รบกวนช่วยแปลหน่อยครับ ว่าเขาเขียนว่าอะไร ?
Impedance is more complex than resistance because the effects of capacitance and inductance vary with the frequency of the current passing through the circuit and this means impedance varies with frequency! The effect of resistance is constant regardless of frequency.
ผมแนะนำ web แปลภาษาให้ครับ http://www.stars21.com/translator/english_to_thai.html
ไว้คุณ nut_ty เข้าใจข้อความที่ถามแล้ว และเข้าใจเรื่องที่คุยกันแล้ว ค่อยเข้ามาคุยใหม่นะครับ
ลิ้งค์ที่ให้มาเครื่องผมโหลดไม่ได้ครับครับ พยายามอ่านที่ผมตั้งคำถามไว้ หลายรอบก็ยังไม่เข้าใจ ผมพยายาม Search หาความเกี่ยวเนื่องกันระหว่าง ความถี่ กับ อิมพีแดนซ์ครับ รบกวน Mr.Tube ช่วยแนะนำหน่อยว่ามีการคำนวณ และ แก้ไขปัญหานี้ในหม้อแปลงเอาต์พุตอย่างไรบ้างครับ (หมายถึงวิธีการคงที่อิมพีแดนซ์ให้เที่ยงตรงมากที่สุด และ วัสดุในเมืองไทยจะทำได้จากค่าเดิมที่ความถี่ 20-20000Hz) เวลาไปสั่งพันจะได้สั่งถูก เพราะตัวผมเองไม่มีความรู้เรื่องการพันหม้อแปลงเลย และ ไม่แน่ใจด้วยว่าปัญหา เรื่องอิมพีแดนซ์ กับ ความถี่นั้นมีอยู่จริงหรือไม่ หรือ ถ้าอื่นๆ ที่ต้องการแลกเปลี่ยนความรู้ก็เชิญได้นะครับ พร้อมดูดเสมอ 
OK ครับ แบบนี้ค่อยน่าคุยด้วยหน่อยครับ เท่าที่ผมเห็น Post ของคุณ nut_ty ในอดีต ผมคิดว่าคุณเข้าใจข้อความเรื่อง Imp ที่ยกมาข้างต้นดีอยู่แล้ว น่าจะเข้าประเด็นไปเลยครับ

คือข้อความที่คุณ nut_ty ยกมา เป็นคำอธิบายให้เห็นความแตกต่างของ Impedance กับ Resistance ครับ แต่ในประเด็นของ OPT นั้นซับซ้อนกว่านั้นมากครับ การจะเข้าใจทั้งหมด ต้องเริ่มต้นจากเข้าใจวงจรสมมูล (Equivalent Circuit) ของมันก่อนครับ ขอยกมาจาก Wikipedia ละกัน

สัญลักษณ์หม้อแปลงในรูป คือหม้อแปลงตามอุดมคติครับ ส่วน Network ที่เห็นทางฝั่ง Primary คือค่าแฝงต่างๆ ซึ่งมาจาก 2 ส่วนคือค่าแฝงในขดลวด Primary เอง และค่าที่สะท้อนมาจากค่าแฝงใน Secondary ครับ ค่าไหนคืออะไร เข้าไปดูได้ใน
http://en.wikipedia.org/wiki/File:Transformer_equivalent_circuit.svg นะครับ มีคำอธิบายรูปอยู่ครับ
ถ้าสมมุติว่า Load ทางฝั่ง Secondary เป็น DCR ตัวหม้อแปลงก็จะสะท้อนค่า Load Impedance (ผมใช้คำว่า Imp ก็เพราะหม้อแปลงทำงานไม่ได้กับ DC ครับ แต่จริงๆ แล้วให้มอง Primary เป็น DCR จะเข้าใจได้ง่ายกว่าครับ) มาที่ฝั่ง Primary ค่าสะท้อนที่ได้ก็เป็นไปตาม Turn Ratio อย่างที่ทราบกันอยู่แล้ว กลับมาดูที่ Rc และ Xm ครับ ผมขอตัดอุปกรณ์ตัวอื่นๆ ออกหมดก่อน แล้วดูแค่ Rc, Xm และ Primary นะครับ ที่เหลือให้ Short อุปกรณ์ไปเลยครับ จะเห็นว่าทั้งหมดต่อขนานกันอยู่ ค่า Xm คือ Primary Inductance นั่นเองครับ ซึ่งค่า Xm จะมีค่าน้อยที่ความถี่ต่ำ และค่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อความถี่สูงขึ้น ตามหลักของวงจรขนาน เส้นไหนความต้านทานน้อย กระแสก็จะไหลทางนั้นมาก ใช่ไม๊ครับ ผลของ Xm ก็คือที่ความถี่ต่ำ กระแสจะไหลผ่าน Xm ไป ไม่ไหลผ่าน Primary กำลังก็ไม่ไปที่ Secondary ถูกไม๊ครับ และเมื่อความถี่สูงขึ้นก็จะมาไหลผ่าน Primary ไม่ไหลผ่าน Xm กำลังก็ผ่านหม้อแปลงไป Secondary มากขึ้น นั่นคือผลของ Primary Inductance (Lp) ต่อหม้อแปลง OPT ครับ คือยิ่ง OPT มีค่า Lp มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งตอบสนองความถี่ต่ำได้ดีเท่านั้น ส่วน Rc เป็นตัวแทนของ Core Loss ซึ่งโดยสภาพจริงแล้ว ค่า Core Loss จะเปลี่ยนไปตามความถี่เช่นกัน คือยิ่งความถี่สูง Core Loss ก็จะยิ่งสูง แต่เนื่องจาก Function การเพิ่มขึ้นของ Core Loss ขึ้นกับคุณสมบัติของแกน และการเพิ่มขึ้นไม่มีรูปแบบแน่นอน จึงมักจะมองในรูปค่าคงที่ (R) ครับ กรณีของ Rc ในรูปนี้ ก็แบ่งกระแสจาก Primary และเป็นการสูญเสียกำลังไปครับ
Rp ก็เป็น Loss (Primary DCR), Xp = Leakage Inductance เอามาต่ออนุกรมอยู่กับ Primary ก็คือวงจร Low Pass Filter นั่นเองครับ เป็นเหตุว่าทำไม Pri Leakage Inductance (Lsp) ต่ำๆ จึงดี ก็เพราะความถี่สูงจะผ่านได้มากกว่านั่นเอง
ค่าอื่นๆ ก็แยกออกมาวิเคราะห์ได้เป็นส่วนๆ ครับ ในการวิเคราะห์แต่ละช่วงความถี่ จะสามารถตัดบางตัวออกไปได้ ยกตัวอย่างเช่น OPT 3.5k ซึ่งมี Lsp = 10mH เป็นต้น ที่ 50Hz ถ้าคิดค่า Xp = 2(pi) x fc x Lsp = 2(pi) x 50 x 0.01 ~ 3 Ohm เท่านั้น เทียบกับ Primary ซึ่งเท่ากับ 3500 Ohm ค่าเพียง 1/1000 นี้ ก็สามารถตัดทิ้งออกไป เพื่อลดความซับซ้อนได้ครับ ที่เหลือลองเอาไปวิเคราะห์กันเอาเองนะครับ หรือถ้าใครใช้ Spice เป็น ก็จะยิ่งง่ายมากครับ ผมว่าผมมาส่งไกลมากแล้วครับ แต่ถ้ายังมีข้อสงสัยก็สอบถามเพิ่มเติมได้ครับ ยินดีตอบเท่าที่ทราบครับ

(รูป Equiv Circuit นี้ ไม่ใช่รูปสมบูรณ์นะครับ รูปเต็มจริงๆ จะมีค่า C แฝงต่างๆ ด้วย และจะซับซ้อนกว่านี้มากครับ)