วันนี้ขอมาต่อเรื่องImpulse Response ที่ค้างไว้จากกราฟคราวที่แล้ว มันเป็นการวัดการตอบสนองของห้องต่อเสียง หลักการก็คือเครื่องจะทำการบันทึกเสียงช่วงสั้นๆไม่กี่สิบวินาที เมื่อเริ่มบันทึกก็จะไม่มีเสียงเพื่อวัดค่า noise ของห้อง อีกสัก 3-7วินาทีเครื่องก็จะส่งสัญญาณเสียงไปยัง pre เพื่อทำให้เกิดเสียงซึ่งอาจจะป็นเสียงimpulse เสียงลูกโป่งแตก หรือเป็นเสียง Sweep แล้วแต่เราเลือก หลังจากอัดเสียงเสร็จก็จะคำนวณค่าต่างๆออกมาได้ เหมือนในรูปข้างล่างนี้

มาดูแต่ละค่ากันครับว่ามีความหมายอะไรบ้าง เอาแบบคร่าวๆที่ได้ใช้งานจริงๆ บางค่าก็ไม่จำเป็นสำหรับห้องhome theater
T30 หรือที่เราคุ้นกันคือ RT60 เป็นค่าเวลาที่เสียงลดลงจนถึง 60dBหลังจากสิ้นสุดต้นกำเนิดเสียง พูดง่ายๆก็คือความก้องของห้อง ถ้ามีค่ามากแสดงว่าห้องมีการก้องของเสียงมาก ค่าที่ THX แนะนำไว้ประมาณ 2-4 ms ห้องวัดได้ที่ Mid 0.37s ส่วน High freq ได้0.34 s ซึ่งถือว่าอยู่ในช่วงปกติ แต่มาดูที่กราฟอีกที

อันบนเป็นกราฟของT30 ที่แยกมาแต่ละคลื่นความถี่ พบสูงสุดของ Octave 63 วัดได้ .511 ก็ถือว่าสูงนิดหน่อย ก็ถ้าต้องการให้ลดอาจต้องหา bass trap ที่จับความถี่ต่ำมาลดการสะท้อนของความถี่ต่ำๆ ซึ่งอย่างที่เคยบอกไปว่าค่า RT60 จะวัดยากและไม่ค่อยเท่ากัน เวลาวัดก็ต้องดูที่มันเฉลี่ยออกมาใกล้เคียงกันที่สุดคร่าวๆก็พอเป็น Idea
ส่วนกราฟด้านล่างของ RT60 เป็นกราฟของ SN Avg ก็คือค่า Signal to Noise Ratio เป็นการวัดความต่างของเสียงImpulse กับเสียง noise แนะนำให้ได้เกิน 50 ยิ่งมากยิ่งดีแสดงว่า Noise น้อยเมื่อเทียงกับสัญญาณเสียง ห้องนี้ได้ 57dB ก็ถือว่า OK แต่จากกราฟ ความถี่ต่ำได้ค่า 49.5 ถือว่าถ้าจะเอาให้ดีกว่านี้คงต้องลด noise ความถี่ต่ำลงอีกหน่อย
ค่าอีกสองค่าที่น่าสนใจคือ C50 กับ C80 เป็นค่า Charity parameter พูดง่ายๆก็คือค่าที่บอกความชัดของเสียง C50 มันใช้ในห้องที่มีการใช้เสียงพูดเป็นหลัก ส่วน C80 ใช้กับห้องที่ต้องการทำเป็นห้องฟังเพลงเป็นหลัก ค่าที่มากขึ้นบ่งถึงว่าตัวโนัตจะชัดขึ้นการบวมเบลอของเสียงจะน้อยลง หน่วยจะเป็น dB ไม่มีค่ามาตฐานที่ใช้กันทั่วไปสักเท่าไหร่ รู้เพียงว่าในห้องที่เน้นฟังเพลงเล็กๆก็ค่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 1ถึง -16dB จากกราฟจะเห็นว่าห้องผมค่าต่ำสุดจะอยู่ที่ 315Hz ที่2 dB ก็พอถูไถ

อีกค่าที่น่าสนใจคือค่า BR หรือค่า Bass Ratio เป็นค่าที่แสดงค่า warmth ของห้อง แปลเป็นไทยก็น่าจะเป็นความอบอุ่นของห้อง ค่าที่สูงห้องจะเป็นห้องที่มีเบสมากขึ้น โดยห้องที่จะให้เพื่อวัตถุประสงค์ในการพูดเป็นหลัก ค่าควรจะอยู่ระหว่า 0.9-1.0 แต่ถ้าเป็นห้องที่ต้องการเน้นเรื่องเสียงดนตรี ค่าควรจะอยู่ 1.0-1.3 ห้องผมได้ 1.28 ก็พอไหวสำหรับห้องที่เน้นเสียงดนตรี
กราฟต่อมาเป็นกราฟที่บอกถึง Early Reflextions ของห้อง หรือการสะท้อนของห้องในช่วงแรก

จากกราฟผมได้ลาก Cursor ไปยังจุด first reflextion ของลำโพงL-R พบว่าค่าอยู่ที่ 1.1เมตร ซึ่งค่านี้จะช่วยในการ treatment ห้อง เช่นถ้าเราต้องการลด first reflextion ของเสียงลำโพงสองตัวนี้ก็ต้องวาง วัสดุ treatment ไม่ว่าจะเป็น diffusor, absorber ห้างจากลำโพงสัก 1.1 เมตร แต่ระวังเพราะว่า Early Reflextion ของเสียงเป็น Reflextion ที่ดีไม่ควรกำจัดออกหมด ตัวที่ไม่ดีคือ late reflextion ซึ่งจะทำให้เสียงไม่ชัดพร่ามัวและเพี้ยน บางคนเข้าใจผิดคิดว่า reflextion พวกนี้ไม่ดีหมดเลยเก็บเสียหมดเลย มันก็เลยทำให้เป็นการ Over treatment เสียงที่ได้ออกมาก็จะแห้ง ไม่เหมือนธรรมชาติ มือ set ระดับโลกหลายคนไม่ว่าจะเป็น John Dahl, Bob Hodas, Gerry lemay หรือเจ้าพ่อ Acoustic อย่าง Dr. Floyd Toole พูดเหมือนกันทุกคนว่าข้อผิดพลาดที่เห็นบ่อยในห้อง home theater หรือ แม้กระทั่งโรงภาพยนต์บางโรงเอง คือ Over Absorption มันทำให้เสียงแปลกๆ ไม่มีการสะท้อนที่เหมาะสม เหมาะเป็นห้องประชุมมากกว่าห้องดูหนังฟังเพลง แต่ก็เคยมีคนแย้ง Gerry ว่าห้องดูหนังเราก็ต้องเน้นเสียงพูดมากที่สุด ซึ่งเขาก็ตอบว่าไหนบอกบอกหน่อยว่าหนังที่เคยดูมีเรื่องไหนบ้างที่ไม่มีเพลงประกอบอยู่ในเรื่องบ้างซึ่งเพลงนี่แหละทำให้ได้อรรถรสหนังมากขึ้น ดังนั้นการใส่ Diffuser และ Absorber จึงใส่แค่พอเหมาะก็พอ เหลือพื้นที่ไว้ให้เสียงมันสะท้อนบ้างซึ่งในแต่ละแห่งก็จะมีสูตรการใส่การวางtreatment พวกนี้ต่างๆกันไป THX ก็มี pattern การวางของเขาเองเหมือนกัน แต่คงต้องพูดกันอีกยาว 555
พูดมาซะยืดยาว เดียวถ้าว่างๆคราวหน้าและยังมีคนสนใจ ผมค่อยมาพูดถึงเรื่อง การวัดด้วย FFT ฝากไว้กับกราฟ FFT ก่อนที่จะปรับ กับหลังปรับ ว่ารูปหลังจากปรับมันมาได้ยังไงต้องปรับอะไรบ้าง
อันนี้เป็นเสียงเบสก่อนปรับ

อันนี้เป็นเสียงเบสหลังปรับ

อันนี้เป็น Full pink noise ก่อนปรับ

อันนี้เป็น Full pink noise หลังปรับ
