HTG2.club

low impedance คืออะไร มีผลอย่างไรอ่ะครับ

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ คนไกลบ้าน

  • *****
    • กระทู้: 786
    • เพศ:ชาย
ค่า Input/output impedance ถ้าไม่รู้ สามารถวัดได้ครับ แต่ต้องมีเครื่องมือ Signal gen กับ Oscilloscope หรือ AC millivolt meter

ปกติเรื่องการแมทชิ่งอิมพีแดนซ์ระหว่างปรีแอมป์กับเพาเวอร์แอมป์ไม่ค่อยมีปัญหา ถ้าเราไม่หลับตาผสมข้ามสายพันธุ์ เช่นเอาปรีหลอด (ยุคแรกๆ ที่ออกแบบมาสำหรับแอมป์หลอด) ไปขับแอมป์โซลิดสเตทสมัยใหม่ เพราะปรีหลอดยุคนั้นเขาออกแบบวงจรคับปลิ้งในฝั่งเอาต์พุตไว้สำหรับโหลดระดับ 100k - 1M ถ้าเอามาใช้ขับแอมป์ SS ที่มีอินพุตอิมพีแดนซ์ระดับ 10k - 20k ดุลย์เสียงจะเสีย และเบสบางครับ แต่สำหรับปรีหลอดยุคใหม่ตั้งแต่ปี 80 ขึ้นมา ส่วนใหญ่เขาออกแบบให้มีเอาพุตอิมพีแดนซ์ต่ำ เพื่อให้สามารถขับแอมป์ SS ได้อยู่แล้ว หมดปัญหาเรื่องการแมทชิ่งครับ

สรุป....
ปรีหลอดยุคใหม่ (โดยเฉพาะวงจรที่มีสเตจสุดท้ายเป็น Cathode follower) สามารถขับแอมป์ SS ได้สบาย
ปรี SS สามารถขับแอมป์หลอดได้เลย แต่เสียงจะเข้ากันหรือเปล่า อันนี้ต้องว่ากันเป็นเคสบายเคส
ปรี SS ส่วนใหญ่ที่ออกแบบหลังปี 70 จะมีเอาต์พุตอิมพีแดนซ์ต่ำระดับ 1k หรือน้อยกว่า สามารถขับแอมป์ SS ได้โดยไม่ติดปัญหาเรื่องการแมทชิ่งอิมพีแดนซ์


ออฟไลน์ JUUD

  • *****
    • กระทู้: 840

 ขอขุดขึ้นมาอีกครั้งครับ

แล้วในกรณีที่เราไม่ข้อมูลของผู้ผลิต Pre ,Power เราจะมีวิธีรู้ได้อย่างไรครับว่า Impedance  เหมาะสมกันหรือไม่ครับ แล้วจะมีวิธีแก้ไขอย่างไรบ้าง นอกจากการเปลี่ยนปรีแอมป์ใหม่

น่าจะมีหลายวิธีนะ   วิธีหนึ่งคือมี Buffer unity gain  preamp  มาคั่น   และอีกวิธีที่ผมชอบใช้คือ  อาศัย matching transformer คั่น  แต่วิธีนี้เกนจะ drop ลง  มากน้อยก็แล้วแต่ความแตกต่างของ imprdance ฝั่งส่งสัญญานกันฝั่งรับสัญญาน



ออฟไลน์ Fat tube

  • ***
    • กระทู้: 108

 ขอขุดขึ้นมาอีกครั้งครับ

แล้วในกรณีที่เราไม่ข้อมูลของผู้ผลิต Pre ,Power เราจะมีวิธีรู้ได้อย่างไรครับว่า Impedance  เหมาะสมกันหรือไม่ครับ แล้วจะมีวิธีแก้ไขอย่างไรบ้าง นอกจากการเปลี่ยนปรีแอมป์ใหม่






ออฟไลน์ Ratto

  • ***
    • กระทู้: 204
    • เพศ:ชาย
  • Give and take

ออฟไลน์ namo

  • *****
    • กระทู้: 713
    • เพศ:ชาย
 c) c) c) c) c) c) c) c) c)
ไม่มีความรู้ด้่นนี้เลย แต่อ่านที่คุณไกลบ้านอธิบาย ก็พอสร้างภาพในใจได้ ยกตัวอย่างได้เยี่ยมมากครับ
ขอบคุณครับ
ที่อยู่จัดส่งครับ
http://www.htg2.net/index.php?topic=65805.0

สงบ ธรรม สุข ละวาง


ออฟไลน์ คนไกลบ้าน

  • *****
    • กระทู้: 786
    • เพศ:ชาย
การแมทชิ่งอิมพีแดนซ์ระหว่างแอมป์กับลำโพง
-ในกรณีแอมป์หลอด จะมี OPT เป็นตัวกำหนดค่าเอาต์พุตอิมพีแดนซ์ เช่น 8 โอห์ม ..... การนำไปใช้งานจะต้องต่อกับลำโพง 8 โอห์ม ถึงจะได้ค่ากำลังวัตต์ออกมาตรงตามที่แอมป์ระบุไว้ หากนำไปต่อกับลำโพงที่ไม่ใช่ 8 โอห์ม (เรียกว่า mismatching) นอกจากกำลังวัตต์จะตกลงแล้ว จะเกิดมีกำลังงานย้อนกลับไปทำลายหลอด หากเกิด mismatching น้อยอาจจะไม่เห็นอาการ แต่ถ้า mismatching มากๆ หลอดจะออกอาการเพลทแดงให้เห็น
-ในกรณีแอมป์ SS โดยทั่วไปจะมีค่าเอาต์พุตอิมพีแดนซ์ที่ต่ำมาก ระดับมิลลิโอห์ม ทำให้แอมป์ชนิดนี้สามารถขับโหลดระดับ 4-16 โอห์มได้โดยไม่มีปัญหา .... ดังนั้น เกนโคลนสามารถใช้ขับลำโพง Roger 11 โอห์มได้เลยโดยไม่ต้องแก้ไขดัดแปลงใดๆ


ออฟไลน์ คนไกลบ้าน

  • *****
    • กระทู้: 786
    • เพศ:ชาย
Input impedance คือค่าความต้านทานอินพุตของวงจรขยาย ค่านี้ยิ่งสูงยิ่งดี ....
-ในกรณีของเพาเวอร์แอมป์ ที่มีค่าอินพุตอิมพีแดนซ์สูง เมื่อต่อเข้ากับปรีแอมป์ มันจะไม่โหลดสัญญาณ ทำให้สัญญาณจากปรีแอมป์ถูกส่งเข้าไปขยายยังเพาเวอร์แอมป์ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
-ในกรณีเกนโคลน จะมี R 22k ต่อที่อินพุตลงกราวด์ R ตัวนี้เป็น Bias resistor ค่าอินพุตอิมพีแดนซ์จะต้องคิดจาก อินพุตอิมพีแดนซ์ของไอซีขนานกับ R 22k


ออฟไลน์ คนไกลบ้าน

  • *****
    • กระทู้: 786
    • เพศ:ชาย
ต้องว่ากันทีละเรื่องแล้วล่ะครับ  :yahoo

Output impedance คือค่าความต้านทานขาออกของวงจรขยายสัญญาณ ซึ่งเจ้าค่านี้ยิ่งต่ำยิ่งต่ำยิ่งดี มันจะสามารถขับโหลดได้โดยที่สัญญาณตกคร่อมโหลดไม่ตก .... ลองดูตัวอย่างครับ
-ตัวอย่างที่ 1 วงจรขยายมี Output impedance 10k ปล่อยสัญญาณขณะไม่ต่อโหลดออกมาเท่ากับ 1V ..... เมื่อนำไปขับโหลด 10k จะเหลือสัญญาณตกคร่อมโหลดเท่ากับ [(1*10k)/(10k+10k)] = 0.5V ..... สัญญาณตกคร่อมโหลดเหลือครึ่งเดียว
-ตัวอย่างที่ 2 วงจรขยายมี Output impedance 1k ปล่อยสัญญาณขณะไม่ต่อโหลดออกมาเท่ากับ 1V ..... เมื่อนำไปขับโหลด 10k จะเหลือสัญญาณตกคร่อมโหลดเท่ากับ [(1*10k)/(1k+10k)] = 0.9V ..... สัญญาณตกคร่อมโหลดเกือบเท่าที่วงจรขยายขับออกมา
-ในกรณีของหลอดสุญญากาศกับหูฟัง... หลอดแต่ละเบอร์จะมีค่า Plate resistance (rp) ที่แตกต่างกันไป หากนำหลอด 12AX7 ซึ่งมี rp สูงระดับร้อยกิโลโอห์ม ไปขับหูฟังที่มีค่าอิมพีแดนซ์ 32 โอห์ม เมื่อคำนวณตามตัวอย่างด้านบนจะเหลือแรงดันตกคร่อมหูฟังนิดเดียว แทบจะไม่มีเสียง .... ในกรณีของ HA1 ใช้หลอด 7044 ในภาคเอาต์พุต ตามสเปค HA1 มีค่าเอาต์พุตอิมพีแดนซ์ 35 โอห์ม เมื่อนำไปขับหูฟัง 32 โอห์ม ก็จะมีสัญญาณเสียงตกคร่อมหูฟังประมาณครึ่งหนึ่งที่หลอด 7044 ขับออกมา ความดังเสียงจึงมากกว่าตอนขับด้วยหลอด 12AX7 หลายขุม และหากนำไปใช้กับหูฟัง 600 โอห์ม ความดังที่ได้จะยิ่งมากขึ้นไปอีก และหากนำ HA1 ไปทำเป็นปรีแอมป์ เพื่อขับเพาเวอร์แอมป์ซึ่งมีค่าอินพุตอิมพีแดนซ์ระดับ 100k ด้วยแล้ว สัญญาณที่อินพุตของแอมป์จะสูงพอๆ กับที่หลอด 7044 จ่ายออกมาเลยทีเดียว ซึ่งเมื่อพิจจารณาเฉพาะเรื่องขนาดของสัญญาณแล้วเจ้า HA1 ทำได้ดีกว่าปรีแอมป์หลอดทั่วไป แต่เรื่องเสียงต้องว่ากันอีกทีครับ


ออฟไลน์ namo

  • *****
    • กระทู้: 713
    • เพศ:ชาย
ขอขุดกระทู้เพราะความอยากรู้คำตอบครับ
น้า namo อยากรู้อันไหนอ่ะครับ เผื่อผมจะช่วยขยายความได้

อยากรู้เหมือนเจ้าของกระทู้เลยครับ

ตามความเข้าใจของผม เจ้าของกระทู้ พูดถึง
พอดีสนใจ HA-1 อยู่ แล้วเขาบอกว่ามันเป็น Low impedance พอที่จะขับ Headphone ไหว

ในกรณีนี้น่าจะหใายถึงโอหม์ของหูฟังรึเปล่า ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในย่าน  24-300R

แล้วอย่างวงจร gainclone ก็มีตัว R ที่ใช้กำหนดค่า impedance ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าหมายความว่าอย่างไร อาศัยลอกการบ้านลูกเดียว 

อันนี้สงสัยอยู่ ว่าR ตัวไหนที่กำหนดค่า และคำนวนอย่างไร เช่นในกรณีที่ใช้กับ roger ลำโพง11R  ต้องใช้ค่าเท่าไหร่

ขอบคุณครับ


ที่อยู่จัดส่งครับ
http://www.htg2.net/index.php?topic=65805.0

สงบ ธรรม สุข ละวาง


ออฟไลน์ คนไกลบ้าน

  • *****
    • กระทู้: 786
    • เพศ:ชาย
ขอขุดกระทู้เพราะความอยากรู้คำตอบครับ
น้า namo อยากรู้อันไหนอ่ะครับ เผื่อผมจะช่วยขยายความได้


ออฟไลน์ namo

  • *****
    • กระทู้: 713
    • เพศ:ชาย
ขอขุดกระทู้เพราะความอยากรู้คำตอบครับ
ที่อยู่จัดส่งครับ
http://www.htg2.net/index.php?topic=65805.0

สงบ ธรรม สุข ละวาง


ออฟไลน์ nim

  • *****
    • กระทู้: 520
    • เพศ:ชาย
เพิ่มเติมเรื่อง Bias ครับ

Bias คือ การป้อนไฟลบให้ control grid เพื่อควบคุมการไหลของ กระแส plate แบ่งได้ 3 class
 Class A เป็นการป้อน Bias ให้หลอดทำงานที่ส่วนที่ตรงที่สุดของ Curve หลอด ซึ่งจะทำให้สัญญาณที่ถูกขยายเหมือนกับสัญญานที่ป้อนเข้า
 Class B เป็นการป้อน Bias ทำงานที่จุด Cut off ซึ่งทำให้มีสัญญาณที่ถูกขยายออกมา เฉพาะ Cycle บวกเท่านั้น เพื่อแก้ปัญหานี้ Class B จึงใช้ใน วงจร Push Pull
 Class C เป็นการป้อน Bias มากกว่าจุด Cut off  จึงทำให้มีกระแส plate ต่อเมื่อมีสัญญาณบางส่วนของ cycle บวกเท่านั้น ซึ่งจะใช้ในภาคสุดท้ายของเครื่องส่ง
ส่วนเรื่อง Impedance ให้ท่านอื่นตอบบ้าง
"ทุกๆคน ดีหมด ยกเว้นตัวเรา"


ออฟไลน์ ปาท่องโก๋

  • รักหลอด ตอนแ่ก่
  • Superstar..
  • ***
    • กระทู้: 3,127
    • เพศ:ชาย
 :nonono :nonono  มาช่วยลุ้น คำตอบเหมือนกัน  เข้าใจแต่คำว่า Bias แ่ต่ บอกไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่าเข้าใจจริงๆๆ  :cc_scooter :please
ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ แต่ที่ทำไม่ได้ เพราะไม่ทำ
http://www.htg2.net/index.php?topic=34935


ออฟไลน์ dash07

  • **
    • กระทู้: 69
    • เพศ:ชาย
ผมไม่รู้เรื่องวงจรสักเท่าไร อาศัยครูพักลักจำจากในเวปเป็นหลักครับ
พอดีสนใจ HA-1 อยู่ แล้วเขาบอกว่ามันเป็น Low impedance พอที่จะขับ Headphone ไหว
แล้วอย่างวงจร gainclone ก็มีตัว R ที่ใช้กำหนดค่า impedance ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าหมายความว่าอย่างไร อาศัยลอกการบ้านลูกเดียว  ;D
Impedance มันคืออะไรอ่า   :cry2
Low กับ Hi ต่างกันอย่างรครับ
ปล. bias ก็อีกคำนึง งอ งู หลายตัวเลย  :help