม่แนะนำให้เล่นในการใช้งานในบ้านทั่วไปครับ เพราะต้องใช้เครื่องมือ และการวัดที่ละเอียด ที่สำคัญเสียเวลาในการทำในการปรับมากไม่เหมาะกับการใช้งานทั่วๆไป สัญญาณกวนก็จะเยอะกว่าการใช้เครื่องที่เขารวมมาแล้วดีกว่าแน่นอน แต่ด้วยความมันเลยลองเอามาเล่นดูเพราะในส่วน HAA แนะนำให้ใช้ใน LFE เลยลองเอามาใช้กับ channel อื่นๆดู แล้วติดใจมันปรับได้ทุกอย่าง ลองไปsearch ตัวที่ใช้ในบ้านที่เขาแนะนำในห้อง home theater ที่ปรับได้เหมือนๆกัน แต่ละตัวราคาเกินครึ่งล้านทั้งนั้น อย่างตัวนี้ของ JBL


ราคาตัวละหกแสน แถมบางยี่ห้อต้องใช้สองตัวอีกเพราะให้มาแค่ 4 channel เลยรู้สึกว่าพอเป็นของ Hi End นี่มัน rip off กันชัดๆ เท่านั้นไม่พอซื้อเครื่องแล้วบางทียังต้องใช้สายเฉพาะของเขาอีก ไม่รู้ราคารวมๆทั้งระบบจะเท่าไหร่เนี่ย


ข้อดีของเครื่องมือ PA อีกอย่างที่ผมชอบคือราคาพอจับต้องได้ ใช้งานหนักๆได้ดี เพราะผมใช้งานเพื่อการทดสอบเลยต้องอ้ดหนักๆ นานๆ ถอดเข้าถอดออก ปรับแต่งโมเครื่องเป็นประจำครั้นจะเอาเครื่องแพงๆมาลองคงไม่เหมาะ
 :showoff

การใช้เครื่องที่เขารวมเอา ทั้งตัว decoder ดีๆ และ EQ ดีๆปรับได้ละเอียดขนาดนี้ย่อมดีกว่าแน่นอน สัญญาณกวนก็น้อย ออกแบบมาสำหรับห้อง home โดยเฉพาะ แถมใช้งานก็ง่าย ผมก็จะแนะนำเพื่อนๆนักเล่นกันเสมอว่าใช้ของที่เขาออกแบบมาให้เหมาะกับงานจะดีที่สุด
 O0

ปัญหาคือแต่ละระบบที่ผมสนใจเนี่ยรวมราคาแล้วเกินบ้านพร้อมที่ดินแถวชานเมืองกรุงเทพเลยครับ
:cry2 :cry2 :cry2


ออฟไลน์ b3344

  • สมาชิกรุ่น Classic
  • Super Star
  • *****
    • กระทู้: 1,380
หมอเอกครับ    ผมมีเรื่องเตือนนิดครับ  การเอา เครื่อง PA มาใช้แก้ไขเสียงในบ้านตามหลักการ  ให้เสียงถูกต้อง เป็นเรื่องดีครับ  แต่สิ่งที่ต้องระวัง คือ quality of signal   การที่ใส้ dsp ทุก ch  มันเท่ากับ    เพิ่ม  A/D  D/A  เพิ่มเขาไปในระบบ  ซึ่งในทางออดิโอฟาย เท่ากับทำเพิ่ม latency และทำให้ สัญญาณ เกิดการสูญเสีย     อีกอย่าง qsc ในวงการ pa ไม่ใช่แอม ดีที่สุด แค่เป็นของคุ้มเงิน  ดีๆของ pa  จะเป็น   labgruppen  crown  DBX BSS    ครับ      เครื่องมือวัดค่าได้แต่ไม่ได้หมายความว่าเสียงดีครับ   ว่างๆลองเอา dps มาใส่ใน mode  2ch จะเห็นชัดครับว่า บรรยากาศหายไป พอสมควร   เสียงจาก bluray มา 96k-192   และแปลงลงเป็น  anolog     แต่ตัว dsp ส่วนมากจะมี samping แค่ 48 k    เท่ากับเอาเราเอาเสียงมา process อีกที่ 48k แน่นอน  latency เกิด และสัญญาณ ลดทอนครับ  ถึงจะวัดค่าได้ตรง เสียงสัญญษณเสียงสุญเสียครับ   ถ้าเป็นจะเลือกซื้อ  decoder ดีๆมาแล้วปรับในนั้นเลย เพื่อลดงการสูญฌสีย


ออฟไลน์ b3344

  • สมาชิกรุ่น Classic
  • Super Star
  • *****
    • กระทู้: 1,380
หมอเอกครับ    ผมมีเรื่องเตือนนิดครับ  การเอา เครื่อง PA มาใช้แก้ไขเสียงในบ้านตามหลักการ  ให้เสียงถูกต้อง เป็นเรื่องดีครับ  แต่สิ่งที่ต้องระวัง คือ quality of signal   การที่ใส้ dsp ทุก ch  มันเท่ากับ    เพิ่ม  A/D  D/A  เพิ่มเขาไปในระบบ  ซึ่งในทางออดิโอฟาย เท่ากับทำเพิ่ม latency และทำให้ สัญญาณ เกิดการสูญเสีย     อีกอย่าง qsc ในวงการ pa ไม่ใช่แอม ดี แต่เป็นแอมราคาถูก   แอมป์ดีของ pa  จะเป็น crown และ labgruppen  ครับ      เครื่องมือวัดค่าได้แต่ไม่ได้หมายความว่าเสียงดีครับ   ว่างๆลองเอา dps มาใส่ใน mode  2ch จะเห็นชัดครับว่า บรรยากาศหายไป พอสมควร   เสียงจาก bluray มา 96k-192   และแปลงลงเป็น  anolog     แต่ตัว dsp ส่วนมากจะมี samping แค่ 48 k    เท่ากับเอาเราเอาเสียงมา process อีกที่ 48k แน่นอน  latency เกิด และสัญญาณ ลดทอนครับ  ถึงจะวัดค่าได้ตรง เสียงสัญญษณเสียงสุญเสียครับ   ถ้าเป็นจะเลือกซื้อ  decoder ดีๆมาแล้วปรับในนั้นเลย เพื่อลดงการสูญฌสีย


ออฟไลน์ หมอเอก

  • *****
    • กระทู้: 892
    • เพศ:ชาย
คำถามจากเพื่อนบ้าน

takumi07>>>>>>>>
รบกวนอีกครั้งนะครับ เมื่อเช้าส่งจมไปหาพี่หมอเอกทีนึงแล้วแต่ไม่แน่ใจว่ากดอะไรผิดรึเปล่า เพราะเช็คดูแล้วมันไม่อยู่ในตู้จม.ที่ส่งออก เลยขอส่งคำถามใหม่อีกครั้งนะครับ
็พี่หมอเอกครับ
1. การปรับเสียงแบบHAA เบื่องต้นคือการปรับ EQ ให้ลำโพงมีความถี่เป็นเส้นตรงโดยดูจากตาราง RTA ใช่รึเปล่าครับ
..ถ้าใช่..จะทำให้บุคลิคของลำโพงนั้นหายไปเกือบหมด ถูกต้องมั้ยครับ

2. เราจะต้องวัดเสียงรวมลำโพงทุกตัวและดูค่าจากกราฟ FFT ด้วยมั้ยครับ ผมดูกราฟของหมดเอกที่ลงไว้ กราฟเริ่มห้อยลงตั้งแต่4k ถ้ากราฟผมไปตกเอาหลัง16k พอจะบอกแบบไม่ต้องฟังเสียงได้มั้ยครับว่าเสียงสูงมันโด่งไปอ่ะครับ

ผมไปตามอ่านที่หมอเอกโพสไว้แล้วแต่มันเยอะมากและผมไม่มีความรู้ด้านนี้เท่าไหร่ แต่ผมอยากทราบว่า RTA กับ FFT มันบอกอะไรเราบ้างครับ

ขอบพระคุณมากครับ

หมอเอก>>>>>>
สวัสดีครับคุณtakumi07

1. การปรับเสียงแบบHAA เบื่องต้นคือการปรับ EQ ให้ลำโพงมีความถี่เป็นเส้นตรงโดยดูจากตาราง RTA ใช่รึเปล่าครับ
..ถ้าใช่..จะทำให้บุคลิคของลำโพงนั้นหายไปเกือบหมด ถูกต้องมั้ยครับ

หมอเอก>>>>>>>

ในเบื้องต้นการปรับEQ ใช้ดูจาก FFT (แต่ถ้าปรับละเอียดผมจะใช้transfer function เพราะสามารถบอกอะไรได้มากกว่าFFT) หลักการง่ายๆคือปรับFFTให้มีความsmooth มากที่สุดไม่ต้องถึงกับเป็นเส้นตรง แต่จะทำให้บุคลิกของลำโพงนั้นเสียไปหรือไม่ ในความเป็นจริงการปรับพวกนี้เราแค่พยายามทำให้บางช่วงความถี่ที่มีพลังงานมากเกินไปหรือน้อยเกินไปให้มันอยู่ในระดับที่มันควรจะเป็น ซึ่งลำโพงที่ดีส่วนมากแล้วเขาจะ set ให้ลำโพงมีsmooth frequency resposeอยู่แล้ว และวิศวกรก็พยายามออกแบบให้ off axis respons ส่งผลต่อเสียง ให้น้อยที่สุดซึ่งก็จะทำให้สภาพห้องมีผลต่อบุคลิกของเสียงลำโพงน้อยที่สุด และอีกอย่างหนึ่งการตอบสนองของสมองมนุษย์เองจะพยายามcompromise เสียงoff axis ต่างๆได้อยู่แล้วในระดับหนึ่งเพื่อให้เราได้รับเสียงหรือบุคลิกเสียงจริงของแหล่งกำเนิดเสียงให้มากที่สุด สังเกตดูง่ายๆไม่ว่าเราจะให้เสียงคนที่เราคุ้นเคยไปพูดไม่ว่าจะในห้องเล็กหรือห้องใหญ่สมองเราก็ยังจำได้ว่าเป็นเสียงของคนนั้น หรือไม่ว่าเราจะให้เขาพูดใกล้หรือห่างผนังเราก็ยังจำได้ว่าเป็นคนคนนั้น ดังนั้นการทีเราเปลี่ยนคลื่นความถี่ในบางช่วง(เหมือนกับเดินเข้าใกล้หรือห่างผนัง) บุคลิกของเสียงคนคนนั้นไม่เปลี่ยนเรื่องนี้มีศึกษากันเป็นหัวข้อใหญ่เรื่องหนึ่งเลยครับมันจะอยู่ในเรื่อง Psychoacoustic เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากครับถ้าสนใจลองหาอ่านจากFloyd toole ได้ครับสนุกมาก อ่านแล้วเราจะได้เข้าใจการตอบสนองของคนเราต่อเสียงในรูปแบบต่างๆ

takumi07>>>>>>

2. เราจะต้องวัดเสียงรวมลำโพงทุกตัวและดูค่าจากกราฟ FFT ด้วยมั้ยครับ ผมดูกราฟของหมดเอกที่ลงไว้ กราฟเริ่มห้อยลงตั้งแต่4k ถ้ากราฟผมไปตกเอาหลัง16k พอจะบอกแบบไม่ต้องฟังเสียงได้มั้ยครับว่าเสียงสูงมันโด่งไปอ่ะครับ

ผมไปตามอ่านที่หมอเอกโพสไว้แล้วแต่มันเยอะมากและผมไม่มีความรู้ด้านนี้เท่าไหร่ แต่ผมอยากทราบว่า RTA กับ FFT มันบอกอะไรเราบ้างครับ

ขอบพระคุณมากครับ

หมอเอก>>>>>>

ต้องวัดแยกทีละตัวก่อนเพื่อดู distortion ของแต่ละตัวเพื่อหาตำแหน่งวางลำโพงให้เหมาสมก่อน แล้วค่อยมาดู LCR อีกที ส่วนRTA กับ FFT จะพูดจริงๆว่ากันยาวเลยครับ อธิบายง่ายๆ RTA จะบอกlevel ของเสียงในแต่ละความถี่เป็นการวัดที่หยาบๆ แต่ก็พอได้ idea ส่วนFFT เป็นการวัดที่พัฒนามากขึ้นเพราะนำเอาการคำนวณเรื่องเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยในการแปลงส่วนของ time domain มาเป็น frequency domain ส่วนtransfer function เป็นการพัฒนาต่อยอดมาจาก FFT อีกทีซึ่งต้องใช้หลักการในเรื่องPhysics มาอธิบายกันยากหน่อยกลัวว่าอธิบายไปโดยตัวอักษรอย่างเดียวจะยิ่งงง เอาเป็นว่า transfer functionเป็นวิธีการวัดที่ดีและแม่นยำที่สุดในปัจจุบัน การset up เสียงในระดับ profession จะใช้วิธีนี้ครับผม

 :secret


ออฟไลน์ หมอเอก

  • *****
    • กระทู้: 892
    • เพศ:ชาย
ห้องคุณหมอเอกอุปกรณ์แต่ละตัวนี่มืออาชีพเท่านั้นเลยนะคับ  O0

ครับคุณอั้มในต่างประเทศพวก DSP จะใช้กันเยอะและมีมากมายหลายยี่ห้อ
เช่น QSCมักพบในการใช้งานระดับ profesional ในโรงภาพยนต์

 
ถ้าเป็นของ JBL ก็จะชื่อ JBL Synthesis Equalizers SDEC-4500


หรือตัวที่ใช้ในงานระดับstudio หรือคอนเสิร์ตระดับโลกเช่นของ Meyer Sound ชื่อว่ารุ่น GALILEO



อย่างในรูปนี้ที่ใช้ในคอนเสร์ตของ Metallica


รายชื่อ studio ที่ใช้ระบบของ meyer sound เช่น
20th Century Fox Sound Design Room 5.1 Century City, California, USA
424 Post 7.1 Culver City, California, USA
American Zoetrope 7.1 San Francisco, California, USA
Bad Robot Productions 7.1 Santa Monica, California, USA
Dallas Audio Post 7.1 Carrollton, Texas, USA
Dennis Sands Studio Atmos, 7.1 Santa Barbara, California, USA
Digital Arts 7.1 New York City, New York, USA
Disney Animation Theatre 7.1 Burbank, California, USA
DreamWorks Animation Studios Auro, 7.1 Glendale, California, USA
Goldcrest Post New York Atmos, 7.1 New York City, New York, USA
Lightstorm Entertainment Atmos, Auro, 7.1 Manhattan Beach, California, USA
Mit Out Sound 7.1 San Rafael, California, USA
Pianella 7.1 Malibu, California, USA
Pixar Animation Studios 7.1 Emeryville, California, USA
Pyramind 7.1 San Francisco, California, USA
Rumble Audio Post 7.1 New York City, New York, USA
Skywalker Sound Atmos, Auro, 7.1 Marin County, California, USA
Tamalpais Research Institute 7.1 San Rafael, California, USA
Technicolor Creative Services 7.1 Burbank, California, USA
The Dub Stage Auro, 7.1 Burbank, California, USA
Universal Studios 7.1 Universal City, California, USA
Wildfire Post-Production Studios 7.1 Los Angeles, California, USA
จะเห็นได้ว่างานระดับ professional ระดับ world class ล้วนต้องใช้อุปกรณ์เหล่านี้ช่วยทั้งนั้นครับผม
 :secret


ออฟไลน์ m5boy

  • ****
    • กระทู้: 488
ห้องคุณหมอเอกอุปกรณ์แต่ละตัวนี่มืออาชีพเท่านั้นเลยนะคับ  O0


ออฟไลน์ หมอเอก

  • *****
    • กระทู้: 892
    • เพศ:ชาย
มาถึงตอนนี้System ผมใช้ DSP ถึงสี่ตัว(อีกตัวกำลังมา) QSC 3 ตัว คุมลำโพง 7ตัว กับ behringer คุม  Sub อีกสามตัว





ทำการ bypass ทุกอย่างของ Pre Processor ยกเว้น Volume โดยใช้ DSP ทำการปรับแต่งทุกอย่างแทน pre ทำให้คิดได้ว่าซื้อPre Processorมาแสนใช้สักสองหมื่นได้ไหมเนี่ยเรา



ข้อดีคือปรับค่าได้ละเอียดกว่า Pre มาก ทำให้ได้เสียงดั่งใจ ข้อเสียคือใช้สายมากขึ้น และค่าDSP ตอนนี้แพงกว่า pre ไปแล้ว 555






ออฟไลน์ RAK

  • สมาชิกรุ่น Classic
  • Super Star
  • *****
    • กระทู้: 1,723
    • เพศ:ชาย


ออฟไลน์ หมอเอก

  • *****
    • กระทู้: 892
    • เพศ:ชาย
นักเล่นก็มีความสุขกับการอัพเครื่องต่างๆ Installer ก็มีความสุขกับการอัพไมค์เหมือนกันครับ
  :showoff



หน้าตาหล่อเหลาทีเดียว





เห็นอย่างนี้หนักใช้ได้เลยครับ





มีเอกสารรับรองเรื่องความเที่ยงตรงด้วย ไม่ต้องสงสัยนะครับว่าทำไมต้องมีอุณหภูมิ กับความชื้นบอกมาด้วย เพราะว่าความเร็วเสียงมันขึ้นกับความชื้นกับอุณหภูมิด้วย ซึ่งในการคำนวณบางอย่างที่เกี่ยวกับความเร็วเสียง ในโปรแกรมคำนวณเราต้องใส่ค่าอุณภูมิเข้าไปด้วยเพื่อความเที่ยงตรงมากขึ้นครับผม
 :secret


ออฟไลน์ nuummie

  • *****
    • กระทู้: 850

ออฟไลน์ หมอเอก

  • *****
    • กระทู้: 892
    • เพศ:ชาย
Transfer function หลักการจะเหมือนเปิด pink noise แล้วดู graph frequency response ที่วัดได้จากการไมค์ในตำแหน่งนั่งฟังว่า flat หรือเปล่าครับคุณหมอ

การปรับตำแหน่งลำโพงเช่นเอียงเพิ่ม 1 องศาหรือขยับเข้าออก 1 มม มีผลต่อกราฟมากน้อยแค่ไหนครับ

 :D :D :D


ไม่เหมือนกันครับ ลองอ่านที่ผมตอบเพื่อนในweb คันหูนะครับเผื่อจะได้เข้าใจมากขึ้น(หรืองงมากขึ้นก็ไม่รู้สินะ 555)


wut>>>>แต่ปัญหาที่หนักกว่าคือคือ จะไปวัดตรงระยะไหนจากลำโพง ถึงจะเรียกว่า เสียงที่ออกมาจากลำโพง เหมือนเสียงที่อัดมา โดยยังไม่มีผลกระทบจากห้องจริงๆ
หมอเอก>>>สามารถวัดและเปรียบเทียบได้หมดทั้ง 3 transmission modes เลยได้แก่ line level electornic, speaker level electronic และ acoustic โดยในส่วน acoustic สามารถวัดได้ทั้ง near field และ listening position ถ้าเป็น HAA จะวัดทั้ง in-axis และ off-axis ทุก 15องศา เพื่อหาจุดที่เกิด distortion และหาสาเหตุเพื่อทำการแก้ไขต่อไปครับ เป็นขั้นตอนที่ใช้เวลาครับแต่คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปนะผมว่า

wut>>>>>แถมอีกนิดนึงคับ รบกวนพี่หมอขอคำอธิบายถึง วิธีการวัดค่าต่างๆ พวกนี้ด้วยได้ไม๊คับ
phase, magnitude, impulse response, coherence

หมอเอก>>>>ที่ถามมามีรายละเอียดเยอะมากครับ คงตอบได้ไม่หมดเอาคร่าวๆละกัน

Magnitude Graphจะแสดงความแตกต่างระหว่างreference signal และ test signal โดยกราฟจะอยู่กลางตรง 0dB axis เพื่อทำให้ดูง่ายว่าtest signal ต่างจาก referenc signal เท่าไร

Phase Graph เป็นการแสดงถึงเวลาที่เพี้ยนไปในแต่ละความถี่โดยจะบอกเป็น degree เรื่องนี้จะอธิบายยากที่จะให้เห็นภาพ เพราะว่าaudio waveform จะมีการเคลื่อนที่แบบ cyclical การเคลื่อนที่ครบ 1 รอบก็จะได้ 360องศา โดยมีแกนกลางเป็นความถี่ , กราฟ phase มันก็จะเหมือนกับบอกว่ามันไปอยู่ตรงไหนของ phase cycle นี้ เมื่อเรานำเอา cyclincalของ waveform มาตัดคลี่ออก มันก็จะได้รูปกราฟของ phase เป็นอยางนี้

ดังนี้นความชันของกราฟก็จะบอกได้ถึง delay time รููปร่างของกราฟก็จะบอกถึงความสัมพันธ์ระหว่าง 2 signal ดังนั้นถ้าideal ไม่มีการ delay ของเวลาเลยก็จะได้กราฟเป็นเส้นตรง แต่ในความเป็นจริงไม่มีเหตุการณ์อย่างนี้เพราะว่าการเคลื่อนที่ของเสียงในแต่ละความถี่จะมีความเร็วไม่เท่ากัน ทำให้เกิดdelay ในแต่ละความถี่ที่ไม่เท่ากัน มันจึงทำให้เกิดกราฟเป็นรูปร่างขึ้นมาเป็น waveformขึ้นอย่างกราฟที่เห็น  การรักษา waveform ให้มีรูปร่างใกล้เคียงกับต้นฉบับก็จะเป็นการทำให้เสียงใกล้เคียงกับต้นฉบับ นั่นคือ goal ของเราที่จะทำให้เกิดdistortion ของ waveform ให้น้อยที่สุด


Impulse response เป็นการประเมินสภาพ acoustical ของห้องฟังว่ามีการตอบสนองต่อ impulse ที่เราใส่เข้าไปยังไงบ้าง(เคยอธิบายไว้ใน thaidvd.net ไว้บ้างแล้ว สนใจตามไปอ่านได้ครับ)

Coherence Graph
แสดง reliability ของtransfer function เช่น ถ้าเป็น100% หมายถึงมี highly correlated ซึ่งแสดงว่าค่า magnitude และ phase graph มีความเที่ยงตรงสูง โปรแกรมบางตัวสามารถทำ Coherence Blanking ได้คือถ้ามีค่าเกิน threshold ที่เราตั้งไว้ก็ถึงจะแสดงเส้นกราฟ ถ้าเส้นกราฟหายไปก็แสดงว่า coherence ต่ำกว่า% threshole ที่เรากำหนดไว้ โดยปกติ coherence blanking เราจะตั้งไว้ที่ประมาณ 20-50%
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19 เมษายน, 2014, 11:01:44 am โดย หมอเอก »


ออฟไลน์ nuummie

  • *****
    • กระทู้: 850
Transfer function หลักการจะเหมือนเปิด pink noise แล้วดู graph frequency response ที่วัดได้จากการไมค์ในตำแหน่งนั่งฟังว่า flat หรือเปล่าครับคุณหมอ

การปรับตำแหน่งลำโพงเช่นเอียงเพิ่ม 1 องศาหรือขยับเข้าออก 1 มม มีผลต่อกราฟมากน้อยแค่ไหนครับ

 :D :D :D

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 เมษายน, 2014, 12:35:51 pm โดย nuummie »


ออฟไลน์ หมอเอก

  • *****
    • กระทู้: 892
    • เพศ:ชาย
คำถามจากเพื่อนบ้าน
goldlaitun>>>>>รบกวนสอบถามพี่หมอเอกเรื่องการตั้งลำโพงคู่หน้าครับ โดยความรู้สึกส่วนตัวนะครับ ถ้าฟังเพลงเนี่ยโดยส่วนใหญ่เราจะตั้งลำโพงหน้าตรงหรือไม่ก็โทน้อยมากๆ แต่สังเกตุดูว่าถ้าระบบที่เน้นดูหนังหรือการตั้งตามคู่มือต่างๆ รวมถึงของ THX เอง จะโทอินลำโพงค่อนข้างมาก อยากจะทราบความเห็นของ พี่หมอเอกครับ ว่ามันให้ความแตกต่างกันมากมั้ยครับ ถ้าเราเน้นดูหนัง ขอบคุณครับ

หมอเอก>>>>>>สวัสดีครับท่าน goldlaitun
สำหรับเรื่องการ toe in ลำโพงระหว่างระบบดูหนังหรือฟังเพลง ทำไมต่างกัน ในเรื่องนี้ผมไม่ได้กังวลมากว่าจะต้องtoe inมากน้อย หรือหน้าตรง ผมจะอาศัยการวัดจาก transfer function แล้วค่อยฟังเสียงอีกทีว่าเสียงมีfocus clarity envelopment dynamic smooth response จากเพลงดูอีกทีครับ ดังนั้นจึงไม่ได้เจาะจงว่าต้องtoe in หรือไม่ ซึ่งมันก็จะต่างกันในแต่ละห้อง ในเรื่องของ transfer function ผมขออธิบายหลักการคร่าวๆซักหน่อยว่าทำไมต้องใช้Functionนี้

transfer function อาศัยหลักการที่ว่าสัญญาณจากต้นทาง(ถ้าเป็นของเราก็เป็นจากเครื่องเล่นแผ่นต่างๆ)ที่ปล่อยออกมาเป็นรูปแบบคลื่นไฟฟ้า(AC) ซึ่งยังไม่ผ่านfilterต่างๆ โดยจะเรียกว่าเป็น reference signal เปรียบเทียบกับสัญญาณผ่านอุปกรณ์ ผ่านfilterต่างๆออกมาจากลำโพงผ่านอากาศมาถึงจุดนั่งฟังซึ่งก็จะเป็นรูปแบบคลื่นเสียง เรียกว่าmeasure signal แล้วจะนำสัญญาณคลื่นทั้งสองมาเปรียบเทียบกันโดยดูทั้งค่าของ phase, magnitude, impulse response, coherence แล้วจึงทำการปรับตำแหน่งลำโพง จะtoe in ยังไง treatment ตรงไหน จนถึงการใส่filter ต่างๆเพื่อให้measure signalใกล้เคียงกับreference signal ให้มากที่สุด และถ้าเราปรับได้ดีสัญญาณที่เราได้ยินก็จะใกล้เคียงต้นฉบับที่producer หรือ director ต้องการมากที่สุด อย่างที่ผมเคยบอกไว้เสมอว่าการcalibrate แบบนี้เราไม่ได้ปรับให้ได้Good Sound แต่เราต้องการ Same Sound ผมจึงจะบอกเพื่อนที่ผมเคยไปปรับให้เสมอว่า วัตถุประสงค์ของการปรับผมไม่ได้ปรับแล้วเสียงดีนะ แต่ผมพยายามปรับให้ใกล้เคียงกับที่เจ้าของผลงานอยากให้เราได้ยินที่สุด บางคนอาจชอบบางคนอาจไม่ชอบก็เป็นไปได้
ดังนั้นในห้องต่างๆที่ปรับ การวางลำโพงต่างๆก็ไม่มีรูปแบบuniformแน่นอน ขึ้นอยู่กับสภาพห้อง ลองดูห้องstudioที่ Jim Hannon แห่ง the absolute sound ได้เข้าไปสัมผัสหลังจาก Bob Hodas ได้ไปcalibrate ไว้ ตอนแรกที่เข้าไปJim ตั้งข้อสงสัยต่างๆมากมายในเรื่องตำแหน่งลำโพงที่อยู่ชิดผนังเกินไป การtoe in ที่มาก ไม่เหมือนกับรูปแบบมาตรฐานที่เคยเห็นมา



แต่เมื่อได้ฟังเสียงจริงๆ Jim ถึงกับได้เขียนบทความเรื่อง “The Best System I’ve Ever Heard in a Studio (or perhaps anywhere!)” ขึ้นมา ดูจากรายชื่อ ลูกค้าของBob Hodasคงไม่ต้องถามถึงความเป็นมืออาชีพของเขา และวิธีการในการcalibrate ของเขาก็ใช้หลักการพื้นฐานของ Transfer Function เช่นกัน
 :secret


ออฟไลน์ ย่องมาฟัง

  • ***
    • กระทู้: 133
ได้หยุดช่วงสงกรานต์เลยพอมีเวลามาพูดคุยกันบ้าง เริ่มจากลองตามไปดูห้องที่ทำโดย IMAX Private Theater Partner ซึ่งในอเมริกาที่ดำเนินการอยู่มีอยู่ 6ห้อง แต่ละห้องค่าทำก็หลายล้านเหรียญต่อห้อง



ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆแบบนี้นะครับผม


ออฟไลน์ หมอเอก

  • *****
    • กระทู้: 892
    • เพศ:ชาย
ห้องผมหลังจากได้ตัวนี้มาใหม่กะว่าจะเอาไปไว้อีกห้อง เปลี่ยนใจกลับมาใส่ห้องเดิมดูให้เป็น sub 3 ตัว

ตอนนี้เลยมี JL f113 สองตัวกับ Paradigm Reference sub25 อีกตัว

พอเอาไปใส่กับ sub 2ตัวแรกที่ผมเคยได้ calibrated ให้ smooth แล้ว ผลที่ได้เป็นเช่นนี้ครับ


เกิดอะไรขึ้น ไหนเห็นหลายคนบอกว่าการใช้ sub หลายตัวมากขึ้นแล้วทำให้ bass smooth ขึ้น อันนี้จริงอยู่ครับ แต่การวางsub มันต้องถูกที่และถูกเวลาด้วย ถูกที่คือตำแหน่งต้องเหมาะสม ถูกเวลาก็คือ phase ต้องได้ เพราะการใส่คลื่นความถี่เข้าไปอีกตัวหนึ่งถ้า phase ไม่เหมาะสมกันจะทำให้เกิด phase shift เมื่อมาประสานกับ phase อีกตัวจึงเกิด phase cancellation ขึ้น แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นทั้งหมดทุกย่าน frequency เพราะ phase มันจะ stretch ตามความถี่ ตามเวลาที่เปลี่ยนไป ผมว่าเรื่องของ phase นี้เป็นเรื่องที่เข้าใจยากอีกเรื่องหนึ่งมันเป็นเรื่องที่เป็น physics มากมาก แต่ถ้าเข้าใจแล้วจะมีประโยชน์มากในเรื่องการ calibrate ทั้งในงาน home theater, PA หรือแม้กระทั่ง 2 แชลแนลเอง


งานนี้ผมเลยต้องใช้เครื่องมือในการปรับเพิ่มเติมเพราะ DSP QSC ของผมมันมีแค่ 2 output ผมเลยต้องใช้ behringer Ultradrive pro DCX2496 ตัวเก่าที่เคยมีอยู่มาช่วยเพราะมีถึง 6 output


ตัวช่วยในการวัดค่าเพิ่มเติมอีกตัว


ดูค่า Magnitude, Phase , Coherence ใน Transfer Function(TF) เพื่อใช้ในการปรับ sub alignment




อย่างที่ผมเคยบอกไว้ว่าการปรับ EQ ต้องมีความเข้าใจค่าแต่ละอย่างที่ปรับ เพราะถ้าปรับไปตามใจเลยอาจมีผลเสียมากกว่าผลดี


กราฟที่ได้หลังจากปรับแล้ว ดีขึ้นมากครับ


ออฟไลน์ หมอเอก

  • *****
    • กระทู้: 892
    • เพศ:ชาย
ได้หยุดช่วงสงกรานต์เลยพอมีเวลามาพูดคุยกันบ้าง เริ่มจากลองตามไปดูห้องที่ทำโดย IMAX Private Theater Partner ซึ่งในอเมริกาที่ดำเนินการอยู่มีอยู่ 6ห้อง แต่ละห้องค่าทำก็หลายล้านเหรียญต่อห้อง


ห้องนี้เป็นห้องshow room ของร้านเครื่องเสียงแห่งหนึ่ง


จอเป็นจอ 130" Stewart FireHawk CineCurve screen ใช้โปรเจคเตอร์ SIM2 M.150 LED projector พ่วงด้วย autoscope anamorphic-lens kit


อุปกรณ์แต่ละชิ้นอย่างที่เห็นล่ะครับ เครื่องเล่นเป็น Kaleidescape media-management system with an M500 player, McIntosh amplification and sound processing, B&W speakers, และ JL Audio subwoofers ซึ่งไม่ได้บอกรุ่นที่แน่นอนไว้ และแอบเห็นอีกตัวคือ JBL Synthesis Equalizers รู้สึกว่าราคาตัวหนึ่งก็สูสี Vios คันหนึ่งเลย ห้องระดับนี้คงต้องใช้ EQ ช่วยเพื่อให้เสียงที่สมบูรณ์แบบที่สุด


กำลังทำการ calibrate โดย Keith Yates ใช้ไมค์ราคา $11,000 โดยใช้เวลาทำเป็นวันๆ (ในปัจจุบันถ้าพูดถึงมือ set acoustic ในห้อง home theater ระดับท๊อปๆก็จะมี Bob Hodas , Keith Yates ,Anthony Grimani ซึ่งแต่ละคนผลงานก็คือห้อง studio ระดับโลกทั้งหลายที่อัดแผ่นมาให้เราฟัง, ห้องของดารา,นักร้อง, ผู้กำกับระดับ hollywood ทั้งหลาย)

เสียงที่ออกมา Mark Henninger ที่เป็น THX Certified Pro และเป็นผู้พาไปเยี่ยมชมบอกได้แต่ว่า "the best AV sound I've heard lately (or perhaps ever)"
 O0 O0 O0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02 กุมภาพันธ์, 2020, 02:34:18 pm โดย หมอเอก »


ออฟไลน์ หมอเอก

  • *****
    • กระทู้: 892
    • เพศ:ชาย
ได้มีโอกาสต้อนรับพี่ชวิน(schwin) กับพี่ภิญโญ(sap0525)


พี่ภิญโญ ไม่ค่อยได้เปิดตัวเท่าไหร่ งานนี้ขออนุญาตเอาตัวจริงออกสื่อหน่อยนะครับพี่ พี่ภิญโญเป็นผู้ชำนาญด้าน computer network กับ internet ตัวพ่อเลยครับ เพราะพี่เขาทำงานด้านนี้อยู่แล้ว System ที่อยู่ที่บ้านก็ชุดใหญ่เลยครับลำโพง Thiel(เห็นว่าแค่ center ก็สามแสนกว่าแระ), Anthem D2V อุปกรณ์ 2channel อีกเพียบ เหนื่อกว่านั้นก็คือเรื่องประสบการณ์การเล่นซึ่งไม่ต้องห่วงเพราะพี่ท่านอยู่ในวงการนี้มานาน ยังไงพี่ว่างๆเอารูปลงมาให้น้องๆสัมผัสบ้างนะครับผม


งานนี้ได้พี่ภิญโญมาให้การติชมเรื่องภาพ กับเสียง และให้ข้อแนะนำต่างๆ รู้สึกดีใจมากเลยครับ


พี่ชวินหอบผ้าหอบผ่อนมาอยู่อุดรสามสี่วันก็เพื่อมาศึกษาการใช้โปรแกรม AV Pro2.0, Audio tools กับอุปกรณ์ calibrate ต่างๆทั้ง Microphone kit, Microphone Pre-Amplifier & Signal Generator, Sound Level Calibrator ฯลฯ ที่พี่ชวินลงทุนซื้อมาใหม่ร่วมแสนเพื่อให้การ calibrate เป็นมาตรฐานมากขึ้น อย่างนี้ต้องเรียกว่าใจรักจริงๆ O0  O0 O0




ต้องขออภัยที่ผมไม่สามารถต้อนรับได้เต็มที่นะครับเนื่องด้วยภาระกิจในวันธรรมดาทำให้ปลีกตัวยาก แต่ได้คุยกับพี่ๆ ทั้งหลายก็ได้ทั้งความรู้ สนุกสนานลืมความเหนื่อยเรื่องงานตอนกลางวันได้เลย ขอบคุณครับผม
 d_d :drunk d_d :drunk d_d :drunk



ออฟไลน์ หมอเอก

  • *****
    • กระทู้: 892
    • เพศ:ชาย
เวลาอ่านกระทู้ของหมอเอก ภาพที่สดใส สวยงามชัดเจนของหนังเรื่อง UP และระบบเสียงที่โอบล้อม สมจริง สมจังมาก ๆ ยังติดตาติดหูอยู่เลย แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเป็นปีแล้วก็ตาม

ตอนนี้คงไปอีกไกลจริง ๆ

นั่นสิครับผมยังคิดถึงพี่อยู่เลยว่าช่วงนี้ไม่ค่อยได้แวะมาแถวนี้เลย สงสัยเป็นผู้บริหารแล้ว เลยปลีกเวลายาก ยังไงวันไหนได้มาอีกอย่าลืมแวะมาดูหนังกันอีกนะครับพี่
 :drunk :drunk :drunk :drunk :drunk


ออฟไลน์ ยิ้มละไม

  • Super Star.
  • **
    • กระทู้: 2,553
    • เพศ:ชาย
เวลาอ่านกระทู้ของหมอเอก ภาพที่สดใส สวยงามชัดเจนของหนังเรื่อง UP และระบบเสียงที่โอบล้อม สมจริง สมจังมาก ๆ ยังติดตาติดหูอยู่เลย แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเป็นปีแล้วก็ตาม

ตอนนี้คงไปอีกไกลจริง ๆ


ออฟไลน์ หมอเอก

  • *****
    • กระทู้: 892
    • เพศ:ชาย
ได้มาใหม่อีกสองเล่ม


กราฟเยอะดี อธิบายได้ละเอียด ชอบครับ


เดี๋ยวมีอะไรใหม่ๆน่าสนใจจะเอามาเล่าให้ฟังนะครับผม
 :secret


ออฟไลน์ หนุ่มหนองคาย

  • ****
    • กระทู้: 412
วันนี้ต้องขอขอบคุณ คุณหมอเอกที่ได้ให้โอกาสเข้าเยี่ยมชมและฟัง หลังจากเมื่อปีที่แล้วได้มาเยี่ยมพร้อมกับสมาชิก kk hi-def ระบบเสียงต่างกันมากเลยครับห้องก็ดูสวยและเป็นระเบียบมาก ทดลองฟังทั้งหนังแอ๊กชั่น คอนเสริ์ท ฝีมือการเซ็ตอัพลำโพงเซ็นเตอร์ และลำโพงคู่หน้าเสียงยกขึ้นไปติดหน้าจอเลยครับแล้วก็ความถี่ต่ำผมชอบมากเลยครับเบสไม่จุกอกเหมือนเมื่อก่อน ทำให้สามารถนั่งฟังได้ตลอด เผลอแป๊ปเดียวเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง เลยต้องขอตัวกลับก่อน ไว้คราวหน้าถ้ามีโอกาสรวมพลอีกครั้งและมีเวลามากจะขอความรู้ในการปรับเบื้องต้นจากคุณหมอเอกอีกครั้ง ขอบคุณอีกครั้งนะครับอ้อลืมบอกไป คอนเสริ์ท susan wong เป็นอีกหนึ่งแผ่นที่ต้องสะสมให้ได้    :clap O0 :wiggle


ออฟไลน์ หมอเอก

  • *****
    • กระทู้: 892
    • เพศ:ชาย
วันนี้ได้มีโอกาสต้อนรับคุณหนุ่มหนองคายพาเพื่อนอีกคนมาเยี่ยมเยือนห้อง หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากออมสินมาทั้งวัน 555






ใครมาก็สงสัยกับสายลำโพงขั้นเทพของผม ว่าทำไมมันรกได้ขนาดนี้ เสียงมันจะไม่เละตามสายหรือนี่


คุณหนุ่มบอกให้ผมถ่าย treatment ต่างๆเอาไว้ด้วยเพราะแกงงกับการวางของผม มั่วดีจริงๆ




คุณหนุ่มกำลังสนใจเครื่องมือ calibrator ว่าจะเอาไปร้องคาราโอเกะได้ไหม ไมค์มีเยอะดี


นั่งฟังกันชั่วโมงกว่า คุยด้วยดูหนังด้วย ฟังเพลงด้วย เวลาที่ได้คุยกับคนที่คอเดียวกันเหมือนเวลาผ่านไปเร็วมากๆ  ยังไงหวังว่าโอกาสหน้าคงได้มีโอกาสมาพบปะพูดคุยกันอีกนะครับผม วันนี้สนุกมากครับ
 d_d d_d d_d d_d d_d d_d


ออฟไลน์ หมอเอก

  • *****
    • กระทู้: 892
    • เพศ:ชาย
ห้องพี่หมอเอก การเซ็ทอัพขั้นเทพเลยครับ ฝุดๆเลย  Y] O0 O0

ไม่ขนาดนั้นครับ ผมก็ set ตามขั้นตอนที่ได้เรียนมาน่ะครับไม่มีอะไรพลิกแพลงมากมายครับ

 :headphone


ออฟไลน์ Saitosan

  • Superstar...
  • ****
    • กระทู้: 10,352
    • เพศ:ชาย
ห้องพี่หมอเอก การเซ็ทอัพขั้นเทพเลยครับ ฝุดๆเลย  Y] O0 O0



ออฟไลน์ ขุนจิต

  • kjit
  • สมาชิกรุ่น Classic
  • Superstar...
  • *****
    • กระทู้: 7,392
    • เพศ:ชาย
  • ไบเกอร์เครื่องเสียง

ออฟไลน์ หมอเอก

  • *****
    • กระทู้: 892
    • เพศ:ชาย
วันนี้เฮียสมชาย ขอนแก่นไฮไฟ ผู้คร่ำหวอดในวงการเครื่องเสียงมานาน ได้มาเยี่ยมที่ห้อง เสียดายเวลาน้อยไปหน่อย โอกาสหน้าคงได้ลองกันยาวๆ แน่
 :drunk






ออฟไลน์ หมอเอก

  • *****
    • กระทู้: 892
    • เพศ:ชาย
ปีใหม่นี้ขอให้ทุกท่าน

新正如意 新年发财.....ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้

 :party


ออฟไลน์ หมอเอก

  • *****
    • กระทู้: 892
    • เพศ:ชาย
จอเดิมครับพี่ เดี๋ยวขยับไป CIH เมื่อไหร่คงต้องปรึกษาพี่บ้างล่ะครับ
 :showoff


ออฟไลน์ dr.nop

  • Super Star.
  • **
    • กระทู้: 2,735
    • เพศ:ชาย
  • CIH club thailand
    • saensuk hifi.com
เพิ่งสังเกตเห็น เหมือนจอใหม่รึป่าวครับ 2.35:1 ?


ออฟไลน์ cinemania

  • Superstar...
  • ****
    • กระทู้: 4,535
  • Back to Cinema
Hobbit เสียงสุดยอดมาก ๆ ครับ .... โดยเฉพาะภาคล่าสุด เสียง reference มากครับ  Y] O0


ออฟไลน์ หมอเอก

  • *****
    • กระทู้: 892
    • เพศ:ชาย
ขอแสดงความยินดีกับstaff ของ Skywalker Sound สองคน Steve Boeddeker(Re-recording Mixers and Sound Designers) และ Richard Hymns(Sound Supervisors) ที่ปีนี้ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขา Sound Editing จากเรื่อง All It Lost



โดยภาพยนต์เรื่องนี้ได้บันทึกเสียงใน THX Certified Studio ที่ Kurosawa Studioใน Skywalker Ranch (ที่ผมเอารูปลงบ่อยๆอ่ะครับ)



ส่วนอีกเรื่องคือ The Hobbit: The Desolation of Smaug ที่ได้บันทึกเสียงที่ Park Road Post Production studio ซึ่งเป็น THX Certified Studio อีกแห่งหนึ่งที่ New Zealand ก็ได้เข้าชิงทั้งสองสาขาคือ Sound Editing กับ Sound Mixing





ออฟไลน์ หมอเอก

  • *****
    • กระทู้: 892
    • เพศ:ชาย
วันนี้มีเพื่อนคอเดียวกันมาพูดคุยกันอีกสองท่าน คือคุณหมอเอ็ฟเจ้าพ่อหูฟัง กับคุณหมี(Seafood) มาร่วมดูหนังฟังเพลงแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน สนุกมากครับผม รับฟังแล้วชอบไม่ชอบผิดพลาดตรงไหนเข้ามาติชมพูดคุยกันในนี้บ้างนะครับผม

  d_d d_d d_d





ออฟไลน์ หมอเอก

  • *****
    • กระทู้: 892
    • เพศ:ชาย
ยกมาจาก thaidvd นะครับเผื่อเป็นประโยชน์

'schwin'
ขอบอกกล่าวกันก่อนนะ....อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผมเอง...หูส่วนตัวของผมเอง
โดยมีมาตราฐานของการปรับแต่ง Calibrate ระบบของ THX โดยที่พี่หมอเอกเป็นเจ้าของและพี่หมอเอกเป็นผู้Calibrate
ตามมาตราฐานของ  THX ...มิใช่ว่าเสียงระบบอื่น..หรือซิสเต็มอื่น..จะผิด...ไม่ถูก..อันนั้นเป็นความชอบและวิถีทางของแต่ละท่านครับ
....แต่ห้องนี้...มันคือ...มาตราฐาน..ครับ...มาตราฐาน ...ของ....THX

และเนื่องด้วยจากผมไม่ได้มีความรู้ทางด้านวิชาการมากมายนักจึงขอคุยบอกกล่าวกันแบบภาษาบ้านๆของผม..จะผิดบ้างถูกบ้าง
ก็เอานะ....ส่วนข้อมูลเชิงลึก..วิชาการต่างๆอย่างไรก็สามารถสอบถามกับทางพี่หมอเอกโดยตรง...นะครับ...

มาเข้าห้องของพี่หมอเอกกัน....เรื่องเครื่องเคราต่างๆไม่ต้องเหลานะดูที่รูปเอา...
จริงๆแล้วระบบ THX มันไม่ได้เป็นระบบเสียงครับ...มันเป็นระบบการจัดการระบบห้องครับ...มันว่าด้วยเรื่องของห้อง...เรื่องตำแหน่งการจัดวาง....สภาพอคูสติก...ค่าสะท้อน...ค่าการซับเสียง..Room mode...เฟสของเสียงของลำโพงแต่ละตัวที่ต้องทำงานประสานกัน
การติดวัสดุซับเสียง...สะท้อนเสียง...แบบนี้ติดที่ไหน..แบบนั้นต้องติดที่ไหน...แล้วเกิดเสียงแบบไหน..บราๆๆๆๆๆ..ฯลฯ
.อื่นๆอีกมากมาย

จากเสียงแรกที่ได้ยินจากห้องนี้...ขอบอกได้เลยว่่าตื่นตะลึงสุดๆเลยครับ...บรรยากาศครับ...ใช่..บรรยากาศที่ห่อหุ้มรายล้อมตัว
ไปทุกย่านความถี่.....ไม่ใช่เสียงนะครับ...มันเป็น..บรรยากาศเลยที่เดียวเชียว...อันนี้ต้องได้ยินเองถึงเข้าใจ
คือมันจะตรึงเราให้เข้าไปกับภาพปรากฎบนจอ..โดยไม่ต้องสนใจเลยว่าเสียงมันออกมาทางไหน..
เอาเป็นว่า..clarity, focus, envelopment, response, dynamic, consistency ....ที่พี่หมอว่ามาครบหมด
โดยเฉพาะถ้าได้ลองฟังจากภาพยนตร์..ที่มีเพลงประกอบที่เล่นด้วยวงออเคสต้า..วงใหญ่  บรรรเลงคลอไปพร้อมกับราวต่าง
ที่เกิดขึ้นในเนื้อเรื่อง..เสียงที่ได้มันแยกแยะออกจากกันโดยเด็ดขาด..ออกจากเสียงAction.ที่โหมปะดังเข้ามาหาเราโดย
ไม่มีการทับซ้อนของความถี่ปนมั่วกัน..เพลงก็เล่นบรรเลงไป...เสียงในหนังจะสู้ก็สู้กันไป...ได้อารมย์ของภาพยนตร์เรื่องนั้น
ที่ทางผู้กำกับ..อยากจะสื่อออกมาได้สุดๆ

-ลำโพงเซ็นเตอร์จุดเด่นสุดๆเลยครับคือเสียงที่ออกมาจากห้องนี้นั้นมันไม่ได้มีตำแหน่งนั่งฟังเพียงจุดเดียวครับ
ในห้องนี้มีที่นั่งโซฟายาวสี่ที่นั่ง..แต่เสียงที่เราได้นั่งฟังไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งใดในแถวโซฟานี้..เสียงที่เกิดขึ้นมันจะ
สอดประสานตรงกับกับภาพเหตุการที่เกิดในภาพยนตร์..ใกล้เคียงกันมากๆ..ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งไหน
เสียงที่ได้ชัดเจน..เคลีย..แยกแยะโทนเสียงต่างๆได้ดีมาก
(แน่ละมันต้องมีตำแหน่งนึงที่ดีกว่าเพื่อนแน่ๆ..แต่ตำแหน่งอื่นมันไม่ได้แตกต่างกันมากมายนัก)
-ลำโพงเซอร์ราวด์เสียงที่ได้ยิน..รายระเอียดของเสียงครบถ้วน..การโยนเสียงแต่ละช่องเสียง..ไหลลื่น
แต่ไม่ได้เป็นเพราะความดังครับ..เสียงที่ได้ยินมันเป็นเหมือนบรรยากาศห่อหุ้มรอบๆตัวเรา..ลำโพงหายไปหมดเลย
ซึ่งทางพี่หมอเอกบอกให้ฟังว่า...เสียงเซอร์ราว์ดที่ทางสตูดิโอต่างๆใส่มาในภาพยนตร์นั้นจริงๆแล้ว
เค้าต้องการเพื่อให้มันเป็นเพียงบรรยากาศห่อหุ้ม(Envelopment)ตัวเราเท่านั้น...มันต้องไม่ดังจน
เป็นการชี้เฉพาะเจาะจงจะแจ้งเกินไป(pin point)ครับ..ซึ่งเจ้าสองอย่างนี้มันจะให้ผลตรงข้ามกัน
คือถ้าเราได้ยินเสียงที่เป็นการชี้ชัดจะแจ้งมากเกินไป...บรรยากาศห่อหุ้มมันก็จะลดลงไป
เบส--เบส--เบส
เดินเข้ามา...ซับ 2 ตัว(JL113กะพาราดาม..จำรุ่นไม่ได้แต่ใหญ่เอาการน่าจะ25มั่ง)
ถ้าคิดว่าเบสที่ได้...คงอัดจุกอก..คิดผิดครับ...เสียงเบสที่ได้ยินและสัมผัส
มันสะอาดสุดๆตอบสนองครบทุกย่านความถี่ที่ซับมันตอบสนองได้อย่างต่อเนื่อง..ไม่มีเสียงอึกกะทึกคึกโครม
แยกแยะรายละเอียดของเบสลูกเล็กลูกน้อยลูกใหญ่ลูกต่ำลูกตื้นครบหมด
ซึ่งในแง่ความดังหรือการกระแทกกระทั้น..ผมว่ายังน้อยกว่าบางซิสเต็มที่ใช้ JL 113 ตัวเดียวเสียอีก
แสดงว่าถ้าเอาตามมาตราฐาน THX ตามที่วัดค่าได้..ความดังมันก็แค่ระดับนี้ไม่ได้..เป็นเบสบ้าเลือด
อย่างที่หลายคนเข้าใจ
ช่วงเบามันจะคลอบรรยากาศ...เวลาถึงคราวดุดัน..มันก็มาให้ครบ...ครบเครื่อง...สะอาดมากๆๆๆๆๆ

เรื่องภาพ....เอาอย่างงี้ห้องนี้ภาพที่ได้จากห้องนี้ดีที่สุดที่ผมเคยดูมาครับ...ง่ายๆชัดเจน...
ภาพปกติในการปรับภาพต่างตามปกติเค้าก็ปรับค่าสีกันประมาฌสิบกว่าจุดหรือยี่สิบจุด
แต่พี่หมอเอกปรับละเอียดของค่าสีต่างๆซะร้อยกว่าจุด..คิดดูว่ามันใช้เวลาขนาดไหน
และภาพมันจะไม่ได้สุดติ่งได้อย่างไรละครับ....

ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณพี่หมอเอกที่ให้คำแนะนำ..ความรู้..ที่ผมไม่สามารถจะหาได้..เพราะด้วยความรู้และทุนทรัพย์
ยังไงผมก็ไม่มีทางที่จะได้ลิ้มรสของระบบเสียงที่เป็นมาตราฐาน THX แน่ๆ
ขอขอบคุณที่เปิดประสบการ์ณให้ผมได้รับรู้
เสียงที่เป็นมาตราฐาน THX เป็นอย่างไรต้องห้องนี้ครับ...ซึ่งพี่หมอเอกบอกว่าจะทำให้ดีกว่านี้อีกในโอกาสหน้า
(คาดว่าในไม่นานนี้แหละจะไปดูตั้งแต่เริ่มเลยนะพี่)

เสียงที่ถูกใจเป็นไงไม่รู้....แต่มันควรมีมาตราฐานของมันซะก่อน...และผมก็ได้รับรู้แล้วว่าเสียงที่มันเป็นมาตราฐานของ THX
มีแนวทางเสียงแบบใด

ด้วยจิตคาราวะ

'kook_331'
ได้ฟังพี่ชวิลเหลาแบบนี้แล้วอยากไปฟังบ้างเลย แค่อ่านยังรู้สึกว่าห้องพี่เขาเสียงคงสุดยอดมากๆ
ที่ว่าตำแหน่งนั่งไม่ค่อยแต่กต่างกันมาก ไม่ว่าจะนั่งจุดไหนของห้องอาจจะเหมือนในโรงภาพยนตร์มั้งครับ
คือไม่ว่าเราจะนั่งตำแหน่งไหน เวที ซาวร์เสต็จหรือทุกสิ่งอย่างมันยังชัดเจนอยู่ครบหมด ยังคงครอบคลุมจุดนั่งฟังเกือบจะ
ทุกจุดในพื้นที่ของห้องนั้น เครือเคราคงต้องถึง ห้องต้องพร้อมปรับอคูสติกได้ลงตัวพอดี เซ็ตเบสกลางแหลมทุกอย่าง
คงต้องดีมากๆจริงๆ อยากไปฟังบ้างชาตินี้คงไม่มีแบบนี้แต่ขอไปฟังเป็นบุญหูซักครั้งก็พอแล้ว
[/quote]

อย่างแรกก็ดีใจครับที่พี่ชวินได้อะไรกลับไปบ้าง อุตสาห์ขับรถขึ้นมาดูถึงอุดร ต้องยอมรับในความตั้งใจจริงๆครับ
 O0

ส่วนเรื่องที่kook_331 กล่าวมาถึงนั้นมันอยู่ในส่วนของ consistency ของห้องฟัง ที่เป็นหนึ่งใน requirment ของห้อง home theater ที่ดีที่ทั้งหมดจะประกอบไปด้วย clarity, focus, envelopment, response, dynamic, consistency ดังที่เคยพูดไปแล้ว ผมขอขยายความเพื่อให้ความเข้าใจมากขึ้นเผื่อเป็นประโยชน์บ้างแก่ผู้สนใจ ซึ่งผมได้บอกกับพี่ชวินไว้ว่าตรงไหนที่ผมพอรู้ก็จะเขียนแชร์กัน
ในเรื่องของ seat to seat consistency ต้องเริ่มมาจากเรื่อง รากฐานของระบบ stereo ซึ่ง Stereo sound ก็คือการนำลำโพงสองตัวหรือมากกว่า มาทำให้เกิดเสียงให้ใกล้เคียงกับเสียงจากธรรมชาติมากที่สุด ในปี 1933 Bell labs, ได้เสนอการใช้ลำโพงสามตัวในการถ่ายทอดเสียงการแสดงดนตรีที่ Philadelphia orchestra แล้วทำไมต้องใช้ 3 channel ทำไมไม่สอง และอาจารย์ผม Gerry Lemay(Director HAA), John Dalh(Director THX) ได้บอกว่าในความคิดของแกลำโพง Center เป็นลำโพงที่สำคัญที่สุดในห้อง home theater ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ดูรูปนี้ก่อนนะครับ



เป็นรูป pattern ในห้อง mix เสียงมาตรฐานTHX จะเห็นได้ว่าเสียง Center ไม่ได้มีเฉพาะเสียงพูดนะครับ มีทั้งเสียง effects, เสียงดนตรี เสียงambience  ต่างๆ ลำโพง center นี่แหละนอกจากจะเป็นหลักในเสียงพูดแล้วยังเป็นลำโพงตัวสำคัญทำหน้าที่เสริมเสียงจากลำโพงคู่หน้าให้ดีขึ้น นอกจากนั้นการฟังแบบ Audiophile ที่ใช้ลำโพง 2 channel เสียงที่ดีที่สุดหรือ sweet spot จะอยู่ที่ระหว่างกลางลำโพงทั้งสอง แต่เมื่อเราขยับออกจากตำแหน่งนี้เพียงเล็กน้อยเสียงที่ดีทั้งหมดก็จะ collapse ลงอย่างรวดเร็ว แต่ในห้องดูหนังเรามีหลายที่นั่ง การเพิ่ม center เข้าไปในระบบ home theater ก็เพื่อเพิ่ม sweet spot ให้กว้างขึ้น สามารถทำให้แต่ละตำแหน่งนั่งฟังได้ยินเสียงที่ใกล้เคียงกับตำแหน่งที่ดีที่สุด ดังในรูปข้างล่าง





ทั้งนี้เรื่องการ set ลำโพง Center เพื่อให้ได้เสียงอย่างที่ Audiophile ต้องการ ทั้งตำแหน่ง, Phase , การหา Distance และ level ผมได้เสนอเทคนิคไปกับพี่ชวินบ้างแล้ว ยังไงใครได้มีโอกาสให้พี่ชวินไป setup ลองให้พี่แกทำให้ดูก็ได้นะครับ บางทีการอ่านอย่างเดียวไม่ได้ยินเสียงจริงๆ ก็อาจไม่get การฟังเสียงจริงๆ สัมผัสของจริง มันสามารถแทนตัวหนังสือได้เป็นพันๆคำครับ
ยังมีอีกหลายเรื่องที่ผมอยากจะเล่าให้ฟัง โดยเฉพาะเรื่อง LFE ว่าเสียงที่ผู้กำกับ หรือคนmix เสียงต้องการให้ผู้ชมได้ยินมันเป็นเสียงยังไงกันแน่ มันกระหึ่มจุกอกสะเทือนทั้งบ้านเลยหรือเปล่า มันมีหัวมีหางหรือเปล่า มาเร็วไปเร็วเครมเร็วม๊ะ เราก็ set ให้ความดังsub เท่า channel อื่นแล้วทำไมมันบางจัง เสียงsub จริงๆมันเบาขนาดนี้เลยเหรอ เดี๋ยวถ้ามีโอกาสผมค่อยมาแชร์กันอีกทีนะครับ แต่ต้องบอกไว้ก่อนนะครับว่าทั้งหมดนี้ beyond ความชอบส่วนตัวนะครับ ซึ่งชอบไม่ชอบแล้วแต่บุคคลครับคนเราชอบไม่เหมือนกันอยู่แล้ว เอาแบบดุดัน ซาดิสม์ โหดดิบ ก็ไม่ผิด แต่เอาแบบว่าที่มาตรฐานเป็นยังไงก่อน รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหามครับผม
 :secret


ออฟไลน์ หมอเอก

  • *****
    • กระทู้: 892
    • เพศ:ชาย
มีโอกาสอยากไปเที่ยวบ้างครับพี่  O0

ยินดีต้อนรับเลยครับ วันไหนแวะมาแถวอุดรมาทักทายพูดคุยกันได้เลยครับผม

 :kicking


ออฟไลน์ cinemania

  • Superstar...
  • ****
    • กระทู้: 4,535
  • Back to Cinema

ออฟไลน์ หมอเอก

  • *****
    • กระทู้: 892
    • เพศ:ชาย
เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมามีเพื่อนๆพี่ๆแวะเข้ามาพูดคุยประสาคอเดียวกันหลายคน ทั้งพี่ชวิน จาก thaidvd, น้องแบงค์ที่อุตสาห์ขับรถจากเซกา หนองคาย มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน และเพื่อนเก่าแก่เซียน DIY ที่แวะมาทักทายช่วงพักร้อนจาก KL มาเลเซีย รู้สึกสนุกสนานได้ความรู้จากประสบการณ์แต่ละคนมากมายครับ วันไหนว่างๆมาแถวนี้แวะกันมาอีกนะครับยินดีต้อนรับทุกท่านเสมอครับผม




พี่ชวินฟังเสียงเพลงจาก This is it อยู่


พึ่งสอบผ่าน HAA Level1 เอาซักหน่อย




พี่ชวินข้องใจมากกับสายหลังเครื่อง 555






พี่ชวินบรรยายได้ออกรสชาดมาก

หากต้อนรับผิดพลาดประการใดขออภัยนะครับ See ya

 d_d d_d d_d


ออฟไลน์ yai-united

  • ****
    • กระทู้: 438
 like เข้ามาอ่านในห้องหมอเอกแล้วได้ความรู้มากเลยครับ ขอบคุณมากที่นำความรู้มาเผยแพร่ O0 O0 O0


ออฟไลน์ harts

  • *****
    • กระทู้: 786
ยอดเยี่ยมมากๆ เลยครับพี่หมอ

ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่ดีมาก สำหรับเพื่อนชาว ht เลย

+LIKE  c)


ออฟไลน์ หมอเอก

  • *****
    • กระทู้: 892
    • เพศ:ชาย

คุณหมอครับ ทาง THX มีแนวทางในปรับแต่งเสียง Bass จาก Subwoofer ใน Home Theater อย่างไร (เอาคร่าวๆ ก็ได้ครับ)
สังเกตุได้ว่า Bass จากโรงหนัง กับการปรับแต่งในบ้าน ให้เสียงต่างกัน
นักปรับแต่ง Home Theater หลายๆ ท่าน ก็มี Style ต่างกัน
เลยอย่างทราบมาตรของ THX ว่ามีกำหนดไว้บ้างไหมครับ

ขอบคุณครับ
[/quote]

สวัสดีครับคุณ sap0525

สำหรับคำถามที่ถามว่าการปรับ Bass ในโรงหนังกับ Home theater ของ THX ต่างกันหรือไม่ มีคนถามผมเข้ามาเยอะครับ ทั้งจาก PM หรือ โทรมาถามผมเลยขออนุญาต เขียนมาตอบเท่าที่ความรู้จะมีนะครับผม มีใครจะเพิ่มเติมตรงไหนเชิญได้เลย ยินดีนะครับ ผมไม่ได้รู้ทั้งหมดครับ
คำตอบคือปรับต่างกันครับ แต่ผลลัพท์ต้องเหมือนกันครับ เพราะว่าโรงหนังมีขนาดที่ใหญ่กว่าห้อง home theater ดังนั้น Acoustic ของห้องจึงต่างกัน ในห้องhome theater ปัญหาของห้องที่มีผลต่อเสียงมีหลายอย่าง Standing Wave ถามว่าโรงหนังมีไหม มีครับแต่ด้วยห้องขนาดใหญ่ ความถี่ที่เกิด mode ต่างๆจึงเป็นพวก Complex mode ต่างๆ และเกิดการ Randomized กันเอง ปัญหาในเรื่องนี้ในโรงหนังจึงไม่ค่อยมีมากเท่าไหร่ ในทางกลับกันมันกลับเป็นปัญหาใหญ่ของห้องขนาดเล็ก ผมเคยเห็นหลายคนบอกว่าไม่ค่อยให้ความสนใจในเรื่อง Room Mode นี้ บ้างก็บอกว่าเป็นเรื่องที่แก้ไม่ได้ บ้างก็บอกว่าไม่ค่อยเกี่ยวกับเสียง บ้างก็บอกว่าดีเสียอีกเสียงเบสจะได้หนักๆ แต่เท่าที่ผมไป Train มาทั้ง THX และ HAA หรือจากการอ่าน Text หรือ Classic Article ต่างๆ พูดถึงเรื่องนี้ว่าเป็นปัญหาหลักต้นๆ ในห้องดูหนังหรือห้องฟังเพลงขนาดเล็ก ถ้าจะพูดกันอย่างละเอียดคงต้องว่ากันเป็นวันๆเลยครับในเรื่องนี้ แต่สรุปหลักสำคัญของ Standing Waves หรือ Room Mode คือ
-   All rooms will have some standing waves อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
-    Resonance overlaps are the result of the ratio of the room dememsions การเปลี่ยนขนาดของห้องมีผลต่อ ความรุนแรงของ mode ต่างๆ ส่วนชนิดของ mode ตัวที่เป็น Axial mode(ผนังขนานกันสองข้าง) จะมีความสำคัญกว่า Tangential หรือ Oblique mode (สะท้อนไปมาในผนังหลายๆด้าน) เพราะค่าพลังงานจะน้อยกว่า Axial mode
-   Intensity of room modes is determined by the wall density and stiffness ดังนั้นผนังคอนกรีตแข็งๆ ซึ่งมี stiffness สูงๆ ก็จะทำให้เกิด resonance มากกว่าผนังที่เป็น Gypsum หรือ ไม้ ซึ่งผนังที่ THX แนะนำคือ Resilient Walls หรือ ผนังที่มียางเป็นตัวรับแรงยืดหยุ่น
Way to Control Standing Waves
-   เปลี่ยนขนาดของห้อง ไม่มีสัดส่วนที่ Overlap กัน พยายามทำให้ห้องเป็น identical dimension คือความกว้างความยาวความสูงหารกันไม่ลงตัว และห้องควรจะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าธรรมดา ไม่ควรเป็นสี่เหลี่ยมด้านไม่เท่าเพราะทำให้การทำนายผล mode ต่างๆยาก และ mode ในห้องจะเป็นแบบ irregular การทำให้เกิด consistency ในห้องเป็นไปได้ยากกว่า
-   เปลี่ยนตำแหน่งนั่งฟัง ไม่อยู่ในบริเวณ peaks หรือ dips ควรอยู่ใน moderate modal
-   ใช้ Subwoofers หลายตัว วางในตำแหน่ง Null ของ mode ที่เป็นปัญหา
-   ใช้วัสดุปรับแต่ง Acoustic ต่างๆ
-   EQ ต้องปรับเป็น ถ้าปรับไม่เป็นจะทำให้ impact ของเสียงเบสเสียไป และ Sub ต้องเป็น Sub ที่มีคุณภาพดี เพราะบางทีต้องกดบางความถี่ไว้ เร่งบางความถี่ ซึ่งถ้า sub ไม่ดีพอความถี่อื่นๆก็จะเสียไปด้วย

นอกจากนี้ด้วยห้องดูหนังที่ขนาดใหญ่ดังนั้นการสูญเสียพลังงานของเสียงจะเกิดขึ้นมากโดยเฉพาะในความถี่สูงๆ การMix เสียงใน Studio ต้องมีการชดเชยในส่วนความถี่สูงนี้ บางที่ก็มีการกำหนดให้เป็นมาตรฐานโดยเรียกว่า X-curve ซึ่งถ้าเรานำเอาหนังมาเปิดในห้อง home theater ที่มีขนาดเล็กกว่า ความถี่สูงพวกนี้จะยังคงสะท้อนไปมาคงอยู่ในห้อง ผลที่ได้ก็คือเสียงจะสดเกินไป (too brigh  or too much high frequency) ดังนั้น THX จึงทำการ re-EQ ความถี่สูงเพื่อให้เสียงได้เหมือนกับในห้องอัดมากที่สุด สังเกตง่ายๆ เวลาเราเลือก mode THX แล้วทำไมเสียงมันถึงไม่ค่อยใส ซึ่งการทำอย่างนี้ก็มีทั้งผลดีผลเสีย เพราะว่าห้อง home theater แต่ละห้องสภาพทาง Acoustic ไม่เหมือนกันเลย การre- EQ ก็อาจทำให้ frequency respond ในบางห้องเสียไปได้
ส่วนการวาง Subwoofer เพื่อให้ได้เสียงเบสที่ดี THX แนะนำไว้คร่าวๆดังนี้ครับ
-   use planning and modeling มีการวางแผนและเข้าใจสภาพห้อง และ mode ต่างๆในห้อง
-   Esthetics vs. Acoustics พยายามให้มีความสมดุลกันของความสวยงามกับacoustics
-   Keep in front region ถ้ามีแค่ตัวเดียวพยายามอยู่ฝั่งด้านหน้าของห้อง
-   Use in Mono สัญญาณ sub ต้องเป็น mono และถ้าเป็น sub หลายตัวต้องมาจากสัญญาณตัวเดียวกัน และควรเป็น identical sub คือเหมือนกันทุกตัว เพื่อลดปัญหาเรื่อง phase interference
-   Elimiate a room mode ดังที่พูดไปแล้ว
-   Multiple subwoofers can be better แต่ไม่ควรเกิน 4 ตัว
-   Move seats if needed
-   Use bass absorbers if needed
-   Listen to single tone sweep
-   Measure frequency response เคยมีบางคนถามว่าแล้วถ้ากราฟมันออกมา smooth สวยๆ แล้วเสียงมันจะดีจริงหรือ อาจารย์ผมตอบว่า เสียงอาจจะดีก็ได้ หรืออาจไม่ดีก็ได้ ต้องมีการ fine tune ด้วยหูคนอีกทีครับเพราะหูคนมีความ sensitive สามารถวัดได้ละเอียดกว่าเครื่องมือหรือกราฟใดๆ แต่เสียงไม่มีโอกาสดีได้ถ้าresponse ของเสียงหรือกราฟ ออกมาไม่ดี และไม่มีความ smooth ครับ
  :)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 ธันวาคม, 2013, 11:33:06 am โดย หมอเอก »


ออฟไลน์ หมอเอก

  • *****
    • กระทู้: 892
    • เพศ:ชาย
หลังจากเรียน HAA เสร็จก็จะต้องทำข้อสอบเพื่อผ่าน LevelI ก่อนที่จะสามารถสอบ LevelII (ปรับในห้องจริง) เมื่อวานได้เข้าไปทำข้อสอบ LevelI แล้ว เป็นข้อสอบแบบ Online ตอนนี้ก็รอลุ้นผลล่ะครับ ถ้าไม่ผ่านมีสิทธิสอบใหม่อีกรอบ แต่ถ้าไม่ผ่านสองรอบต้องลงเรียนใหม่อีกรอบ

 :cry2

มีพี่หลายคนถามถึงว่าข้อสอบเป็นอย่างไร ผมเลยแอบถ่ายหน้าจอให้ดูเป็นตัวอย่างนะครับ ความจริงทั้งหมดมีหกสิบข้อให้ทำผ่านหน้าจอคอมเลย ยังไงอย่าเอาไปเผยแพร่ที่อื่นนะครับมันค่อนข้างเป็นความลับของเขา ดูไว้พอเป็น Idea ละกันครับ





 :secret
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 พฤศจิกายน, 2013, 11:29:21 am โดย หมอเอก »


ออฟไลน์ หมอเอก

  • *****
    • กระทู้: 892
    • เพศ:ชาย


ออฟไลน์ มะขาม

  • ****
    • กระทู้: 395
    • เพศ:ชาย
  • So Calm

ออฟไลน์ หมอเอก

  • *****
    • กระทู้: 892
    • เพศ:ชาย
555  สุดท้ายต้องได้ใช้ อุปกรณ์ PA มาช่วย อิอิ   ถ้าย้อนไปสมัยเกือบยี่สิบปีก่อน home teather hiend นี่เขาเอาเครื่อง PA มายัดลงเลย  เช่นอย่าง JBL synthesis  มี EQ 31 band 5  ตัว  ครอสโซเวอร์ และ ไทมดีเลย์  ตอนนี้ถูกย่อลงใส่ใน DSP ตัวเดียว  จริงๆ ผมว่าqsc เสียงบาง พวก DBX เสียวจะหนากว่า  หรือพวกสุดยอดก็ klark teknic กับ Lake control (Dolby lake ) อันนี้ของDolby Lab  

ถ้าต้องได้ปรับ manual แบบสุดสุด ต้องยกให้ PA แล้วล่ะครับ ตัว klark ก็น่าสนครับ แต่ตอนนี้เอาตัวเบา เบาไปก่อนครับ

 ;)

ยังไงอุปกรณ์ PA ต้องขอคำแนะนำ เสี่ยเบนซ์บ้างล่ะครับผม ขอบคุณครับ

 :secret
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25 พฤศจิกายน, 2013, 08:55:22 am โดย หมอเอก »


ออฟไลน์ b3344

  • สมาชิกรุ่น Classic
  • Super Star
  • *****
    • กระทู้: 1,380
555  สุดท้ายต้องได้ใช้ อุปกรณ์ PA มาช่วย อิอิ   ถ้าย้อนไปสมัยเกือบยี่สิบปีก่อน home teather hiend นี่เขาเอาเครื่อง PA มายัดลงเลย  เช่นอย่าง JBL synthesis  มี EQ 31 band 5  ตัว  ครอสโซเวอร์ และ ไทมดีเลย์  ตอนนี้ถูกย่อลงใส่ใน DSP ตัวเดียว  จริงๆ ผมว่าqsc เสียงบาง พวก DBX เสียวจะหนากว่า  หรือพวกสุดยอดก็ klark teknic กับ Lake control (Dolby lake ) อันนี้ของDolby Lab   


ออฟไลน์ หมอเอก

  • *****
    • กระทู้: 892
    • เพศ:ชาย

ได้มาแระ อุปกรณ์ปราบพยศ Subwoofer ทั้งสองตัว (หรือทำให้พยศมากขึ้นหรือเปล่าก็ไม่รู้ 555)





ต้องใช้โปรแกรม Signal Manager เป็นตัวควบคุมครับผม



 O0 O0 O0


ออฟไลน์ หมอเอก

  • *****
    • กระทู้: 892
    • เพศ:ชาย
ยินดีด้วยครับ พี่หมอเอก ที่ได้เพิ่มเติมความรู้ในสิ่งที่พี่ชอบให้แน่นปึ๊กขึ้นไปอีกคร๊าบ  :notworthy :thumb

ขอบคุณครับคุณรักษ์
 d_d d_d d_d


ส่งสัยต้องไปเรียนกลับคุณหมอแล้ว c)

ประสบการณ์ระดับเฮียสมชายแล้ว ผมล่ะต้องเรียนกับเฮียแล้วล่ะครับผม
 :secret


เปิดห้องรวมพลด่วนเลยครับคุณหมอ c) :clap O0 d_d

ตอนนี้ยังรวมไม่ได้เพราะยังไม่ได้ปรับเลยครับคุณหนุ่ม เดี๋ยวรอปรับเสร็จเรียบร้อยเป็นที่น่าพอใจเจอกันแน่ครับ ขอเวลารวบรวมอุปกรณ์บางอย่างก่อน
 :showoff :showoff :showoff



ออฟไลน์ KK Hifi

  • **
    • กระทู้: 74

ออฟไลน์ RAK

  • สมาชิกรุ่น Classic
  • Super Star
  • *****
    • กระทู้: 1,723
    • เพศ:ชาย
ยินดีด้วยครับ พี่หมอเอก ที่ได้เพิ่มเติมความรู้ในสิ่งที่พี่ชอบให้แน่นปึ๊กขึ้นไปอีกคร๊าบ  :notworthy :thumb


ออฟไลน์ หมอเอก

  • *****
    • กระทู้: 892
    • เพศ:ชาย
สุดยอดเลยครับพี่หมอเอก... เมืองไทยมีคนเก่ง ๆ เพิ่มขึ้นอีกคนแล้วครับ  Y] O0 :clap

อยากให้คนที่รับปรับภาพ และเสียง เป็นอาชีพในบ้านเรา
ไปเรียนแบบนี้กันมาเยอะ ๆ วงการจะได้มีคนเก่ง ๆ เยอะ ๆ ครับ  :wiggle

 like


ออฟไลน์ cinemania

  • Superstar...
  • ****
    • กระทู้: 4,535
  • Back to Cinema
สุดยอดเลยครับพี่หมอเอก... เมืองไทยมีคนเก่ง ๆ เพิ่มขึ้นอีกคนแล้วครับ  Y] O0 :clap

อยากให้คนที่รับปรับภาพ และเสียง เป็นอาชีพในบ้านเรา
ไปเรียนแบบนี้กันมาเยอะ ๆ วงการจะได้มีคนเก่ง ๆ เยอะ ๆ ครับ  :wiggle


ออฟไลน์ หมอเอก

  • *****
    • กระทู้: 892
    • เพศ:ชาย
น่าเรียนมากๆครับ พี่หมอเอกลองแนะนำคร่าวๆ ได้มั๊ยครับ ว่าขั้นตอนการปรับทำอย่างไรบ้างครับ
ขั้นตอนจะ Run ตาม 4 หัวข้อหลักคือ
Initial Evaluation
Verification
Design
Final Evalution
ซึ่งในแต่ละหัวข้อก็จะมีข้อย่อยๆอีกหลายอัน ถ้าเป็น Turbo Cal ก็มีประมาณสามสิบกว่าหัวข้อย่อย ใช้เวลาปรับไม่เกินสองชั่วโมง ส่วน Power Cal ก็มีสี่สิบกว่าๆ  ใช้เวลาปรับเป็นวัน เพราะในบางข้อต้องวัดลำโพงทุกตัว หรือตัวละหลายๆตำแหน่ง เช่นการวัดหา Transition Frequency ก็ต้องวัดทั้ง near field VS listening position แต่ละลำโพงเทียบกัน หรือการวัด Frequency Response ก็ต้องวัดทั้ง in axis กับ off axis ทุก 15องศาเลยครับ แต่ต้องยอมรับว่าพอทำตาม Check list ที่ให้มาแล้วเสียงดีขึ้นมากครับผม

 O0 O0 O0


ออฟไลน์ Saitosan

  • Superstar...
  • ****
    • กระทู้: 10,352
    • เพศ:ชาย
น่าเรียนมากๆครับ พี่หมอเอกลองแนะนำคร่าวๆ ได้มั๊ยครับ ว่าขั้นตอนการปรับทำอย่างไรบ้างครับ