HTG2.club

ค่า K ของ output จะเปลี่ยนไปไหม เมื่อ จ่ายไฟให้กับหลอดเพิ่มขึ้นหรือลดลง จากเสปคดาต้าชีทของหลอด

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Aonamp

  • ใช้หลักเศรฐศาสตร์แบบพอเพี่ยงเพื่อชีวิตที่มั่นคง
  • Super Star.
  • **
    • กระทู้: 2,601
    • เพศ:ชาย
  • เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และ ราชนาวี
พี่Art นี่ แน่นจริง ๆวันหลังเดี๋ยวนัดมาดวลหลอดเขียวกันดีกว่า(จะได้แอบปรึกษาเรื่องพัน opt ต่อ)  ;D ;D ;D ;D

นัดดวลเมื่อไรบอกบ้างนะครับ เอาให้ตรงวันเสาร์ก็ดีนะ จะไปคารวะสักหนึ่งจอก d_d

ได้ครับ จะนัดกันวันไหนเดี๋ยว PM คุยกันอีกทีละกันครับ เอาแบบนี้  d_d หรือแบบนี้ :drunk  ล่ะ  ;D

 แบบใหนก็ได้ครับ  ;D ;D ;D ;D
ถ้าผ่านมา ระยอง (บ้านฉาง) ก็บอกนะครับ บ้านหลังเล็กๆ จะเอาให้ :drunk :drunk เลยครับ ทะเลสวยน้ำใส อ้อพาไปถ่านรูปกับ เครื่องบินด้วย ;D ;D นี่ถ้า วิศวะกร จากอเมริกากลับไทยมาด้วยล่ะสนุกเลยครับ
อยากมี อยากได้ อยากทำ แต่แค่ขำๆแบบพอเพียง 
 ( ข้อความทุกข้อความเป้นความเห้นส่วนตัวและขอรับผิดชอบต่อข้อความที่ได้พิมพ์หรือเขียนไว้ครับ)     ข้อมูลส่วนตัว      http://www.htg2.net/index.php?topic=33682.0


ออฟไลน์ bb

  • Superstar..
  • ***
    • กระทู้: 3,674
    • เพศ:ชาย
พี่Art นี่ แน่นจริง ๆวันหลังเดี๋ยวนัดมาดวลหลอดเขียวกันดีกว่า(จะได้แอบปรึกษาเรื่องพัน opt ต่อ)  ;D ;D ;D ;D

นัดดวลเมื่อไรบอกบ้างนะครับ เอาให้ตรงวันเสาร์ก็ดีนะ จะไปคารวะสักหนึ่งจอก d_d

ได้ครับ จะนัดกันวันไหนเดี๋ยว PM คุยกันอีกทีละกันครับ เอาแบบนี้  d_d หรือแบบนี้ :drunk  ล่ะ  ;D

 แบบใหนก็ได้ครับ  ;D ;D ;D ;D


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
พี่Art นี่ แน่นจริง ๆวันหลังเดี๋ยวนัดมาดวลหลอดเขียวกันดีกว่า(จะได้แอบปรึกษาเรื่องพัน opt ต่อ)  ;D ;D ;D ;D

นัดดวลเมื่อไรบอกบ้างนะครับ เอาให้ตรงวันเสาร์ก็ดีนะ จะไปคารวะสักหนึ่งจอก d_d

ได้ครับ จะนัดกันวันไหนเดี๋ยว PM คุยกันอีกทีละกันครับ เอาแบบนี้  d_d หรือแบบนี้ :drunk  ล่ะ  ;D


ออฟไลน์ YOD

  • MTC
  • *****
    • กระทู้: 603
    • เพศ:ชาย


 พี่Art นี่ แน่นจริง ๆวันหลังเดี๋ยวนัดมาดวลหลอดเขียวกันดีกว่า(จะได้แอบปรึกษาเรื่องพัน opt ต่อ)  ;D ;D ;D ;D
นัดดวลเมื่อไรบอกบ้างนะครับ เอาให้ตรงวันเสาร์ก็ดีนะ จะไปคารวะสักหนึ่งจอก d_d


ออฟไลน์ Era

  • *****
    • กระทู้: 975
    • เพศ:ชาย

ออฟไลน์ Eak-tubeamp

  • วันนี้ไม่เริ่ม ก็ไม่มีวันสำเร็จ
  • Superstar...
  • ****
    • กระทู้: 4,849
    • เพศ:ชาย
  • ....ด้วยใจรัก....
 คนนี้อาจารย์ผม ;D ;D
tel 083-3887864


ข้อมูลส่วนตัว  http://www.htg2.net/index.php?topic=44962.0


ออฟไลน์ bb

  • Superstar..
  • ***
    • กระทู้: 3,674
    • เพศ:ชาย


 พี่Art นี่ แน่นจริง ๆวันหลังเดี๋ยวนัดมาดวลหลอดเขียวกันดีกว่า(จะได้แอบปรึกษาเรื่องพัน opt ต่อ)  ;D ;D ;D ;D


ออฟไลน์ tewmax

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,759
    • เพศ:ชาย
ขอบคุณมากครับ ผมจะได้ไม่เขว :D
หนังสือ electronics handbook  V0l.101 No.14 january 2005  หน้า 55-58 เขียนโดย ไพรัตน์ สีนำ้เงิน ครับ

ขอบคุณครับ ตั้ง 5 ปีเข้าไปแล้ว กะว่าถ้าบทความเพิ่งพิมพ์ไม่นานก็จะส่งคำแนะนำแก้ไขไปซะหน่อย

งั้นผมอธิบายสำหรับคุณ tewmax ตรงนี้เลยละกันครับ คือบทความนี้ผิดที่อธิบายการทำงานของ Transformer และวงจรทางด้าน Primary ผิดลำดับครับ ลำดับที่ถูกต้องคือต้องมองว่า Transformer เป็น Impedance Reflector ที่สะท้อนค่า Load ทาง Sec มาเป็นค่า Load ที่ Pri ครับ ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับกฎของหม้อแปลงเสมอ แล้วจึงค่อยพิจารณาวงจรโดยมองว่า Primary เป็น Plate Load ของวงจร Anode Follower ตามวิธีการออกแบบวงจรหลอดครับ

ส่วนที่คุณ tewmax ถามถึง Sec ต้องมี DCR 8 ohm ให้ตรงกับ Load ที่กล่าวในบทความ อันที่จริงแล้ว ไม่มีใครอยากได้ DCR ในขดลวดครับ เพราะมันคือ Copper Loss ถ้า Loss = 0 ได้ ย่อมดีที่สุดครับ  :)
ขอบคุณมากครับ ไม่งั้นก็คงจะติดอยู่ในใจเข้าใจผิดๆไปหลายปี
ที่อยู่ครับ http://www.htg2.net/index.php?topic=41722.0


ออฟไลน์ Emmy's Daddy

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,899
    • เพศ:ชาย
หม้อ PP ที่ผมมี 2-3 ตัว ถ้าเอา Ohm meter ไปวัดความต้านทานขั้วที่ต่อเพลทแต่ละข้าง เทียบกับ ขั้วกลางที่ต่อไฟเข้าไป แล้วได้ค่าไม่เท่ากัน  ต่างกัน ~ 10-15%
จะมีปัญหาเรื่อง unbalanced DC ไหมครับ

ลักษณะวงจร PP คือ SE 2 ชุดที่ขยายสัญญาณกลับเฟสกัน เพราะฉะนั้นเมื่อ DCR ของขดลวดแต่ละข้างไม่เท่ากัน แรงดัน Plate ก็จะไม่เท่ากันไปด้วย เมื่อ Bias ให้กระแส Plate ไหลเท่ากันครับ

อย่างไรก็ตาม ความที่ DCR ไม่เท่ากัน ถ้าเรามองทางด้าน DC อาจจะดูว่าเยอะ 10-15% แต่เราใช้งานมันจริงๆ เป็น AC ครับ ซึ่งเมื่อเทียบกับ Imp ของหม้อแปลงในขณะที่มันทำงานแล้ว ถือว่าเล็กน้อยมากครับ เช่นหม้อแปลง 5kp-p อาจจะมี DCR 2 ข้างต่างกัน 25 ohm เทียบกันแล้ว = 0.5% เท่านั้น ผู้ออกแบบบางคนจึงไม่ได้ใส่ใจกับการทำให้เท่ากันครับ  :)

งั้นผมก็คลายความกังวลล่ะ

ขอบคุณมาก ๆ ครับ


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
หม้อ PP ที่ผมมี 2-3 ตัว ถ้าเอา Ohm meter ไปวัดความต้านทานขั้วที่ต่อเพลทแต่ละข้าง เทียบกับ ขั้วกลางที่ต่อไฟเข้าไป แล้วได้ค่าไม่เท่ากัน  ต่างกัน ~ 10-15%
จะมีปัญหาเรื่อง unbalanced DC ไหมครับ

ลักษณะวงจร PP คือ SE 2 ชุดที่ขยายสัญญาณกลับเฟสกัน เพราะฉะนั้นเมื่อ DCR ของขดลวดแต่ละข้างไม่เท่ากัน แรงดัน Plate ก็จะไม่เท่ากันไปด้วย เมื่อ Bias ให้กระแส Plate ไหลเท่ากันครับ

อย่างไรก็ตาม ความที่ DCR ไม่เท่ากัน ถ้าเรามองทางด้าน DC อาจจะดูว่าเยอะ 10-15% แต่เราใช้งานมันจริงๆ เป็น AC ครับ ซึ่งเมื่อเทียบกับ Imp ของหม้อแปลงในขณะที่มันทำงานแล้ว ถือว่าเล็กน้อยมากครับ เช่นหม้อแปลง 5kp-p อาจจะมี DCR 2 ข้างต่างกัน 25 ohm เทียบกันแล้ว = 0.5% เท่านั้น ผู้ออกแบบบางคนจึงไม่ได้ใส่ใจกับการทำให้เท่ากันครับ  :)


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
ส่งไปแก้หน่อยก็ดีนะครับ :secret มีคนอ่านเยอะคงจะมีการเข้าใจผิดอีกมาก ผมก็ได้เอกสารชุดนี้เมื่อสัปดาห์นี่เองมีผู้ใหญ่ท่านนึงที่เขียนอยู่ในเล่มนี้เอามาให้ เพราะท่านเห็นว่าผมกำลังหัดพันอยู่แต่อ่านแล้ว N] เก็บดีกว่าครับ :giveup

ขอ Check ระดับความรับผิดชอบของสำนักพิมพ์ดูก่อนครับ ถ้าเค้ามีทัศนคติที่ดีกับการแก้ที่ผิดก็ค่อยชี้แจงไปครับ  :)


ออฟไลน์ Emmy's Daddy

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,899
    • เพศ:ชาย
อาจจะไม่เกี่ยวกับหัวข้อกระทู้นะครับ
แต่ไหน ๆ เห็นปรมาจารย์อยู่หลายคน
ขออนุญาตถามหน่อย

หม้อ PP ที่ผมมี 2-3 ตัว ถ้าเอา Ohm meter ไปวัดความต้านทานขั้วที่ต่อเพลทแต่ละข้าง เทียบกับ ขั้วกลางที่ต่อไฟเข้าไป แล้วได้ค่าไม่เท่ากัน  ต่างกัน ~ 10-15%
จะมีปัญหาเรื่อง unbalanced DC ไหมครับ


ออฟไลน์ YOD

  • MTC
  • *****
    • กระทู้: 603
    • เพศ:ชาย
ตั้ง 5 ปีเข้าไปแล้ว กะว่าถ้าบทความเพิ่งพิมพ์ไม่นานก็จะส่งคำแนะนำแก้ไขไปซะหน่อย
ส่งไปแก้หน่อยก็ดีนะครับ :secret มีคนอ่านเยอะคงจะมีการเข้าใจผิดอีกมาก ผมก็ได้เอกสารชุดนี้เมื่อสัปดาห์นี่เองมีผู้ใหญ่ท่านนึงที่เขียนอยู่ในเล่มนี้เอามาให้ เพราะท่านเห็นว่าผมกำลังหัดพันอยู่แต่อ่านแล้ว N] เก็บดีกว่าครับ :giveup


ออฟไลน์ nut_ty

  • คนดีคือคนที่ไม่เอาเปรียบผู้อื่น ทั้งในทางตรงและทางอ้อม
  • ผู้สนับสนุน web 1ปี
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,901
    • เพศ:ชาย
อ่านสมัยปี 2008 ใน Thaidiyaudio แล้วครับ และ พอเข้าใจได้ท้วมๆ  :) แต่ผมอยากรบกวน Mr.Tube ช่วยย้อยถอยสูตรที่ผมให้ไว้น่ะครับ ว่าเขาน่าจะประมาณค่าจากอะไร ในกรณีที่เขาไม่อ้างถึงโหลดไลน์เลย ถ้าคำตอบโอเคว่าเขาประมาณ (หรือเดาสุ่ม 100%) ก็จะได้ตกประเด็นไปไม่ต้องพูดถึง ฟังธงไปได้เลยว่าสำนักพิมพ์มั่วสูตร และ จะได้กลับมาคุยเรื่องการเปลี่ยนแปลงแรงดันกันต่อ  d_d

คำตอบมันอยู่ในสูตรอยู่แล้วครับ Zp ประมาณค่าจาก Ep และ Ip(max) ครับ

เนื้อแท้ของสูตรมันก็คือ E/I = R นั่นแหล่ะครับ E ก็ประมาณเอาให้เท่ากับ 4Ep - 2.4Ep ส่วน I ก็เอาจาก Max Swing Current ก็คือ Imax - 0 = Imax ประเด็นคือ แรงดัน Swing ของวงจรนี้ = 4Ep-2.4Ep จริงหรือไม่? และ I Swing สามารถ Swing เป็น 0 เลยได้หรือไม่? เท่าที่ผมมีประสบการณ์มันไม่เป็นเช่นนั้นครับ แต่ก็ถือว่าใกล้เคียงกับความเป็นจริงสำหรับวงจรที่เค้ายกมา คำถามต่อมา สูตรนี้ใช้กับวงจร SE ได้หรือไม่ และครอบคลุมทุกหลอดทุกจุดทำงานหรือไม่ ผมเดาว่าผู้เขียนคงไม่ต้องการให้บทความซับซ้อนมากเกินไป จึงไม่พูดถึง Load Line และให้ใช้สูตรง่ายๆ ที่ได้ผลใกล้เคียงแทนครับ

สรุปก็คือ เขาน่าจะอนุมาน (อุปโลก) ค่าบางตัวขึ้นมาเองใช่มั้ยครับ จะได้ตัดความจำส่วนนั้นออกซะ แต๊งค์หลายๆ ครับอาจารย์  ;)
นายวัชระ สลัดแก้ว
โทร 083 1214445


ออฟไลน์ Eak-tubeamp

  • วันนี้ไม่เริ่ม ก็ไม่มีวันสำเร็จ
  • Superstar...
  • ****
    • กระทู้: 4,849
    • เพศ:ชาย
  • ....ด้วยใจรัก....
 
อ่านสมัยปี 2008 ใน Thaidiyaudio แล้วครับ และ พอเข้าใจได้ท้วมๆ  :) แต่ผมอยากรบกวน Mr.Tube ช่วยย้อยถอยสูตรที่ผมให้ไว้น่ะครับ ว่าเขาน่าจะประมาณค่าจากอะไร ในกรณีที่เขาไม่อ้างถึงโหลดไลน์เลย ถ้าคำตอบโอเคว่าเขาประมาณ (หรือเดาสุ่ม 100%) ก็จะได้ตกประเด็นไปไม่ต้องพูดถึง ฟังธงไปได้เลยว่าสำนักพิมพ์มั่วสูตร และ จะได้กลับมาคุยเรื่องการเปลี่ยนแปลงแรงดันกันต่อ  d_d

คำตอบมันอยู่ในสูตรอยู่แล้วครับ Zp ประมาณค่าจาก Ep และ Ip(max) ครับ

เนื้อแท้ของสูตรมันก็คือ E/I = R นั่นแหล่ะครับ E ก็ประมาณเอาให้เท่ากับ 4Ep - 2.4Ep ส่วน I ก็เอาจาก Max Swing Current ก็คือ Imax - 0 = Imax ประเด็นคือ แรงดัน Swing ของวงจรนี้ = 4Ep-2.4Ep จริงหรือไม่? และ I Swing สามารถ Swing เป็น 0 เลยได้หรือไม่? เท่าที่ผมมีประสบการณ์มันไม่เป็นเช่นนั้นครับ แต่ก็ถือว่าใกล้เคียงกับความเป็นจริงสำหรับวงจรที่เค้ายกมา คำถามต่อมา สูตรนี้ใช้กับวงจร SE ได้หรือไม่ และครอบคลุมทุกหลอดทุกจุดทำงานหรือไม่ ผมเดาว่าผู้เขียนคงไม่ต้องการให้บทความซับซ้อนมากเกินไป จึงไม่พูดถึง Load Line และให้ใช้สูตรง่ายๆ ที่ได้ผลใกล้เคียงแทนครับ
 :think2 :think2  Y] Y]  ชอบกระทู้นี้จริงๆ.....ไม่ได้ยุให้คนทะเลาะกันนะ  ;D
tel 083-3887864


ข้อมูลส่วนตัว  http://www.htg2.net/index.php?topic=44962.0


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
ขอบคุณมากครับ ผมจะได้ไม่เขว :D
หนังสือ electronics handbook  V0l.101 No.14 january 2005  หน้า 55-58 เขียนโดย ไพรัตน์ สีนำ้เงิน ครับ

ขอบคุณครับ ตั้ง 5 ปีเข้าไปแล้ว กะว่าถ้าบทความเพิ่งพิมพ์ไม่นานก็จะส่งคำแนะนำแก้ไขไปซะหน่อย

งั้นผมอธิบายสำหรับคุณ tewmax ตรงนี้เลยละกันครับ คือบทความนี้ผิดที่อธิบายการทำงานของ Transformer และวงจรทางด้าน Primary ผิดลำดับครับ ลำดับที่ถูกต้องคือต้องมองว่า Transformer เป็น Impedance Reflector ที่สะท้อนค่า Load ทาง Sec มาเป็นค่า Load ที่ Pri ครับ ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับกฎของหม้อแปลงเสมอ แล้วจึงค่อยพิจารณาวงจรโดยมองว่า Primary เป็น Plate Load ของวงจร Anode Follower ตามวิธีการออกแบบวงจรหลอดครับ

ส่วนที่คุณ tewmax ถามถึง Sec ต้องมี DCR 8 ohm ให้ตรงกับ Load ที่กล่าวในบทความ อันที่จริงแล้ว ไม่มีใครอยากได้ DCR ในขดลวดครับ เพราะมันคือ Copper Loss ถ้า Loss = 0 ได้ ย่อมดีที่สุดครับ  :)


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
อ่านสมัยปี 2008 ใน Thaidiyaudio แล้วครับ และ พอเข้าใจได้ท้วมๆ  :) แต่ผมอยากรบกวน Mr.Tube ช่วยย้อยถอยสูตรที่ผมให้ไว้น่ะครับ ว่าเขาน่าจะประมาณค่าจากอะไร ในกรณีที่เขาไม่อ้างถึงโหลดไลน์เลย ถ้าคำตอบโอเคว่าเขาประมาณ (หรือเดาสุ่ม 100%) ก็จะได้ตกประเด็นไปไม่ต้องพูดถึง ฟังธงไปได้เลยว่าสำนักพิมพ์มั่วสูตร และ จะได้กลับมาคุยเรื่องการเปลี่ยนแปลงแรงดันกันต่อ  d_d

คำตอบมันอยู่ในสูตรอยู่แล้วครับ Zp ประมาณค่าจาก Ep และ Ip(max) ครับ

เนื้อแท้ของสูตรมันก็คือ E/I = R นั่นแหล่ะครับ E ก็ประมาณเอาให้เท่ากับ 4Ep - 2.4Ep ส่วน I ก็เอาจาก Max Swing Current ก็คือ Imax - 0 = Imax ประเด็นคือ แรงดัน Swing ของวงจรนี้ = 4Ep-2.4Ep จริงหรือไม่? และ I Swing สามารถ Swing เป็น 0 เลยได้หรือไม่? เท่าที่ผมมีประสบการณ์มันไม่เป็นเช่นนั้นครับ แต่ก็ถือว่าใกล้เคียงกับความเป็นจริงสำหรับวงจรที่เค้ายกมา คำถามต่อมา สูตรนี้ใช้กับวงจร SE ได้หรือไม่ และครอบคลุมทุกหลอดทุกจุดทำงานหรือไม่ ผมเดาว่าผู้เขียนคงไม่ต้องการให้บทความซับซ้อนมากเกินไป จึงไม่พูดถึง Load Line และให้ใช้สูตรง่ายๆ ที่ได้ผลใกล้เคียงแทนครับ


ออฟไลน์ tewmax

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,759
    • เพศ:ชาย
ขอบคุณครับ
ผมมีบทความที่เจอใน net และ saveไว้นานแล้ว น่าจะเกี่ยวกับกระทู้บ้าง และข้อความเหมือนกันเคยตีพิมพ์ใน EHB เล่ม 101 เนื้อหาตามภาพข้างล่างครับ อยากให้ช่วยวิเคราะห์หน่อยครับ ว่าจริงเท็จประการใด อย่างหัวข้อที่ 4 ที่บอกว่าต้องทำให้ลวดทาง secondary ให้ได้  8 ohm เท่าลำโพง :D

ผมอ่านบทความที่คุณ tewmax ยกมาแล้ว ผมเห็นว่าบทความนี้ไม่ถูกต้องและผู้เขียนน่าจะเข้าใจผิดเกือบทั้งหมดครับ อยากทราบว่าบทความนี้เขียนโดยใครและตีพิมพ์ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ และ EHB มีชื่อเต็มว่าอะไรครับ ผมค่อนข้างกังวลถึงผู้อ่านที่เอาบทความนี้ไปอ้างอิงครับ

ขอบคุณมากครับ ผมจะได้ไม่เขว :D
หนังสือ electronics handbook  V0l.101 No.14 january 2005  หน้า 55-58 เขียนโดย ไพรัตน์ สีนำ้เงิน ครับ
ที่อยู่ครับ http://www.htg2.net/index.php?topic=41722.0


ออฟไลน์ nut_ty

  • คนดีคือคนที่ไม่เอาเปรียบผู้อื่น ทั้งในทางตรงและทางอ้อม
  • ผู้สนับสนุน web 1ปี
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,901
    • เพศ:ชาย
ขอบคุณครับ รบกวน Mr.Tube ลากโหลดไลน์ของ 6BQ5 ที่แรงดันไฟ 250V หน่อยครับ ผมจะถอยย้อนกลับไปหาสูตรที่คิดว่าเป็นค่าประมาณ วิชาการเราไม่เหมือนกัน ใช่ว่าจะต้องเผาตำราทิ้งเสียหน่อย  :)

ทำไมต้องลากโหลดไลน์ครับ ว่าประเด็นมาเลยจะดีกว่าครับ

และถ้าโจทย์มีแค่ว่า --โหลดไลน์ของ 6BQ5 ที่แรงดันไฟ 250V-- มันก็ไม่พอครับ ผมแนะนำให้คุณเข้าไปศึกษาที่กระทู้นี้ก่อนครับ http://www.htg2.net/index.php?topic=47462.0 ช่วง Post ที่ 1-20 ก็พอ จะทำให้คุณเข้าใจว่า Load Line คืออะไร และเค้าใช้ทำอะไรกันครับ

อ่านสมัยปี 2008 ใน Thaidiyaudio แล้วครับ และ พอเข้าใจได้ท้วมๆ  :) แต่ผมอยากรบกวน Mr.Tube ช่วยย้อยถอยสูตรที่ผมให้ไว้น่ะครับ ว่าเขาน่าจะประมาณค่าจากอะไร ในกรณีที่เขาไม่อ้างถึงโหลดไลน์เลย ถ้าคำตอบโอเคว่าเขาประมาณ (หรือเดาสุ่ม 100%) ก็จะได้ตกประเด็นไปไม่ต้องพูดถึง ฟังธงไปได้เลยว่าสำนักพิมพ์มั่วสูตร และ จะได้กลับมาคุยเรื่องการเปลี่ยนแปลงแรงดันกันต่อ  d_d
นายวัชระ สลัดแก้ว
โทร 083 1214445


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
ขอบคุณครับ รบกวน Mr.Tube ลากโหลดไลน์ของ 6BQ5 ที่แรงดันไฟ 250V หน่อยครับ ผมจะถอยย้อนกลับไปหาสูตรที่คิดว่าเป็นค่าประมาณ วิชาการเราไม่เหมือนกัน ใช่ว่าจะต้องเผาตำราทิ้งเสียหน่อย  :)

ทำไมต้องลากโหลดไลน์ครับ ว่าประเด็นมาเลยจะดีกว่าครับ

และถ้าโจทย์มีแค่ว่า --โหลดไลน์ของ 6BQ5 ที่แรงดันไฟ 250V-- มันก็ไม่พอครับ ผมแนะนำให้คุณเข้าไปศึกษาที่กระทู้นี้ก่อนครับ http://www.htg2.net/index.php?topic=47462.0 ช่วง Post ที่ 1-20 ก็พอ จะทำให้คุณเข้าใจว่า Load Line คืออะไร และเค้าใช้ทำอะไรกันครับ


ออฟไลน์ เขียวหวาน

  • ผู้สนับสนุน web ......
  • Superstar...
  • ******
    • กระทู้: 4,364
    • เพศ:ชาย
  • อยู่ร่วมกัน แบ่งปัน น้ำใจ
    • เขียวหวาน DIY
ขอบคุณครับ
ผมมีบทความที่เจอใน net และ saveไว้นานแล้ว น่าจะเกี่ยวกับกระทู้บ้าง และข้อความเหมือนกันเคยตีพิมพ์ใน EHB เล่ม 101 เนื้อหาตามภาพข้างล่างครับ อยากให้ช่วยวิเคราะห์หน่อยครับ ว่าจริงเท็จประการใด อย่างหัวข้อที่ 4 ที่บอกว่าต้องทำให้ลวดทาง secondary ให้ได้  8 ohm เท่าลำโพง :D

ผมอ่านบทความที่คุณ tewmax ยกมาแล้ว ผมเห็นว่าบทความนี้ไม่ถูกต้องและผู้เขียนน่าจะเข้าใจผิดเกือบทั้งหมดครับ อยากทราบว่าบทความนี้เขียนโดยใครและตีพิมพ์ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ และ EHB มีชื่อเต็มว่าอะไรครับ ผมค่อนข้างกังวลถึงผู้อ่านที่เอาบทความนี้ไปอ้างอิงครับ
PM ไปแล้วครับ Mr. Tube
เยี่ยมชมผลงาน DIY ไ ด้ที่ http://www.htg2.net/index.php?topic=19220.0

ข้อมูลส่วนตัว
http://www.htg2.net/index.php?topic=45670.0

GPS 13°17'21.5"N 100°56'42.1"E


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
ขอบคุณครับ
ผมมีบทความที่เจอใน net และ saveไว้นานแล้ว น่าจะเกี่ยวกับกระทู้บ้าง และข้อความเหมือนกันเคยตีพิมพ์ใน EHB เล่ม 101 เนื้อหาตามภาพข้างล่างครับ อยากให้ช่วยวิเคราะห์หน่อยครับ ว่าจริงเท็จประการใด อย่างหัวข้อที่ 4 ที่บอกว่าต้องทำให้ลวดทาง secondary ให้ได้  8 ohm เท่าลำโพง :D

ผมอ่านบทความที่คุณ tewmax ยกมาแล้ว ผมเห็นว่าบทความนี้ไม่ถูกต้องและผู้เขียนน่าจะเข้าใจผิดเกือบทั้งหมดครับ อยากทราบว่าบทความนี้เขียนโดยใครและตีพิมพ์ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ และ EHB มีชื่อเต็มว่าอะไรครับ ผมค่อนข้างกังวลถึงผู้อ่านที่เอาบทความนี้ไปอ้างอิงครับ


ออฟไลน์ nut_ty

  • คนดีคือคนที่ไม่เอาเปรียบผู้อื่น ทั้งในทางตรงและทางอ้อม
  • ผู้สนับสนุน web 1ปี
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,901
    • เพศ:ชาย
รบกวนคุณ nut_ty ชี้แจงหน่อยว่า ทำไมคุณ nut_ty จึงว่าเปลี่ยน ครับ  :)

ผมอ้างอิงจากสูตรของหนังสือเซมิฯ ที่ค่า Zp ขึ้นอยู่กับ Ep ยิ่ง Ep มากขึ้นเท่าไหร่ Zp จะแปรผันตามไปด้วย ผมลองแทนค่าไล่ขึ้นไปตั้งแต่ 100V ไปจนถึง 500V มันได้ตามนั้นเลย ทีนี้กลับมาเรื่อง Henry กันต่อ ถ้าเราคิดค่าการพันหม้อแปลงที่อุดมคติ ทั้งเรื่องแอร์แก็ป และ การเรียงเส้น แต่เว้นเฉพาะค่า Perm และ Core Loss เมื่อเราเพิ่มค่าความเหี่ยวนำให้สูงขึ้นโดยการเพิ่มรอบการพันทางด้านไพรมารี่ จะส่งผลให้ได้ค่า Zp ทางด้านไพรมารี่สูงขึ้นตามมาด้วย พร้อมๆ กับ Turn Ratio ถ้าเทคนิคการพันเป็นเรื่องอุดมคติ คือ ไม่มีเรื่องการแยกเซ็กชั่น, เทคนิคการลด DCR และ ชนิดลวดมาเกี่ยวข้อง ผมว่าการบอกค่า K เพียงอย่างเดียวให้ร้านทำหม้อแปลงทราบ ดูจะเป็นเรื่องที่ตลกไม่น้อย อาจารย์หลายๆ คนที่มีทักษะในการทำหม้อแปลงเอาต์พุต ไม่ค่อย (หรือไม่เคย) แนะนำอะไรมากกว่าที่เรารู้ๆ กันอยู่เลย เราในฐานะผู้บริโภค ที่พันหม้อแปลงไม่เป็น จึงได้แค่สั่ง และ รอวันรับหม้อแปลงเท่านั้นเอง

ถ้ามีใครสักคน หรือ หลายๆ คนนำแกนเหล็กที่ใช้กันอยู่ในบ้านเรามาหาค่า ที่มากกว่าการบอกว่าเป็นแกนเหล็กชนิด M ฯลฯ ผมว่ามาตรฐานของแต่ละคนจะมาอยู่ใกล้เคียงกันนะครับ ใช้เหล็กแบบเดียวกัน ในลักษณะการพันที่ต่างกัน เวลาคำนวณจะได้คำนวณจากแกนเหล็กตัวจริง ไม่ต้องอ้างอิงตำราค่าแกนเหล็กที่เราคิดว่าน่าจะเป็นเหมือนในปัจจุบันนี้ ผมอาศัยว่าสมัยที่ลูบๆ คลำ พวกสวิทชิ่ง เราจะหาค่า Perm เป็นอันดับแรก ล้วค่อยวิ่งหาสูตร เสียมากกว่า

ในประเด็นของสูตรที่ยกมานั้น ผมได้อธิบายไปแล้วว่า

ขอบคุณคุณเอก-tubeamp ที่ยกบทความมาครับ ตรงกับสูตรที่คุณ nut_ty อ้างถึงครับ เป็นสูตรประมาณค่า Zp อย่างที่ผมเดาไว้ครับ ถ้าคุณดู Plate Curve เป็นและเขียน Load Line ได้ ผมว่าจะแม่นยำกว่าสูตรประมาณค่าครับ และผมคิดว่าสูตรที่เห็นนี้น่าจะมีข้อจำกัดในการใช้อยู่พอควรครับ คงไม่ได้เหมาะกับทุกกรณีเหมือนการเขียน Load Line ครับ  :)

คำว่าสูตรประมาณค่า Zp หมายความว่า ถ้าคุณใช้งานหลอดที่แรงดันเท่าไหร่ คุณก็ควรจะใช้ Zp ตามสูตรที่แนะนำในบทความ แต่ถ้าคุณเขียน Load Line เป็นคุณจะรู้ว่ามันไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามสูตรเสมอไป และยังเป็นคนละเรื่องกับ Zp ของ Output เพราะคุณไม่ต้องมีวงจร เพียงแค่มี Turn Ratio และ Load Impedance คุณก็บอกได้แล้วว่า Zp ของ OPT เป็นเท่าไหร่ เห็นความแตกต่างไม๊ครับ Zp ที่ควรใช้ในวงจร กับ Zp ที่หม้อแปลงเป็น ตัวย่อใช้ทับกันแต่ความหมายไม่เหมือนกัน

ผมพยายามแล้วที่จะแก้ความเข้าใจให้คุณ แต่ถ้าคุณยังยืนยันความเข้าใจของคุณ ก็เชิญเข้าใจไปตามนั้นแหล่ะครับ  K] K]  :D

ขอบคุณครับ รบกวน Mr.Tube ลากโหลดไลน์ของ 6BQ5 ที่แรงดันไฟ 250V หน่อยครับ ผมจะถอยย้อนกลับไปหาสูตรที่คิดว่าเป็นค่าประมาณ วิชาการเราไม่เหมือนกัน ใช่ว่าจะต้องเผาตำราทิ้งเสียหน่อย  :)
นายวัชระ สลัดแก้ว
โทร 083 1214445


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
รบกวนคุณ nut_ty ชี้แจงหน่อยว่า ทำไมคุณ nut_ty จึงว่าเปลี่ยน ครับ  :)

ผมอ้างอิงจากสูตรของหนังสือเซมิฯ ที่ค่า Zp ขึ้นอยู่กับ Ep ยิ่ง Ep มากขึ้นเท่าไหร่ Zp จะแปรผันตามไปด้วย ผมลองแทนค่าไล่ขึ้นไปตั้งแต่ 100V ไปจนถึง 500V มันได้ตามนั้นเลย ทีนี้กลับมาเรื่อง Henry กันต่อ ถ้าเราคิดค่าการพันหม้อแปลงที่อุดมคติ ทั้งเรื่องแอร์แก็ป และ การเรียงเส้น แต่เว้นเฉพาะค่า Perm และ Core Loss เมื่อเราเพิ่มค่าความเหี่ยวนำให้สูงขึ้นโดยการเพิ่มรอบการพันทางด้านไพรมารี่ จะส่งผลให้ได้ค่า Zp ทางด้านไพรมารี่สูงขึ้นตามมาด้วย พร้อมๆ กับ Turn Ratio ถ้าเทคนิคการพันเป็นเรื่องอุดมคติ คือ ไม่มีเรื่องการแยกเซ็กชั่น, เทคนิคการลด DCR และ ชนิดลวดมาเกี่ยวข้อง ผมว่าการบอกค่า K เพียงอย่างเดียวให้ร้านทำหม้อแปลงทราบ ดูจะเป็นเรื่องที่ตลกไม่น้อย อาจารย์หลายๆ คนที่มีทักษะในการทำหม้อแปลงเอาต์พุต ไม่ค่อย (หรือไม่เคย) แนะนำอะไรมากกว่าที่เรารู้ๆ กันอยู่เลย เราในฐานะผู้บริโภค ที่พันหม้อแปลงไม่เป็น จึงได้แค่สั่ง และ รอวันรับหม้อแปลงเท่านั้นเอง

ถ้ามีใครสักคน หรือ หลายๆ คนนำแกนเหล็กที่ใช้กันอยู่ในบ้านเรามาหาค่า ที่มากกว่าการบอกว่าเป็นแกนเหล็กชนิด M ฯลฯ ผมว่ามาตรฐานของแต่ละคนจะมาอยู่ใกล้เคียงกันนะครับ ใช้เหล็กแบบเดียวกัน ในลักษณะการพันที่ต่างกัน เวลาคำนวณจะได้คำนวณจากแกนเหล็กตัวจริง ไม่ต้องอ้างอิงตำราค่าแกนเหล็กที่เราคิดว่าน่าจะเป็นเหมือนในปัจจุบันนี้ ผมอาศัยว่าสมัยที่ลูบๆ คลำ พวกสวิทชิ่ง เราจะหาค่า Perm เป็นอันดับแรก ล้วค่อยวิ่งหาสูตร เสียมากกว่า

ในประเด็นของสูตรที่ยกมานั้น ผมได้อธิบายไปแล้วว่า

ขอบคุณคุณเอก-tubeamp ที่ยกบทความมาครับ ตรงกับสูตรที่คุณ nut_ty อ้างถึงครับ เป็นสูตรประมาณค่า Zp อย่างที่ผมเดาไว้ครับ ถ้าคุณดู Plate Curve เป็นและเขียน Load Line ได้ ผมว่าจะแม่นยำกว่าสูตรประมาณค่าครับ และผมคิดว่าสูตรที่เห็นนี้น่าจะมีข้อจำกัดในการใช้อยู่พอควรครับ คงไม่ได้เหมาะกับทุกกรณีเหมือนการเขียน Load Line ครับ  :)

คำว่าสูตรประมาณค่า Zp หมายความว่า ถ้าคุณใช้งานหลอดที่แรงดันเท่าไหร่ คุณก็ควรจะใช้ Zp ตามสูตรที่แนะนำในบทความ แต่ถ้าคุณเขียน Load Line เป็นคุณจะรู้ว่ามันไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามสูตรเสมอไป และยังเป็นคนละเรื่องกับ Zp ของ Output เพราะคุณไม่ต้องมีวงจร เพียงแค่มี Turn Ratio และ Load Impedance คุณก็บอกได้แล้วว่า Zp ของ OPT เป็นเท่าไหร่ เห็นความแตกต่างไม๊ครับ Zp ที่ควรใช้ในวงจร กับ Zp ที่หม้อแปลงเป็น ตัวย่อใช้ทับกันแต่ความหมายไม่เหมือนกัน

ผมพยายามแล้วที่จะแก้ความเข้าใจให้คุณ แต่ถ้าคุณยังยืนยันความเข้าใจของคุณ ก็เชิญเข้าใจไปตามนั้นแหล่ะครับ  K] K]  :D
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 มกราคม, 2010, 07:58:40 pm โดย Mr. Tube »


ออฟไลน์ nut_ty

  • คนดีคือคนที่ไม่เอาเปรียบผู้อื่น ทั้งในทางตรงและทางอ้อม
  • ผู้สนับสนุน web 1ปี
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,901
    • เพศ:ชาย
ผมขุดเจอต้นตอความสัมพันธ์ของ แรงดัน และ turn ratio แล้วครับ...โล่งอก

http://www.siteswithstyle.com/VoltSecond/Push-Pull_Z/Push-Pull_Pri_Z.html

หวังว่าลิ้งค์ที่ให้ไปนี้ น่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ ผมแปลไม่เป็น แต่อ่านพอรู้เรื่องครับ  ;)
นายวัชระ สลัดแก้ว
โทร 083 1214445


ออฟไลน์ tewmax

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,759
    • เพศ:ชาย

ออฟไลน์ tewmax

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,759
    • เพศ:ชาย
เมื่อต่อลำโพงที่มี impedance  8 ohm  เข้าด้าน secondary เพื่อเป็นโหลดของ OPT ขณะที่เราฟังเพลง impedance ของลำโพงเปลี่ยนไปตามความถี่เสียงเกิด reflecting impedance ทำให้ impedance ด้าน primary ของ opt เปลี่ยนไปจึงดูคล้ายว่า impedance ของ OPT เปลี่ยนไปตามความถี่แต่จริงๆมันเปลี่ยนตาม Impedance ของลำโพง ที่เปลี่ยนไป ผมอธิบายอย่างนี้พอเป็นไปได้ไหมครับ

ถ้าอธิบายแบบนี้ ผมเห็นด้วยครับ มีที่มาที่ไปเป็นเหตุเป็นผลกัน และก็เข้าใจถูกต้องแล้วครับ  :)
ขอบคุณครับ
ผมมีบทความที่เจอใน net และ saveไว้นานแล้ว น่าจะเกี่ยวกับกระทู้บ้าง และข้อความเหมือนกันเคยตีพิมพ์ใน EHB เล่ม 101 เนื้อหาตามภาพข้างล่างครับ อยากให้ช่วยวิเคราะห์หน่อยครับ ว่าจริงเท็จประการใด อย่างหัวข้อที่ 4 ที่บอกว่าต้องทำให้ลวดทาง secondary ให้ได้  8 ohm เท่าลำโพง :D


ที่อยู่ครับ http://www.htg2.net/index.php?topic=41722.0


ออฟไลน์ nut_ty

  • คนดีคือคนที่ไม่เอาเปรียบผู้อื่น ทั้งในทางตรงและทางอ้อม
  • ผู้สนับสนุน web 1ปี
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,901
    • เพศ:ชาย
ผมว่าเป็นเรื่องเดียวกันนะครับ การหาร Zp ทางด้านไพรมารี่ มักจะต้องคำนวณค่าเฮนรี่ของหม้อแปลงตามไปด้วย เราเลี่ยงไม่ได้เลยว่า ค่าเหนี่ยวนำทางด้านอินพุตจะแปรผันตามค่า K ทางด้านอินพุตใน turn ratio เดียวกัน ไม่เคยปรากฏว่าด้านอินพุตจะมีค่าเหนี่ยวนำน้อยกว่าด้านเอาต์พุตเลย มันมักจะอยู่ในอัตราเดียวกันเสมอ (ผมไม่ทราบสูตร แต่ขอเดาเอาละกันว่าเท่ากับ K ของไพรมารี่ / โอห์มของเอาต์พุต) เพียงแต่ว่าในบทความนั้น ไม่ได้เจาะวงว่าใช้แกนแบบไหน ขนาดเท่าไหร่ เวลาเราไปสั่งร้านทำหม้อแปลงก็ไดเต่บอกค่า K และ หลอดที่จะใช้เพียงอย่างเดียว เรื่องการพันในแต่ละชั้น เราไม่สามารถบอกเขาได้เลย และ เขาคงไม่แฮปปี้ถ้าเราสั่งละเอียดขนาดนั้น

ที่ผมเห็นว่าเป็นคนละเรื่องกัน คือในบทความเขี่ยนเรื่องการออกแบบวงจร ไม่ได้เขียนเรื่องการออกแบบอุปกรณ์นะครับ เปรียบไปแล้วก็คือเค้าเขียนถึงการออกแบบวงจรหลอด ไม่ได้เขียนถึงการออกแบบหลอด เห็นไหมครับ ว่าเป็นคนละเรื่องกันอย่างไร ที่คุณ nut_ty เห็นว่าการหาค่า Zp จะต้องคำนวณค่า Henry ของหม้อแปลงไปด้วย เหตุที่ต้องคำนวณค่า Henry ก็เพราะเราต้องการออกแบบหม้อแปลงให้ตอบสนองความถี่ได้ตามที่เราต้องการครับ ค่า Henry ไม่ได้เกี่ยวกับการออกแบบวงจรเลย ถามกลับว่าถึงเราจะไม่คำนวณค่า Henry แล้ววงจรในรูปนั้นสมบูรณ์หรือไม่? ผมเห็นว่าสมบูรณ์แล้ว ค่า Henry จึงเป็นเรื่องของอุปกรณ์ ไม่ใช่เรื่องของวงจรครับ

และที่คุณ nut_ty จะเข้าใจไปอย่างข้างต้น เป็นเพราะคุณ nut_ty ยังเข้าใจว่า --ค่าเหนี่ยวนำทางด้านอินพุตจะแปรผันตามค่า K ทางด้านอินพุตใน turn ratio เดียวกัน-- ซึ่งผมได้แสดงเหตุผลแย้งไปแล้วว่าเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง แนะนำให้คุณ nut_ty ลองทำความเข้าใจสิ่งที่ผม Post ไปอีกรอบหนึ่งครับ และถ้าไม่เห็นด้วยก็ยกเหตุผลขึ้นมาแย้งในสิ่งที่ผมอธิบายไปได้ หรือถ้าต้องการถามเพิ่มเติมก็ยินดีครับ

อ้างถึง
หัวใจของกระทู้นี้ถามมาว่าค่า K เปลี่ยนไปตามแรงดันหรือไม่ และ แน่นอนว่าผมตอบไปแล้วว่าเปลี่ยน และ เปลี่ยนอย่างที่ต้องมานั่งคิดการแท็ปไพรมารี่ให้ได้ค่าที่เราต้องการ ส่วนปัจจัยอื่นเกี่ยวกับการเปลี่ยนค่า K ผมไม่สามารถลงลึกได้ไปกว่านี้ เพราะผมยังไม่ได้ทดลองในปัจจุบันให้เป็นหลักเป็นฐาน (ดาวพลูโต ไม่ใช่ดาวนพเคราะห์ ฉันใดฉันนั้นการทดลองในอดีตไม่สามารถบอกได้ 100% ว่าจะเป็นจริงได้ในปัจจุบัน และ อนาคต แต่สามารถนำมาอ้างอิงได้ในปัจจุบัลกาล)

คุณ nut_ty เข้าใจว่า ค่า K เปลี่ยนไปตามแรงดัน และผมบอกว่าค่า K ไม่เปลี่ยนตามแรงดัน ที่ผมบอกว่าไม่เปลี่ยนก็เพราะ ไม่ว่าจะมอง Primary ในมุมมองของ Load Reflection หรือมุมมองของ Primary Inductance เมื่อแปรค่าเป็น Impedance แล้ว ก็ได้ค่าคงที่ไม่ขึ้นกับแรงดัน ยกตัวอย่างเช่น

กรณี 1 มองแบบ Load Reflection ค่า Primary Imp = Secondary Imp x (turn ratio ยกกำลัง2) จะเห็นว่าไม่มีแรงดันเข้ามาเกี่ยวข้องซักนิด
กรณี 2 มองแบบ Primary Inductance ค่า Reactance = 2(pi) x f x L ก็จะเห็นว่าไม่มีแรงดันเข้ามาเกี่ยวข้องเลยเช่นกัน

รบกวนคุณ nut_ty ชี้แจงหน่อยว่า ทำไมคุณ nut_ty จึงว่าเปลี่ยน ครับ  :)

ผมอ้างอิงจากสูตรของหนังสือเซมิฯ ที่ค่า Zp ขึ้นอยู่กับ Ep ยิ่ง Ep มากขึ้นเท่าไหร่ Zp จะแปรผันตามไปด้วย ผมลองแทนค่าไล่ขึ้นไปตั้งแต่ 100V ไปจนถึง 500V มันได้ตามนั้นเลย ทีนี้กลับมาเรื่อง Henry กันต่อ ถ้าเราคิดค่าการพันหม้อแปลงที่อุดมคติ ทั้งเรื่องแอร์แก็ป และ การเรียงเส้น แต่เว้นเฉพาะค่า Perm และ Core Loss เมื่อเราเพิ่มค่าความเหี่ยวนำให้สูงขึ้นโดยการเพิ่มรอบการพันทางด้านไพรมารี่ จะส่งผลให้ได้ค่า Zp ทางด้านไพรมารี่สูงขึ้นตามมาด้วย พร้อมๆ กับ Turn Ratio ถ้าเทคนิคการพันเป็นเรื่องอุดมคติ คือ ไม่มีเรื่องการแยกเซ็กชั่น, เทคนิคการลด DCR และ ชนิดลวดมาเกี่ยวข้อง ผมว่าการบอกค่า K เพียงอย่างเดียวให้ร้านทำหม้อแปลงทราบ ดูจะเป็นเรื่องที่ตลกไม่น้อย อาจารย์หลายๆ คนที่มีทักษะในการทำหม้อแปลงเอาต์พุต ไม่ค่อย (หรือไม่เคย) แนะนำอะไรมากกว่าที่เรารู้ๆ กันอยู่เลย เราในฐานะผู้บริโภค ที่พันหม้อแปลงไม่เป็น จึงได้แค่สั่ง และ รอวันรับหม้อแปลงเท่านั้นเอง

ถ้ามีใครสักคน หรือ หลายๆ คนนำแกนเหล็กที่ใช้กันอยู่ในบ้านเรามาหาค่า ที่มากกว่าการบอกว่าเป็นแกนเหล็กชนิด M ฯลฯ ผมว่ามาตรฐานของแต่ละคนจะมาอยู่ใกล้เคียงกันนะครับ ใช้เหล็กแบบเดียวกัน ในลักษณะการพันที่ต่างกัน เวลาคำนวณจะได้คำนวณจากแกนเหล็กตัวจริง ไม่ต้องอ้างอิงตำราค่าแกนเหล็กที่เราคิดว่าน่าจะเป็นเหมือนในปัจจุบันนี้ ผมอาศัยว่าสมัยที่ลูบๆ คลำ พวกสวิทชิ่ง เราจะหาค่า Perm เป็นอันดับแรก ล้วค่อยวิ่งหาสูตร เสียมากกว่า
นายวัชระ สลัดแก้ว
โทร 083 1214445


ออฟไลน์ คุณโชค

  • *****
    • กระทู้: 567
เท่าที่มีความรู้บ้างคิดว่าตามที่ท่าน MR .tube ว่าเเหละครับ
////////////กรณี 1 มองแบบ Load Reflection ค่า Primary Imp = Secondary Imp x (turn ratio ยกกำลัง2) จะเห็นว่าไม่มีแรงดันเข้ามาเกี่ยวข้องซักนิด
                   กรณี 2 มองแบบ Primary Inductance ค่า Reactance = 2(pi) x f x L ก็จะเห็นว่าไม่มีแรงดันเข้ามาเกี่ยวข้องเลยเช่นกัน//////////////////////////////// 55ทำอ้างอิงข้อความนี้เข้ามาไม่เป็น คนโบราณ ขอภัยด้วย  ;D

เพราะมันคือหลักการ ตายตัวพื้นฐานที่คนออกเเบบหม้อต้องปฏิบัติตาม โดยเฉาะกรณีที่ 1 ส่วนกรณีอื่นๆค่อยศึกษาต่อไปครับ
โทร มือถือ 081-4518741
โอนเงินมีสองบัญชี ธนาคารกสิกรไทย ชื่อบัญชี นาย สิทธิโชค เเก้วอุ่นเรือน   
เลขที่บัญชี 705-2-84220-9
ธนาคารไทยพานิชย์  ชื่อบัญชี นาย สิทธิโชค เเก้วอุ่นเรือน
เลขที่บัญชี 237-210890-0


ออฟไลน์ พี่ดุ้น

  • เบื่อ
  • ผู้สนับสนุน web
  • *
    • กระทู้: 436
    • เพศ:ชาย

ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
ผมว่าเป็นเรื่องเดียวกันนะครับ การหาร Zp ทางด้านไพรมารี่ มักจะต้องคำนวณค่าเฮนรี่ของหม้อแปลงตามไปด้วย เราเลี่ยงไม่ได้เลยว่า ค่าเหนี่ยวนำทางด้านอินพุตจะแปรผันตามค่า K ทางด้านอินพุตใน turn ratio เดียวกัน ไม่เคยปรากฏว่าด้านอินพุตจะมีค่าเหนี่ยวนำน้อยกว่าด้านเอาต์พุตเลย มันมักจะอยู่ในอัตราเดียวกันเสมอ (ผมไม่ทราบสูตร แต่ขอเดาเอาละกันว่าเท่ากับ K ของไพรมารี่ / โอห์มของเอาต์พุต) เพียงแต่ว่าในบทความนั้น ไม่ได้เจาะวงว่าใช้แกนแบบไหน ขนาดเท่าไหร่ เวลาเราไปสั่งร้านทำหม้อแปลงก็ไดเต่บอกค่า K และ หลอดที่จะใช้เพียงอย่างเดียว เรื่องการพันในแต่ละชั้น เราไม่สามารถบอกเขาได้เลย และ เขาคงไม่แฮปปี้ถ้าเราสั่งละเอียดขนาดนั้น

ที่ผมเห็นว่าเป็นคนละเรื่องกัน คือในบทความเขี่ยนเรื่องการออกแบบวงจร ไม่ได้เขียนเรื่องการออกแบบอุปกรณ์นะครับ เปรียบไปแล้วก็คือเค้าเขียนถึงการออกแบบวงจรหลอด ไม่ได้เขียนถึงการออกแบบหลอด เห็นไหมครับ ว่าเป็นคนละเรื่องกันอย่างไร ที่คุณ nut_ty เห็นว่าการหาค่า Zp จะต้องคำนวณค่า Henry ของหม้อแปลงไปด้วย เหตุที่ต้องคำนวณค่า Henry ก็เพราะเราต้องการออกแบบหม้อแปลงให้ตอบสนองความถี่ได้ตามที่เราต้องการครับ ค่า Henry ไม่ได้เกี่ยวกับการออกแบบวงจรเลย ถามกลับว่าถึงเราจะไม่คำนวณค่า Henry แล้ววงจรในรูปนั้นสมบูรณ์หรือไม่? ผมเห็นว่าสมบูรณ์แล้ว ค่า Henry จึงเป็นเรื่องของอุปกรณ์ ไม่ใช่เรื่องของวงจรครับ

และที่คุณ nut_ty จะเข้าใจไปอย่างข้างต้น เป็นเพราะคุณ nut_ty ยังเข้าใจว่า --ค่าเหนี่ยวนำทางด้านอินพุตจะแปรผันตามค่า K ทางด้านอินพุตใน turn ratio เดียวกัน-- ซึ่งผมได้แสดงเหตุผลแย้งไปแล้วว่าเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง แนะนำให้คุณ nut_ty ลองทำความเข้าใจสิ่งที่ผม Post ไปอีกรอบหนึ่งครับ และถ้าไม่เห็นด้วยก็ยกเหตุผลขึ้นมาแย้งในสิ่งที่ผมอธิบายไปได้ หรือถ้าต้องการถามเพิ่มเติมก็ยินดีครับ

อ้างถึง
หัวใจของกระทู้นี้ถามมาว่าค่า K เปลี่ยนไปตามแรงดันหรือไม่ และ แน่นอนว่าผมตอบไปแล้วว่าเปลี่ยน และ เปลี่ยนอย่างที่ต้องมานั่งคิดการแท็ปไพรมารี่ให้ได้ค่าที่เราต้องการ ส่วนปัจจัยอื่นเกี่ยวกับการเปลี่ยนค่า K ผมไม่สามารถลงลึกได้ไปกว่านี้ เพราะผมยังไม่ได้ทดลองในปัจจุบันให้เป็นหลักเป็นฐาน (ดาวพลูโต ไม่ใช่ดาวนพเคราะห์ ฉันใดฉันนั้นการทดลองในอดีตไม่สามารถบอกได้ 100% ว่าจะเป็นจริงได้ในปัจจุบัน และ อนาคต แต่สามารถนำมาอ้างอิงได้ในปัจจุบัลกาล)

คุณ nut_ty เข้าใจว่า ค่า K เปลี่ยนไปตามแรงดัน และผมบอกว่าค่า K ไม่เปลี่ยนตามแรงดัน ที่ผมบอกว่าไม่เปลี่ยนก็เพราะ ไม่ว่าจะมอง Primary ในมุมมองของ Load Reflection หรือมุมมองของ Primary Inductance เมื่อแปรค่าเป็น Impedance แล้ว ก็ได้ค่าคงที่ไม่ขึ้นกับแรงดัน ยกตัวอย่างเช่น

กรณี 1 มองแบบ Load Reflection ค่า Primary Imp = Secondary Imp x (turn ratio ยกกำลัง2) จะเห็นว่าไม่มีแรงดันเข้ามาเกี่ยวข้องซักนิด
กรณี 2 มองแบบ Primary Inductance ค่า Reactance = 2(pi) x f x L ก็จะเห็นว่าไม่มีแรงดันเข้ามาเกี่ยวข้องเลยเช่นกัน

รบกวนคุณ nut_ty ชี้แจงหน่อยว่า ทำไมคุณ nut_ty จึงว่าเปลี่ยน ครับ  :)


ออฟไลน์ nut_ty

  • คนดีคือคนที่ไม่เอาเปรียบผู้อื่น ทั้งในทางตรงและทางอ้อม
  • ผู้สนับสนุน web 1ปี
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,901
    • เพศ:ชาย
ขอบคุณคุณเอก-tubeamp ที่ยกบทความมาครับ ตรงกับสูตรที่คุณ nut_ty อ้างถึงครับ เป็นสูตรประมาณค่า Zp อย่างที่ผมเดาไว้ครับ ถ้าคุณดู Plate Curve เป็นและเขียน Load Line ได้ ผมว่าจะแม่นยำกว่าสูตรประมาณค่าครับ และผมคิดว่าสูตรที่เห็นนี้น่าจะมีข้อจำกัดในการใช้อยู่พอควรครับ คงไม่ได้เหมาะกับทุกกรณีเหมือนการเขียน Load Line ครับ  :)

ผมก็ไม่มีเหมือนกันครับ อาศัยว่าคุ้นๆ พอจำได้ ซื้อตั้งแต่ยุตแม็กเน็ทยังเฟื่องฟูทางด้านชุดคิท นี่ก็กว่า 10 ปีแล้ว แต่ผมว่าสูตรที่ผมอ้างมานี้ยังขาดเรื่องค่าความเหนี่ยวนำ ที่แปรผันไปกับ Perm ของแกนเหล็กนะ วิธีวัด Perm ก็ไม่เห็นจะบอกผมก็เลยเอาง่ายๆ ใช้ลวดพัน 1 รอบแล้ววัดค่า L มาย้อยถอยหลังหาค่า Perm ไม่รู้ว่าถูกมั้ย เพราะสมัยที่อยู่ Delta หัวหน้าเขาให้ทำแบบนี้

ผมว่าเป็นคนละเรื่องกันครับ ค่าเหนี่ยวนำที่แปรผันไปกับ Perm ของแกนเหล็ก เป็นเรื่องการออกแบบหม้อแปลงแล้วครับ บทความนั้นไม่ได้กล่าวถึงครับ

ผมว่าเป็นเรื่องเดียวกันนะครับ การหาร Zp ทางด้านไพรมารี่ มักจะต้องคำนวณค่าเฮนรี่ของหม้อแปลงตามไปด้วย เราเลี่ยงไม่ได้เลยว่า ค่าเหนี่ยวนำทางด้านอินพุตจะแปรผันตามค่า K ทางด้านอินพุตใน turn ratio เดียวกัน ไม่เคยปรากฏว่าด้านอินพุตจะมีค่าเหนี่ยวนำน้อยกว่าด้านเอาต์พุตเลย มันมักจะอยู่ในอัตราเดียวกันเสมอ (ผมไม่ทราบสูตร แต่ขอเดาเอาละกันว่าเท่ากับ K ของไพรมารี่ / โอห์มของเอาต์พุต) เพียงแต่ว่าในบทความนั้น ไม่ได้เจาะวงว่าใช้แกนแบบไหน ขนาดเท่าไหร่ เวลาเราไปสั่งร้านทำหม้อแปลงก็ไดเต่บอกค่า K และ หลอดที่จะใช้เพียงอย่างเดียว เรื่องการพันในแต่ละชั้น เราไม่สามารถบอกเขาได้เลย และ เขาคงไม่แฮปปี้ถ้าเราสั่งละเอียดขนาดนั้น

หัวใจของกระทู้นี้ถามมาว่าค่า K เปลี่ยนไปตามแรงดันหรือไม่ และ แน่นอนว่าผมตอบไปแล้วว่าเปลี่ยน และ เปลี่ยนอย่างที่ต้องมานั่งคิดการแท็ปไพรมารี่ให้ได้ค่าที่เราต้องการ ส่วนปัจจัยอื่นเกี่ยวกับการเปลี่ยนค่า K ผมไม่สามารถลงลึกได้ไปกว่านี้ เพราะผมยังไม่ได้ทดลองในปัจจุบันให้เป็นหลักเป็นฐาน (ดาวพลูโต ไม่ใช่ดาวนพเคราะห์ ฉันใดฉันนั้นการทดลองในอดีตไม่สามารถบอกได้ 100% ว่าจะเป็นจริงได้ในปัจจุบัน และ อนาคต แต่สามารถนำมาอ้างอิงได้ในปัจจุบัลกาล)
นายวัชระ สลัดแก้ว
โทร 083 1214445


ออฟไลน์ Eak-tubeamp

  • วันนี้ไม่เริ่ม ก็ไม่มีวันสำเร็จ
  • Superstar...
  • ****
    • กระทู้: 4,849
    • เพศ:ชาย
  • ....ด้วยใจรัก....
ขอบคุณคุณเอก-tubeamp ที่ยกบทความมาครับ ตรงกับสูตรที่คุณ nut_ty อ้างถึงครับ เป็นสูตรประมาณค่า Zp อย่างที่ผมเดาไว้ครับ ถ้าคุณดู Plate Curve เป็นและเขียน Load Line ได้ ผมว่าจะแม่นยำกว่าสูตรประมาณค่าครับ และผมคิดว่าสูตรที่เห็นนี้น่าจะมีข้อจำกัดในการใช้อยู่พอควรครับ คงไม่ได้เหมาะกับทุกกรณีเหมือนการเขียน Load Line ครับ  :)

ผมก็ไม่มีเหมือนกันครับ อาศัยว่าคุ้นๆ พอจำได้ ซื้อตั้งแต่ยุตแม็กเน็ทยังเฟื่องฟูทางด้านชุดคิท นี่ก็กว่า 10 ปีแล้ว แต่ผมว่าสูตรที่ผมอ้างมานี้ยังขาดเรื่องค่าความเหนี่ยวนำ ที่แปรผันไปกับ Perm ของแกนเหล็กนะ วิธีวัด Perm ก็ไม่เห็นจะบอกผมก็เลยเอาง่ายๆ ใช้ลวดพัน 1 รอบแล้ววัดค่า L มาย้อยถอยหลังหาค่า Perm ไม่รู้ว่าถูกมั้ย เพราะสมัยที่อยู่ Delta หัวหน้าเขาให้ทำแบบนี้

ผมว่าเป็นคนละเรื่องกันครับ ค่าเหนี่ยวนำที่แปรผันไปกับ Perm ของแกนเหล็ก เป็นเรื่องการออกแบบหม้อแปลงแล้วครับ บทความนั้นไม่ได้กล่าวถึงครับ
ก่อนหน้านี้ผม ก็เคยคิดที่จะเอาสูตรนี้มาใช้งานเหมือนกัน แต่บังเอิญว่าได้บทความของ Mr.tube มาอ่าน มีขั้นตอนการคำนวณที่ละเอียดกว่า เลยเลิกคิดสูตรที่ว่านี้ไป
tel 083-3887864


ข้อมูลส่วนตัว  http://www.htg2.net/index.php?topic=44962.0


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
ขอบคุณคุณเอก-tubeamp ที่ยกบทความมาครับ ตรงกับสูตรที่คุณ nut_ty อ้างถึงครับ เป็นสูตรประมาณค่า Zp อย่างที่ผมเดาไว้ครับ ถ้าคุณดู Plate Curve เป็นและเขียน Load Line ได้ ผมว่าจะแม่นยำกว่าสูตรประมาณค่าครับ และผมคิดว่าสูตรที่เห็นนี้น่าจะมีข้อจำกัดในการใช้อยู่พอควรครับ คงไม่ได้เหมาะกับทุกกรณีเหมือนการเขียน Load Line ครับ  :)

ผมก็ไม่มีเหมือนกันครับ อาศัยว่าคุ้นๆ พอจำได้ ซื้อตั้งแต่ยุตแม็กเน็ทยังเฟื่องฟูทางด้านชุดคิท นี่ก็กว่า 10 ปีแล้ว แต่ผมว่าสูตรที่ผมอ้างมานี้ยังขาดเรื่องค่าความเหนี่ยวนำ ที่แปรผันไปกับ Perm ของแกนเหล็กนะ วิธีวัด Perm ก็ไม่เห็นจะบอกผมก็เลยเอาง่ายๆ ใช้ลวดพัน 1 รอบแล้ววัดค่า L มาย้อยถอยหลังหาค่า Perm ไม่รู้ว่าถูกมั้ย เพราะสมัยที่อยู่ Delta หัวหน้าเขาให้ทำแบบนี้

ผมว่าเป็นคนละเรื่องกันครับ ค่าเหนี่ยวนำที่แปรผันไปกับ Perm ของแกนเหล็ก เป็นเรื่องการออกแบบหม้อแปลงแล้วครับ บทความนั้นไม่ได้กล่าวถึงครับ


ออฟไลน์ nut_ty

  • คนดีคือคนที่ไม่เอาเปรียบผู้อื่น ทั้งในทางตรงและทางอ้อม
  • ผู้สนับสนุน web 1ปี
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,901
    • เพศ:ชาย
วงจรแรกสุดครับ ที่เป็นแอมป์ 6au6 + 12u7 + 6bq5 push-pull 12W หัวข้อที่เขาขึ้นไว้ประมาณว่าออกแบบแอมป์หลอดนี่ล่ะ สูตรที่ผมลงไว้ผิดพลาดประการใด เดี๋ยวจะถามไปที่ se-ed อีกที ถ้าคนเขียนเดิมยังอยู่

ขอบคุณครับ ผมไม่มีหนังสือเล่มที่ว่า แต่เริ่มคลับคล้ายคลับครากับสูตรที่ยกมาแล้วครับ ดูเหมือนจะอยู่ในบทความ คุยเฟื่องเรื่องหลอด ในเซมิฯ เล่ม 11X รึเปล่า ผมน่าจะยังเก็บเซมิฯ เล่มนี้ไว้อยู่ แต่ถ้าหาไม่เจอก็จะหาโอกาสไปดูบทความที่ว่าดูครับ  :)

ผมก็ไม่มีเหมือนกันครับ อาศัยว่าคุ้นๆ พอจำได้ ซื้อตั้งแต่ยุตแม็กเน็ทยังเฟื่องฟูทางด้านชุดคิท นี่ก็กว่า 10 ปีแล้ว แต่ผมว่าสูตรที่ผมอ้างมานี้ยังขาดเรื่องค่าความเหนี่ยวนำ ที่แปรผันไปกับ Perm ของแกนเหล็กนะ วิธีวัด Perm ก็ไม่เห็นจะบอกผมก็เลยเอาง่ายๆ ใช้ลวดพัน 1 รอบแล้ววัดค่า L มาย้อยถอยหลังหาค่า Perm ไม่รู้ว่าถูกมั้ย เพราะสมัยที่อยู่ Delta หัวหน้าเขาให้ทำแบบนี้
นายวัชระ สลัดแก้ว
โทร 083 1214445


ออฟไลน์ Eak-tubeamp

  • วันนี้ไม่เริ่ม ก็ไม่มีวันสำเร็จ
  • Superstar...
  • ****
    • กระทู้: 4,849
    • เพศ:ชาย
  • ....ด้วยใจรัก....
วงจรแรกสุดครับ ที่เป็นแอมป์ 6au6 + 12u7 + 6bq5 push-pull 12W หัวข้อที่เขาขึ้นไว้ประมาณว่าออกแบบแอมป์หลอดนี่ล่ะ สูตรที่ผมลงไว้ผิดพลาดประการใด เดี๋ยวจะถามไปที่ se-ed อีกที ถ้าคนเขียนเดิมยังอยู่

ขอบคุณครับ ผมไม่มีหนังสือเล่มที่ว่า แต่เริ่มคลับคล้ายคลับครากับสูตรที่ยกมาแล้วครับ ดูเหมือนจะอยู่ในบทความ คุยเฟื่องเรื่องหลอด ในเซมิฯ เล่ม 11X รึเปล่า ผมน่าจะยังเก็บเซมิฯ เล่มนี้ไว้อยู่ แต่ถ้าหาไม่เจอก็จะหาโอกาสไปดูบทความที่ว่าดูครับ  :)
หนังสือเล่มนี้ เนื้อหาภายในน่าสนใจครับ 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19 มกราคม, 2010, 08:35:55 am โดย เอก-tubeamp »
tel 083-3887864


ข้อมูลส่วนตัว  http://www.htg2.net/index.php?topic=44962.0


ออฟไลน์ Era

  • *****
    • กระทู้: 975
    • เพศ:ชาย

ออฟไลน์ Eak-tubeamp

  • วันนี้ไม่เริ่ม ก็ไม่มีวันสำเร็จ
  • Superstar...
  • ****
    • กระทู้: 4,849
    • เพศ:ชาย
  • ....ด้วยใจรัก....
ไม่ได้เข้ามาอ่านแป็บเดียว ข้อมูลเพียบเลย นี่แหล่ะที่ต้องการ
หนังสือเล่มนี้ ผมก็มีครับ คงต้องหาก่อน
tel 083-3887864


ข้อมูลส่วนตัว  http://www.htg2.net/index.php?topic=44962.0


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
วงจรแรกสุดครับ ที่เป็นแอมป์ 6au6 + 12u7 + 6bq5 push-pull 12W หัวข้อที่เขาขึ้นไว้ประมาณว่าออกแบบแอมป์หลอดนี่ล่ะ สูตรที่ผมลงไว้ผิดพลาดประการใด เดี๋ยวจะถามไปที่ se-ed อีกที ถ้าคนเขียนเดิมยังอยู่

ขอบคุณครับ ผมไม่มีหนังสือเล่มที่ว่า แต่เริ่มคลับคล้ายคลับครากับสูตรที่ยกมาแล้วครับ ดูเหมือนจะอยู่ในบทความ คุยเฟื่องเรื่องหลอด ในเซมิฯ เล่ม 11X รึเปล่า ผมน่าจะยังเก็บเซมิฯ เล่มนี้ไว้อยู่ แต่ถ้าหาไม่เจอก็จะหาโอกาสไปดูบทความที่ว่าดูครับ  :)


ออฟไลน์ nut_ty

  • คนดีคือคนที่ไม่เอาเปรียบผู้อื่น ทั้งในทางตรงและทางอ้อม
  • ผู้สนับสนุน web 1ปี
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,901
    • เพศ:ชาย
ผมจำได้ว่เคยอ่านในหนังสือแอมป์หลอดของซีเอ็ดที่มีหน้าปกสีเหลือง (ปรีแอมป์ Magnet PV-01) มีอยู่ท่อนหนึ่ง เขาให้คำนวณที่ Zp = (4*( Ep-0.6Ep ) / Ip ( max ) พอผมแทนค่าในสูตร แล้วให้แรงดันเพลตลดจาก 280 เป็น 250 ก็จะได้เอาต์พุต ที่ 5.6K และ 5K ตามลำดับ นั่นหมายถึงอัตรารอบการพันระหว่าง ไพรมารี่ และ เซคคันดารี่ เราก็ต้องเปลี่ยนไปตามนั้นด้วยใช่มั้ย ดังนั้นผม (คิด) ว่าเราน่าจะทำแท็ปทางด้านไพรมารี่ออกมาเยอะๆ เพื่อหาจุดที่เหมาะกับโหลดไลน์ และ หลอดของเรานะครับ  :bye1

สูตรอยู่ในบทความไหนครับ หรือถ้าสามารถยกประโยคก่อนหน้าที่จะพูดถึงสูตรนี้มาได้ ก็จะได้ทราบว่าสูตรนี้ใช้ในกรณีไหนครับ ผมดูแล้วเหมือนการประมาณค่า Zp โดยไม่ต้องลาก Load Line ดูน่ะครับ

ส่วนกรณีที่จุดทำงานของหลอดเปลี่ยน แล้วค่า Zp ควรจะเปลี่ยนไปด้วยนั้น ในการออกแบบทั่วไป ผมคิดว่าไม่เสมอไปว่าต้องเป็นเช่นนั้นครับ แต่ถ้าต้องการ Optimize กำลังขับและความเพี้ยน ค่า Zp ก็น่าจะต้องเปลี่ยนตามจุดทำงานของหลอดครับ  :)

วงจรแรกสุดครับ ที่เป็นแอมป์ 6au6 + 12u7 + 6bq5 push-pull 12W หัวข้อที่เขาขึ้นไว้ประมาณว่าออกแบบแอมป์หลอดนี่ล่ะ สูตรที่ผมลงไว้ผิดพลาดประการใด เดี๋ยวจะถามไปที่ se-ed อีกที ถ้าคนเขียนเดิมยังอยู่

นายวัชระ สลัดแก้ว
โทร 083 1214445


ออฟไลน์ 0

  • ****
    • กระทู้: 303
    • เพศ:ชาย
    • http://cedgroup.tarad.com/
ขอบคุณ อ.Tube ครับ ที่ขยายความครับ 

คราวนี้ ถ้าองค์ประกอบที่แปรผันเหล่านี้มีผลต่อค่า impedance ที่ไม่ได้ตามอุดมคติ เราก็ต้องมาทำความเข้าใจกับการแปรผันของค่าคงที่ตามทฤษฏีทีละตัว เพื่อที่จะได้เข้าใจองค์รวมเมื่อค่าเหล่านี้แปรเปลี่ยนไป และยิ่งถ้าเราเข้าใจถึงเหตุของการที่ค่าเหล่านี้แปรผันไปจากค่าในอุดมคติ เราก็คงจะสามารถหาทางควบคุมไม่ให้มันแปรผันมากจนเราไม่สามารถเดาหรือควบคุมพฤติกรรมของมันได้  ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด น่าจะเป็นความลับของการสร้างผลิตภัณฑ์ของแต่ละเจ้า อย่างเช่นการเลือกใช้วัสดุ เทคนิคการพันแบบต่างๆ ฯลฯ  ซึ่งถ้าเราเข้าใจได้มากขึ้น เราก็จะมีเทคนิคละเอียดขึ้น อย่างที่ อ.PORN พยายามอธิบายว่ามันเปลี่ยนไปอย่างไร ซึ่งน่าจะดีกว่าเราทดลองแล้วรับรู้ว่าเกิดอะไรแต่ไม่เข้าใจว่ามันเกิดได้อย่างไรใช่มั้ยครับ   ไม่ทราบว่าผมเข้าใจถูกต้องมั้ยครับ

คุณ PORN เพียงบอกว่ามันเปลี่ยนไป แต่บอกไม่ได้ว่าเปลี่ยนไปอย่างไรครับ อย่างที่ผมถามว่า

รบกวนช่วยอธิบายด้วยครับว่า เมื่อ Load และกระแสไม่เปลี่ยนแปลง เหตุใดค่า Impedance ของ Primary ที่ 1kHz กับ 5kHz จึงไม่เท่ากันครับ และ --อาจ เปลี่ยนไป-- ที่คุณ PORN ว่าไว้ คือเปลี่ยนไปในทางไหน และเป็นเพราะอะไรครับ ขอบคุณครับ  :)

และได้คำตอบ เป็นการเปรียบเทียบกับรถยนต์ ซึ่งผมก็ได้บอกไปแล้วว่าคำตอบไม่เป็นที่ชัดเจนครับ และถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีคำตอบในคำถามข้างต้นที่ชัดเจนครับ หรือแม้แต่สิ่งที่คุณ gai ว่า --อย่างที่ อ.PORN พยายามอธิบายว่ามันเปลี่ยนไปอย่างไร ซึ่งน่าจะดีกว่าเราทดลองแล้วรับรู้ว่าเกิดอะไรแต่ไม่เข้าใจว่ามันเกิดได้อย่างไรใช่มั้ยครับ-- ผมลองอ่านทบทวนกระทู้ทั้งหมดดูอีกที ผมเห็นว่าคุณ PORN เพียงยกตัวอย่างมา 1 ตัวอย่าง แล้วบอกว่ามันเปลี่ยนไป แต่ไม่ได้บอกว่ามันเปลี่ยนไปอย่างไร และมันเกิดได้อย่างไร นะครับ

ส่วนที่คุณ gai พูดถึงเรื่องความลับของผลิตภัณฑ์นั้น ผมขอแสดงความเห็นหน่อยนะครับ คือในมุมมองของผม ผมมองเป็น ความมีเอกลักษณ์ ครับ คือผมคิดว่า OPT ที่ดี ก็ควรจะทำงานตามแบบหม้อแปลงอุดมคติ คือ ไม่มีความสูญเสีย และ ตอบสนองความถี่ได้ตั้งแต่ 0 ถึง Infinity แต่ในสภาพความเป็นจริง เราต้องยอมรับว่ามีความสูญเสียพลังงานเกิดขึ้น และขดลวดมีค่า RCL แฝงอยู่ ทำให้ไม่สามารถตอบสนองความถี่ได้ตามอุดมคติ ที่นี้ขึ้นกับวิศวกรผู้ออกแบบ ว่าจะให้หม้อแปลงนั้นๆ มี --เอกลักษณ์-- อย่างไรครับ เช่น ค่า Lp จะต้องมากๆ ค่า Lsp จะมากไปหน่อยก็ไม่เป็นไร หรือเช่น ค่า Loss ในช่วงการตอบสนองจะต้องต่ำที่สุดในโลก หรือเช่นต้อง Interleaving ให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น เพื่อให้ค่า C ระหว่างขดลวดน้อยที่สุด หรือ... ผมคิดว่าเหล่านี้คือ --ความเป็นเอกลักษณ์-- ของหม้อแปลงน่ะครับ แต่จะเห็นว่าไม่มีตัวไหนสมบูรณ์แบบซักตัว ผมคิดว่าเป็นที่พวกเราเองต่างหาก ที่ไปฟัง OPT ตัวนั้นตัวนี้แล้วเกิดความชอบขึ้นในใจ และถ้ามันราคาแพงเกินเอื้อม เราก็ไปหาทาง --เลียนแบบ-- เค้าในราคาที่ถูกกว่า พอเราเลียนแบบไม่สำเร็จหรือไม่รู้ว่าจะเลียนแบบอย่างไร เราก็เรียกสิ่งนั้นว่า --ความลับ-- (และมันมีมูลค่าทางการตลาดสูงซะด้วยสิครับ) แต่ถ้าเราได้คุยกับวิศวกรผู้ออกแบบ เชื่อหรือไม่ครับ เค้าอาจจะถามกลับมาว่า --เรื่องพวกนี้ใครๆ ก็รู้ไม่ใช่เหรอครับ-- (ผมเคยเจอมาแล้ว ถึงได้กลับมานั่งคิดเรื่องพวกนี้ครับ  ;D)

แฮ่ๆ ตอนเริ่มใหม่ๆ ผมก็โดนมาเหมือนกันครับ  :)

และมูลค่าทางการตลาด ก็เป็นเหตุผลของการตลาดครับ  :) คิดว่างั้นนะครับ

ขอบคุณสำหรับความรู้นะครับพี่อาร์ต  :)
ลิ้งสถานที่ติดต่อครับ http://www.htg2.net/index.php?topic=25150.msg277662#msg277662

http://cedgroup.tarad.com/


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
ผมจำได้ว่เคยอ่านในหนังสือแอมป์หลอดของซีเอ็ดที่มีหน้าปกสีเหลือง (ปรีแอมป์ Magnet PV-01) มีอยู่ท่อนหนึ่ง เขาให้คำนวณที่ Zp = (4*( Ep-0.6Ep ) / Ip ( max ) พอผมแทนค่าในสูตร แล้วให้แรงดันเพลตลดจาก 280 เป็น 250 ก็จะได้เอาต์พุต ที่ 5.6K และ 5K ตามลำดับ นั่นหมายถึงอัตรารอบการพันระหว่าง ไพรมารี่ และ เซคคันดารี่ เราก็ต้องเปลี่ยนไปตามนั้นด้วยใช่มั้ย ดังนั้นผม (คิด) ว่าเราน่าจะทำแท็ปทางด้านไพรมารี่ออกมาเยอะๆ เพื่อหาจุดที่เหมาะกับโหลดไลน์ และ หลอดของเรานะครับ  :bye1

สูตรอยู่ในบทความไหนครับ หรือถ้าสามารถยกประโยคก่อนหน้าที่จะพูดถึงสูตรนี้มาได้ ก็จะได้ทราบว่าสูตรนี้ใช้ในกรณีไหนครับ ผมดูแล้วเหมือนการประมาณค่า Zp โดยไม่ต้องลาก Load Line ดูน่ะครับ

ส่วนกรณีที่จุดทำงานของหลอดเปลี่ยน แล้วค่า Zp ควรจะเปลี่ยนไปด้วยนั้น ในการออกแบบทั่วไป ผมคิดว่าไม่เสมอไปว่าต้องเป็นเช่นนั้นครับ แต่ถ้าต้องการ Optimize กำลังขับและความเพี้ยน ค่า Zp ก็น่าจะต้องเปลี่ยนตามจุดทำงานของหลอดครับ  :)


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
reflecting impedance คืออะไรครับ  Mr.tube :)

คือการสะท้อนค่า Impedance ทางฝั่ง Secondary ไปที่ Primary ครับ ตามตัวอย่างที่ผมแสดงสูตรคำนวณให้ดูก่อนหน้าน่ะครับ ถ้า Imp ทางฝั่ง Sec เปลี่ยนแปลงตามความถี่ Imp ฝั่ง Pri ก็จะเปลี่ยนแปลงในลักษณะและอัตราเดียวกันครับ  :)


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
รบกวนช่วยแปลหน่อยครับ ว่าเขาเขียนว่าอะไร ?

Impedance is more complex than resistance because the effects of capacitance and inductance vary with the frequency of the current passing through the circuit and this means impedance varies with frequency! The effect of resistance is constant regardless of frequency.

ผมแนะนำ web แปลภาษาให้ครับ http://www.stars21.com/translator/english_to_thai.html

ไว้คุณ nut_ty เข้าใจข้อความที่ถามแล้ว และเข้าใจเรื่องที่คุยกันแล้ว ค่อยเข้ามาคุยใหม่นะครับ

ลิ้งค์ที่ให้มาเครื่องผมโหลดไม่ได้ครับครับ พยายามอ่านที่ผมตั้งคำถามไว้ หลายรอบก็ยังไม่เข้าใจ ผมพยายาม Search หาความเกี่ยวเนื่องกันระหว่าง ความถี่ กับ อิมพีแดนซ์ครับ รบกวน Mr.Tube ช่วยแนะนำหน่อยว่ามีการคำนวณ และ แก้ไขปัญหานี้ในหม้อแปลงเอาต์พุตอย่างไรบ้างครับ (หมายถึงวิธีการคงที่อิมพีแดนซ์ให้เที่ยงตรงมากที่สุด และ วัสดุในเมืองไทยจะทำได้จากค่าเดิมที่ความถี่ 20-20000Hz) เวลาไปสั่งพันจะได้สั่งถูก เพราะตัวผมเองไม่มีความรู้เรื่องการพันหม้อแปลงเลย และ ไม่แน่ใจด้วยว่าปัญหา เรื่องอิมพีแดนซ์ กับ ความถี่นั้นมีอยู่จริงหรือไม่ หรือ ถ้าอื่นๆ ที่ต้องการแลกเปลี่ยนความรู้ก็เชิญได้นะครับ พร้อมดูดเสมอ  ;)

OK ครับ แบบนี้ค่อยน่าคุยด้วยหน่อยครับ เท่าที่ผมเห็น Post ของคุณ nut_ty ในอดีต ผมคิดว่าคุณเข้าใจข้อความเรื่อง Imp ที่ยกมาข้างต้นดีอยู่แล้ว น่าจะเข้าประเด็นไปเลยครับ  :)

คือข้อความที่คุณ nut_ty ยกมา เป็นคำอธิบายให้เห็นความแตกต่างของ Impedance กับ Resistance ครับ แต่ในประเด็นของ OPT นั้นซับซ้อนกว่านั้นมากครับ การจะเข้าใจทั้งหมด ต้องเริ่มต้นจากเข้าใจวงจรสมมูล (Equivalent Circuit) ของมันก่อนครับ ขอยกมาจาก Wikipedia ละกัน



สัญลักษณ์หม้อแปลงในรูป คือหม้อแปลงตามอุดมคติครับ ส่วน Network ที่เห็นทางฝั่ง Primary คือค่าแฝงต่างๆ ซึ่งมาจาก 2 ส่วนคือค่าแฝงในขดลวด Primary เอง และค่าที่สะท้อนมาจากค่าแฝงใน Secondary ครับ ค่าไหนคืออะไร เข้าไปดูได้ใน http://en.wikipedia.org/wiki/File:Transformer_equivalent_circuit.svg นะครับ มีคำอธิบายรูปอยู่ครับ

ถ้าสมมุติว่า Load ทางฝั่ง Secondary เป็น DCR ตัวหม้อแปลงก็จะสะท้อนค่า Load Impedance (ผมใช้คำว่า Imp ก็เพราะหม้อแปลงทำงานไม่ได้กับ DC ครับ แต่จริงๆ แล้วให้มอง Primary เป็น DCR จะเข้าใจได้ง่ายกว่าครับ) มาที่ฝั่ง Primary ค่าสะท้อนที่ได้ก็เป็นไปตาม Turn Ratio อย่างที่ทราบกันอยู่แล้ว กลับมาดูที่ Rc และ Xm ครับ ผมขอตัดอุปกรณ์ตัวอื่นๆ ออกหมดก่อน แล้วดูแค่ Rc, Xm และ Primary นะครับ ที่เหลือให้ Short อุปกรณ์ไปเลยครับ จะเห็นว่าทั้งหมดต่อขนานกันอยู่ ค่า Xm คือ Primary Inductance นั่นเองครับ ซึ่งค่า Xm จะมีค่าน้อยที่ความถี่ต่ำ และค่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อความถี่สูงขึ้น ตามหลักของวงจรขนาน เส้นไหนความต้านทานน้อย กระแสก็จะไหลทางนั้นมาก ใช่ไม๊ครับ ผลของ Xm ก็คือที่ความถี่ต่ำ กระแสจะไหลผ่าน Xm ไป ไม่ไหลผ่าน Primary กำลังก็ไม่ไปที่ Secondary ถูกไม๊ครับ และเมื่อความถี่สูงขึ้นก็จะมาไหลผ่าน Primary ไม่ไหลผ่าน Xm กำลังก็ผ่านหม้อแปลงไป Secondary มากขึ้น นั่นคือผลของ Primary Inductance (Lp) ต่อหม้อแปลง OPT ครับ คือยิ่ง OPT มีค่า Lp มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งตอบสนองความถี่ต่ำได้ดีเท่านั้น ส่วน Rc เป็นตัวแทนของ Core Loss ซึ่งโดยสภาพจริงแล้ว ค่า Core Loss จะเปลี่ยนไปตามความถี่เช่นกัน คือยิ่งความถี่สูง Core Loss ก็จะยิ่งสูง แต่เนื่องจาก Function การเพิ่มขึ้นของ Core Loss ขึ้นกับคุณสมบัติของแกน และการเพิ่มขึ้นไม่มีรูปแบบแน่นอน จึงมักจะมองในรูปค่าคงที่ (R) ครับ กรณีของ Rc ในรูปนี้ ก็แบ่งกระแสจาก Primary และเป็นการสูญเสียกำลังไปครับ

Rp ก็เป็น Loss (Primary DCR), Xp = Leakage Inductance เอามาต่ออนุกรมอยู่กับ Primary ก็คือวงจร Low Pass Filter นั่นเองครับ เป็นเหตุว่าทำไม Pri Leakage Inductance (Lsp) ต่ำๆ จึงดี ก็เพราะความถี่สูงจะผ่านได้มากกว่านั่นเอง

ค่าอื่นๆ ก็แยกออกมาวิเคราะห์ได้เป็นส่วนๆ ครับ ในการวิเคราะห์แต่ละช่วงความถี่ จะสามารถตัดบางตัวออกไปได้ ยกตัวอย่างเช่น OPT 3.5k ซึ่งมี Lsp = 10mH เป็นต้น ที่ 50Hz ถ้าคิดค่า Xp = 2(pi) x fc x Lsp = 2(pi) x 50 x 0.01 ~ 3 Ohm เท่านั้น เทียบกับ Primary ซึ่งเท่ากับ 3500 Ohm ค่าเพียง 1/1000 นี้ ก็สามารถตัดทิ้งออกไป เพื่อลดความซับซ้อนได้ครับ ที่เหลือลองเอาไปวิเคราะห์กันเอาเองนะครับ หรือถ้าใครใช้ Spice เป็น ก็จะยิ่งง่ายมากครับ ผมว่าผมมาส่งไกลมากแล้วครับ แต่ถ้ายังมีข้อสงสัยก็สอบถามเพิ่มเติมได้ครับ ยินดีตอบเท่าที่ทราบครับ  :)

(รูป Equiv Circuit นี้ ไม่ใช่รูปสมบูรณ์นะครับ รูปเต็มจริงๆ จะมีค่า C แฝงต่างๆ ด้วย และจะซับซ้อนกว่านี้มากครับ)


ออฟไลน์ Eak-tubeamp

  • วันนี้ไม่เริ่ม ก็ไม่มีวันสำเร็จ
  • Superstar...
  • ****
    • กระทู้: 4,849
    • เพศ:ชาย
  • ....ด้วยใจรัก....
ผมว่าเจ้าของกระทู้ถามถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงไฟที่จ่ายวงจรมีผลต่อค่าKของOPTหรือไม่ นา..ครับ... ;D ;D 

ผมเห็นว่าคุณ darkman และคุณ tubeman ได้ตอบคำถามนี้ไปแล้วตั้งแต่ตอนต้นๆ กระทู้ครับ ส่วนที่คุยกันอยู่ตอนนี้เป็นประเด็นที่แตกมาจากความเห็นของคุณ PORN และข้อแย้งของผมครับ ซึ่งยังคงเกี่ยวกับหัวเรื่องเดิม จึงไม่ได้คิดตั้งกระทู้ใหม่ครับ  :)
ผมอยากจะให้แสดงความคิดกันเรื่อยๆ ครับ ผมเองก้อติดตามกระทู้มาตลอด เพื่อเก็บข้อมูล
tel 083-3887864


ข้อมูลส่วนตัว  http://www.htg2.net/index.php?topic=44962.0


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
ผมว่าเจ้าของกระทู้ถามถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงไฟที่จ่ายวงจรมีผลต่อค่าKของOPTหรือไม่ นา..ครับ... ;D ;D 

ผมเห็นว่าคุณ darkman และคุณ tubeman ได้ตอบคำถามนี้ไปแล้วตั้งแต่ตอนต้นๆ กระทู้ครับ ส่วนที่คุยกันอยู่ตอนนี้เป็นประเด็นที่แตกมาจากความเห็นของคุณ PORN และข้อแย้งของผมครับ ซึ่งยังคงเกี่ยวกับหัวเรื่องเดิม จึงไม่ได้คิดตั้งกระทู้ใหม่ครับ  :)


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
ขอบคุณ อ.Tube ครับ ที่ขยายความครับ 

คราวนี้ ถ้าองค์ประกอบที่แปรผันเหล่านี้มีผลต่อค่า impedance ที่ไม่ได้ตามอุดมคติ เราก็ต้องมาทำความเข้าใจกับการแปรผันของค่าคงที่ตามทฤษฏีทีละตัว เพื่อที่จะได้เข้าใจองค์รวมเมื่อค่าเหล่านี้แปรเปลี่ยนไป และยิ่งถ้าเราเข้าใจถึงเหตุของการที่ค่าเหล่านี้แปรผันไปจากค่าในอุดมคติ เราก็คงจะสามารถหาทางควบคุมไม่ให้มันแปรผันมากจนเราไม่สามารถเดาหรือควบคุมพฤติกรรมของมันได้  ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด น่าจะเป็นความลับของการสร้างผลิตภัณฑ์ของแต่ละเจ้า อย่างเช่นการเลือกใช้วัสดุ เทคนิคการพันแบบต่างๆ ฯลฯ  ซึ่งถ้าเราเข้าใจได้มากขึ้น เราก็จะมีเทคนิคละเอียดขึ้น อย่างที่ อ.PORN พยายามอธิบายว่ามันเปลี่ยนไปอย่างไร ซึ่งน่าจะดีกว่าเราทดลองแล้วรับรู้ว่าเกิดอะไรแต่ไม่เข้าใจว่ามันเกิดได้อย่างไรใช่มั้ยครับ   ไม่ทราบว่าผมเข้าใจถูกต้องมั้ยครับ

คุณ PORN เพียงบอกว่ามันเปลี่ยนไป แต่บอกไม่ได้ว่าเปลี่ยนไปอย่างไรครับ อย่างที่ผมถามว่า

รบกวนช่วยอธิบายด้วยครับว่า เมื่อ Load และกระแสไม่เปลี่ยนแปลง เหตุใดค่า Impedance ของ Primary ที่ 1kHz กับ 5kHz จึงไม่เท่ากันครับ และ --อาจ เปลี่ยนไป-- ที่คุณ PORN ว่าไว้ คือเปลี่ยนไปในทางไหน และเป็นเพราะอะไรครับ ขอบคุณครับ  :)

และได้คำตอบ เป็นการเปรียบเทียบกับรถยนต์ ซึ่งผมก็ได้บอกไปแล้วว่าคำตอบไม่เป็นที่ชัดเจนครับ และถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีคำตอบในคำถามข้างต้นที่ชัดเจนครับ หรือแม้แต่สิ่งที่คุณ gai ว่า --อย่างที่ อ.PORN พยายามอธิบายว่ามันเปลี่ยนไปอย่างไร ซึ่งน่าจะดีกว่าเราทดลองแล้วรับรู้ว่าเกิดอะไรแต่ไม่เข้าใจว่ามันเกิดได้อย่างไรใช่มั้ยครับ-- ผมลองอ่านทบทวนกระทู้ทั้งหมดดูอีกที ผมเห็นว่าคุณ PORN เพียงยกตัวอย่างมา 1 ตัวอย่าง แล้วบอกว่ามันเปลี่ยนไป แต่ไม่ได้บอกว่ามันเปลี่ยนไปอย่างไร และมันเกิดได้อย่างไร นะครับ

ส่วนที่คุณ gai พูดถึงเรื่องความลับของผลิตภัณฑ์นั้น ผมขอแสดงความเห็นหน่อยนะครับ คือในมุมมองของผม ผมมองเป็น ความมีเอกลักษณ์ ครับ คือผมคิดว่า OPT ที่ดี ก็ควรจะทำงานตามแบบหม้อแปลงอุดมคติ คือ ไม่มีความสูญเสีย และ ตอบสนองความถี่ได้ตั้งแต่ 0 ถึง Infinity แต่ในสภาพความเป็นจริง เราต้องยอมรับว่ามีความสูญเสียพลังงานเกิดขึ้น และขดลวดมีค่า RCL แฝงอยู่ ทำให้ไม่สามารถตอบสนองความถี่ได้ตามอุดมคติ ที่นี้ขึ้นกับวิศวกรผู้ออกแบบ ว่าจะให้หม้อแปลงนั้นๆ มี --เอกลักษณ์-- อย่างไรครับ เช่น ค่า Lp จะต้องมากๆ ค่า Lsp จะมากไปหน่อยก็ไม่เป็นไร หรือเช่น ค่า Loss ในช่วงการตอบสนองจะต้องต่ำที่สุดในโลก หรือเช่นต้อง Interleaving ให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น เพื่อให้ค่า C ระหว่างขดลวดน้อยที่สุด หรือ... ผมคิดว่าเหล่านี้คือ --ความเป็นเอกลักษณ์-- ของหม้อแปลงน่ะครับ แต่จะเห็นว่าไม่มีตัวไหนสมบูรณ์แบบซักตัว ผมคิดว่าเป็นที่พวกเราเองต่างหาก ที่ไปฟัง OPT ตัวนั้นตัวนี้แล้วเกิดความชอบขึ้นในใจ และถ้ามันราคาแพงเกินเอื้อม เราก็ไปหาทาง --เลียนแบบ-- เค้าในราคาที่ถูกกว่า พอเราเลียนแบบไม่สำเร็จหรือไม่รู้ว่าจะเลียนแบบอย่างไร เราก็เรียกสิ่งนั้นว่า --ความลับ-- (และมันมีมูลค่าทางการตลาดสูงซะด้วยสิครับ) แต่ถ้าเราได้คุยกับวิศวกรผู้ออกแบบ เชื่อหรือไม่ครับ เค้าอาจจะถามกลับมาว่า --เรื่องพวกนี้ใครๆ ก็รู้ไม่ใช่เหรอครับ-- (ผมเคยเจอมาแล้ว ถึงได้กลับมานั่งคิดเรื่องพวกนี้ครับ  ;D)


ออฟไลน์ NAFU

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,135
    • เพศ:ชาย
  • วงจรนี้ก็จะทำ วงจรโน้นก็จะทำ จะเอาวงจรไหนดีหว่า
reflecting impedance คืออะไรครับ  Mr.tube :)
impedance ที่สะท้อนกลับไปยังด้าน primary  เมื่อโหลดเปลี่ยนแปลง  ไม่รู้ว่าเข้าใจถูกหรือเปล่า


ออฟไลน์ Eak-tubeamp

  • วันนี้ไม่เริ่ม ก็ไม่มีวันสำเร็จ
  • Superstar...
  • ****
    • กระทู้: 4,849
    • เพศ:ชาย
  • ....ด้วยใจรัก....
reflecting impedance คืออะไรครับ  Mr.tube :)
tel 083-3887864


ข้อมูลส่วนตัว  http://www.htg2.net/index.php?topic=44962.0


ออฟไลน์ Mr. Tube

  • Admin
  • Super Star.
  • *****
    • กระทู้: 2,839
เมื่อต่อลำโพงที่มี impedance  8 ohm  เข้าด้าน secondary เพื่อเป็นโหลดของ OPT ขณะที่เราฟังเพลง impedance ของลำโพงเปลี่ยนไปตามความถี่เสียงเกิด reflecting impedance ทำให้ impedance ด้าน primary ของ opt เปลี่ยนไปจึงดูคล้ายว่า impedance ของ OPT เปลี่ยนไปตามความถี่แต่จริงๆมันเปลี่ยนตาม Impedance ของลำโพง ที่เปลี่ยนไป ผมอธิบายอย่างนี้พอเป็นไปได้ไหมครับ

ถ้าอธิบายแบบนี้ ผมเห็นด้วยครับ มีที่มาที่ไปเป็นเหตุเป็นผลกัน และก็เข้าใจถูกต้องแล้วครับ  :)


ออฟไลน์ nut_ty

  • คนดีคือคนที่ไม่เอาเปรียบผู้อื่น ทั้งในทางตรงและทางอ้อม
  • ผู้สนับสนุน web 1ปี
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,901
    • เพศ:ชาย
ผมจำ ได้ว่ เคยอ่าน ในหนังสือ แอมป์ หลอดของซี เอ็ดที่มีหน้าปกสี เหลือง (ปรี แอมป์  Magnet PV-01) มีอยู่ท่อนหนึ่ง  เขา ให้คำ นวณที่ Zp = (4*( Ep-0.6Ep ) / Ip ( max ) พอผม แทนค่า ในสูตร  แล้ว ให้ แรงดัน เพลตลดจาก 280  เป็น 250 ก็จะ ได้ เอาต์ พุต ที่ 5.6K  และ  5K ตามลำ ดับ นั่นหมายถึงอัตรารอบการพันระ หว่าง  ไพรมารี่  และ   เซคคันดารี่  เราก็ต้อง เปลี่ยน ไปตามนั้นด้วย ใช่มั้ย ดังนั้นผม (คิด) ว่า เราน่าจะ ทำ แท็ปทางด้าน ไพรมารี่ออกมา เยอะ ๆ   เพื่อหาจุดที่ เหมาะ กับ โหลด ไลน์   และ  หลอดของ เรานะ ครับ  :bye1
ประมาณว่า opt ลูกเดียว แท็บ primary impedance หลายๆค่าออกมา จะได้เลือกใช้ ให้เหมาะกับแต่ละหลอด

ใช่ครับ แท็บให้มากที่สุดที่เราจะทำได้ เพราะเราไม่รู้ว่าค่ากระแสสูงสุดของหลอดใดๆ จะเหมาะสมกับเอาต์พุตอิมพีแดนซ์ของตัวมันเองหรือเปล่า ผมว่าด้านเอาต์พุตยังคงต้องแท็ปออกมาหลายๆ ชุดก็ยิ่งจะง่ายต่อการจัดวงจรนะ ทีนี้เราลองกลับไปดูหลอด 6550 ที่เขาขายแบบแมทช์ควอดสิ ข้างๆ กล่องเขียนว่า 35mA ให้ตายเถอะโรบิ้น เวลาเราเอามาใช้ เราซัดซะ 50mA ต่อหลอด แค่นี้ข้อมูลของหม้อแปลงเอาต์พุตที่ผู้ผลิต (เมืองนอก) ให้เรามา มันก็เป็นแค่รูปภาพ และ กระดาษที่ไร้ค่าก็ไม่ปาน มองในทางนี้ผมว่าทำเอง พันเอง น่าจะเข้าท่ากว่าเยอะ  :showoff
นายวัชระ สลัดแก้ว
โทร 083 1214445


ออฟไลน์ Eak-tubeamp

  • วันนี้ไม่เริ่ม ก็ไม่มีวันสำเร็จ
  • Superstar...
  • ****
    • กระทู้: 4,849
    • เพศ:ชาย
  • ....ด้วยใจรัก....
ผมจำ ได้ว่ เคยอ่าน ในหนังสือ แอมป์ หลอดของซี เอ็ดที่มีหน้าปกสี เหลือง (ปรี แอมป์  Magnet PV-01) มีอยู่ท่อนหนึ่ง  เขา ให้คำ นวณที่ Zp = (4*( Ep-0.6Ep ) / Ip ( max ) พอผม แทนค่า ในสูตร  แล้ว ให้ แรงดัน เพลตลดจาก 280  เป็น 250 ก็จะ ได้ เอาต์ พุต ที่ 5.6K  และ  5K ตามลำ ดับ นั่นหมายถึงอัตรารอบการพันระ หว่าง  ไพรมารี่  และ   เซคคันดารี่  เราก็ต้อง เปลี่ยน ไปตามนั้นด้วย ใช่มั้ย ดังนั้นผม (คิด) ว่า เราน่าจะ ทำ แท็ปทางด้าน ไพรมารี่ออกมา เยอะ ๆ   เพื่อหาจุดที่ เหมาะ กับ โหลด ไลน์   และ  หลอดของ เรานะ ครับ  :bye1
ประมาณว่า opt ลูกเดียว แท็บ primary impedance หลายๆค่าออกมา จะได้เลือกใช้ ให้เหมาะกับแต่ละหลอด
tel 083-3887864


ข้อมูลส่วนตัว  http://www.htg2.net/index.php?topic=44962.0


ออฟไลน์ Rabbit-Hunter

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,515
  • DIY มันย่อมต้องมีความใหม่และแตกต่าง มันก็แค่นั้น.
 :) :)ดูจากเวป tamura โหลด Datasheet มาดูหลาย ๆ รุ่น ได้ ไอเดียการออบแบบพันหม้อแปลงละครับ ซึ่งผมคาดเดาแนวทางจากการศึกษาดาต้าชีท ว่า ค่าอิมพิแดนช์ ที่เขาออกมา เป็น 3 K ,5 K ,8K นี่เป็นหน่วยมาตราฐานของเขาโดยอ้างอิง โวล์ทเตจ และกระแส จุดใดจุดหนี่ง ตามประเภทของหลอด ซึ่งมันก็ ราว ๆ 250 - 300 โวลท์ ใน CLASS A ซึงก็ต้องการค่าอิมพิแดนช์ในลักษณะแต่ละเบอร์ที่ใช้ทำเครื่องเสียงมีค่าอยู่ราว ๆ นี้ และการกำหนดให้มีขนาด วัตต์เพิ่มขี้น ก็ ทำได้โดยการให้หม้อแปลงจ่ายกระแสได้สูงขึ้น ทั้งหม้อแปลง Power และ Output ซึ่งถ้าเราใช้กระแสสูง ๆ(สังเกตุว่า OPT จะลูกใหญ่ขึ้น)ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ค่าโวลท์สูง ๆ มากมาย ในการทำแอมป์ ซึ่งก็ไม่มีผลต่อเสียงในทางบวกมากนัก และ ก็ต้องเป็นไปตามกฏของดาต้าชีทของหลอดเช่นกัน ซึ่งเป็นแนวคิดที่ดีและน่าจะเป็นไปได้  ส่วนเรื่องความถี่นี่มันจะได้ขนาดไหน ก็ อย่าเพิ่งคิดมากขนาดความถึ่ 50 HZ 220อV เรายังมันออกมาใช้ได้เลย ต่ำกว่านี้แทบไม่ได้ยิน เป็นแค่เสียงกระพือ สูงกว่านี้ก็ทำได้แต่ไม่มีประโยชน์ -------- ;D ;D ;Dและอีกอย่างหม้อแปลง output ที่พันเองหรือผู้ทำการค้า นี่ น่าจะระบุกระแสไว้ด้วย และไฟอ้างอิงไว้ด้วย ก็น่าจะดีครับ ง่ายต่อการออกแบบดีครับ ซึ่งจะได้ไม่งงที่ค่า k ท่ี่กี่โวล์ทกันแน่ และมีความมั่นใจในการทำภาคจ่ายไฟให้ตรงตามความต้องการของวงจร  :) :) :) :)และเวลาขาย ก็มีคนเข้ามาโพสท์จองเป็นอันดับแรก และเวลานำไปใช้ประกอบแอมป์แล้ว WORK สุด ๆ ;D ;D ;D ;D ;D ;D
ทุก ๆ งาน คือ ความสุข..


ออฟไลน์ nut_ty

  • คนดีคือคนที่ไม่เอาเปรียบผู้อื่น ทั้งในทางตรงและทางอ้อม
  • ผู้สนับสนุน web 1ปี
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,901
    • เพศ:ชาย
ผมจำได้ว่เคยอ่านในหนังสือแอมป์หลอดของซีเอ็ดที่มีหน้าปกสีเหลือง (ปรีแอมป์ Magnet PV-01) มีอยู่ท่อนหนึ่ง เขาให้คำนวณที่ Zp = (4*( Ep-0.6Ep ) / Ip ( max ) พอผมแทนค่าในสูตร แล้วให้แรงดันเพลตลดจาก 280 เป็น 250 ก็จะได้เอาต์พุต ที่ 5.6K และ 5K ตามลำดับ นั่นหมายถึงอัตรารอบการพันระหว่าง ไพรมารี่ และ เซคคันดารี่ เราก็ต้องเปลี่ยนไปตามนั้นด้วยใช่มั้ย ดังนั้นผม (คิด) ว่าเราน่าจะทำแท็ปทางด้านไพรมารี่ออกมาเยอะๆ เพื่อหาจุดที่เหมาะกับโหลดไลน์ และ หลอดของเรานะครับ  :bye1
นายวัชระ สลัดแก้ว
โทร 083 1214445


ออฟไลน์ prasan

  • ...Back to the Basic...
  • Superstar...
  • ****
    • กระทู้: 5,086
    • เพศ:ชาย
ขอบคุณ อ.Tube ครับ ที่ขยายความครับ 

คราวนี้ ถ้าองค์ประกอบที่แปรผันเหล่านี้มีผลต่อค่า impedance ที่ไม่ได้ตามอุดมคติ เราก็ต้องมาทำความเข้าใจกับการแปรผันของค่าคงที่ตามทฤษฏีทีละตัว เพื่อที่จะได้เข้าใจองค์รวมเมื่อค่าเหล่านี้แปรเปลี่ยนไป และยิ่งถ้าเราเข้าใจถึงเหตุของการที่ค่าเหล่านี้แปรผันไปจากค่าในอุดมคติ เราก็คงจะสามารถหาทางควบคุมไม่ให้มันแปรผันมากจนเราไม่สามารถเดาหรือควบคุมพฤติกรรมของมันได้  ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด น่าจะเป็นความลับของการสร้างผลิตภัณฑ์ของแต่ละเจ้า อย่างเช่นการเลือกใช้วัสดุ เทคนิคการพันแบบต่างๆ ฯลฯ  ซึ่งถ้าเราเข้าใจได้มากขึ้น เราก็จะมีเทคนิคละเอียดขึ้น

ผมก็เชื่ออย่างที่คุณ gai กล่าว พ่อค้าไม่มีทางเผยแพร่ความลับ ข้อมูลของตัวเอง บางครั้งผมรู้สึกว่าการที่เรา DIY แลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์กันเป็นเหมือนการสนับสนุนข้อมูลให้พ่อค้า  :nonono :bye1
"I haven't failed. I've found 10,000 ways that don't work." - Thomas Edison
"Anyone who has never made a mistake has never tried anything new." - Albert Einstein


ออฟไลน์ nut_ty

  • คนดีคือคนที่ไม่เอาเปรียบผู้อื่น ทั้งในทางตรงและทางอ้อม
  • ผู้สนับสนุน web 1ปี
  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,901
    • เพศ:ชาย
รบกวนช่วยแปลหน่อยครับ ว่าเขาเขียนว่าอะไร ?

Impedance is more complex than resistance because the effects of capacitance and inductance vary with the frequency of the current passing through the circuit and this means impedance varies with frequency! The effect of resistance is constant regardless of frequency.

ผมแนะนำ web แปลภาษาให้ครับ http://www.stars21.com/translator/english_to_thai.html

ไว้คุณ nut_ty เข้าใจข้อความที่ถามแล้ว และเข้าใจเรื่องที่คุยกันแล้ว ค่อยเข้ามาคุยใหม่นะครับ

ลิ้งค์ที่ให้มาเครื่องผมโหลดไม่ได้ครับครับ พยายามอ่านที่ผมตั้งคำถามไว้ หลายรอบก็ยังไม่เข้าใจ ผมพยายาม Search หาความเกี่ยวเนื่องกันระหว่าง ความถี่ กับ อิมพีแดนซ์ครับ รบกวน Mr.Tube ช่วยแนะนำหน่อยว่ามีการคำนวณ และ แก้ไขปัญหานี้ในหม้อแปลงเอาต์พุตอย่างไรบ้างครับ (หมายถึงวิธีการคงที่อิมพีแดนซ์ให้เที่ยงตรงมากที่สุด และ วัสดุในเมืองไทยจะทำได้จากค่าเดิมที่ความถี่ 20-20000Hz) เวลาไปสั่งพันจะได้สั่งถูก เพราะตัวผมเองไม่มีความรู้เรื่องการพันหม้อแปลงเลย และ ไม่แน่ใจด้วยว่าปัญหา เรื่องอิมพีแดนซ์ กับ ความถี่นั้นมีอยู่จริงหรือไม่ หรือ ถ้าอื่นๆ ที่ต้องการแลกเปลี่ยนความรู้ก็เชิญได้นะครับ พร้อมดูดเสมอ  ;)
นายวัชระ สลัดแก้ว
โทร 083 1214445


ออฟไลน์ Eak-tubeamp

  • วันนี้ไม่เริ่ม ก็ไม่มีวันสำเร็จ
  • Superstar...
  • ****
    • กระทู้: 4,849
    • เพศ:ชาย
  • ....ด้วยใจรัก....
ผิดประเด็นไปหน่อย แต่ท่านผู้รู้เข้ามาอ้างอิงข้อเท็จจริงกัน  แต่ก็มีอะไรๆ ที่เป็นประโยชน์มากต่อคนที่พัน opt และที่คิดจะพัน  d_d
tel 083-3887864


ข้อมูลส่วนตัว  http://www.htg2.net/index.php?topic=44962.0


ออฟไลน์ ลำน้ำ

  • >> Voodo SilverMica Cable <<
  • Superstar..
  • ***
    • กระทู้: 3,211
    • เพศ:ชาย
เห็นด้วยครับ

ผมว่าเจ้าของกระทู้ถามถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงไฟที่จ่ายวงจรมีผลต่อค่าKของOPTหรือไม่ นา..ครับ... ;D ;D 
โปรดดู ข้อมูลส่วนตัวผมครับ.... ของที่มีอยู่แล้วไม่มีปัญญาทำให้เสียงถูกใจได้ ไม่ต้องหวังจะซื้อมาเพิ่ม ต่อให้ของชั้นเทพ ... มันก็ช่วยอะไรไม่ได้ถ้าไร้ความพยายาม...ว่าแล้ว htg2 ไม่ได้ดั่งใจ เป็น ebay เลยดีกว่าหมดตัวเร็วดี


ออฟไลน์ WIM

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,396
    • เพศ:ชาย
ผมว่าเจ้าของกระทู้ถามถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงไฟที่จ่ายวงจรมีผลต่อค่าKของOPTหรือไม่ นา..ครับ... ;D ;D 
อารมณ์สร้างดนตรี......ดนตรีสร้างอารมณ์... :)
http://www.htg2.net/index.php?topic=54247.msg647885


ออฟไลน์ gai

  • Super Star
  • *
    • กระทู้: 1,318
    • เพศ:ชาย
ขอบคุณ อ.Tube ครับ ที่ขยายความครับ 

คราวนี้ ถ้าองค์ประกอบที่แปรผันเหล่านี้มีผลต่อค่า impedance ที่ไม่ได้ตามอุดมคติ เราก็ต้องมาทำความเข้าใจกับการแปรผันของค่าคงที่ตามทฤษฏีทีละตัว เพื่อที่จะได้เข้าใจองค์รวมเมื่อค่าเหล่านี้แปรเปลี่ยนไป และยิ่งถ้าเราเข้าใจถึงเหตุของการที่ค่าเหล่านี้แปรผันไปจากค่าในอุดมคติ เราก็คงจะสามารถหาทางควบคุมไม่ให้มันแปรผันมากจนเราไม่สามารถเดาหรือควบคุมพฤติกรรมของมันได้  ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด น่าจะเป็นความลับของการสร้างผลิตภัณฑ์ของแต่ละเจ้า อย่างเช่นการเลือกใช้วัสดุ เทคนิคการพันแบบต่างๆ ฯลฯ  ซึ่งถ้าเราเข้าใจได้มากขึ้น เราก็จะมีเทคนิคละเอียดขึ้น อย่างที่ อ.PORN พยายามอธิบายว่ามันเปลี่ยนไปอย่างไร ซึ่งน่าจะดีกว่าเราทดลองแล้วรับรู้ว่าเกิดอะไรแต่ไม่เข้าใจว่ามันเกิดได้อย่างไรใช่มั้ยครับ   ไม่ทราบว่าผมเข้าใจถูกต้องมั้ยครับ