HTG2.club

Home Theater Guide webboard => มุม Thai DIY Audio => ข้อความที่เริ่มโดย: Rabbit-Hunter ที่ 15 มกราคม, 2010, 12:00:51 pm

หัวข้อ: ค่า K ของ output จะเปลี่ยนไปไหม เมื่อ จ่ายไฟให้กับหลอดเพิ่มขึ้นหรือลดลง จากเสปคดาต้าชีทของหลอด
เริ่มหัวข้อโดย: Rabbit-Hunter ที่ 15 มกราคม, 2010, 12:00:51 pm
ผมสงสัยอยู่มากเรื่องค่า impledance ของหม้อแปลงนี่ มันเป็นค่าคงที่เลยหรือเปล่าครับ เมื่อเราจ่ายไฟให้วงจรสูงขึ้น หรือ ตำ่ลง มาก ๆ เป็น 50-150 โวล์ทมีผลต่อค่า อิมพิแดนซืของหม้อแปลงเปลี่ยนไปหรือไม่ ซื่งหลาย ๆ วงจร เห็นมีการกำหนดค่าไฟเอาไว้ด้วย อันนี้ ก็น่าจะถูกต้อง นำมาใช้คำนวนทำหม้อแปลง แต่พวกหม้อแปลงที่ทำกันเองนี่ นอกจากอ้างอิงเสปคหลอดแล้วว่าหลอดต้องการอิมพิแดนซืกี่ K แล้วน่ามีการกำหนดไฟและกระแสที่จะจ่ายให้ด้วย แต่สังเกตุเห็นบางคนต้องการแค่หม้อแปลง output เท่านั้นเท่านี้ K โดยไม่คำนึงถึงภาคจ่ายไฟว่า วงจรที่เหมาะสม อันนี้ค่า k ของหม้อแปลงเวลานำไปใช้เปลี่ยนไปไหม ซึ่งจากแหล่งผลิดเขาคงจะมีการอ้างอิงไฟจุดใดจุดหนึ่งในการคำนวน  ซึ่งมันจะมีผลทำให้เสียงที่ออกมาฟังดูแล้ว ไม่พอดี ...คับ หรือ หลวมเกินไป......
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.so-nE ที่ 15 มกราคม, 2010, 12:10:39 pm
 :showoff :showoff :showoff :showoff  โปรเจ็คไรอีกครับ ;D ;D ;D เดี๋ยวไม่มีที่วางนะ c)
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: darkman ที่ 15 มกราคม, 2010, 12:36:00 pm
ค่า impedance ไม่น่าเปลี่ยนเพราะเป็นอัตราส่วนรอบระหว่าง Pri กับ Sec นะครับ
ส่วนสิ่งที่จะเปลี่ยนไปคือความสามารถในการตอบสนองความถี่ ของตัวหม้อแปลง
อันเนื่องจากการเพิ่ม - ลด กระแสครับ

ปกติการออกแบบหม้อแปลง OPT เค้ามักใช้ค่ากระแสไหลผ่านหลอดตามค่าจาก
Datasheet ที่เรา Bias กันมาตรฐานครับ
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: EaGLEViEW ที่ 15 มกราคม, 2010, 12:44:51 pm
มาร่วมด้วยช่วยสงสัยครับ

 ผมสงสัยว่าถ้าความถี่เปลี่ยนแปลงไป ค่า K ของหม้อแปลงจะเปลี่ยนไปด้วยตามสมการ  XL = 2 * Pi * F * L  ไหมครับ  แล้วถ้ามันเปลี่ยนแปลงตามสมการนี้จริง การลากเส้นออกแบบ Output Stage มันจะยังใช้ เส้นตรงที่มีค่า Slopeคงที่ ตามค่า K ได้หรอครับ
หัวข้อ: Re: ค่า K ของ output จะเปลี่ยนไปไหม เมื่อ จ่ายไฟให้กับหลอดเพิ่มขึ้นหรือลดลง จากเสปคดาต้าชีทของ
เริ่มหัวข้อโดย: Rabbit-Hunter ที่ 15 มกราคม, 2010, 12:58:17 pm
     โปรเจ็คไรอีกครับ    เดี๋ยวไม่มีที่วางนะ ของเก่ามันมีเยอะ 5555 เลยเล่นแร่แปลธาตุ กำลังทำ 6L6GC ppp อยู่แบบว่าทำเอามัน (Parallel -Push-Pull) แบ่งขายไม่มีคนซื้อ ทำเล่นซะเลยต้นทุนถูก ๆ ว่าจะเอาขับซับ JBL  GT-1000 ให้กระจายเสียหน่อย ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: tubeman ที่ 15 มกราคม, 2010, 01:27:49 pm
ค่า Impedance ของ OPT เป็นค่า คงที่เมื่อ Load คงที่ครับ

หมายความว่า ถ้า 5k : 8 Ohm มันก็จะเป็น 5k:8R ตลอดถ้าลำโพงไม่เปลี่ยนจาก 8 ohm ครับ

แต่ในความเป็นจริงลำโพงจะไม่เป็น 8 ohm ตลอดเวลาครับเมื่อความถี่เปลี่ยนไป  :)
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: PORN ที่ 15 มกราคม, 2010, 05:22:18 pm
ค่า Impedance ของ OPT เป็นค่า คงที่เมื่อ Load คงที่ครับ

หมายความว่า ถ้า 5k : 8 Ohm มันก็จะเป็น 5k:8R ตลอดถ้าลำโพงไม่เปลี่ยนจาก 8 ohm ครับ

แต่ในความเป็นจริงลำโพงจะไม่เป็น 8 ohm ตลอดเวลาครับเมื่อความถี่เปลี่ยนไป  :)

"  ค่า Impedance ของ OPT เป็นค่า คงที่เมื่อ Load คงที่ครับ

หมายความว่า ถ้า 5k : 8 Ohm มันก็จะเป็น 5k:8R ตลอดถ้าลำโพงไม่เปลี่ยนจาก 8 ohm ครับ  " ---> เป็นจริงที่ความถี่หนึ่งเท่านั้น เช่น ที่ 1 Khz    แต่ถ้าความถี่เปลี่ยนไปเป็น 5Khz  ค่า Impedance ของ OPT อาจ เปลี่ยนไป  ทั้งๆที่  load  และ  กระแส เท่าเดิม




ผมสงสัยอยู่มากเรื่องค่า impledance ของหม้อแปลงนี่ มันเป็นค่าคงที่เลยหรือเปล่าครับ เมื่อเราจ่ายไฟให้วงจรสูงขึ้น หรือ ตำ่ลง มาก ๆ เป็น 50-150 โวล์ทมีผลต่อค่า อิมพิแดนซืของหม้อแปลงเปลี่ยนไปหรือไม่ ซื่งหลาย ๆ วงจร เห็นมีการกำหนดค่าไฟเอาไว้ด้วย อันนี้ ก็น่าจะถูกต้อง นำมาใช้คำนวนทำหม้อแปลง แต่พวกหม้อแปลงที่ทำกันเองนี่ นอกจากอ้างอิงเสปคหลอดแล้วว่าหลอดต้องการอิมพิแดนซืกี่ K แล้วน่ามีการกำหนดไฟและกระแสที่จะจ่ายให้ด้วย แต่สังเกตุเห็นบางคนต้องการแค่หม้อแปลง output เท่านั้นเท่านี้ K โดยไม่คำนึงถึงภาคจ่ายไฟว่า วงจรที่เหมาะสม อันนี้ค่า k ของหม้อแปลงเวลานำไปใช้เปลี่ยนไปไหม ซึ่งจากแหล่งผลิดเขาคงจะมีการอ้างอิงไฟจุดใดจุดหนึ่งในการคำนวน  ซึ่งมันจะมีผลทำให้เสียงที่ออกมาฟังดูแล้ว ไม่พอดี ...คับ หรือ หลวมเกินไป......

" เมื่อเราจ่ายไฟให้วงจรสูงขึ้น หรือ ต่ำลง มาก ๆ เป็น 50-150 โวล์ทมีผลต่อค่า อิมพิแดนซืของหม้อแปลงเปลี่ยนไปหรือไม่ "  ---> ไม่มีผลต่อ อิมพิแดนซืของหม้อแปลง    แต่ มีผลต่อ impledance ของหลอด  ที่เรียกว่า Load line
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Mr. Tube ที่ 15 มกราคม, 2010, 05:51:27 pm
ค่า Impedance ของ OPT เป็นค่า คงที่เมื่อ Load คงที่ครับ

หมายความว่า ถ้า 5k : 8 Ohm มันก็จะเป็น 5k:8R ตลอดถ้าลำโพงไม่เปลี่ยนจาก 8 ohm ครับ

แต่ในความเป็นจริงลำโพงจะไม่เป็น 8 ohm ตลอดเวลาครับเมื่อความถี่เปลี่ยนไป  :)

"  ค่า Impedance ของ OPT เป็นค่า คงที่เมื่อ Load คงที่ครับ

หมายความว่า ถ้า 5k : 8 Ohm มันก็จะเป็น 5k:8R ตลอดถ้าลำโพงไม่เปลี่ยนจาก 8 ohm ครับ  " ---> เป็นจริงที่ความถี่หนึ่งเท่านั้น เช่น ที่ 1 Khz    แต่ถ้าความถี่เปลี่ยนไปเป็น 5Khz  ค่า Impedance ของ OPT อาจ เปลี่ยนไป  ทั้งๆที่  load  และ  กระแส เท่าเดิม

รบกวนช่วยอธิบายด้วยครับว่า เมื่อ Load และกระแสไม่เปลี่ยนแปลง เหตุใดค่า Impedance ของ Primary ที่ 1kHz กับ 5kHz จึงไม่เท่ากันครับ และ --อาจ เปลี่ยนไป-- ที่คุณ PORN ว่าไว้ คือเปลี่ยนไปในทางไหน และเป็นเพราะอะไรครับ ขอบคุณครับ  :)
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: k.ken ที่ 15 มกราคม, 2010, 06:24:04 pm
 K] K] K]
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: PORN ที่ 15 มกราคม, 2010, 06:34:48 pm
" เหตุใดค่า Impedance ของ Primary ที่ 1kHz กับ 5kHz จึงไม่เท่ากันครับ "--->เพราะการเหนี่ยวนำสนามแม่เหล็ก กันคนละความถี่  จาก pri --> sec
 เหมือนกับ รถยนต์

เครื่องยนต์  =  หลอด
เกียร์            =  OPT
ล้อ + ถนน     =   ลำโพง
ความเร็ว        =   ความถี่

เปรียบเทียบเล่นๆ  ไม่จริงสักเท่าไร  ถ้ารถวิ่งความเร็วต่ำ  ก็เกียร์ 1,2
                                               ถ้ารถวิ่งความเร็วสูง  ก็เกียร์ 3,4
เกียร์  ทำหน้าที่ถ่ายทอดพลังงานจากเครื่องยนต์ไปสู่ ล้อ   ถ้าต่ำแหน่งเกียร์ ไม่เหมาะสม(match)กับความเร็ว  พลังงานจากเครื่องยนต์ ไปสู่ ล้อ ก็ไม่ได้เต็มที่  ลองเข้าเกียร์1 แล้วเร่งเครื่องเต็มที่เพื่อวิ่งได้ 100/ชม  ทำได้ไหม
เกียร์ มี สองแบบ manual  กับ auto

OPT ที่ดี ต้องเป็น แบบ เกียร์auto

ผมว่า งง นะ :D
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: gai ที่ 15 มกราคม, 2010, 06:45:12 pm
" เหตุใดค่า Impedance ของ Primary ที่ 1kHz กับ 5kHz จึงไม่เท่ากันครับ "--->เพราะการเหนี่ยวนำสนามแม่เหล็ก กันคนละความถี่  จาก pri --> sec
 เหมือนกับ รถยนตร์

เครื่องยนตร์   =  หลอด
เกียร์            =  OPT
ล้อ + ถนน     =   ลำโพง
ความเร็ว        =   ความถี่

เปรียบเทียบเล่นๆ  ไม่จริงสักเท่าไร  ถ้ารถวิ่งความเร็วต่ำ  ก็เกียร์ 1,2
                                               ถ้ารถวิ่งความเร็วสูง  ก็เกียร์ 3,4
เกียร์  ทำหน้าที่ถ่ายทอดพลังงานจากเครื่องยนตร์ ไปสู่ ล้อ   ถ้าต่ำแหน่งเกียร์ ไม่เหมาะสม(match)กับความเร็ว  พลังงานจากเครื่องยนตร์ ไปสู่ ล้อ ก็ไม่ได้เต็มที่  ลองเข้าเกียร์1 แล้วเร่งเครื่องเต็มที่เพื่อวิ่งได้ 100/ชม  ทำได้ไหม
เกียร์ มี สองแบบ manual  กับ auto

OPT ที่ดี ต้องเป็น แบบ เกียร์auto

ผมว่า งง นะ :D
อาจารย์ PORN เล่นลูกเล่นเอง งงเอง  2f  2f  2f อ่านแล้วพอเห็นภาพอย่างงงๆ  2f 2f 2f
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: PORN ที่ 15 มกราคม, 2010, 07:01:04 pm
ก็พี่gai ขับแต่เครื่องจัมโบ  airbus   ยกตัวอย่างรถเลย งง นะซิ  2f   2f

มา งง กันต่อ
" เหตุใดค่า Impedance ของ Primary ที่ 1kHz กับ 5kHz จึงไม่เท่ากันครับ และ --อาจ เปลี่ยนไป-- ที่คุณ PORN ว่าไว้ คือเปลี่ยนไปในทางไหน และเป็นเพราะอะไรครับ ขอบคุณครับ "  --->เปลี่ยนไปในทางไหน ตอบไม่ได้เลย ค่า imp อาจสูงขึ้นหรือ ต่ำลงก็ได้ แล้วแต่ factorต่างๆ ขนาดEI  ลวด จำนวนรอบ  เนื้อเหล็ก การพัน มีผลทั้งนั้น
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Mr. Tube ที่ 15 มกราคม, 2010, 08:26:31 pm
ขอบคุณมากครับคุณ PORN แต่ผมเห็นว่าการเปรียบเทียบเช่นนี้ ไม่ค่อยจะใกล้เคียงเท่าไหร่ในประเด็น ความเร็ว = ความถี่ ครับ

อันที่จริงแล้ว การใช้เกียร์1 และให้รถวิ่งได้เร็ว 100km/H นั้นสามารถทำได้ครับ ขึ้นกับการออกแบบเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังครับ ถ้าเครื่องยนต์มี Torque มากพอที่รอบต่ำและสามารถทำรอบเครื่องได้สูงๆ โจทย์ข้อนี้ก็เป็นไปได้ครับ ที่เรามักจะพบว่า เกียร์1 ทำความเร็วได้ไม่มาก ก็เพราะมันถูกออกแบบมาให้เป็นเช่นนั้นครับ คือเกียร์1 ต้องการ Torque มากๆ เพื่อให้ได้กำลังสำหรับออกตัวและเร่งความเร็ว ส่วนที่เกียร์สูงขึ้นไปต้องการจำนวนรอบเพื่อรักษาความเร็ว ไม่ได้ต้องการความเร่งครับ แนวทางการออกแบบรถยนต์ทั่วๆ ไป ทำให้เราเข้าใจว่ามันเป็นไปไม่ได้ครับ

ผมเห็นด้วยกับคุณ tubeman ที่ค่า Primary Imp จะคงที่เมื่อ Load คงที่ครับ อธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ครับ ตามกฎของหม้อแปลง Ip x Vp = Is x Vs ครับ เมื่อ Ip,Vp คือกระแสและแรงดันบน Primary และ Is,Vs คือกระแสและแรงดันบน Secondary ครับ

สมมุติหม้อแปลงมีอัตราทด Np/Ns = 2 หรือในรูป Voltage Vp/Vs = 2 ถ้าแรงดันตกคร่อม Load 8 Ohm (DC Resistance) = 8V ก็จะมีกระแสไหล 1A ตามกฎของหม้อแปลงแล้ว Vp = 16V และ Ip ย่อม = 0.5A ครับ หรือเทียบเท่ากับ Imp 16/0.5 = 32 ohm ครับ จะเห็นว่าสมการเหล่านี้ไม่มีความถี่เข้ามาเกี่ยวข้องเลย เพราะฉะนั้นความถี่ไม่เกี่ยวครับ จะ 5kHz หรือ 50Hz ค่า Imp ของ Primary ก็ยังคงเป็น 32 ohm เมื่อค่า Load ที่ Sec = 8 ohm ครับ  :)
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: EaGLEViEW ที่ 15 มกราคม, 2010, 08:57:41 pm
ขอบคุณมากครับคุณ PORN แต่ผมเห็นว่าการเปรียบเทียบเช่นนี้ ไม่ค่อยจะใกล้เคียงเท่าไหร่ในประเด็น ความเร็ว = ความถี่ ครับ

อันที่จริงแล้ว การใช้เกียร์1 และให้รถวิ่งได้เร็ว 100km/H นั้นสามารถทำได้ครับ ขึ้นกับการออกแบบเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังครับ ถ้าเครื่องยนต์มี Torque มากพอที่รอบต่ำและสามารถทำรอบเครื่องได้สูงๆ โจทย์ข้อนี้ก็เป็นไปได้ครับ ที่เรามักจะพบว่า เกียร์1 ทำความเร็วได้ไม่มาก ก็เพราะมันถูกออกแบบมาให้เป็นเช่นนั้นครับ คือเกียร์1 ต้องการ Torque มากๆ เพื่อให้ได้กำลังสำหรับออกตัวและเร่งความเร็ว ส่วนที่เกียร์สูงขึ้นไปต้องการจำนวนรอบเพื่อรักษาความเร็ว ไม่ได้ต้องการความเร่งครับ แนวทางการออกแบบรถยนต์ทั่วๆ ไป ทำให้เราเข้าใจว่ามันเป็นไปไม่ได้ครับ

ผมเห็นด้วยกับคุณ tubeman ที่ค่า Primary Imp จะคงที่เมื่อ Load คงที่ครับ อธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ครับ ตามกฎของหม้อแปลง Ip x Vp = Is x Vs ครับ เมื่อ Ip,Vp คือกระแสและแรงดันบน Primary และ Is,Vs คือกระแสและแรงดันบน Secondary ครับ

สมมุติหม้อแปลงมีอัตราทด Np/Ns = 2 หรือในรูป Voltage Vp/Vs = 2 ถ้าแรงดันตกคร่อม Load 8 Ohm (DC Resistance) = 8V ก็จะมีกระแสไหล 1A ตามกฎของหม้อแปลงแล้ว Vp = 16V และ Ip ย่อม = 0.5A ครับ หรือเทียบเท่ากับ Imp 16/0.5 = 32 ohm ครับ จะเห็นว่าสมการเหล่านี้ไม่มีความถี่เข้ามาเกี่ยวข้องเลย เพราะฉะนั้นความถี่ไม่เกี่ยวครับ จะ 5kHz หรือ 50Hz ค่า Imp ของ Primary ก็ยังคงเป็น 32 ohm เมื่อค่า Load ที่ Sec = 8 ohm ครับ  :)

สมการ Impedance ของหม้อแปลง ใช่สมการหาค่า XL = wL  หรือเปล่าครับ  ถ้าใช่ ความถี่มันน่าจะส่งผลด้วยนะครับ
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: PORN ที่ 15 มกราคม, 2010, 09:19:13 pm
ใดๆในโลกล้วนอนิจจัง  คนบ่ดูหนังสือยังสอบได้ ดูตำราตั้งตี5 ตี6 สอบตกมีถมไป   
ถ้าคิดว่าโลกอยู่นิ่งมันก็นิ่ง  ถ้าคิดว่ามันหมุน มันก็หมุนไป
ถ้าคิดว่าจักรวาลอยู่นิ่งมันก็นิ่ง  ถ้าคิดว่ามันเคลื่อนที่  มันก็เคลื่อนที่ไป

ถ้าคิดว่าสมการอยู่นิ่งมันก็นิ่ง  ถ้าคิดว่าสมการ......     มันก็........


 :bye1   




หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: tubeman ที่ 15 มกราคม, 2010, 09:49:21 pm
ขอบคุณมากครับคุณ PORN แต่ผมเห็นว่าการเปรียบเทียบเช่นนี้ ไม่ค่อยจะใกล้เคียงเท่าไหร่ในประเด็น ความเร็ว = ความถี่ ครับ

อันที่จริงแล้ว การใช้เกียร์1 และให้รถวิ่งได้เร็ว 100km/H นั้นสามารถทำได้ครับ ขึ้นกับการออกแบบเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังครับ ถ้าเครื่องยนต์มี Torque มากพอที่รอบต่ำและสามารถทำรอบเครื่องได้สูงๆ โจทย์ข้อนี้ก็เป็นไปได้ครับ ที่เรามักจะพบว่า เกียร์1 ทำความเร็วได้ไม่มาก ก็เพราะมันถูกออกแบบมาให้เป็นเช่นนั้นครับ คือเกียร์1 ต้องการ Torque มากๆ เพื่อให้ได้กำลังสำหรับออกตัวและเร่งความเร็ว ส่วนที่เกียร์สูงขึ้นไปต้องการจำนวนรอบเพื่อรักษาความเร็ว ไม่ได้ต้องการความเร่งครับ แนวทางการออกแบบรถยนต์ทั่วๆ ไป ทำให้เราเข้าใจว่ามันเป็นไปไม่ได้ครับ

ผมเห็นด้วยกับคุณ tubeman ที่ค่า Primary Imp จะคงที่เมื่อ Load คงที่ครับ อธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ครับ ตามกฎของหม้อแปลง Ip x Vp = Is x Vs ครับ เมื่อ Ip,Vp คือกระแสและแรงดันบน Primary และ Is,Vs คือกระแสและแรงดันบน Secondary ครับ

สมมุติหม้อแปลงมีอัตราทด Np/Ns = 2 หรือในรูป Voltage Vp/Vs = 2 ถ้าแรงดันตกคร่อม Load 8 Ohm (DC Resistance) = 8V ก็จะมีกระแสไหล 1A ตามกฎของหม้อแปลงแล้ว Vp = 16V และ Ip ย่อม = 0.5A ครับ หรือเทียบเท่ากับ Imp 16/0.5 = 32 ohm ครับ จะเห็นว่าสมการเหล่านี้ไม่มีความถี่เข้ามาเกี่ยวข้องเลย เพราะฉะนั้นความถี่ไม่เกี่ยวครับ จะ 5kHz หรือ 50Hz ค่า Imp ของ Primary ก็ยังคงเป็น 32 ohm เมื่อค่า Load ที่ Sec = 8 ohm ครับ  :)

ผมนึกว่าจะต้องเปลี่ยนวิธีการออกแบบภาค Output ของแอมป็ใหม่ซะแล้ว  ;D โดยต้องลาก Load Line สัก 10 ค่า ตลอดย่าน 20Hz-20kHz  ;D ขอบคุณ Mr.Tube ที่มาช่วย Confirm  O0 ว่าผมไม่ได้เข้าใจผิดมาโดยตลอด

เมื่อ Turn Ratio  = Sqrt (Impedance Ratio)   และเมื่อ Turn Ratio มันเป็นค่าคงที่ (ลวดพันกี่รอบมันก็คงอยู่อย่างนั้น) ดังนั้น Primary Impedance ย่อมคงที่ถ้า Load คงที่ครับ

สิ่งที่อาจจะเปลี่ยนไปตามความถี่คือค่า Inductive Reactance และ Capacitive Reactance ที่จะเปลี่ยนไปซึ่งจะมีผลกับ Freq Respons ของ OPT ตัวนั้นๆ แต่ไม่ใช่ Impedance ครับ ผมเข้าใจถูกไหม  ;D

เริ่มงง  ;D
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: nut_ty ที่ 15 มกราคม, 2010, 10:03:42 pm
รบกวนช่วยแปลหน่อยครับ ว่าเขาเขียนว่าอะไร ?

Impedance is more complex than resistance because the effects of capacitance and inductance vary with the frequency of the current passing through the circuit and this means impedance varies with frequency! The effect of resistance is constant regardless of frequency.



หัวข้อ: Re: ค่า K ของ output จะเปลี่ยนไปไหม เมื่อ จ่ายไฟให้กับหลอดเพิ่มขึ้นหรือลดลง จากเสปคดาต้าชีทของ
เริ่มหัวข้อโดย: Rabbit-Hunter ที่ 15 มกราคม, 2010, 10:12:57 pm
ขอบคุณครับ ทำให้ผมคิดได้อีกหลาย ๆ มุมเลย    :) :) อย่างน้อยผมก็คิดว่าน่าจะคำนึงถึงดาต้าซีทของหลอดก่อน แล้ว มาออกแบบภาคจ่ายไฟ เมื่อได้ภาคจ่ายไฟที่มันนึ่ง ๆ แล้ว ค่อยเอาค่าจากแหล่งจ่ายไฟ มาคำนวนแล้วพัน Output Tranformer อย่างนี้น่าจะ Match กำลังน่าจะทำได้สูงสุดและ สิ้นเปลืองวัสดุและค่าใช้จ่ายได้น้อยที่สุด :clap :clap :clap ส่วนเรื่องความถึ่นี่ ก็ยังไม่ต้องไปคิดกับมันมาก คือ ผมตั้งใจจะทำแอมป์หลอดเพื่องานสำหรับ Sub bass เพราะอย่างไงความถี่ 50 HZ มันสามารถ Match ออกมาได้ ความถี่ที่ 20 HZ มันก็น่าจะออกมาได้ แต่สังเกตุดูว่า เสียง ฺBass มันจะเริ่มมันขึ้น เมื่อความถี่ ซักประมาณ 50 -250 ็HZ  เอาไว้ดูพวก คอนเสริท พวกที่มันเป็นพวก  audiofile หรือพวก Opera เวลาเขาตีกลองตัวใหญ่ ๆ มันสะใจดีครับ c) c) c)
หัวข้อ: text
เริ่มหัวข้อโดย: Eak-tubeamp ที่ 15 มกราคม, 2010, 10:38:00 pm
ขอบคุณมากครับคุณ PORN  แต่ผม เห็นว่าการ เปรียบ เทียบ เช่นนี้  ไม่ค่อยจะ ใกล้ เคียง เท่า ไหร่ ในประ เด็น ความ เร็ว = ความถี่ ครับ

อันที่จริง แล้ว การ ใช้ เกียร์ 1  และ ให้รถวิ่ง ได้ เร็ว 100km/H นั้นสามารถทำ ได้ครับ ขึ้นกับการออก แบบ เครื่องยนต์ และ ระ บบส่งกำ ลังครับ ถ้า เครื่องยนต์ มี Torque มากพอที่รอบต่ำ และ สามารถทำ รอบ เครื่อง ได้สูงๆ   โจทย์ ข้อนี้ก็ เป็น ไป ได้ครับ ที่ เรามักจะ พบว่า  เกียร์ 1 ทำ ความ เร็ว ได้ ไม่มาก ก็ เพราะ มันถูกออก แบบมา ให้ เป็น เช่นนั้นครับ คือ เกียร์ 1 ต้องการ Torque มากๆ   เพื่อ ให้ ได้กำ ลังสำ หรับออกตัว และ เร่งความ เร็ว ส่วนที่ เกียร์ สูงขึ้น ไปต้องการจำ นวนรอบ เพื่อรักษาความ เร็ว  ไม่ ได้ต้องการความ เร่งครับ  แนวทางการออก แบบรถยนต์ ทั่วๆ   ไป ทำ ให้ เรา เข้า ใจว่ามัน เป็น ไป ไม่ ได้ครับ

ผม เห็นด้วยกับคุณ tubeman ที่ค่า Primary Imp จะ คงที่ เมื่อ Load คงที่ครับ อธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ ได้ครับ ตามกฎของหม้อ แปลง Ip x Vp = Is x Vs ครับ  เมื่อ Ip,Vp คือกระ แส และ แรงดันบน Primary  และ  Is,Vs คือกระ แส และ แรงดันบน Secondary ครับ

สมมุติหม้อ แปลงมีอัตราทด Np/Ns = 2 หรือ ในรูป Voltage Vp/Vs = 2 ถ้า แรงดันตกคร่อม Load 8 Ohm (DC Resistance) = 8V ก็จะ มีกระ แส ไหล 1A ตามกฎของหม้อ แปลง แล้ว Vp = 16V  และ  Ip ย่อม = 0.5A ครับ หรือ เทียบ เท่ากับ Imp 16/0.5 = 32 ohm ครับ จะ เห็นว่าสมการ เหล่านี้ ไม่มีความถี่ เข้ามา เกี่ยวข้อง เลย  เพราะ ฉะ นั้นความถี่ ไม่ เกี่ยวครับ จะ  5kHz หรือ 50Hz ค่า Imp ของ Primary ก็ยังคง เป็น 32 ohm  เมื่อค่า Load ที่ Sec = 8 ohm ครับ  :)

ผมนึกว่าจะ ต้อง เปลี่ยนวิธีการออก แบบภาค Output ของ แอมป็ ใหม่ซะ แล้ว  ;D  โดยต้องลาก Load Line สัก 10 ค่า ตลอดย่าน 20Hz-20kHz  ;D ขอบคุณ Mr.Tube ที่มาช่วย Confirm  O0 ว่าผม ไม่ ได้ เข้า ใจผิดมา โดยตลอด

 เมื่อ Turn Ratio  = Sqrt (Impedance Ratio)    และ เมื่อ Turn Ratio มัน เป็นค่าคงที่ (ลวดพันกี่รอบมันก็คงอยู่อย่างนั้น) ดังนั้น Primary Impedance ย่อมคงที่ถ้า Load คงที่ครับ

สิ่งที่อาจจะเปลี่ยน ไปตามความถี่คือค่า Inductive Reactance  และ  Capacitive Reactance ที่จะเปลี่ยนไปซึ่งจะ มีผลกับ Freq Respons ของ OPT ตัวนั้นๆ แต่ไม่ใช่ Impedance ครับ ผมเข้า ใจถูกไหม  ;D
เริ่มงง  ;D
  :clap :clap เยี่ยมๆ
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: prasan ที่ 15 มกราคม, 2010, 10:53:00 pm
ค่า Impedance ของ OPT เป็นค่า คงที่เมื่อ Load คงที่ เปรียบเสมือนคำกล่าวที่ว่าถ้าทุกคนในโลกเป็นคนดี อะไรต่างๆ ก็จะกำหนดไว้แต่แนวทางดีๆ  ;D ;D โหลดไลน์เป็นเสมือนเส้นทางเดินของคนดี  ;D ;D
OPT ทางอุดมคติเปรียบเหมือนคนดีหนักแน่นไม่แปรเปลี่ยนไปตามสิ่งแวดล้อม แต่ในโลกของความเป็นจริงมีสิ่งที่ทำให้ OPT เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ชนิดของแกนเหล็ก ความถี่ กระแส (อ้างอิงจาก Steve bench, Jim Flowers) แอร์แก็ป (ผมทดลองเอง  ;D ;D) และอื่นๆ ที่ผมเองก็ไม่ทราบจากการอ่าน  ;D ;D เปรียบเสมือนคนที่จิตใจแกร่งแต่อาจมีใจโอนโน้มไปตามสิ่งเล้า

แม้มันไม่อาจทำให้คนเป็นคนดีได้ 100% แต่ก็อาจทำให้เค้าเป็นคนดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ OPT ก็เช่นกันด้วยการปรับเปลี่ยนตัวแปรที่มีผลต่อพฤติกรรมของ OPT  ;D ;D
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: WIM ที่ 15 มกราคม, 2010, 11:00:59 pm
อย่าคิดมากครับOPTส่วนมากแล้วพันมาดีทั้งนั้น อิมพิแดนซ์มันเปลี่ยนน้อยมาก ที่ต้องดูคือRpของหลอดต่างหากที่เปลี่ยนเยอะกว่าถ้าเปลี่ยนกระแสหรือไฟที่จ่าย มันอาจจะเปลี่ยนจนเลยจุดพอดีของโหลดที่ใช้(ซึ่งก็คืออินพุทอิมพิแดนซ์ของOPT)
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: PORN ที่ 15 มกราคม, 2010, 11:20:12 pm
ดูเล่นๆ
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: prasan ที่ 15 มกราคม, 2010, 11:38:08 pm
คำกล่าวเพียงเล็กน้อยแต่ก็มีความหมาย Jim Flowers "The presence of the air gap LINEARIZES the transformer iron" แต่เท่าไรหละที่เหมาะสม ใครจะบอกได้ ;D ;D นอกจากจะทดลองเอง  ;D ;D
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: JUUD ที่ 15 มกราคม, 2010, 11:40:25 pm
กระทู้นี้ได้ความรู้ดีครับ
คุณ PORN นี่ นานๆมาตอบที่ แต่ได้ความรู้และได้ข้อคิดดีแท้เชียว
ขอบคุณ ขอบคุณ
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: tubeman ที่ 16 มกราคม, 2010, 06:39:40 am
ค่า Impedance ของ OPT เป็นค่า คงที่เมื่อ Load คงที่ เปรียบเสมือนคำกล่าวที่ว่าถ้าทุกคนในโลกเป็นคนดี อะไรต่างๆ ก็จะกำหนดไว้แต่แนวทางดีๆ  ;D ;D โหลดไลน์เป็นเสมือนเส้นทางเดินของคนดี  ;D ;D
OPT ทางอุดมคติเปรียบเหมือนคนดีหนักแน่นไม่แปรเปลี่ยนไปตามสิ่งแวดล้อม แต่ในโลกของความเป็นจริงมีสิ่งที่ทำให้ OPT เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ชนิดของแกนเหล็ก ความถี่ กระแส (อ้างอิงจาก Steve bench, Jim Flowers) แอร์แก็ป (ผมทดลองเอง  ;D ;D) และอื่นๆ ที่ผมเองก็ไม่ทราบจากการอ่าน  ;D ;D เปรียบเสมือนคนที่จิตใจแกร่งแต่อาจมีใจโอนโน้มไปตามสิ่งเล้า

แม้มันไม่อาจทำให้คนเป็นคนดีได้ 100% แต่ก็อาจทำให้เค้าเป็นคนดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ OPT ก็เช่นกันด้วยการปรับเปลี่ยนตัวแปรที่มีผลต่อพฤติกรรมของ OPT  ;D ;D

อย่าคิดมากครับOPTส่วนมากแล้วพันมาดีทั้งนั้น อิมพิแดนซ์มันเปลี่ยนน้อยมาก ที่ต้องดูคือRpของหลอดต่างหากที่เปลี่ยนเยอะกว่าถ้าเปลี่ยนกระแสหรือไฟที่จ่าย มันอาจจะเปลี่ยนจนเลยจุดพอดีของโหลดที่ใช้(ซึ่งก็คืออินพุทอิมพิแดนซ์ของOPT)

(http://www.htg2.net/index.php?action=dlattach;topic=61055.0;attach=133440;image)

เริ่มเข้าใจแล้วครับ..เหมื่อนที่พี่ประสานบอก ค่า Impedance ของ OPT เป็นค่า คงที่เมื่อ Load คงที่ แต่ในความป็นจริงยังมีองค์ประกอบอื่นๆที่เป็นตัวแปรอีก ที่อาจทำให้ค่า Impedance เปลี่ยนไป แต่ไม่ได้เปลี่ยนกันมาก

มายชนิด 5k ไปเป็น 10k , 20k กระมังครับ ถ้าออกแบบ OPT มาดี ดูจากกราฟของพี่ Porn ยิ่งได้แนวความคิด ที่ดีครับ   O0 ดูจากกราฟช่วงที่ใช้งาน 20Hz-20kHz มันค่อนข้างราบเรียบ น่าใช้งาน แต่ที่โด่งขึ้นมา

คือช่วงความถี่ 100k ซึ่งเราก็ไม่ได้ไปใช้งานอยู่แล้ว (เพราะหูไม่ได้ยิน)  ;D นั่นเป็นผลมาจาก ความถี่และองค์ประกอบอื่นๆ ที่อาจทำให้ค่า Inductive Reactance  และ  Capacitive Reactance ที่จะเปลี่ยนไป และส่งผล

ต่อทำให้ Impedance เปลี่ยนไป  ;D

เริ่มงงอีกแล้ว.. ;D ไม่รู้ถูกป่าว  ;D
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: prasan ที่ 16 มกราคม, 2010, 07:25:15 am
ดูจากกราฟช่วงที่ใช้งาน 20Hz-20kHz มันค่อนข้างราบเรียบ น่าใช้งาน แต่ที่โด่งขึ้นมา คือช่วงความถี่ 100k ซึ่งเราก็ไม่ได้ไปใช้งานอยู่แล้ว (เพราะหูไม่ได้ยิน)  ;D

หูไม่ได้ยินแต่ใจอยากให้ถึงเป็นเรื่องเลย  ;D ;D เอ๊ะ.. ฟังด้วยหูหรือด้วยใจ  ;D ;D จะว่าไปใจก็มีผลมากผลทดสอบออกมาแจ๋วแต่ฟังแล้วไม่ชอบก็มี  :nonono งงกับชีวิต...
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Mr. Tube ที่ 16 มกราคม, 2010, 09:55:12 am
ดูเล่นๆ
(http://www.htg2.net/index.php?action=dlattach;topic=61055.0;attach=133440;image)

ขอบคุณคุณ PORN ที่กลับมาเข้าเรื่องอย่างรวดเร็วครับ

กราฟลักษณะที่คุณ PORN แสดงไว้ ผมเคยเห็นมาแล้ว จึงเป็นที่มาของคำถามในกระทู้แรกครับ และคุณ PORN ตอบคำถามได้ไม่ Clear รวมถึงการตอบเชิงเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพก็ยังไม่ถูกต้องอีก หรืออย่างกราฟที่เอามาแสดงไว้ก็ดูไม่สอดคล้องกับคำตอบแรกของคุณ PORN ที่เปรียบเทียบ 1kHz กับ 5kHz อยู่ดี

คุณ PORN จะเอารูปผลการวัดเพียงแค่นี้แล้วเอามาสร้างเป็นทฤษฎีไม่ได้ครับ ทฤษฎีเรื่องหม้อแปลง มันถูกพิสูจน์มากว่า 100 ปีแล้ว ประเด็นคือเมื่อคุณ PORN เห็นว่าผลการวัดมันไม่สอดคล้องกับทฤษฎีพื้นฐานแล้ว คำอธิบายคืออะไร ต้องหาสาเหตุที่มันไม่สอดคล้องซะก่อน ไม่ใช่การไปเปลี่ยนทฤษฎีพื้นฐานของมันครับ (เราเรียนสาย Apply Science มาเหมือนกัน คิดว่าเราคงเข้าใจหลักการนี้ไม่ต่างกันเท่าไหร่นะครับ) หรือถ้าคุณ PORN พอใจจะเปลี่ยน ก็ขอความกรุณาช่วยเก็บไว้เป็นของส่วนตัวเถอะครับ

ก่อนที่คุณ PORN จะวิเคราะห์ผลจากกราฟของ Hashimoto ผมแนะนำให้คุณ PORN ศึกษาให้แม่นทฤษฎีหม้อแปลงก่อนครับ อย่างน้อยก็ให้เข้าใจ Ideal Transformer และวงจรสมมูลของมันก่อน แล้วลองศึกษาดูว่า Hashimoto เค้ามีวิธีการอย่างไรในการทดสอบ OPT แล้วจึงได้กราฟรูปนี้มา เส้น Impedance ที่เห็น เค้า Plot อย่างไร แล้วจึงค่อยมาวิเคราะห์ว่า เหตุใด Imp ที่ความถี่ต่ำจึงน้อยกว่าที่ช่วงความถี่กลาง และเหตุใดจึงมี Peak ที่ช่วงความถี่สูงครับ อีกประการหนึ่งคือถ้าเอา OPT ของ Lundahl มาวัด ผลจะไม่เป็นเช่นที่เห็นนี้ครับ (ลองค้นหาดูนะครับ)
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Mr. Tube ที่ 16 มกราคม, 2010, 10:00:01 am
รบกวนช่วยแปลหน่อยครับ ว่าเขาเขียนว่าอะไร ?

Impedance is more complex than resistance because the effects of capacitance and inductance vary with the frequency of the current passing through the circuit and this means impedance varies with frequency! The effect of resistance is constant regardless of frequency.

ผมแนะนำ web แปลภาษาให้ครับ http://www.stars21.com/translator/english_to_thai.html

ไว้คุณ nut_ty เข้าใจข้อความที่ถามแล้ว และเข้าใจเรื่องที่คุยกันแล้ว ค่อยเข้ามาคุยใหม่นะครับ
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: ลำน้ำ ที่ 16 มกราคม, 2010, 10:32:46 am
ถามง่ายๆ แบบใจร่มๆ (อาจไม่เกี่ยวกับเรื่องที่คุยก็ได้)  แต่ขอถามครับ ว่า

choke 5H ถ้า ไฟ 100Hz วิ่งผ่าน 50mA กับ 250mA ค่า inductance  จะเท่ากันหรือเปล่าครับ


---------------------------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: NAFU ที่ 16 มกราคม, 2010, 11:08:05 am
ถ้าดูจากเส้นกราฟ OPT 3.5K  ที่ 20Hz  imp. จะอยู่ที่ประมาณ 2K  เส้นจะเริ่ม linear ที่ประมาณความถี่ 3Khz จนถึง 10KHz  หลังจากนั้นเส้นกราฟจะชันสูงขึ้น
ก็แสดงว่าช่วงระหว่างความที่ 20Hz ถึง 100KHz  impedance ของ opt  จะเปลี่ยนแปลงอยู่ระหว่าง 1.5K-7.5K ที่ load 8 โอห์มเท่าเดิม
แสดงว่าความถี่มีผลต่อ impedance ของหม้อแปลง
ไม่ทราบว่าผมเข้าใจถูกหรือเปล่า  :D :D
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: NAFU ที่ 16 มกราคม, 2010, 11:11:01 am
ถามง่ายๆ แบบใจร่มๆ (อาจไม่เกี่ยวกับเรื่องที่คุยก็ได้)  แต่ขอถามครับ ว่า

choke 5H ถ้า ไฟ 100Hz วิ่งผ่าน 50mA กับ 250mA ค่า inductance  จะเท่ากันหรือเปล่าครับ


---------------------------------------------------------------------------------------------------------
น่าจะไม่เท่ากันนะครับ เพราะตอนคำนวนออกแบบ สูตรมันมีความถี่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย 
ไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่าเรียนผ่านมานานมากแล้ว  (ผิดถูกยังไงต้องขออภัย ความคิดส่วนตัว) รอความเห็นจากท่านอื่นแนะนำด้วยครับ
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: gai ที่ 16 มกราคม, 2010, 11:49:26 am
อ. PORN อย่าเพิ่งหนี กำลังสนุก ผมว่าได้ความรู้ดีครับ  อ. Tube ใจเย็นๆ ครับ มาว่ากันด้วยเหตุผล เพื่อความรู้ของสมาชิกครับ

เท่าที่อ่านดู ผมว่าเราน่าจะมาเริ่มต้นที่ปัจจัย องค์ประกอบก่อนการถก อาจารย์ทั้งสองคงไม่ผิดอยู่แล้ว แต่อาจกำลังถกกันในสภาวะที่แตกต่างกันครับ

ให้ผมเดา (เดาจริงๆ เพราะไม่ได้เรียนมาโดยตรง)  อ.Tube น่าจะพูดถึงทฤษฏีซึ่งต้องมีสมมติฐานบางอย่างหรือหลายอย่างที่คงที่  แต่ อ.PORN น่าจะกำลังหมายถึงในทางปฏิบัติที่องค์ประกอบเหล่านั้นแปรผัน

ไม่ทราบว่าผมเข้าใจถูกต้องมั้ยครับ  ช่วยมาคุยกันเพื่อความกระจ่างในความรู้ด้วยครับ
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: NK ที่ 16 มกราคม, 2010, 12:33:06 pm
เท่าที่อ่านดู ผมว่าเราน่าจะมาเริ่มต้นที่ปัจจัย องค์ประกอบก่อนการถก อาจารย์ทั้งสองคงไม่ผิดอยู่แล้ว แต่อาจกำลังถกกันในสภาวะที่แตกต่างกันครับ

ให้ผมเดา (เดาจริงๆ เพราะไม่ได้เรียนมาโดยตรง)  อ.Tube น่าจะพูดถึงทฤษฏีซึ่งต้องมีสมมติฐานบางอย่างหรือหลายอย่างที่คงที่  แต่ อ.PORN น่าจะกำลังหมายถึงในทางปฏิบัติที่องค์ประกอบเหล่านั้นแปรผัน

ไม่ทราบว่าผมเข้าใจถูกต้องมั้ยครับ  ช่วยมาคุยกันเพื่อความกระจ่างในความรู้ด้วยครับ
คุณไก่ พูดได้ดีทีเดียว O0 ผมก็เข้าใจเช่นเดียวกับคุณไก่แหละครับว่า อ.ทิ้ว มองถึงทางทฤษฏี :clap ส่วน อ.พร มองทางปฏิบัติ  :clap เป็นคนละเรื่องเดียวกันซึ่งก็ถูกทั้งคู่ละนะ..ผมว่านะ..นะ..นะ   d_d
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Eak-tubeamp ที่ 16 มกราคม, 2010, 12:45:01 pm
เท่าที่อ่านดู ผมว่าเราน่าจะมาเริ่มต้นที่ปัจจัย องค์ประกอบก่อนการถก อาจารย์ทั้งสองคงไม่ผิดอยู่แล้ว แต่อาจกำลังถกกันในสภาวะที่แตกต่างกันครับ

ให้ผมเดา (เดาจริงๆ เพราะไม่ได้เรียนมาโดยตรง)  อ.Tube น่าจะพูดถึงทฤษฏีซึ่งต้องมีสมมติฐานบางอย่างหรือหลายอย่างที่คงที่  แต่ อ.PORN น่าจะกำลังหมายถึงในทางปฏิบัติที่องค์ประกอบเหล่านั้นแปรผัน

ไม่ทราบว่าผมเข้าใจถูกต้องมั้ยครับ  ช่วยมาคุยกันเพื่อความกระจ่างในความรู้ด้วยครับ
คุณไก่ พูดได้ดีทีเดียว O0 ผมก็เข้าใจเช่นเดียวกับคุณไก่แหละครับว่า อ.ทิ้ว มองถึงทางทฤษฏี :clap ส่วน อ.พร มองทางปฏิบัติ  :clap เป็นคนละเรื่องเดียวกันซึ่งก็ถูกทั้งคู่ละนะ..ผมว่านะ..นะ..นะ   d_d
ต่างคนต่างมีเหตุผลเป็นของตัวเองครับ  เพื่อบรรลุจุดประสงค์แห่งข้อข้องใจ ยังงัยเสีย เราคงต้องกลับมาหาคำตอบเองเช่นกัน  d_d
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Mr. Tube ที่ 16 มกราคม, 2010, 01:48:54 pm
ผมเข้าใจดีทั้งสภาพอุดมคติ และ สภาพความเป็นจริง ของอุปกรณ์ครับ ถ้าอ่านกระทู้แต่ต้นจะเห็นว่า ผมไม่ได้คัดค้านคำอธิบายแรกของคุณ PORN เพราะผมทราบดีว่า ในสภาพจริงเราจะใช้เพียง ทฤษฎีของหม้อแปลง มาอธิบาย มันไม่เพียงพอครับ ผมจึงเพียงแต่ถามถึงเหตุผล ว่าเพราะอะไรจึงเป็นเช่นที่คุณ PORN ว่านั้น ซึ่งคุณ PORN ก็ได้ตอบมา และผมเห็นว่า ไม่เป็นเหตุเป็นผล จึงแย้งไปด้วยเหตุผล ครับ

ต่อมาคุณ PORN ก็ยก Graph ของ Hashimoto ซึ่งวัดค่า OPT มารุ่นหนึ่ง ประเด็นคือเราสามารถใช้ผลการวัดนี้ แทนสภาพความเป็นจริงของ OPT ทุกตัวในโลกได้หรือไม่ ซึ่งเท่าที่ผมศึกษามา ผมทราบว่าไม่ได้ จึงได้แสดงเหตุผลแย้งอีกรอบหนึ่ง และขอให้ไปศึกษาเพิ่มเติม และดู Graph การวัด OPT ตัวอื่นๆ ประกอบด้วย มันมีปัจจัยตั้งมากมายในสภาพความเป็นจริง นอกจากทฤษฎีของหม้อแปลง ครับ

ผมชอบคุยเรื่องความรู้ คุยเหตุคุยผล เพราะผมอยากรู้ให้มากขึ้น ถ้าใครบอกได้ว่าสิ่งที่ผมอธิบาย ไม่ถูกต้องตรงไหน และที่ถูกต้องเป็นอย่างไร สมเหตุสมผลมากกว่าอย่างไร ผมจะยินดีมาก และจะขอบคุณด้วย รวมถึงเรื่องในกระทู้นี้ด้วย ถ้าใครมีความเป็นเหตุเป็นผลที่ดีกว่า มีทฤษฎีรองรับที่ถูกต้องมากกว่า ก็เอามาคุยแย้งความเห็นของผมได้เสมอครับ ผมพร้อมจะคุยเหตุคุยผลด้วย ส่วนที่พูดไปเรื่อยเปื่อยผมขอผ่านละครับ
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Mr. Tube ที่ 16 มกราคม, 2010, 02:01:19 pm
ถามง่ายๆ แบบใจร่มๆ (อาจไม่เกี่ยวกับเรื่องที่คุยก็ได้)  แต่ขอถามครับ ว่า

choke 5H ถ้า ไฟ 100Hz วิ่งผ่าน 50mA กับ 250mA ค่า inductance  จะเท่ากันหรือเปล่าครับ


---------------------------------------------------------------------------------------------------------

เข้าใจว่าคุณลำน้ำ กำลังถามถึง Choke Filter ในวงจร Power supply นะครับ แต่คุณลำน้ำไม่ได้บอกว่า 50/250mA เป็น AC หรือ DC ผมจึงอนุมานว่าเป็น AC ทั้งหมดนะครับ เพราะฉะนั้น Choke ตัวนี้อยู่ในสถานะ Load ครับ

ในสภาพอุดมคติ เท่ากัน ครับ แต่ในสภาพความเป็นจริงอาจจะเท่าหรือไม่เท่าก็เป็นได้ทั้งคู่ครับ สาเหตุหนึ่งที่ผมทราบคือเรื่องคุณสมบัติของแกนหม้อแปลง ซึ่งจะมีค่า Permeability เปลี่ยนไป ตามค่า Flux Density ครับ เมื่อ Perm เปลี่ยนไป ค่า Inductance ก็เปลี่ยนไปครับ แต่กรณีที่ไม่เปลี่ยนก็เป็นไปได้ครับ เช่น วัสดุที่คุณลำน้ำใช้ทำแกนมีค่า Perm เกือบคงที่ ในช่วงที่ Flux Density เปลี่ยนแปลงไปถึง 5 เท่า ตามตัวอย่างที่ยกมา ค่า Inductance ก็จะไม่เปลี่ยนไปมากจนเป็นนัยสำคัญ เป็นต้น
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Mr. Tube ที่ 16 มกราคม, 2010, 02:10:10 pm
ถ้าดูจากเส้นกราฟ OPT 3.5K  ที่ 20Hz  imp. จะอยู่ที่ประมาณ 2K  เส้นจะเริ่ม linear ที่ประมาณความถี่ 3Khz จนถึง 10KHz  หลังจากนั้นเส้นกราฟจะชันสูงขึ้น
ก็แสดงว่าช่วงระหว่างความที่ 20Hz ถึง 100KHz  impedance ของ opt  จะเปลี่ยนแปลงอยู่ระหว่าง 1.5K-7.5K ที่ load 8 โอห์มเท่าเดิม
แสดงว่าความถี่มีผลต่อ impedance ของหม้อแปลง
ไม่ทราบว่าผมเข้าใจถูกหรือเปล่า  :D :D

ถ้าดูแค่จากกราฟรูปนี้รูปเดียว ผมก็สรุปได้แบบเดียวกันครับ แต่ผมศึกษาพื้นฐานมาก่อนเห็นรูปนึ้ และผมเคยเห็นกราฟทำนองนี้มาอีกหลายรูป จึงเห็นความผิดปกติของกราฟครับ  :)
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Mr. Tube ที่ 16 มกราคม, 2010, 02:12:07 pm
ถามง่ายๆ แบบใจร่มๆ (อาจไม่เกี่ยวกับเรื่องที่คุยก็ได้)  แต่ขอถามครับ ว่า

choke 5H ถ้า ไฟ 100Hz วิ่งผ่าน 50mA กับ 250mA ค่า inductance  จะเท่ากันหรือเปล่าครับ


---------------------------------------------------------------------------------------------------------
น่าจะไม่เท่ากันนะครับ เพราะตอนคำนวนออกแบบ สูตรมันมีความถี่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย 
ไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่าเรียนผ่านมานานมากแล้ว  (ผิดถูกยังไงต้องขออภัย ความคิดส่วนตัว) รอความเห็นจากท่านอื่นแนะนำด้วยครับ

ในสูตรนั้นมีความถี่อยู่ด้วย แต่โจทย์ของคุณลำน้ำ ความถี่คงที่ ครับ ต้องลองดูในสูตรอีกทีว่า ในสูตรมี กระแส อยู่ด้วยรึเปล่าครับ  :)
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: นายป้อ ที่ 16 มกราคม, 2010, 04:21:02 pm
มาตามเก็บความรู้ครับ ชอบครับชอบ เอาเหตุผลมาถกกันแบบสร้างสรรค์ดีครับ
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Eak-tubeamp ที่ 16 มกราคม, 2010, 04:37:40 pm
ดูเล่นๆ
(http://www.htg2.net/index.php?action=dlattach;topic=61055.0;attach=133440;image)

ขอบคุณคุณ PORN ที่กลับมาเข้าเรื่องอย่างรวดเร็วครับ

กราฟลักษณะที่คุณ PORN แสดงไว้ ผมเคยเห็นมาแล้ว จึงเป็นที่มาของคำถามในกระทู้แรกครับ และคุณ PORN ตอบคำถามได้ไม่ Clear รวมถึงการตอบเชิงเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพก็ยังไม่ถูกต้องอีก หรืออย่างกราฟที่เอามาแสดงไว้ก็ดูไม่สอดคล้องกับคำตอบแรกของคุณ PORN ที่เปรียบเทียบ 1kHz กับ 5kHz อยู่ดี

คุณ PORN จะเอารูปผลการวัดเพียงแค่นี้แล้วเอามาสร้างเป็นทฤษฎีไม่ได้ครับ ทฤษฎีเรื่องหม้อแปลง มันถูกพิสูจน์มากว่า 100 ปีแล้ว ประเด็นคือเมื่อคุณ PORN เห็นว่าผลการวัดมันไม่สอดคล้องกับทฤษฎีพื้นฐานแล้ว คำอธิบายคืออะไร ต้องหาสาเหตุที่มันไม่สอดคล้องซะก่อน ไม่ใช่การไปเปลี่ยนทฤษฎีพื้นฐานของมันครับ (เราเรียนสาย Apply Science มาเหมือนกัน คิดว่าเราคงเข้าใจหลักการนี้ไม่ต่างกันเท่าไหร่นะครับ) หรือถ้าคุณ PORN พอใจจะเปลี่ยน ก็ขอความกรุณาช่วยเก็บไว้เป็นของส่วนตัวเถอะครับ

ก่อนที่คุณ PORN จะวิเคราะห์ผลจากกราฟของ Hashimoto ผมแนะนำให้คุณ PORN ศึกษาให้แม่นทฤษฎีหม้อแปลงก่อนครับ อย่างน้อยก็ให้เข้าใจ Ideal Transformer และวงจรสมมูลของมันก่อน แล้วลองศึกษาดูว่า Hashimoto เค้ามีวิธีการอย่างไรในการทดสอบ OPT แล้วจึงได้กราฟรูปนี้มา เส้น Impedance ที่เห็น เค้า Plot อย่างไร แล้วจึงค่อยมาวิเคราะห์ว่า เหตุใด Imp ที่ความถี่ต่ำจึงน้อยกว่าที่ช่วงความถี่กลาง และเหตุใดจึงมี Peak ที่ช่วงความถี่สูงครับ อีกประการหนึ่งคือถ้าเอา OPT ของ Lundahl มาวัด ผลจะไม่เป็นเช่นที่เห็นนี้ครับ (ลองค้นหาดูนะครับ)
  เป็นข้อมูลที่ผมไม่เคยรู้เลย มีประโยชน์มาก
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: tewmax ที่ 16 มกราคม, 2010, 05:20:17 pm
เมื่อต่อลำโพงที่มี impedance  8 ohm  เข้าด้าน secondary เพื่อเป็นโหลดของ OPT ขณะที่เราฟังเพลง impedance ของลำโพงเปลี่ยนไปตามความถี่เสียงเกิด reflecting impedance ทำให้ impedance ด้าน primary ของ opt เปลี่ยนไปจึงดูคล้ายว่า impedance ของ OPT เปลี่ยนไปตามความถี่แต่จริงๆมันเปลี่ยนตาม Impedance ของลำโพง ที่เปลี่ยนไป ผมอธิบายอย่างนี้พอเป็นไปได้ไหมครับ
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: gai ที่ 16 มกราคม, 2010, 05:31:09 pm
ขอบคุณ อ.Tube ครับ ที่ขยายความครับ 

คราวนี้ ถ้าองค์ประกอบที่แปรผันเหล่านี้มีผลต่อค่า impedance ที่ไม่ได้ตามอุดมคติ เราก็ต้องมาทำความเข้าใจกับการแปรผันของค่าคงที่ตามทฤษฏีทีละตัว เพื่อที่จะได้เข้าใจองค์รวมเมื่อค่าเหล่านี้แปรเปลี่ยนไป และยิ่งถ้าเราเข้าใจถึงเหตุของการที่ค่าเหล่านี้แปรผันไปจากค่าในอุดมคติ เราก็คงจะสามารถหาทางควบคุมไม่ให้มันแปรผันมากจนเราไม่สามารถเดาหรือควบคุมพฤติกรรมของมันได้  ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด น่าจะเป็นความลับของการสร้างผลิตภัณฑ์ของแต่ละเจ้า อย่างเช่นการเลือกใช้วัสดุ เทคนิคการพันแบบต่างๆ ฯลฯ  ซึ่งถ้าเราเข้าใจได้มากขึ้น เราก็จะมีเทคนิคละเอียดขึ้น อย่างที่ อ.PORN พยายามอธิบายว่ามันเปลี่ยนไปอย่างไร ซึ่งน่าจะดีกว่าเราทดลองแล้วรับรู้ว่าเกิดอะไรแต่ไม่เข้าใจว่ามันเกิดได้อย่างไรใช่มั้ยครับ   ไม่ทราบว่าผมเข้าใจถูกต้องมั้ยครับ
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: WIM ที่ 16 มกราคม, 2010, 11:34:54 pm
ผมว่าเจ้าของกระทู้ถามถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงไฟที่จ่ายวงจรมีผลต่อค่าKของOPTหรือไม่ นา..ครับ... ;D ;D 
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: ลำน้ำ ที่ 16 มกราคม, 2010, 11:51:52 pm
เห็นด้วยครับ

ผมว่าเจ้าของกระทู้ถามถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงไฟที่จ่ายวงจรมีผลต่อค่าKของOPTหรือไม่ นา..ครับ... ;D ;D 
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Eak-tubeamp ที่ 17 มกราคม, 2010, 12:15:27 am
ผิดประเด็นไปหน่อย แต่ท่านผู้รู้เข้ามาอ้างอิงข้อเท็จจริงกัน  แต่ก็มีอะไรๆ ที่เป็นประโยชน์มากต่อคนที่พัน opt และที่คิดจะพัน  d_d
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: nut_ty ที่ 17 มกราคม, 2010, 02:13:18 am
รบกวนช่วยแปลหน่อยครับ ว่าเขาเขียนว่าอะไร ?

Impedance is more complex than resistance because the effects of capacitance and inductance vary with the frequency of the current passing through the circuit and this means impedance varies with frequency! The effect of resistance is constant regardless of frequency.

ผมแนะนำ web แปลภาษาให้ครับ http://www.stars21.com/translator/english_to_thai.html

ไว้คุณ nut_ty เข้าใจข้อความที่ถามแล้ว และเข้าใจเรื่องที่คุยกันแล้ว ค่อยเข้ามาคุยใหม่นะครับ

ลิ้งค์ที่ให้มาเครื่องผมโหลดไม่ได้ครับครับ พยายามอ่านที่ผมตั้งคำถามไว้ หลายรอบก็ยังไม่เข้าใจ ผมพยายาม Search หาความเกี่ยวเนื่องกันระหว่าง ความถี่ กับ อิมพีแดนซ์ครับ รบกวน Mr.Tube ช่วยแนะนำหน่อยว่ามีการคำนวณ และ แก้ไขปัญหานี้ในหม้อแปลงเอาต์พุตอย่างไรบ้างครับ (หมายถึงวิธีการคงที่อิมพีแดนซ์ให้เที่ยงตรงมากที่สุด และ วัสดุในเมืองไทยจะทำได้จากค่าเดิมที่ความถี่ 20-20000Hz) เวลาไปสั่งพันจะได้สั่งถูก เพราะตัวผมเองไม่มีความรู้เรื่องการพันหม้อแปลงเลย และ ไม่แน่ใจด้วยว่าปัญหา เรื่องอิมพีแดนซ์ กับ ความถี่นั้นมีอยู่จริงหรือไม่ หรือ ถ้าอื่นๆ ที่ต้องการแลกเปลี่ยนความรู้ก็เชิญได้นะครับ พร้อมดูดเสมอ  ;)
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: prasan ที่ 17 มกราคม, 2010, 07:53:57 am
ขอบคุณ อ.Tube ครับ ที่ขยายความครับ 

คราวนี้ ถ้าองค์ประกอบที่แปรผันเหล่านี้มีผลต่อค่า impedance ที่ไม่ได้ตามอุดมคติ เราก็ต้องมาทำความเข้าใจกับการแปรผันของค่าคงที่ตามทฤษฏีทีละตัว เพื่อที่จะได้เข้าใจองค์รวมเมื่อค่าเหล่านี้แปรเปลี่ยนไป และยิ่งถ้าเราเข้าใจถึงเหตุของการที่ค่าเหล่านี้แปรผันไปจากค่าในอุดมคติ เราก็คงจะสามารถหาทางควบคุมไม่ให้มันแปรผันมากจนเราไม่สามารถเดาหรือควบคุมพฤติกรรมของมันได้  ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด น่าจะเป็นความลับของการสร้างผลิตภัณฑ์ของแต่ละเจ้า อย่างเช่นการเลือกใช้วัสดุ เทคนิคการพันแบบต่างๆ ฯลฯ  ซึ่งถ้าเราเข้าใจได้มากขึ้น เราก็จะมีเทคนิคละเอียดขึ้น

ผมก็เชื่ออย่างที่คุณ gai กล่าว พ่อค้าไม่มีทางเผยแพร่ความลับ ข้อมูลของตัวเอง บางครั้งผมรู้สึกว่าการที่เรา DIY แลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์กันเป็นเหมือนการสนับสนุนข้อมูลให้พ่อค้า  :nonono :bye1
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: nut_ty ที่ 17 มกราคม, 2010, 03:45:55 pm
ผมจำได้ว่เคยอ่านในหนังสือแอมป์หลอดของซีเอ็ดที่มีหน้าปกสีเหลือง (ปรีแอมป์ Magnet PV-01) มีอยู่ท่อนหนึ่ง เขาให้คำนวณที่ Zp = (4*( Ep-0.6Ep ) / Ip ( max ) พอผมแทนค่าในสูตร แล้วให้แรงดันเพลตลดจาก 280 เป็น 250 ก็จะได้เอาต์พุต ที่ 5.6K และ 5K ตามลำดับ นั่นหมายถึงอัตรารอบการพันระหว่าง ไพรมารี่ และ เซคคันดารี่ เราก็ต้องเปลี่ยนไปตามนั้นด้วยใช่มั้ย ดังนั้นผม (คิด) ว่าเราน่าจะทำแท็ปทางด้านไพรมารี่ออกมาเยอะๆ เพื่อหาจุดที่เหมาะกับโหลดไลน์ และ หลอดของเรานะครับ  :bye1
หัวข้อ: Re: ค่า K ของ output จะเปลี่ยนไปไหม เมื่อ จ่ายไฟให้กับหลอดเพิ่มขึ้นหรือลดลง จากเสปคดาต้าชีทของ
เริ่มหัวข้อโดย: Rabbit-Hunter ที่ 17 มกราคม, 2010, 08:00:06 pm
 :) :)ดูจากเวป tamura โหลด Datasheet มาดูหลาย ๆ รุ่น ได้ ไอเดียการออบแบบพันหม้อแปลงละครับ ซึ่งผมคาดเดาแนวทางจากการศึกษาดาต้าชีท ว่า ค่าอิมพิแดนช์ ที่เขาออกมา เป็น 3 K ,5 K ,8K นี่เป็นหน่วยมาตราฐานของเขาโดยอ้างอิง โวล์ทเตจ และกระแส จุดใดจุดหนี่ง ตามประเภทของหลอด ซึ่งมันก็ ราว ๆ 250 - 300 โวลท์ ใน CLASS A ซึงก็ต้องการค่าอิมพิแดนช์ในลักษณะแต่ละเบอร์ที่ใช้ทำเครื่องเสียงมีค่าอยู่ราว ๆ นี้ และการกำหนดให้มีขนาด วัตต์เพิ่มขี้น ก็ ทำได้โดยการให้หม้อแปลงจ่ายกระแสได้สูงขึ้น ทั้งหม้อแปลง Power และ Output ซึ่งถ้าเราใช้กระแสสูง ๆ(สังเกตุว่า OPT จะลูกใหญ่ขึ้น)ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ค่าโวลท์สูง ๆ มากมาย ในการทำแอมป์ ซึ่งก็ไม่มีผลต่อเสียงในทางบวกมากนัก และ ก็ต้องเป็นไปตามกฏของดาต้าชีทของหลอดเช่นกัน ซึ่งเป็นแนวคิดที่ดีและน่าจะเป็นไปได้  ส่วนเรื่องความถี่นี่มันจะได้ขนาดไหน ก็ อย่าเพิ่งคิดมากขนาดความถึ่ 50 HZ 220อV เรายังมันออกมาใช้ได้เลย ต่ำกว่านี้แทบไม่ได้ยิน เป็นแค่เสียงกระพือ สูงกว่านี้ก็ทำได้แต่ไม่มีประโยชน์ -------- ;D ;D ;Dและอีกอย่างหม้อแปลง output ที่พันเองหรือผู้ทำการค้า นี่ น่าจะระบุกระแสไว้ด้วย และไฟอ้างอิงไว้ด้วย ก็น่าจะดีครับ ง่ายต่อการออกแบบดีครับ ซึ่งจะได้ไม่งงที่ค่า k ท่ี่กี่โวล์ทกันแน่ และมีความมั่นใจในการทำภาคจ่ายไฟให้ตรงตามความต้องการของวงจร  :) :) :) :)และเวลาขาย ก็มีคนเข้ามาโพสท์จองเป็นอันดับแรก และเวลานำไปใช้ประกอบแอมป์แล้ว WORK สุด ๆ ;D ;D ;D ;D ;D ;D
หัวข้อ: text
เริ่มหัวข้อโดย: Eak-tubeamp ที่ 17 มกราคม, 2010, 08:12:34 pm
ผมจำ ได้ว่ เคยอ่าน ในหนังสือ แอมป์ หลอดของซี เอ็ดที่มีหน้าปกสี เหลือง (ปรี แอมป์  Magnet PV-01) มีอยู่ท่อนหนึ่ง  เขา ให้คำ นวณที่ Zp = (4*( Ep-0.6Ep ) / Ip ( max ) พอผม แทนค่า ในสูตร  แล้ว ให้ แรงดัน เพลตลดจาก 280  เป็น 250 ก็จะ ได้ เอาต์ พุต ที่ 5.6K  และ  5K ตามลำ ดับ นั่นหมายถึงอัตรารอบการพันระ หว่าง  ไพรมารี่  และ   เซคคันดารี่  เราก็ต้อง เปลี่ยน ไปตามนั้นด้วย ใช่มั้ย ดังนั้นผม (คิด) ว่า เราน่าจะ ทำ แท็ปทางด้าน ไพรมารี่ออกมา เยอะ ๆ   เพื่อหาจุดที่ เหมาะ กับ โหลด ไลน์   และ  หลอดของ เรานะ ครับ  :bye1
ประมาณว่า opt ลูกเดียว แท็บ primary impedance หลายๆค่าออกมา จะได้เลือกใช้ ให้เหมาะกับแต่ละหลอด
หัวข้อ: Re: text
เริ่มหัวข้อโดย: nut_ty ที่ 17 มกราคม, 2010, 09:39:06 pm
ผมจำ ได้ว่ เคยอ่าน ในหนังสือ แอมป์ หลอดของซี เอ็ดที่มีหน้าปกสี เหลือง (ปรี แอมป์  Magnet PV-01) มีอยู่ท่อนหนึ่ง  เขา ให้คำ นวณที่ Zp = (4*( Ep-0.6Ep ) / Ip ( max ) พอผม แทนค่า ในสูตร  แล้ว ให้ แรงดัน เพลตลดจาก 280  เป็น 250 ก็จะ ได้ เอาต์ พุต ที่ 5.6K  และ  5K ตามลำ ดับ นั่นหมายถึงอัตรารอบการพันระ หว่าง  ไพรมารี่  และ   เซคคันดารี่  เราก็ต้อง เปลี่ยน ไปตามนั้นด้วย ใช่มั้ย ดังนั้นผม (คิด) ว่า เราน่าจะ ทำ แท็ปทางด้าน ไพรมารี่ออกมา เยอะ ๆ   เพื่อหาจุดที่ เหมาะ กับ โหลด ไลน์   และ  หลอดของ เรานะ ครับ  :bye1
ประมาณว่า opt ลูกเดียว แท็บ primary impedance หลายๆค่าออกมา จะได้เลือกใช้ ให้เหมาะกับแต่ละหลอด

ใช่ครับ แท็บให้มากที่สุดที่เราจะทำได้ เพราะเราไม่รู้ว่าค่ากระแสสูงสุดของหลอดใดๆ จะเหมาะสมกับเอาต์พุตอิมพีแดนซ์ของตัวมันเองหรือเปล่า ผมว่าด้านเอาต์พุตยังคงต้องแท็ปออกมาหลายๆ ชุดก็ยิ่งจะง่ายต่อการจัดวงจรนะ ทีนี้เราลองกลับไปดูหลอด 6550 ที่เขาขายแบบแมทช์ควอดสิ ข้างๆ กล่องเขียนว่า 35mA ให้ตายเถอะโรบิ้น เวลาเราเอามาใช้ เราซัดซะ 50mA ต่อหลอด แค่นี้ข้อมูลของหม้อแปลงเอาต์พุตที่ผู้ผลิต (เมืองนอก) ให้เรามา มันก็เป็นแค่รูปภาพ และ กระดาษที่ไร้ค่าก็ไม่ปาน มองในทางนี้ผมว่าทำเอง พันเอง น่าจะเข้าท่ากว่าเยอะ  :showoff
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Mr. Tube ที่ 18 มกราคม, 2010, 10:14:29 am
เมื่อต่อลำโพงที่มี impedance  8 ohm  เข้าด้าน secondary เพื่อเป็นโหลดของ OPT ขณะที่เราฟังเพลง impedance ของลำโพงเปลี่ยนไปตามความถี่เสียงเกิด reflecting impedance ทำให้ impedance ด้าน primary ของ opt เปลี่ยนไปจึงดูคล้ายว่า impedance ของ OPT เปลี่ยนไปตามความถี่แต่จริงๆมันเปลี่ยนตาม Impedance ของลำโพง ที่เปลี่ยนไป ผมอธิบายอย่างนี้พอเป็นไปได้ไหมครับ

ถ้าอธิบายแบบนี้ ผมเห็นด้วยครับ มีที่มาที่ไปเป็นเหตุเป็นผลกัน และก็เข้าใจถูกต้องแล้วครับ  :)
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Eak-tubeamp ที่ 18 มกราคม, 2010, 10:19:52 am
reflecting impedance คืออะไรครับ  Mr.tube :)
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: NAFU ที่ 18 มกราคม, 2010, 10:23:14 am
reflecting impedance คืออะไรครับ  Mr.tube :)
impedance ที่สะท้อนกลับไปยังด้าน primary  เมื่อโหลดเปลี่ยนแปลง  ไม่รู้ว่าเข้าใจถูกหรือเปล่า
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Mr. Tube ที่ 18 มกราคม, 2010, 10:55:29 am
ขอบคุณ อ.Tube ครับ ที่ขยายความครับ 

คราวนี้ ถ้าองค์ประกอบที่แปรผันเหล่านี้มีผลต่อค่า impedance ที่ไม่ได้ตามอุดมคติ เราก็ต้องมาทำความเข้าใจกับการแปรผันของค่าคงที่ตามทฤษฏีทีละตัว เพื่อที่จะได้เข้าใจองค์รวมเมื่อค่าเหล่านี้แปรเปลี่ยนไป และยิ่งถ้าเราเข้าใจถึงเหตุของการที่ค่าเหล่านี้แปรผันไปจากค่าในอุดมคติ เราก็คงจะสามารถหาทางควบคุมไม่ให้มันแปรผันมากจนเราไม่สามารถเดาหรือควบคุมพฤติกรรมของมันได้  ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด น่าจะเป็นความลับของการสร้างผลิตภัณฑ์ของแต่ละเจ้า อย่างเช่นการเลือกใช้วัสดุ เทคนิคการพันแบบต่างๆ ฯลฯ  ซึ่งถ้าเราเข้าใจได้มากขึ้น เราก็จะมีเทคนิคละเอียดขึ้น อย่างที่ อ.PORN พยายามอธิบายว่ามันเปลี่ยนไปอย่างไร ซึ่งน่าจะดีกว่าเราทดลองแล้วรับรู้ว่าเกิดอะไรแต่ไม่เข้าใจว่ามันเกิดได้อย่างไรใช่มั้ยครับ   ไม่ทราบว่าผมเข้าใจถูกต้องมั้ยครับ

คุณ PORN เพียงบอกว่ามันเปลี่ยนไป แต่บอกไม่ได้ว่าเปลี่ยนไปอย่างไรครับ อย่างที่ผมถามว่า

รบกวนช่วยอธิบายด้วยครับว่า เมื่อ Load และกระแสไม่เปลี่ยนแปลง เหตุใดค่า Impedance ของ Primary ที่ 1kHz กับ 5kHz จึงไม่เท่ากันครับ และ --อาจ เปลี่ยนไป-- ที่คุณ PORN ว่าไว้ คือเปลี่ยนไปในทางไหน และเป็นเพราะอะไรครับ ขอบคุณครับ  :)

และได้คำตอบ เป็นการเปรียบเทียบกับรถยนต์ ซึ่งผมก็ได้บอกไปแล้วว่าคำตอบไม่เป็นที่ชัดเจนครับ และถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีคำตอบในคำถามข้างต้นที่ชัดเจนครับ หรือแม้แต่สิ่งที่คุณ gai ว่า --อย่างที่ อ.PORN พยายามอธิบายว่ามันเปลี่ยนไปอย่างไร ซึ่งน่าจะดีกว่าเราทดลองแล้วรับรู้ว่าเกิดอะไรแต่ไม่เข้าใจว่ามันเกิดได้อย่างไรใช่มั้ยครับ-- ผมลองอ่านทบทวนกระทู้ทั้งหมดดูอีกที ผมเห็นว่าคุณ PORN เพียงยกตัวอย่างมา 1 ตัวอย่าง แล้วบอกว่ามันเปลี่ยนไป แต่ไม่ได้บอกว่ามันเปลี่ยนไปอย่างไร และมันเกิดได้อย่างไร นะครับ

ส่วนที่คุณ gai พูดถึงเรื่องความลับของผลิตภัณฑ์นั้น ผมขอแสดงความเห็นหน่อยนะครับ คือในมุมมองของผม ผมมองเป็น ความมีเอกลักษณ์ ครับ คือผมคิดว่า OPT ที่ดี ก็ควรจะทำงานตามแบบหม้อแปลงอุดมคติ คือ ไม่มีความสูญเสีย และ ตอบสนองความถี่ได้ตั้งแต่ 0 ถึง Infinity แต่ในสภาพความเป็นจริง เราต้องยอมรับว่ามีความสูญเสียพลังงานเกิดขึ้น และขดลวดมีค่า RCL แฝงอยู่ ทำให้ไม่สามารถตอบสนองความถี่ได้ตามอุดมคติ ที่นี้ขึ้นกับวิศวกรผู้ออกแบบ ว่าจะให้หม้อแปลงนั้นๆ มี --เอกลักษณ์-- อย่างไรครับ เช่น ค่า Lp จะต้องมากๆ ค่า Lsp จะมากไปหน่อยก็ไม่เป็นไร หรือเช่น ค่า Loss ในช่วงการตอบสนองจะต้องต่ำที่สุดในโลก หรือเช่นต้อง Interleaving ให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น เพื่อให้ค่า C ระหว่างขดลวดน้อยที่สุด หรือ... ผมคิดว่าเหล่านี้คือ --ความเป็นเอกลักษณ์-- ของหม้อแปลงน่ะครับ แต่จะเห็นว่าไม่มีตัวไหนสมบูรณ์แบบซักตัว ผมคิดว่าเป็นที่พวกเราเองต่างหาก ที่ไปฟัง OPT ตัวนั้นตัวนี้แล้วเกิดความชอบขึ้นในใจ และถ้ามันราคาแพงเกินเอื้อม เราก็ไปหาทาง --เลียนแบบ-- เค้าในราคาที่ถูกกว่า พอเราเลียนแบบไม่สำเร็จหรือไม่รู้ว่าจะเลียนแบบอย่างไร เราก็เรียกสิ่งนั้นว่า --ความลับ-- (และมันมีมูลค่าทางการตลาดสูงซะด้วยสิครับ) แต่ถ้าเราได้คุยกับวิศวกรผู้ออกแบบ เชื่อหรือไม่ครับ เค้าอาจจะถามกลับมาว่า --เรื่องพวกนี้ใครๆ ก็รู้ไม่ใช่เหรอครับ-- (ผมเคยเจอมาแล้ว ถึงได้กลับมานั่งคิดเรื่องพวกนี้ครับ  ;D)
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Mr. Tube ที่ 18 มกราคม, 2010, 11:02:16 am
ผมว่าเจ้าของกระทู้ถามถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงไฟที่จ่ายวงจรมีผลต่อค่าKของOPTหรือไม่ นา..ครับ... ;D ;D 

ผมเห็นว่าคุณ darkman และคุณ tubeman ได้ตอบคำถามนี้ไปแล้วตั้งแต่ตอนต้นๆ กระทู้ครับ ส่วนที่คุยกันอยู่ตอนนี้เป็นประเด็นที่แตกมาจากความเห็นของคุณ PORN และข้อแย้งของผมครับ ซึ่งยังคงเกี่ยวกับหัวเรื่องเดิม จึงไม่ได้คิดตั้งกระทู้ใหม่ครับ  :)
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Eak-tubeamp ที่ 18 มกราคม, 2010, 11:09:06 am
ผมว่าเจ้าของกระทู้ถามถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงไฟที่จ่ายวงจรมีผลต่อค่าKของOPTหรือไม่ นา..ครับ... ;D ;D 

ผมเห็นว่าคุณ darkman และคุณ tubeman ได้ตอบคำถามนี้ไปแล้วตั้งแต่ตอนต้นๆ กระทู้ครับ ส่วนที่คุยกันอยู่ตอนนี้เป็นประเด็นที่แตกมาจากความเห็นของคุณ PORN และข้อแย้งของผมครับ ซึ่งยังคงเกี่ยวกับหัวเรื่องเดิม จึงไม่ได้คิดตั้งกระทู้ใหม่ครับ  :)
ผมอยากจะให้แสดงความคิดกันเรื่อยๆ ครับ ผมเองก้อติดตามกระทู้มาตลอด เพื่อเก็บข้อมูล
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Mr. Tube ที่ 18 มกราคม, 2010, 12:03:59 pm
รบกวนช่วยแปลหน่อยครับ ว่าเขาเขียนว่าอะไร ?

Impedance is more complex than resistance because the effects of capacitance and inductance vary with the frequency of the current passing through the circuit and this means impedance varies with frequency! The effect of resistance is constant regardless of frequency.

ผมแนะนำ web แปลภาษาให้ครับ http://www.stars21.com/translator/english_to_thai.html

ไว้คุณ nut_ty เข้าใจข้อความที่ถามแล้ว และเข้าใจเรื่องที่คุยกันแล้ว ค่อยเข้ามาคุยใหม่นะครับ

ลิ้งค์ที่ให้มาเครื่องผมโหลดไม่ได้ครับครับ พยายามอ่านที่ผมตั้งคำถามไว้ หลายรอบก็ยังไม่เข้าใจ ผมพยายาม Search หาความเกี่ยวเนื่องกันระหว่าง ความถี่ กับ อิมพีแดนซ์ครับ รบกวน Mr.Tube ช่วยแนะนำหน่อยว่ามีการคำนวณ และ แก้ไขปัญหานี้ในหม้อแปลงเอาต์พุตอย่างไรบ้างครับ (หมายถึงวิธีการคงที่อิมพีแดนซ์ให้เที่ยงตรงมากที่สุด และ วัสดุในเมืองไทยจะทำได้จากค่าเดิมที่ความถี่ 20-20000Hz) เวลาไปสั่งพันจะได้สั่งถูก เพราะตัวผมเองไม่มีความรู้เรื่องการพันหม้อแปลงเลย และ ไม่แน่ใจด้วยว่าปัญหา เรื่องอิมพีแดนซ์ กับ ความถี่นั้นมีอยู่จริงหรือไม่ หรือ ถ้าอื่นๆ ที่ต้องการแลกเปลี่ยนความรู้ก็เชิญได้นะครับ พร้อมดูดเสมอ  ;)

OK ครับ แบบนี้ค่อยน่าคุยด้วยหน่อยครับ เท่าที่ผมเห็น Post ของคุณ nut_ty ในอดีต ผมคิดว่าคุณเข้าใจข้อความเรื่อง Imp ที่ยกมาข้างต้นดีอยู่แล้ว น่าจะเข้าประเด็นไปเลยครับ  :)

คือข้อความที่คุณ nut_ty ยกมา เป็นคำอธิบายให้เห็นความแตกต่างของ Impedance กับ Resistance ครับ แต่ในประเด็นของ OPT นั้นซับซ้อนกว่านั้นมากครับ การจะเข้าใจทั้งหมด ต้องเริ่มต้นจากเข้าใจวงจรสมมูล (Equivalent Circuit) ของมันก่อนครับ ขอยกมาจาก Wikipedia ละกัน

(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/d/d1/Transformer_equivalent_circuit.svg/750px-Transformer_equivalent_circuit.svg.png)

สัญลักษณ์หม้อแปลงในรูป คือหม้อแปลงตามอุดมคติครับ ส่วน Network ที่เห็นทางฝั่ง Primary คือค่าแฝงต่างๆ ซึ่งมาจาก 2 ส่วนคือค่าแฝงในขดลวด Primary เอง และค่าที่สะท้อนมาจากค่าแฝงใน Secondary ครับ ค่าไหนคืออะไร เข้าไปดูได้ใน http://en.wikipedia.org/wiki/File:Transformer_equivalent_circuit.svg นะครับ มีคำอธิบายรูปอยู่ครับ

ถ้าสมมุติว่า Load ทางฝั่ง Secondary เป็น DCR ตัวหม้อแปลงก็จะสะท้อนค่า Load Impedance (ผมใช้คำว่า Imp ก็เพราะหม้อแปลงทำงานไม่ได้กับ DC ครับ แต่จริงๆ แล้วให้มอง Primary เป็น DCR จะเข้าใจได้ง่ายกว่าครับ) มาที่ฝั่ง Primary ค่าสะท้อนที่ได้ก็เป็นไปตาม Turn Ratio อย่างที่ทราบกันอยู่แล้ว กลับมาดูที่ Rc และ Xm ครับ ผมขอตัดอุปกรณ์ตัวอื่นๆ ออกหมดก่อน แล้วดูแค่ Rc, Xm และ Primary นะครับ ที่เหลือให้ Short อุปกรณ์ไปเลยครับ จะเห็นว่าทั้งหมดต่อขนานกันอยู่ ค่า Xm คือ Primary Inductance นั่นเองครับ ซึ่งค่า Xm จะมีค่าน้อยที่ความถี่ต่ำ และค่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อความถี่สูงขึ้น ตามหลักของวงจรขนาน เส้นไหนความต้านทานน้อย กระแสก็จะไหลทางนั้นมาก ใช่ไม๊ครับ ผลของ Xm ก็คือที่ความถี่ต่ำ กระแสจะไหลผ่าน Xm ไป ไม่ไหลผ่าน Primary กำลังก็ไม่ไปที่ Secondary ถูกไม๊ครับ และเมื่อความถี่สูงขึ้นก็จะมาไหลผ่าน Primary ไม่ไหลผ่าน Xm กำลังก็ผ่านหม้อแปลงไป Secondary มากขึ้น นั่นคือผลของ Primary Inductance (Lp) ต่อหม้อแปลง OPT ครับ คือยิ่ง OPT มีค่า Lp มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งตอบสนองความถี่ต่ำได้ดีเท่านั้น ส่วน Rc เป็นตัวแทนของ Core Loss ซึ่งโดยสภาพจริงแล้ว ค่า Core Loss จะเปลี่ยนไปตามความถี่เช่นกัน คือยิ่งความถี่สูง Core Loss ก็จะยิ่งสูง แต่เนื่องจาก Function การเพิ่มขึ้นของ Core Loss ขึ้นกับคุณสมบัติของแกน และการเพิ่มขึ้นไม่มีรูปแบบแน่นอน จึงมักจะมองในรูปค่าคงที่ (R) ครับ กรณีของ Rc ในรูปนี้ ก็แบ่งกระแสจาก Primary และเป็นการสูญเสียกำลังไปครับ

Rp ก็เป็น Loss (Primary DCR), Xp = Leakage Inductance เอามาต่ออนุกรมอยู่กับ Primary ก็คือวงจร Low Pass Filter นั่นเองครับ เป็นเหตุว่าทำไม Pri Leakage Inductance (Lsp) ต่ำๆ จึงดี ก็เพราะความถี่สูงจะผ่านได้มากกว่านั่นเอง

ค่าอื่นๆ ก็แยกออกมาวิเคราะห์ได้เป็นส่วนๆ ครับ ในการวิเคราะห์แต่ละช่วงความถี่ จะสามารถตัดบางตัวออกไปได้ ยกตัวอย่างเช่น OPT 3.5k ซึ่งมี Lsp = 10mH เป็นต้น ที่ 50Hz ถ้าคิดค่า Xp = 2(pi) x fc x Lsp = 2(pi) x 50 x 0.01 ~ 3 Ohm เท่านั้น เทียบกับ Primary ซึ่งเท่ากับ 3500 Ohm ค่าเพียง 1/1000 นี้ ก็สามารถตัดทิ้งออกไป เพื่อลดความซับซ้อนได้ครับ ที่เหลือลองเอาไปวิเคราะห์กันเอาเองนะครับ หรือถ้าใครใช้ Spice เป็น ก็จะยิ่งง่ายมากครับ ผมว่าผมมาส่งไกลมากแล้วครับ แต่ถ้ายังมีข้อสงสัยก็สอบถามเพิ่มเติมได้ครับ ยินดีตอบเท่าที่ทราบครับ  :)

(รูป Equiv Circuit นี้ ไม่ใช่รูปสมบูรณ์นะครับ รูปเต็มจริงๆ จะมีค่า C แฝงต่างๆ ด้วย และจะซับซ้อนกว่านี้มากครับ)
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Mr. Tube ที่ 18 มกราคม, 2010, 12:08:24 pm
reflecting impedance คืออะไรครับ  Mr.tube :)

คือการสะท้อนค่า Impedance ทางฝั่ง Secondary ไปที่ Primary ครับ ตามตัวอย่างที่ผมแสดงสูตรคำนวณให้ดูก่อนหน้าน่ะครับ ถ้า Imp ทางฝั่ง Sec เปลี่ยนแปลงตามความถี่ Imp ฝั่ง Pri ก็จะเปลี่ยนแปลงในลักษณะและอัตราเดียวกันครับ  :)
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Mr. Tube ที่ 18 มกราคม, 2010, 01:05:08 pm
ผมจำได้ว่เคยอ่านในหนังสือแอมป์หลอดของซีเอ็ดที่มีหน้าปกสีเหลือง (ปรีแอมป์ Magnet PV-01) มีอยู่ท่อนหนึ่ง เขาให้คำนวณที่ Zp = (4*( Ep-0.6Ep ) / Ip ( max ) พอผมแทนค่าในสูตร แล้วให้แรงดันเพลตลดจาก 280 เป็น 250 ก็จะได้เอาต์พุต ที่ 5.6K และ 5K ตามลำดับ นั่นหมายถึงอัตรารอบการพันระหว่าง ไพรมารี่ และ เซคคันดารี่ เราก็ต้องเปลี่ยนไปตามนั้นด้วยใช่มั้ย ดังนั้นผม (คิด) ว่าเราน่าจะทำแท็ปทางด้านไพรมารี่ออกมาเยอะๆ เพื่อหาจุดที่เหมาะกับโหลดไลน์ และ หลอดของเรานะครับ  :bye1

สูตรอยู่ในบทความไหนครับ หรือถ้าสามารถยกประโยคก่อนหน้าที่จะพูดถึงสูตรนี้มาได้ ก็จะได้ทราบว่าสูตรนี้ใช้ในกรณีไหนครับ ผมดูแล้วเหมือนการประมาณค่า Zp โดยไม่ต้องลาก Load Line ดูน่ะครับ

ส่วนกรณีที่จุดทำงานของหลอดเปลี่ยน แล้วค่า Zp ควรจะเปลี่ยนไปด้วยนั้น ในการออกแบบทั่วไป ผมคิดว่าไม่เสมอไปว่าต้องเป็นเช่นนั้นครับ แต่ถ้าต้องการ Optimize กำลังขับและความเพี้ยน ค่า Zp ก็น่าจะต้องเปลี่ยนตามจุดทำงานของหลอดครับ  :)
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: 0 ที่ 18 มกราคม, 2010, 01:58:07 pm
ขอบคุณ อ.Tube ครับ ที่ขยายความครับ 

คราวนี้ ถ้าองค์ประกอบที่แปรผันเหล่านี้มีผลต่อค่า impedance ที่ไม่ได้ตามอุดมคติ เราก็ต้องมาทำความเข้าใจกับการแปรผันของค่าคงที่ตามทฤษฏีทีละตัว เพื่อที่จะได้เข้าใจองค์รวมเมื่อค่าเหล่านี้แปรเปลี่ยนไป และยิ่งถ้าเราเข้าใจถึงเหตุของการที่ค่าเหล่านี้แปรผันไปจากค่าในอุดมคติ เราก็คงจะสามารถหาทางควบคุมไม่ให้มันแปรผันมากจนเราไม่สามารถเดาหรือควบคุมพฤติกรรมของมันได้  ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด น่าจะเป็นความลับของการสร้างผลิตภัณฑ์ของแต่ละเจ้า อย่างเช่นการเลือกใช้วัสดุ เทคนิคการพันแบบต่างๆ ฯลฯ  ซึ่งถ้าเราเข้าใจได้มากขึ้น เราก็จะมีเทคนิคละเอียดขึ้น อย่างที่ อ.PORN พยายามอธิบายว่ามันเปลี่ยนไปอย่างไร ซึ่งน่าจะดีกว่าเราทดลองแล้วรับรู้ว่าเกิดอะไรแต่ไม่เข้าใจว่ามันเกิดได้อย่างไรใช่มั้ยครับ   ไม่ทราบว่าผมเข้าใจถูกต้องมั้ยครับ

คุณ PORN เพียงบอกว่ามันเปลี่ยนไป แต่บอกไม่ได้ว่าเปลี่ยนไปอย่างไรครับ อย่างที่ผมถามว่า

รบกวนช่วยอธิบายด้วยครับว่า เมื่อ Load และกระแสไม่เปลี่ยนแปลง เหตุใดค่า Impedance ของ Primary ที่ 1kHz กับ 5kHz จึงไม่เท่ากันครับ และ --อาจ เปลี่ยนไป-- ที่คุณ PORN ว่าไว้ คือเปลี่ยนไปในทางไหน และเป็นเพราะอะไรครับ ขอบคุณครับ  :)

และได้คำตอบ เป็นการเปรียบเทียบกับรถยนต์ ซึ่งผมก็ได้บอกไปแล้วว่าคำตอบไม่เป็นที่ชัดเจนครับ และถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีคำตอบในคำถามข้างต้นที่ชัดเจนครับ หรือแม้แต่สิ่งที่คุณ gai ว่า --อย่างที่ อ.PORN พยายามอธิบายว่ามันเปลี่ยนไปอย่างไร ซึ่งน่าจะดีกว่าเราทดลองแล้วรับรู้ว่าเกิดอะไรแต่ไม่เข้าใจว่ามันเกิดได้อย่างไรใช่มั้ยครับ-- ผมลองอ่านทบทวนกระทู้ทั้งหมดดูอีกที ผมเห็นว่าคุณ PORN เพียงยกตัวอย่างมา 1 ตัวอย่าง แล้วบอกว่ามันเปลี่ยนไป แต่ไม่ได้บอกว่ามันเปลี่ยนไปอย่างไร และมันเกิดได้อย่างไร นะครับ

ส่วนที่คุณ gai พูดถึงเรื่องความลับของผลิตภัณฑ์นั้น ผมขอแสดงความเห็นหน่อยนะครับ คือในมุมมองของผม ผมมองเป็น ความมีเอกลักษณ์ ครับ คือผมคิดว่า OPT ที่ดี ก็ควรจะทำงานตามแบบหม้อแปลงอุดมคติ คือ ไม่มีความสูญเสีย และ ตอบสนองความถี่ได้ตั้งแต่ 0 ถึง Infinity แต่ในสภาพความเป็นจริง เราต้องยอมรับว่ามีความสูญเสียพลังงานเกิดขึ้น และขดลวดมีค่า RCL แฝงอยู่ ทำให้ไม่สามารถตอบสนองความถี่ได้ตามอุดมคติ ที่นี้ขึ้นกับวิศวกรผู้ออกแบบ ว่าจะให้หม้อแปลงนั้นๆ มี --เอกลักษณ์-- อย่างไรครับ เช่น ค่า Lp จะต้องมากๆ ค่า Lsp จะมากไปหน่อยก็ไม่เป็นไร หรือเช่น ค่า Loss ในช่วงการตอบสนองจะต้องต่ำที่สุดในโลก หรือเช่นต้อง Interleaving ให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น เพื่อให้ค่า C ระหว่างขดลวดน้อยที่สุด หรือ... ผมคิดว่าเหล่านี้คือ --ความเป็นเอกลักษณ์-- ของหม้อแปลงน่ะครับ แต่จะเห็นว่าไม่มีตัวไหนสมบูรณ์แบบซักตัว ผมคิดว่าเป็นที่พวกเราเองต่างหาก ที่ไปฟัง OPT ตัวนั้นตัวนี้แล้วเกิดความชอบขึ้นในใจ และถ้ามันราคาแพงเกินเอื้อม เราก็ไปหาทาง --เลียนแบบ-- เค้าในราคาที่ถูกกว่า พอเราเลียนแบบไม่สำเร็จหรือไม่รู้ว่าจะเลียนแบบอย่างไร เราก็เรียกสิ่งนั้นว่า --ความลับ-- (และมันมีมูลค่าทางการตลาดสูงซะด้วยสิครับ) แต่ถ้าเราได้คุยกับวิศวกรผู้ออกแบบ เชื่อหรือไม่ครับ เค้าอาจจะถามกลับมาว่า --เรื่องพวกนี้ใครๆ ก็รู้ไม่ใช่เหรอครับ-- (ผมเคยเจอมาแล้ว ถึงได้กลับมานั่งคิดเรื่องพวกนี้ครับ  ;D)

แฮ่ๆ ตอนเริ่มใหม่ๆ ผมก็โดนมาเหมือนกันครับ  :)

และมูลค่าทางการตลาด ก็เป็นเหตุผลของการตลาดครับ  :) คิดว่างั้นนะครับ

ขอบคุณสำหรับความรู้นะครับพี่อาร์ต  :)
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: nut_ty ที่ 18 มกราคม, 2010, 02:03:50 pm
ผมจำได้ว่เคยอ่านในหนังสือแอมป์หลอดของซีเอ็ดที่มีหน้าปกสีเหลือง (ปรีแอมป์ Magnet PV-01) มีอยู่ท่อนหนึ่ง เขาให้คำนวณที่ Zp = (4*( Ep-0.6Ep ) / Ip ( max ) พอผมแทนค่าในสูตร แล้วให้แรงดันเพลตลดจาก 280 เป็น 250 ก็จะได้เอาต์พุต ที่ 5.6K และ 5K ตามลำดับ นั่นหมายถึงอัตรารอบการพันระหว่าง ไพรมารี่ และ เซคคันดารี่ เราก็ต้องเปลี่ยนไปตามนั้นด้วยใช่มั้ย ดังนั้นผม (คิด) ว่าเราน่าจะทำแท็ปทางด้านไพรมารี่ออกมาเยอะๆ เพื่อหาจุดที่เหมาะกับโหลดไลน์ และ หลอดของเรานะครับ  :bye1

สูตรอยู่ในบทความไหนครับ หรือถ้าสามารถยกประโยคก่อนหน้าที่จะพูดถึงสูตรนี้มาได้ ก็จะได้ทราบว่าสูตรนี้ใช้ในกรณีไหนครับ ผมดูแล้วเหมือนการประมาณค่า Zp โดยไม่ต้องลาก Load Line ดูน่ะครับ

ส่วนกรณีที่จุดทำงานของหลอดเปลี่ยน แล้วค่า Zp ควรจะเปลี่ยนไปด้วยนั้น ในการออกแบบทั่วไป ผมคิดว่าไม่เสมอไปว่าต้องเป็นเช่นนั้นครับ แต่ถ้าต้องการ Optimize กำลังขับและความเพี้ยน ค่า Zp ก็น่าจะต้องเปลี่ยนตามจุดทำงานของหลอดครับ  :)

วงจรแรกสุดครับ ที่เป็นแอมป์ 6au6 + 12u7 + 6bq5 push-pull 12W หัวข้อที่เขาขึ้นไว้ประมาณว่าออกแบบแอมป์หลอดนี่ล่ะ สูตรที่ผมลงไว้ผิดพลาดประการใด เดี๋ยวจะถามไปที่ se-ed อีกที ถ้าคนเขียนเดิมยังอยู่

หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Mr. Tube ที่ 19 มกราคม, 2010, 12:04:43 am
วงจรแรกสุดครับ ที่เป็นแอมป์ 6au6 + 12u7 + 6bq5 push-pull 12W หัวข้อที่เขาขึ้นไว้ประมาณว่าออกแบบแอมป์หลอดนี่ล่ะ สูตรที่ผมลงไว้ผิดพลาดประการใด เดี๋ยวจะถามไปที่ se-ed อีกที ถ้าคนเขียนเดิมยังอยู่

ขอบคุณครับ ผมไม่มีหนังสือเล่มที่ว่า แต่เริ่มคลับคล้ายคลับครากับสูตรที่ยกมาแล้วครับ ดูเหมือนจะอยู่ในบทความ คุยเฟื่องเรื่องหลอด ในเซมิฯ เล่ม 11X รึเปล่า ผมน่าจะยังเก็บเซมิฯ เล่มนี้ไว้อยู่ แต่ถ้าหาไม่เจอก็จะหาโอกาสไปดูบทความที่ว่าดูครับ  :)
หัวข้อ: text
เริ่มหัวข้อโดย: Eak-tubeamp ที่ 19 มกราคม, 2010, 12:19:16 am
ไม่ได้เข้ามาอ่านแป็บเดียว ข้อมูลเพียบเลย นี่แหล่ะที่ต้องการ
หนังสือเล่มนี้ ผมก็มีครับ คงต้องหาก่อน
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Era ที่ 19 มกราคม, 2010, 01:45:05 am
 O0
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Eak-tubeamp ที่ 19 มกราคม, 2010, 08:01:54 am
วงจรแรกสุดครับ ที่เป็นแอมป์ 6au6 + 12u7 + 6bq5 push-pull 12W หัวข้อที่เขาขึ้นไว้ประมาณว่าออกแบบแอมป์หลอดนี่ล่ะ สูตรที่ผมลงไว้ผิดพลาดประการใด เดี๋ยวจะถามไปที่ se-ed อีกที ถ้าคนเขียนเดิมยังอยู่

ขอบคุณครับ ผมไม่มีหนังสือเล่มที่ว่า แต่เริ่มคลับคล้ายคลับครากับสูตรที่ยกมาแล้วครับ ดูเหมือนจะอยู่ในบทความ คุยเฟื่องเรื่องหลอด ในเซมิฯ เล่ม 11X รึเปล่า ผมน่าจะยังเก็บเซมิฯ เล่มนี้ไว้อยู่ แต่ถ้าหาไม่เจอก็จะหาโอกาสไปดูบทความที่ว่าดูครับ  :)
หนังสือเล่มนี้ เนื้อหาภายในน่าสนใจครับ  (http://image.ohozaa.com/i6/ccf19012553_00000.jpg) (http://image.ohozaa.com/show.php?id=e8ca0fb8f166b9c2fa929f0fe50878b0) (http://image.ohozaa.com/i2/ccf19012553_00001.jpg) (http://image.ohozaa.com/show.php?id=7c900ac1908dee8c446202831da0466e)
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: nut_ty ที่ 19 มกราคม, 2010, 08:14:24 am
วงจรแรกสุดครับ ที่เป็นแอมป์ 6au6 + 12u7 + 6bq5 push-pull 12W หัวข้อที่เขาขึ้นไว้ประมาณว่าออกแบบแอมป์หลอดนี่ล่ะ สูตรที่ผมลงไว้ผิดพลาดประการใด เดี๋ยวจะถามไปที่ se-ed อีกที ถ้าคนเขียนเดิมยังอยู่

ขอบคุณครับ ผมไม่มีหนังสือเล่มที่ว่า แต่เริ่มคลับคล้ายคลับครากับสูตรที่ยกมาแล้วครับ ดูเหมือนจะอยู่ในบทความ คุยเฟื่องเรื่องหลอด ในเซมิฯ เล่ม 11X รึเปล่า ผมน่าจะยังเก็บเซมิฯ เล่มนี้ไว้อยู่ แต่ถ้าหาไม่เจอก็จะหาโอกาสไปดูบทความที่ว่าดูครับ  :)

ผมก็ไม่มีเหมือนกันครับ อาศัยว่าคุ้นๆ พอจำได้ ซื้อตั้งแต่ยุตแม็กเน็ทยังเฟื่องฟูทางด้านชุดคิท นี่ก็กว่า 10 ปีแล้ว แต่ผมว่าสูตรที่ผมอ้างมานี้ยังขาดเรื่องค่าความเหนี่ยวนำ ที่แปรผันไปกับ Perm ของแกนเหล็กนะ วิธีวัด Perm ก็ไม่เห็นจะบอกผมก็เลยเอาง่ายๆ ใช้ลวดพัน 1 รอบแล้ววัดค่า L มาย้อยถอยหลังหาค่า Perm ไม่รู้ว่าถูกมั้ย เพราะสมัยที่อยู่ Delta หัวหน้าเขาให้ทำแบบนี้
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Mr. Tube ที่ 19 มกราคม, 2010, 10:14:19 pm
ขอบคุณคุณเอก-tubeamp ที่ยกบทความมาครับ ตรงกับสูตรที่คุณ nut_ty อ้างถึงครับ เป็นสูตรประมาณค่า Zp อย่างที่ผมเดาไว้ครับ ถ้าคุณดู Plate Curve เป็นและเขียน Load Line ได้ ผมว่าจะแม่นยำกว่าสูตรประมาณค่าครับ และผมคิดว่าสูตรที่เห็นนี้น่าจะมีข้อจำกัดในการใช้อยู่พอควรครับ คงไม่ได้เหมาะกับทุกกรณีเหมือนการเขียน Load Line ครับ  :)

ผมก็ไม่มีเหมือนกันครับ อาศัยว่าคุ้นๆ พอจำได้ ซื้อตั้งแต่ยุตแม็กเน็ทยังเฟื่องฟูทางด้านชุดคิท นี่ก็กว่า 10 ปีแล้ว แต่ผมว่าสูตรที่ผมอ้างมานี้ยังขาดเรื่องค่าความเหนี่ยวนำ ที่แปรผันไปกับ Perm ของแกนเหล็กนะ วิธีวัด Perm ก็ไม่เห็นจะบอกผมก็เลยเอาง่ายๆ ใช้ลวดพัน 1 รอบแล้ววัดค่า L มาย้อยถอยหลังหาค่า Perm ไม่รู้ว่าถูกมั้ย เพราะสมัยที่อยู่ Delta หัวหน้าเขาให้ทำแบบนี้

ผมว่าเป็นคนละเรื่องกันครับ ค่าเหนี่ยวนำที่แปรผันไปกับ Perm ของแกนเหล็ก เป็นเรื่องการออกแบบหม้อแปลงแล้วครับ บทความนั้นไม่ได้กล่าวถึงครับ
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Eak-tubeamp ที่ 19 มกราคม, 2010, 11:05:36 pm
ขอบคุณคุณเอก-tubeamp ที่ยกบทความมาครับ ตรงกับสูตรที่คุณ nut_ty อ้างถึงครับ เป็นสูตรประมาณค่า Zp อย่างที่ผมเดาไว้ครับ ถ้าคุณดู Plate Curve เป็นและเขียน Load Line ได้ ผมว่าจะแม่นยำกว่าสูตรประมาณค่าครับ และผมคิดว่าสูตรที่เห็นนี้น่าจะมีข้อจำกัดในการใช้อยู่พอควรครับ คงไม่ได้เหมาะกับทุกกรณีเหมือนการเขียน Load Line ครับ  :)

ผมก็ไม่มีเหมือนกันครับ อาศัยว่าคุ้นๆ พอจำได้ ซื้อตั้งแต่ยุตแม็กเน็ทยังเฟื่องฟูทางด้านชุดคิท นี่ก็กว่า 10 ปีแล้ว แต่ผมว่าสูตรที่ผมอ้างมานี้ยังขาดเรื่องค่าความเหนี่ยวนำ ที่แปรผันไปกับ Perm ของแกนเหล็กนะ วิธีวัด Perm ก็ไม่เห็นจะบอกผมก็เลยเอาง่ายๆ ใช้ลวดพัน 1 รอบแล้ววัดค่า L มาย้อยถอยหลังหาค่า Perm ไม่รู้ว่าถูกมั้ย เพราะสมัยที่อยู่ Delta หัวหน้าเขาให้ทำแบบนี้

ผมว่าเป็นคนละเรื่องกันครับ ค่าเหนี่ยวนำที่แปรผันไปกับ Perm ของแกนเหล็ก เป็นเรื่องการออกแบบหม้อแปลงแล้วครับ บทความนั้นไม่ได้กล่าวถึงครับ
ก่อนหน้านี้ผม ก็เคยคิดที่จะเอาสูตรนี้มาใช้งานเหมือนกัน แต่บังเอิญว่าได้บทความของ Mr.tube มาอ่าน มีขั้นตอนการคำนวณที่ละเอียดกว่า เลยเลิกคิดสูตรที่ว่านี้ไป
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: nut_ty ที่ 20 มกราคม, 2010, 03:09:26 am
ขอบคุณคุณเอก-tubeamp ที่ยกบทความมาครับ ตรงกับสูตรที่คุณ nut_ty อ้างถึงครับ เป็นสูตรประมาณค่า Zp อย่างที่ผมเดาไว้ครับ ถ้าคุณดู Plate Curve เป็นและเขียน Load Line ได้ ผมว่าจะแม่นยำกว่าสูตรประมาณค่าครับ และผมคิดว่าสูตรที่เห็นนี้น่าจะมีข้อจำกัดในการใช้อยู่พอควรครับ คงไม่ได้เหมาะกับทุกกรณีเหมือนการเขียน Load Line ครับ  :)

ผมก็ไม่มีเหมือนกันครับ อาศัยว่าคุ้นๆ พอจำได้ ซื้อตั้งแต่ยุตแม็กเน็ทยังเฟื่องฟูทางด้านชุดคิท นี่ก็กว่า 10 ปีแล้ว แต่ผมว่าสูตรที่ผมอ้างมานี้ยังขาดเรื่องค่าความเหนี่ยวนำ ที่แปรผันไปกับ Perm ของแกนเหล็กนะ วิธีวัด Perm ก็ไม่เห็นจะบอกผมก็เลยเอาง่ายๆ ใช้ลวดพัน 1 รอบแล้ววัดค่า L มาย้อยถอยหลังหาค่า Perm ไม่รู้ว่าถูกมั้ย เพราะสมัยที่อยู่ Delta หัวหน้าเขาให้ทำแบบนี้

ผมว่าเป็นคนละเรื่องกันครับ ค่าเหนี่ยวนำที่แปรผันไปกับ Perm ของแกนเหล็ก เป็นเรื่องการออกแบบหม้อแปลงแล้วครับ บทความนั้นไม่ได้กล่าวถึงครับ

ผมว่าเป็นเรื่องเดียวกันนะครับ การหาร Zp ทางด้านไพรมารี่ มักจะต้องคำนวณค่าเฮนรี่ของหม้อแปลงตามไปด้วย เราเลี่ยงไม่ได้เลยว่า ค่าเหนี่ยวนำทางด้านอินพุตจะแปรผันตามค่า K ทางด้านอินพุตใน turn ratio เดียวกัน ไม่เคยปรากฏว่าด้านอินพุตจะมีค่าเหนี่ยวนำน้อยกว่าด้านเอาต์พุตเลย มันมักจะอยู่ในอัตราเดียวกันเสมอ (ผมไม่ทราบสูตร แต่ขอเดาเอาละกันว่าเท่ากับ K ของไพรมารี่ / โอห์มของเอาต์พุต) เพียงแต่ว่าในบทความนั้น ไม่ได้เจาะวงว่าใช้แกนแบบไหน ขนาดเท่าไหร่ เวลาเราไปสั่งร้านทำหม้อแปลงก็ไดเต่บอกค่า K และ หลอดที่จะใช้เพียงอย่างเดียว เรื่องการพันในแต่ละชั้น เราไม่สามารถบอกเขาได้เลย และ เขาคงไม่แฮปปี้ถ้าเราสั่งละเอียดขนาดนั้น

หัวใจของกระทู้นี้ถามมาว่าค่า K เปลี่ยนไปตามแรงดันหรือไม่ และ แน่นอนว่าผมตอบไปแล้วว่าเปลี่ยน และ เปลี่ยนอย่างที่ต้องมานั่งคิดการแท็ปไพรมารี่ให้ได้ค่าที่เราต้องการ ส่วนปัจจัยอื่นเกี่ยวกับการเปลี่ยนค่า K ผมไม่สามารถลงลึกได้ไปกว่านี้ เพราะผมยังไม่ได้ทดลองในปัจจุบันให้เป็นหลักเป็นฐาน (ดาวพลูโต ไม่ใช่ดาวนพเคราะห์ ฉันใดฉันนั้นการทดลองในอดีตไม่สามารถบอกได้ 100% ว่าจะเป็นจริงได้ในปัจจุบัน และ อนาคต แต่สามารถนำมาอ้างอิงได้ในปัจจุบัลกาล)
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Mr. Tube ที่ 20 มกราคม, 2010, 10:49:55 am
ผมว่าเป็นเรื่องเดียวกันนะครับ การหาร Zp ทางด้านไพรมารี่ มักจะต้องคำนวณค่าเฮนรี่ของหม้อแปลงตามไปด้วย เราเลี่ยงไม่ได้เลยว่า ค่าเหนี่ยวนำทางด้านอินพุตจะแปรผันตามค่า K ทางด้านอินพุตใน turn ratio เดียวกัน ไม่เคยปรากฏว่าด้านอินพุตจะมีค่าเหนี่ยวนำน้อยกว่าด้านเอาต์พุตเลย มันมักจะอยู่ในอัตราเดียวกันเสมอ (ผมไม่ทราบสูตร แต่ขอเดาเอาละกันว่าเท่ากับ K ของไพรมารี่ / โอห์มของเอาต์พุต) เพียงแต่ว่าในบทความนั้น ไม่ได้เจาะวงว่าใช้แกนแบบไหน ขนาดเท่าไหร่ เวลาเราไปสั่งร้านทำหม้อแปลงก็ไดเต่บอกค่า K และ หลอดที่จะใช้เพียงอย่างเดียว เรื่องการพันในแต่ละชั้น เราไม่สามารถบอกเขาได้เลย และ เขาคงไม่แฮปปี้ถ้าเราสั่งละเอียดขนาดนั้น

ที่ผมเห็นว่าเป็นคนละเรื่องกัน คือในบทความเขี่ยนเรื่องการออกแบบวงจร ไม่ได้เขียนเรื่องการออกแบบอุปกรณ์นะครับ เปรียบไปแล้วก็คือเค้าเขียนถึงการออกแบบวงจรหลอด ไม่ได้เขียนถึงการออกแบบหลอด เห็นไหมครับ ว่าเป็นคนละเรื่องกันอย่างไร ที่คุณ nut_ty เห็นว่าการหาค่า Zp จะต้องคำนวณค่า Henry ของหม้อแปลงไปด้วย เหตุที่ต้องคำนวณค่า Henry ก็เพราะเราต้องการออกแบบหม้อแปลงให้ตอบสนองความถี่ได้ตามที่เราต้องการครับ ค่า Henry ไม่ได้เกี่ยวกับการออกแบบวงจรเลย ถามกลับว่าถึงเราจะไม่คำนวณค่า Henry แล้ววงจรในรูปนั้นสมบูรณ์หรือไม่? ผมเห็นว่าสมบูรณ์แล้ว ค่า Henry จึงเป็นเรื่องของอุปกรณ์ ไม่ใช่เรื่องของวงจรครับ

และที่คุณ nut_ty จะเข้าใจไปอย่างข้างต้น เป็นเพราะคุณ nut_ty ยังเข้าใจว่า --ค่าเหนี่ยวนำทางด้านอินพุตจะแปรผันตามค่า K ทางด้านอินพุตใน turn ratio เดียวกัน-- ซึ่งผมได้แสดงเหตุผลแย้งไปแล้วว่าเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง แนะนำให้คุณ nut_ty ลองทำความเข้าใจสิ่งที่ผม Post ไปอีกรอบหนึ่งครับ และถ้าไม่เห็นด้วยก็ยกเหตุผลขึ้นมาแย้งในสิ่งที่ผมอธิบายไปได้ หรือถ้าต้องการถามเพิ่มเติมก็ยินดีครับ

อ้างถึง
หัวใจของกระทู้นี้ถามมาว่าค่า K เปลี่ยนไปตามแรงดันหรือไม่ และ แน่นอนว่าผมตอบไปแล้วว่าเปลี่ยน และ เปลี่ยนอย่างที่ต้องมานั่งคิดการแท็ปไพรมารี่ให้ได้ค่าที่เราต้องการ ส่วนปัจจัยอื่นเกี่ยวกับการเปลี่ยนค่า K ผมไม่สามารถลงลึกได้ไปกว่านี้ เพราะผมยังไม่ได้ทดลองในปัจจุบันให้เป็นหลักเป็นฐาน (ดาวพลูโต ไม่ใช่ดาวนพเคราะห์ ฉันใดฉันนั้นการทดลองในอดีตไม่สามารถบอกได้ 100% ว่าจะเป็นจริงได้ในปัจจุบัน และ อนาคต แต่สามารถนำมาอ้างอิงได้ในปัจจุบัลกาล)

คุณ nut_ty เข้าใจว่า ค่า K เปลี่ยนไปตามแรงดัน และผมบอกว่าค่า K ไม่เปลี่ยนตามแรงดัน ที่ผมบอกว่าไม่เปลี่ยนก็เพราะ ไม่ว่าจะมอง Primary ในมุมมองของ Load Reflection หรือมุมมองของ Primary Inductance เมื่อแปรค่าเป็น Impedance แล้ว ก็ได้ค่าคงที่ไม่ขึ้นกับแรงดัน ยกตัวอย่างเช่น

กรณี 1 มองแบบ Load Reflection ค่า Primary Imp = Secondary Imp x (turn ratio ยกกำลัง2) จะเห็นว่าไม่มีแรงดันเข้ามาเกี่ยวข้องซักนิด
กรณี 2 มองแบบ Primary Inductance ค่า Reactance = 2(pi) x f x L ก็จะเห็นว่าไม่มีแรงดันเข้ามาเกี่ยวข้องเลยเช่นกัน

รบกวนคุณ nut_ty ชี้แจงหน่อยว่า ทำไมคุณ nut_ty จึงว่าเปลี่ยน ครับ  :)
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: พี่ดุ้น ที่ 20 มกราคม, 2010, 12:45:31 pm

ผมแนะนำ web แปลภาษาให้ครับ http://www.stars21.com/translator/english_to_thai.html

2f
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: คุณโชค ที่ 20 มกราคม, 2010, 01:37:59 pm
เท่าที่มีความรู้บ้างคิดว่าตามที่ท่าน MR .tube ว่าเเหละครับ
////////////กรณี 1 มองแบบ Load Reflection ค่า Primary Imp = Secondary Imp x (turn ratio ยกกำลัง2) จะเห็นว่าไม่มีแรงดันเข้ามาเกี่ยวข้องซักนิด
                   กรณี 2 มองแบบ Primary Inductance ค่า Reactance = 2(pi) x f x L ก็จะเห็นว่าไม่มีแรงดันเข้ามาเกี่ยวข้องเลยเช่นกัน//////////////////////////////// 55ทำอ้างอิงข้อความนี้เข้ามาไม่เป็น คนโบราณ ขอภัยด้วย  ;D

เพราะมันคือหลักการ ตายตัวพื้นฐานที่คนออกเเบบหม้อต้องปฏิบัติตาม โดยเฉาะกรณีที่ 1 ส่วนกรณีอื่นๆค่อยศึกษาต่อไปครับ
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: nut_ty ที่ 21 มกราคม, 2010, 12:21:08 am
ผมว่าเป็นเรื่องเดียวกันนะครับ การหาร Zp ทางด้านไพรมารี่ มักจะต้องคำนวณค่าเฮนรี่ของหม้อแปลงตามไปด้วย เราเลี่ยงไม่ได้เลยว่า ค่าเหนี่ยวนำทางด้านอินพุตจะแปรผันตามค่า K ทางด้านอินพุตใน turn ratio เดียวกัน ไม่เคยปรากฏว่าด้านอินพุตจะมีค่าเหนี่ยวนำน้อยกว่าด้านเอาต์พุตเลย มันมักจะอยู่ในอัตราเดียวกันเสมอ (ผมไม่ทราบสูตร แต่ขอเดาเอาละกันว่าเท่ากับ K ของไพรมารี่ / โอห์มของเอาต์พุต) เพียงแต่ว่าในบทความนั้น ไม่ได้เจาะวงว่าใช้แกนแบบไหน ขนาดเท่าไหร่ เวลาเราไปสั่งร้านทำหม้อแปลงก็ไดเต่บอกค่า K และ หลอดที่จะใช้เพียงอย่างเดียว เรื่องการพันในแต่ละชั้น เราไม่สามารถบอกเขาได้เลย และ เขาคงไม่แฮปปี้ถ้าเราสั่งละเอียดขนาดนั้น

ที่ผมเห็นว่าเป็นคนละเรื่องกัน คือในบทความเขี่ยนเรื่องการออกแบบวงจร ไม่ได้เขียนเรื่องการออกแบบอุปกรณ์นะครับ เปรียบไปแล้วก็คือเค้าเขียนถึงการออกแบบวงจรหลอด ไม่ได้เขียนถึงการออกแบบหลอด เห็นไหมครับ ว่าเป็นคนละเรื่องกันอย่างไร ที่คุณ nut_ty เห็นว่าการหาค่า Zp จะต้องคำนวณค่า Henry ของหม้อแปลงไปด้วย เหตุที่ต้องคำนวณค่า Henry ก็เพราะเราต้องการออกแบบหม้อแปลงให้ตอบสนองความถี่ได้ตามที่เราต้องการครับ ค่า Henry ไม่ได้เกี่ยวกับการออกแบบวงจรเลย ถามกลับว่าถึงเราจะไม่คำนวณค่า Henry แล้ววงจรในรูปนั้นสมบูรณ์หรือไม่? ผมเห็นว่าสมบูรณ์แล้ว ค่า Henry จึงเป็นเรื่องของอุปกรณ์ ไม่ใช่เรื่องของวงจรครับ

และที่คุณ nut_ty จะเข้าใจไปอย่างข้างต้น เป็นเพราะคุณ nut_ty ยังเข้าใจว่า --ค่าเหนี่ยวนำทางด้านอินพุตจะแปรผันตามค่า K ทางด้านอินพุตใน turn ratio เดียวกัน-- ซึ่งผมได้แสดงเหตุผลแย้งไปแล้วว่าเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง แนะนำให้คุณ nut_ty ลองทำความเข้าใจสิ่งที่ผม Post ไปอีกรอบหนึ่งครับ และถ้าไม่เห็นด้วยก็ยกเหตุผลขึ้นมาแย้งในสิ่งที่ผมอธิบายไปได้ หรือถ้าต้องการถามเพิ่มเติมก็ยินดีครับ

อ้างถึง
หัวใจของกระทู้นี้ถามมาว่าค่า K เปลี่ยนไปตามแรงดันหรือไม่ และ แน่นอนว่าผมตอบไปแล้วว่าเปลี่ยน และ เปลี่ยนอย่างที่ต้องมานั่งคิดการแท็ปไพรมารี่ให้ได้ค่าที่เราต้องการ ส่วนปัจจัยอื่นเกี่ยวกับการเปลี่ยนค่า K ผมไม่สามารถลงลึกได้ไปกว่านี้ เพราะผมยังไม่ได้ทดลองในปัจจุบันให้เป็นหลักเป็นฐาน (ดาวพลูโต ไม่ใช่ดาวนพเคราะห์ ฉันใดฉันนั้นการทดลองในอดีตไม่สามารถบอกได้ 100% ว่าจะเป็นจริงได้ในปัจจุบัน และ อนาคต แต่สามารถนำมาอ้างอิงได้ในปัจจุบัลกาล)

คุณ nut_ty เข้าใจว่า ค่า K เปลี่ยนไปตามแรงดัน และผมบอกว่าค่า K ไม่เปลี่ยนตามแรงดัน ที่ผมบอกว่าไม่เปลี่ยนก็เพราะ ไม่ว่าจะมอง Primary ในมุมมองของ Load Reflection หรือมุมมองของ Primary Inductance เมื่อแปรค่าเป็น Impedance แล้ว ก็ได้ค่าคงที่ไม่ขึ้นกับแรงดัน ยกตัวอย่างเช่น

กรณี 1 มองแบบ Load Reflection ค่า Primary Imp = Secondary Imp x (turn ratio ยกกำลัง2) จะเห็นว่าไม่มีแรงดันเข้ามาเกี่ยวข้องซักนิด
กรณี 2 มองแบบ Primary Inductance ค่า Reactance = 2(pi) x f x L ก็จะเห็นว่าไม่มีแรงดันเข้ามาเกี่ยวข้องเลยเช่นกัน

รบกวนคุณ nut_ty ชี้แจงหน่อยว่า ทำไมคุณ nut_ty จึงว่าเปลี่ยน ครับ  :)

ผมอ้างอิงจากสูตรของหนังสือเซมิฯ ที่ค่า Zp ขึ้นอยู่กับ Ep ยิ่ง Ep มากขึ้นเท่าไหร่ Zp จะแปรผันตามไปด้วย ผมลองแทนค่าไล่ขึ้นไปตั้งแต่ 100V ไปจนถึง 500V มันได้ตามนั้นเลย ทีนี้กลับมาเรื่อง Henry กันต่อ ถ้าเราคิดค่าการพันหม้อแปลงที่อุดมคติ ทั้งเรื่องแอร์แก็ป และ การเรียงเส้น แต่เว้นเฉพาะค่า Perm และ Core Loss เมื่อเราเพิ่มค่าความเหี่ยวนำให้สูงขึ้นโดยการเพิ่มรอบการพันทางด้านไพรมารี่ จะส่งผลให้ได้ค่า Zp ทางด้านไพรมารี่สูงขึ้นตามมาด้วย พร้อมๆ กับ Turn Ratio ถ้าเทคนิคการพันเป็นเรื่องอุดมคติ คือ ไม่มีเรื่องการแยกเซ็กชั่น, เทคนิคการลด DCR และ ชนิดลวดมาเกี่ยวข้อง ผมว่าการบอกค่า K เพียงอย่างเดียวให้ร้านทำหม้อแปลงทราบ ดูจะเป็นเรื่องที่ตลกไม่น้อย อาจารย์หลายๆ คนที่มีทักษะในการทำหม้อแปลงเอาต์พุต ไม่ค่อย (หรือไม่เคย) แนะนำอะไรมากกว่าที่เรารู้ๆ กันอยู่เลย เราในฐานะผู้บริโภค ที่พันหม้อแปลงไม่เป็น จึงได้แค่สั่ง และ รอวันรับหม้อแปลงเท่านั้นเอง

ถ้ามีใครสักคน หรือ หลายๆ คนนำแกนเหล็กที่ใช้กันอยู่ในบ้านเรามาหาค่า ที่มากกว่าการบอกว่าเป็นแกนเหล็กชนิด M ฯลฯ ผมว่ามาตรฐานของแต่ละคนจะมาอยู่ใกล้เคียงกันนะครับ ใช้เหล็กแบบเดียวกัน ในลักษณะการพันที่ต่างกัน เวลาคำนวณจะได้คำนวณจากแกนเหล็กตัวจริง ไม่ต้องอ้างอิงตำราค่าแกนเหล็กที่เราคิดว่าน่าจะเป็นเหมือนในปัจจุบันนี้ ผมอาศัยว่าสมัยที่ลูบๆ คลำ พวกสวิทชิ่ง เราจะหาค่า Perm เป็นอันดับแรก ล้วค่อยวิ่งหาสูตร เสียมากกว่า
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: tewmax ที่ 21 มกราคม, 2010, 02:48:48 pm
เมื่อต่อลำโพงที่มี impedance  8 ohm  เข้าด้าน secondary เพื่อเป็นโหลดของ OPT ขณะที่เราฟังเพลง impedance ของลำโพงเปลี่ยนไปตามความถี่เสียงเกิด reflecting impedance ทำให้ impedance ด้าน primary ของ opt เปลี่ยนไปจึงดูคล้ายว่า impedance ของ OPT เปลี่ยนไปตามความถี่แต่จริงๆมันเปลี่ยนตาม Impedance ของลำโพง ที่เปลี่ยนไป ผมอธิบายอย่างนี้พอเป็นไปได้ไหมครับ

ถ้าอธิบายแบบนี้ ผมเห็นด้วยครับ มีที่มาที่ไปเป็นเหตุเป็นผลกัน และก็เข้าใจถูกต้องแล้วครับ  :)
ขอบคุณครับ
ผมมีบทความที่เจอใน net และ saveไว้นานแล้ว น่าจะเกี่ยวกับกระทู้บ้าง และข้อความเหมือนกันเคยตีพิมพ์ใน EHB เล่ม 101 เนื้อหาตามภาพข้างล่างครับ อยากให้ช่วยวิเคราะห์หน่อยครับ ว่าจริงเท็จประการใด อย่างหัวข้อที่ 4 ที่บอกว่าต้องทำให้ลวดทาง secondary ให้ได้  8 ohm เท่าลำโพง :D
(http://i96.photobucket.com/albums/l195/tewmax/0pt111.jpg)
(http://i96.photobucket.com/albums/l195/tewmax/0pt112.jpg)
(http://i96.photobucket.com/albums/l195/tewmax/0pt113.jpg)
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: tewmax ที่ 21 มกราคม, 2010, 02:50:41 pm
อีกครับ
(http://i96.photobucket.com/albums/l195/tewmax/0pt114.jpg)
(http://i96.photobucket.com/albums/l195/tewmax/0pt115.jpg)
(http://i96.photobucket.com/albums/l195/tewmax/0pt116.jpg)
(http://i96.photobucket.com/albums/l195/tewmax/0pt117.jpg)
(http://i96.photobucket.com/albums/l195/tewmax/0pt118.jpg)
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: nut_ty ที่ 21 มกราคม, 2010, 07:24:55 pm
ผมขุดเจอต้นตอความสัมพันธ์ของ แรงดัน และ turn ratio แล้วครับ...โล่งอก

http://www.siteswithstyle.com/VoltSecond/Push-Pull_Z/Push-Pull_Pri_Z.html

หวังว่าลิ้งค์ที่ให้ไปนี้ น่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ ผมแปลไม่เป็น แต่อ่านพอรู้เรื่องครับ  ;)
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Mr. Tube ที่ 21 มกราคม, 2010, 07:55:53 pm
รบกวนคุณ nut_ty ชี้แจงหน่อยว่า ทำไมคุณ nut_ty จึงว่าเปลี่ยน ครับ  :)

ผมอ้างอิงจากสูตรของหนังสือเซมิฯ ที่ค่า Zp ขึ้นอยู่กับ Ep ยิ่ง Ep มากขึ้นเท่าไหร่ Zp จะแปรผันตามไปด้วย ผมลองแทนค่าไล่ขึ้นไปตั้งแต่ 100V ไปจนถึง 500V มันได้ตามนั้นเลย ทีนี้กลับมาเรื่อง Henry กันต่อ ถ้าเราคิดค่าการพันหม้อแปลงที่อุดมคติ ทั้งเรื่องแอร์แก็ป และ การเรียงเส้น แต่เว้นเฉพาะค่า Perm และ Core Loss เมื่อเราเพิ่มค่าความเหี่ยวนำให้สูงขึ้นโดยการเพิ่มรอบการพันทางด้านไพรมารี่ จะส่งผลให้ได้ค่า Zp ทางด้านไพรมารี่สูงขึ้นตามมาด้วย พร้อมๆ กับ Turn Ratio ถ้าเทคนิคการพันเป็นเรื่องอุดมคติ คือ ไม่มีเรื่องการแยกเซ็กชั่น, เทคนิคการลด DCR และ ชนิดลวดมาเกี่ยวข้อง ผมว่าการบอกค่า K เพียงอย่างเดียวให้ร้านทำหม้อแปลงทราบ ดูจะเป็นเรื่องที่ตลกไม่น้อย อาจารย์หลายๆ คนที่มีทักษะในการทำหม้อแปลงเอาต์พุต ไม่ค่อย (หรือไม่เคย) แนะนำอะไรมากกว่าที่เรารู้ๆ กันอยู่เลย เราในฐานะผู้บริโภค ที่พันหม้อแปลงไม่เป็น จึงได้แค่สั่ง และ รอวันรับหม้อแปลงเท่านั้นเอง

ถ้ามีใครสักคน หรือ หลายๆ คนนำแกนเหล็กที่ใช้กันอยู่ในบ้านเรามาหาค่า ที่มากกว่าการบอกว่าเป็นแกนเหล็กชนิด M ฯลฯ ผมว่ามาตรฐานของแต่ละคนจะมาอยู่ใกล้เคียงกันนะครับ ใช้เหล็กแบบเดียวกัน ในลักษณะการพันที่ต่างกัน เวลาคำนวณจะได้คำนวณจากแกนเหล็กตัวจริง ไม่ต้องอ้างอิงตำราค่าแกนเหล็กที่เราคิดว่าน่าจะเป็นเหมือนในปัจจุบันนี้ ผมอาศัยว่าสมัยที่ลูบๆ คลำ พวกสวิทชิ่ง เราจะหาค่า Perm เป็นอันดับแรก ล้วค่อยวิ่งหาสูตร เสียมากกว่า

ในประเด็นของสูตรที่ยกมานั้น ผมได้อธิบายไปแล้วว่า

ขอบคุณคุณเอก-tubeamp ที่ยกบทความมาครับ ตรงกับสูตรที่คุณ nut_ty อ้างถึงครับ เป็นสูตรประมาณค่า Zp อย่างที่ผมเดาไว้ครับ ถ้าคุณดู Plate Curve เป็นและเขียน Load Line ได้ ผมว่าจะแม่นยำกว่าสูตรประมาณค่าครับ และผมคิดว่าสูตรที่เห็นนี้น่าจะมีข้อจำกัดในการใช้อยู่พอควรครับ คงไม่ได้เหมาะกับทุกกรณีเหมือนการเขียน Load Line ครับ  :)

คำว่าสูตรประมาณค่า Zp หมายความว่า ถ้าคุณใช้งานหลอดที่แรงดันเท่าไหร่ คุณก็ควรจะใช้ Zp ตามสูตรที่แนะนำในบทความ แต่ถ้าคุณเขียน Load Line เป็นคุณจะรู้ว่ามันไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามสูตรเสมอไป และยังเป็นคนละเรื่องกับ Zp ของ Output เพราะคุณไม่ต้องมีวงจร เพียงแค่มี Turn Ratio และ Load Impedance คุณก็บอกได้แล้วว่า Zp ของ OPT เป็นเท่าไหร่ เห็นความแตกต่างไม๊ครับ Zp ที่ควรใช้ในวงจร กับ Zp ที่หม้อแปลงเป็น ตัวย่อใช้ทับกันแต่ความหมายไม่เหมือนกัน

ผมพยายามแล้วที่จะแก้ความเข้าใจให้คุณ แต่ถ้าคุณยังยืนยันความเข้าใจของคุณ ก็เชิญเข้าใจไปตามนั้นแหล่ะครับ  K] K]  :D
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: nut_ty ที่ 21 มกราคม, 2010, 08:28:42 pm
รบกวนคุณ nut_ty ชี้แจงหน่อยว่า ทำไมคุณ nut_ty จึงว่าเปลี่ยน ครับ  :)

ผมอ้างอิงจากสูตรของหนังสือเซมิฯ ที่ค่า Zp ขึ้นอยู่กับ Ep ยิ่ง Ep มากขึ้นเท่าไหร่ Zp จะแปรผันตามไปด้วย ผมลองแทนค่าไล่ขึ้นไปตั้งแต่ 100V ไปจนถึง 500V มันได้ตามนั้นเลย ทีนี้กลับมาเรื่อง Henry กันต่อ ถ้าเราคิดค่าการพันหม้อแปลงที่อุดมคติ ทั้งเรื่องแอร์แก็ป และ การเรียงเส้น แต่เว้นเฉพาะค่า Perm และ Core Loss เมื่อเราเพิ่มค่าความเหี่ยวนำให้สูงขึ้นโดยการเพิ่มรอบการพันทางด้านไพรมารี่ จะส่งผลให้ได้ค่า Zp ทางด้านไพรมารี่สูงขึ้นตามมาด้วย พร้อมๆ กับ Turn Ratio ถ้าเทคนิคการพันเป็นเรื่องอุดมคติ คือ ไม่มีเรื่องการแยกเซ็กชั่น, เทคนิคการลด DCR และ ชนิดลวดมาเกี่ยวข้อง ผมว่าการบอกค่า K เพียงอย่างเดียวให้ร้านทำหม้อแปลงทราบ ดูจะเป็นเรื่องที่ตลกไม่น้อย อาจารย์หลายๆ คนที่มีทักษะในการทำหม้อแปลงเอาต์พุต ไม่ค่อย (หรือไม่เคย) แนะนำอะไรมากกว่าที่เรารู้ๆ กันอยู่เลย เราในฐานะผู้บริโภค ที่พันหม้อแปลงไม่เป็น จึงได้แค่สั่ง และ รอวันรับหม้อแปลงเท่านั้นเอง

ถ้ามีใครสักคน หรือ หลายๆ คนนำแกนเหล็กที่ใช้กันอยู่ในบ้านเรามาหาค่า ที่มากกว่าการบอกว่าเป็นแกนเหล็กชนิด M ฯลฯ ผมว่ามาตรฐานของแต่ละคนจะมาอยู่ใกล้เคียงกันนะครับ ใช้เหล็กแบบเดียวกัน ในลักษณะการพันที่ต่างกัน เวลาคำนวณจะได้คำนวณจากแกนเหล็กตัวจริง ไม่ต้องอ้างอิงตำราค่าแกนเหล็กที่เราคิดว่าน่าจะเป็นเหมือนในปัจจุบันนี้ ผมอาศัยว่าสมัยที่ลูบๆ คลำ พวกสวิทชิ่ง เราจะหาค่า Perm เป็นอันดับแรก ล้วค่อยวิ่งหาสูตร เสียมากกว่า

ในประเด็นของสูตรที่ยกมานั้น ผมได้อธิบายไปแล้วว่า

ขอบคุณคุณเอก-tubeamp ที่ยกบทความมาครับ ตรงกับสูตรที่คุณ nut_ty อ้างถึงครับ เป็นสูตรประมาณค่า Zp อย่างที่ผมเดาไว้ครับ ถ้าคุณดู Plate Curve เป็นและเขียน Load Line ได้ ผมว่าจะแม่นยำกว่าสูตรประมาณค่าครับ และผมคิดว่าสูตรที่เห็นนี้น่าจะมีข้อจำกัดในการใช้อยู่พอควรครับ คงไม่ได้เหมาะกับทุกกรณีเหมือนการเขียน Load Line ครับ  :)

คำว่าสูตรประมาณค่า Zp หมายความว่า ถ้าคุณใช้งานหลอดที่แรงดันเท่าไหร่ คุณก็ควรจะใช้ Zp ตามสูตรที่แนะนำในบทความ แต่ถ้าคุณเขียน Load Line เป็นคุณจะรู้ว่ามันไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามสูตรเสมอไป และยังเป็นคนละเรื่องกับ Zp ของ Output เพราะคุณไม่ต้องมีวงจร เพียงแค่มี Turn Ratio และ Load Impedance คุณก็บอกได้แล้วว่า Zp ของ OPT เป็นเท่าไหร่ เห็นความแตกต่างไม๊ครับ Zp ที่ควรใช้ในวงจร กับ Zp ที่หม้อแปลงเป็น ตัวย่อใช้ทับกันแต่ความหมายไม่เหมือนกัน

ผมพยายามแล้วที่จะแก้ความเข้าใจให้คุณ แต่ถ้าคุณยังยืนยันความเข้าใจของคุณ ก็เชิญเข้าใจไปตามนั้นแหล่ะครับ  K] K]  :D

ขอบคุณครับ รบกวน Mr.Tube ลากโหลดไลน์ของ 6BQ5 ที่แรงดันไฟ 250V หน่อยครับ ผมจะถอยย้อนกลับไปหาสูตรที่คิดว่าเป็นค่าประมาณ วิชาการเราไม่เหมือนกัน ใช่ว่าจะต้องเผาตำราทิ้งเสียหน่อย  :)
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Mr. Tube ที่ 21 มกราคม, 2010, 08:50:34 pm
ขอบคุณครับ
ผมมีบทความที่เจอใน net และ saveไว้นานแล้ว น่าจะเกี่ยวกับกระทู้บ้าง และข้อความเหมือนกันเคยตีพิมพ์ใน EHB เล่ม 101 เนื้อหาตามภาพข้างล่างครับ อยากให้ช่วยวิเคราะห์หน่อยครับ ว่าจริงเท็จประการใด อย่างหัวข้อที่ 4 ที่บอกว่าต้องทำให้ลวดทาง secondary ให้ได้  8 ohm เท่าลำโพง :D

ผมอ่านบทความที่คุณ tewmax ยกมาแล้ว ผมเห็นว่าบทความนี้ไม่ถูกต้องและผู้เขียนน่าจะเข้าใจผิดเกือบทั้งหมดครับ อยากทราบว่าบทความนี้เขียนโดยใครและตีพิมพ์ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ และ EHB มีชื่อเต็มว่าอะไรครับ ผมค่อนข้างกังวลถึงผู้อ่านที่เอาบทความนี้ไปอ้างอิงครับ
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: เขียวหวาน ที่ 21 มกราคม, 2010, 08:54:50 pm
ขอบคุณครับ
ผมมีบทความที่เจอใน net และ saveไว้นานแล้ว น่าจะเกี่ยวกับกระทู้บ้าง และข้อความเหมือนกันเคยตีพิมพ์ใน EHB เล่ม 101 เนื้อหาตามภาพข้างล่างครับ อยากให้ช่วยวิเคราะห์หน่อยครับ ว่าจริงเท็จประการใด อย่างหัวข้อที่ 4 ที่บอกว่าต้องทำให้ลวดทาง secondary ให้ได้  8 ohm เท่าลำโพง :D

ผมอ่านบทความที่คุณ tewmax ยกมาแล้ว ผมเห็นว่าบทความนี้ไม่ถูกต้องและผู้เขียนน่าจะเข้าใจผิดเกือบทั้งหมดครับ อยากทราบว่าบทความนี้เขียนโดยใครและตีพิมพ์ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ และ EHB มีชื่อเต็มว่าอะไรครับ ผมค่อนข้างกังวลถึงผู้อ่านที่เอาบทความนี้ไปอ้างอิงครับ
PM ไปแล้วครับ Mr. Tube
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Mr. Tube ที่ 21 มกราคม, 2010, 09:00:05 pm
ขอบคุณครับ รบกวน Mr.Tube ลากโหลดไลน์ของ 6BQ5 ที่แรงดันไฟ 250V หน่อยครับ ผมจะถอยย้อนกลับไปหาสูตรที่คิดว่าเป็นค่าประมาณ วิชาการเราไม่เหมือนกัน ใช่ว่าจะต้องเผาตำราทิ้งเสียหน่อย  :)

ทำไมต้องลากโหลดไลน์ครับ ว่าประเด็นมาเลยจะดีกว่าครับ

และถ้าโจทย์มีแค่ว่า --โหลดไลน์ของ 6BQ5 ที่แรงดันไฟ 250V-- มันก็ไม่พอครับ ผมแนะนำให้คุณเข้าไปศึกษาที่กระทู้นี้ก่อนครับ http://www.htg2.net/index.php?topic=47462.0 ช่วง Post ที่ 1-20 ก็พอ จะทำให้คุณเข้าใจว่า Load Line คืออะไร และเค้าใช้ทำอะไรกันครับ
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: nut_ty ที่ 21 มกราคม, 2010, 09:18:13 pm
ขอบคุณครับ รบกวน Mr.Tube ลากโหลดไลน์ของ 6BQ5 ที่แรงดันไฟ 250V หน่อยครับ ผมจะถอยย้อนกลับไปหาสูตรที่คิดว่าเป็นค่าประมาณ วิชาการเราไม่เหมือนกัน ใช่ว่าจะต้องเผาตำราทิ้งเสียหน่อย  :)

ทำไมต้องลากโหลดไลน์ครับ ว่าประเด็นมาเลยจะดีกว่าครับ

และถ้าโจทย์มีแค่ว่า --โหลดไลน์ของ 6BQ5 ที่แรงดันไฟ 250V-- มันก็ไม่พอครับ ผมแนะนำให้คุณเข้าไปศึกษาที่กระทู้นี้ก่อนครับ http://www.htg2.net/index.php?topic=47462.0 ช่วง Post ที่ 1-20 ก็พอ จะทำให้คุณเข้าใจว่า Load Line คืออะไร และเค้าใช้ทำอะไรกันครับ

อ่านสมัยปี 2008 ใน Thaidiyaudio แล้วครับ และ พอเข้าใจได้ท้วมๆ  :) แต่ผมอยากรบกวน Mr.Tube ช่วยย้อยถอยสูตรที่ผมให้ไว้น่ะครับ ว่าเขาน่าจะประมาณค่าจากอะไร ในกรณีที่เขาไม่อ้างถึงโหลดไลน์เลย ถ้าคำตอบโอเคว่าเขาประมาณ (หรือเดาสุ่ม 100%) ก็จะได้ตกประเด็นไปไม่ต้องพูดถึง ฟังธงไปได้เลยว่าสำนักพิมพ์มั่วสูตร และ จะได้กลับมาคุยเรื่องการเปลี่ยนแปลงแรงดันกันต่อ  d_d
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: tewmax ที่ 21 มกราคม, 2010, 09:38:47 pm
ขอบคุณครับ
ผมมีบทความที่เจอใน net และ saveไว้นานแล้ว น่าจะเกี่ยวกับกระทู้บ้าง และข้อความเหมือนกันเคยตีพิมพ์ใน EHB เล่ม 101 เนื้อหาตามภาพข้างล่างครับ อยากให้ช่วยวิเคราะห์หน่อยครับ ว่าจริงเท็จประการใด อย่างหัวข้อที่ 4 ที่บอกว่าต้องทำให้ลวดทาง secondary ให้ได้  8 ohm เท่าลำโพง :D

ผมอ่านบทความที่คุณ tewmax ยกมาแล้ว ผมเห็นว่าบทความนี้ไม่ถูกต้องและผู้เขียนน่าจะเข้าใจผิดเกือบทั้งหมดครับ อยากทราบว่าบทความนี้เขียนโดยใครและตีพิมพ์ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ และ EHB มีชื่อเต็มว่าอะไรครับ ผมค่อนข้างกังวลถึงผู้อ่านที่เอาบทความนี้ไปอ้างอิงครับ

ขอบคุณมากครับ ผมจะได้ไม่เขว :D
หนังสือ electronics handbook  V0l.101 No.14 january 2005  หน้า 55-58 เขียนโดย ไพรัตน์ สีนำ้เงิน ครับ
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Mr. Tube ที่ 22 มกราคม, 2010, 11:01:48 am
อ่านสมัยปี 2008 ใน Thaidiyaudio แล้วครับ และ พอเข้าใจได้ท้วมๆ  :) แต่ผมอยากรบกวน Mr.Tube ช่วยย้อยถอยสูตรที่ผมให้ไว้น่ะครับ ว่าเขาน่าจะประมาณค่าจากอะไร ในกรณีที่เขาไม่อ้างถึงโหลดไลน์เลย ถ้าคำตอบโอเคว่าเขาประมาณ (หรือเดาสุ่ม 100%) ก็จะได้ตกประเด็นไปไม่ต้องพูดถึง ฟังธงไปได้เลยว่าสำนักพิมพ์มั่วสูตร และ จะได้กลับมาคุยเรื่องการเปลี่ยนแปลงแรงดันกันต่อ  d_d

คำตอบมันอยู่ในสูตรอยู่แล้วครับ Zp ประมาณค่าจาก Ep และ Ip(max) ครับ

เนื้อแท้ของสูตรมันก็คือ E/I = R นั่นแหล่ะครับ E ก็ประมาณเอาให้เท่ากับ 4Ep - 2.4Ep ส่วน I ก็เอาจาก Max Swing Current ก็คือ Imax - 0 = Imax ประเด็นคือ แรงดัน Swing ของวงจรนี้ = 4Ep-2.4Ep จริงหรือไม่? และ I Swing สามารถ Swing เป็น 0 เลยได้หรือไม่? เท่าที่ผมมีประสบการณ์มันไม่เป็นเช่นนั้นครับ แต่ก็ถือว่าใกล้เคียงกับความเป็นจริงสำหรับวงจรที่เค้ายกมา คำถามต่อมา สูตรนี้ใช้กับวงจร SE ได้หรือไม่ และครอบคลุมทุกหลอดทุกจุดทำงานหรือไม่ ผมเดาว่าผู้เขียนคงไม่ต้องการให้บทความซับซ้อนมากเกินไป จึงไม่พูดถึง Load Line และให้ใช้สูตรง่ายๆ ที่ได้ผลใกล้เคียงแทนครับ
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Mr. Tube ที่ 22 มกราคม, 2010, 11:18:13 am
ขอบคุณมากครับ ผมจะได้ไม่เขว :D
หนังสือ electronics handbook  V0l.101 No.14 january 2005  หน้า 55-58 เขียนโดย ไพรัตน์ สีนำ้เงิน ครับ

ขอบคุณครับ ตั้ง 5 ปีเข้าไปแล้ว กะว่าถ้าบทความเพิ่งพิมพ์ไม่นานก็จะส่งคำแนะนำแก้ไขไปซะหน่อย

งั้นผมอธิบายสำหรับคุณ tewmax ตรงนี้เลยละกันครับ คือบทความนี้ผิดที่อธิบายการทำงานของ Transformer และวงจรทางด้าน Primary ผิดลำดับครับ ลำดับที่ถูกต้องคือต้องมองว่า Transformer เป็น Impedance Reflector ที่สะท้อนค่า Load ทาง Sec มาเป็นค่า Load ที่ Pri ครับ ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับกฎของหม้อแปลงเสมอ แล้วจึงค่อยพิจารณาวงจรโดยมองว่า Primary เป็น Plate Load ของวงจร Anode Follower ตามวิธีการออกแบบวงจรหลอดครับ

ส่วนที่คุณ tewmax ถามถึง Sec ต้องมี DCR 8 ohm ให้ตรงกับ Load ที่กล่าวในบทความ อันที่จริงแล้ว ไม่มีใครอยากได้ DCR ในขดลวดครับ เพราะมันคือ Copper Loss ถ้า Loss = 0 ได้ ย่อมดีที่สุดครับ  :)
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Eak-tubeamp ที่ 22 มกราคม, 2010, 11:23:45 am
 
อ่านสมัยปี 2008 ใน Thaidiyaudio แล้วครับ และ พอเข้าใจได้ท้วมๆ  :) แต่ผมอยากรบกวน Mr.Tube ช่วยย้อยถอยสูตรที่ผมให้ไว้น่ะครับ ว่าเขาน่าจะประมาณค่าจากอะไร ในกรณีที่เขาไม่อ้างถึงโหลดไลน์เลย ถ้าคำตอบโอเคว่าเขาประมาณ (หรือเดาสุ่ม 100%) ก็จะได้ตกประเด็นไปไม่ต้องพูดถึง ฟังธงไปได้เลยว่าสำนักพิมพ์มั่วสูตร และ จะได้กลับมาคุยเรื่องการเปลี่ยนแปลงแรงดันกันต่อ  d_d

คำตอบมันอยู่ในสูตรอยู่แล้วครับ Zp ประมาณค่าจาก Ep และ Ip(max) ครับ

เนื้อแท้ของสูตรมันก็คือ E/I = R นั่นแหล่ะครับ E ก็ประมาณเอาให้เท่ากับ 4Ep - 2.4Ep ส่วน I ก็เอาจาก Max Swing Current ก็คือ Imax - 0 = Imax ประเด็นคือ แรงดัน Swing ของวงจรนี้ = 4Ep-2.4Ep จริงหรือไม่? และ I Swing สามารถ Swing เป็น 0 เลยได้หรือไม่? เท่าที่ผมมีประสบการณ์มันไม่เป็นเช่นนั้นครับ แต่ก็ถือว่าใกล้เคียงกับความเป็นจริงสำหรับวงจรที่เค้ายกมา คำถามต่อมา สูตรนี้ใช้กับวงจร SE ได้หรือไม่ และครอบคลุมทุกหลอดทุกจุดทำงานหรือไม่ ผมเดาว่าผู้เขียนคงไม่ต้องการให้บทความซับซ้อนมากเกินไป จึงไม่พูดถึง Load Line และให้ใช้สูตรง่ายๆ ที่ได้ผลใกล้เคียงแทนครับ
 :think2 :think2  Y] Y]  ชอบกระทู้นี้จริงๆ.....ไม่ได้ยุให้คนทะเลาะกันนะ  ;D
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: nut_ty ที่ 22 มกราคม, 2010, 11:24:30 am
อ่านสมัยปี 2008 ใน Thaidiyaudio แล้วครับ และ พอเข้าใจได้ท้วมๆ  :) แต่ผมอยากรบกวน Mr.Tube ช่วยย้อยถอยสูตรที่ผมให้ไว้น่ะครับ ว่าเขาน่าจะประมาณค่าจากอะไร ในกรณีที่เขาไม่อ้างถึงโหลดไลน์เลย ถ้าคำตอบโอเคว่าเขาประมาณ (หรือเดาสุ่ม 100%) ก็จะได้ตกประเด็นไปไม่ต้องพูดถึง ฟังธงไปได้เลยว่าสำนักพิมพ์มั่วสูตร และ จะได้กลับมาคุยเรื่องการเปลี่ยนแปลงแรงดันกันต่อ  d_d

คำตอบมันอยู่ในสูตรอยู่แล้วครับ Zp ประมาณค่าจาก Ep และ Ip(max) ครับ

เนื้อแท้ของสูตรมันก็คือ E/I = R นั่นแหล่ะครับ E ก็ประมาณเอาให้เท่ากับ 4Ep - 2.4Ep ส่วน I ก็เอาจาก Max Swing Current ก็คือ Imax - 0 = Imax ประเด็นคือ แรงดัน Swing ของวงจรนี้ = 4Ep-2.4Ep จริงหรือไม่? และ I Swing สามารถ Swing เป็น 0 เลยได้หรือไม่? เท่าที่ผมมีประสบการณ์มันไม่เป็นเช่นนั้นครับ แต่ก็ถือว่าใกล้เคียงกับความเป็นจริงสำหรับวงจรที่เค้ายกมา คำถามต่อมา สูตรนี้ใช้กับวงจร SE ได้หรือไม่ และครอบคลุมทุกหลอดทุกจุดทำงานหรือไม่ ผมเดาว่าผู้เขียนคงไม่ต้องการให้บทความซับซ้อนมากเกินไป จึงไม่พูดถึง Load Line และให้ใช้สูตรง่ายๆ ที่ได้ผลใกล้เคียงแทนครับ

สรุปก็คือ เขาน่าจะอนุมาน (อุปโลก) ค่าบางตัวขึ้นมาเองใช่มั้ยครับ จะได้ตัดความจำส่วนนั้นออกซะ แต๊งค์หลายๆ ครับอาจารย์  ;)
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: YOD ที่ 22 มกราคม, 2010, 11:33:36 am
ตั้ง 5 ปีเข้าไปแล้ว กะว่าถ้าบทความเพิ่งพิมพ์ไม่นานก็จะส่งคำแนะนำแก้ไขไปซะหน่อย
ส่งไปแก้หน่อยก็ดีนะครับ :secret มีคนอ่านเยอะคงจะมีการเข้าใจผิดอีกมาก ผมก็ได้เอกสารชุดนี้เมื่อสัปดาห์นี่เองมีผู้ใหญ่ท่านนึงที่เขียนอยู่ในเล่มนี้เอามาให้ เพราะท่านเห็นว่าผมกำลังหัดพันอยู่แต่อ่านแล้ว N] เก็บดีกว่าครับ :giveup
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Emmy's Daddy ที่ 22 มกราคม, 2010, 12:30:27 pm
อาจจะไม่เกี่ยวกับหัวข้อกระทู้นะครับ
แต่ไหน ๆ เห็นปรมาจารย์อยู่หลายคน
ขออนุญาตถามหน่อย

หม้อ PP ที่ผมมี 2-3 ตัว ถ้าเอา Ohm meter ไปวัดความต้านทานขั้วที่ต่อเพลทแต่ละข้าง เทียบกับ ขั้วกลางที่ต่อไฟเข้าไป แล้วได้ค่าไม่เท่ากัน  ต่างกัน ~ 10-15%
จะมีปัญหาเรื่อง unbalanced DC ไหมครับ
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Mr. Tube ที่ 22 มกราคม, 2010, 02:41:52 pm
ส่งไปแก้หน่อยก็ดีนะครับ :secret มีคนอ่านเยอะคงจะมีการเข้าใจผิดอีกมาก ผมก็ได้เอกสารชุดนี้เมื่อสัปดาห์นี่เองมีผู้ใหญ่ท่านนึงที่เขียนอยู่ในเล่มนี้เอามาให้ เพราะท่านเห็นว่าผมกำลังหัดพันอยู่แต่อ่านแล้ว N] เก็บดีกว่าครับ :giveup

ขอ Check ระดับความรับผิดชอบของสำนักพิมพ์ดูก่อนครับ ถ้าเค้ามีทัศนคติที่ดีกับการแก้ที่ผิดก็ค่อยชี้แจงไปครับ  :)
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Mr. Tube ที่ 22 มกราคม, 2010, 02:48:01 pm
หม้อ PP ที่ผมมี 2-3 ตัว ถ้าเอา Ohm meter ไปวัดความต้านทานขั้วที่ต่อเพลทแต่ละข้าง เทียบกับ ขั้วกลางที่ต่อไฟเข้าไป แล้วได้ค่าไม่เท่ากัน  ต่างกัน ~ 10-15%
จะมีปัญหาเรื่อง unbalanced DC ไหมครับ

ลักษณะวงจร PP คือ SE 2 ชุดที่ขยายสัญญาณกลับเฟสกัน เพราะฉะนั้นเมื่อ DCR ของขดลวดแต่ละข้างไม่เท่ากัน แรงดัน Plate ก็จะไม่เท่ากันไปด้วย เมื่อ Bias ให้กระแส Plate ไหลเท่ากันครับ

อย่างไรก็ตาม ความที่ DCR ไม่เท่ากัน ถ้าเรามองทางด้าน DC อาจจะดูว่าเยอะ 10-15% แต่เราใช้งานมันจริงๆ เป็น AC ครับ ซึ่งเมื่อเทียบกับ Imp ของหม้อแปลงในขณะที่มันทำงานแล้ว ถือว่าเล็กน้อยมากครับ เช่นหม้อแปลง 5kp-p อาจจะมี DCR 2 ข้างต่างกัน 25 ohm เทียบกันแล้ว = 0.5% เท่านั้น ผู้ออกแบบบางคนจึงไม่ได้ใส่ใจกับการทำให้เท่ากันครับ  :)
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Emmy's Daddy ที่ 22 มกราคม, 2010, 02:52:01 pm
หม้อ PP ที่ผมมี 2-3 ตัว ถ้าเอา Ohm meter ไปวัดความต้านทานขั้วที่ต่อเพลทแต่ละข้าง เทียบกับ ขั้วกลางที่ต่อไฟเข้าไป แล้วได้ค่าไม่เท่ากัน  ต่างกัน ~ 10-15%
จะมีปัญหาเรื่อง unbalanced DC ไหมครับ

ลักษณะวงจร PP คือ SE 2 ชุดที่ขยายสัญญาณกลับเฟสกัน เพราะฉะนั้นเมื่อ DCR ของขดลวดแต่ละข้างไม่เท่ากัน แรงดัน Plate ก็จะไม่เท่ากันไปด้วย เมื่อ Bias ให้กระแส Plate ไหลเท่ากันครับ

อย่างไรก็ตาม ความที่ DCR ไม่เท่ากัน ถ้าเรามองทางด้าน DC อาจจะดูว่าเยอะ 10-15% แต่เราใช้งานมันจริงๆ เป็น AC ครับ ซึ่งเมื่อเทียบกับ Imp ของหม้อแปลงในขณะที่มันทำงานแล้ว ถือว่าเล็กน้อยมากครับ เช่นหม้อแปลง 5kp-p อาจจะมี DCR 2 ข้างต่างกัน 25 ohm เทียบกันแล้ว = 0.5% เท่านั้น ผู้ออกแบบบางคนจึงไม่ได้ใส่ใจกับการทำให้เท่ากันครับ  :)

งั้นผมก็คลายความกังวลล่ะ

ขอบคุณมาก ๆ ครับ
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: tewmax ที่ 22 มกราคม, 2010, 04:35:38 pm
ขอบคุณมากครับ ผมจะได้ไม่เขว :D
หนังสือ electronics handbook  V0l.101 No.14 january 2005  หน้า 55-58 เขียนโดย ไพรัตน์ สีนำ้เงิน ครับ

ขอบคุณครับ ตั้ง 5 ปีเข้าไปแล้ว กะว่าถ้าบทความเพิ่งพิมพ์ไม่นานก็จะส่งคำแนะนำแก้ไขไปซะหน่อย

งั้นผมอธิบายสำหรับคุณ tewmax ตรงนี้เลยละกันครับ คือบทความนี้ผิดที่อธิบายการทำงานของ Transformer และวงจรทางด้าน Primary ผิดลำดับครับ ลำดับที่ถูกต้องคือต้องมองว่า Transformer เป็น Impedance Reflector ที่สะท้อนค่า Load ทาง Sec มาเป็นค่า Load ที่ Pri ครับ ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับกฎของหม้อแปลงเสมอ แล้วจึงค่อยพิจารณาวงจรโดยมองว่า Primary เป็น Plate Load ของวงจร Anode Follower ตามวิธีการออกแบบวงจรหลอดครับ

ส่วนที่คุณ tewmax ถามถึง Sec ต้องมี DCR 8 ohm ให้ตรงกับ Load ที่กล่าวในบทความ อันที่จริงแล้ว ไม่มีใครอยากได้ DCR ในขดลวดครับ เพราะมันคือ Copper Loss ถ้า Loss = 0 ได้ ย่อมดีที่สุดครับ  :)
ขอบคุณมากครับ ไม่งั้นก็คงจะติดอยู่ในใจเข้าใจผิดๆไปหลายปี
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: bb ที่ 22 มกราคม, 2010, 04:38:48 pm


 พี่Art นี่ แน่นจริง ๆวันหลังเดี๋ยวนัดมาดวลหลอดเขียวกันดีกว่า(จะได้แอบปรึกษาเรื่องพัน opt ต่อ)  ;D ;D ;D ;D
หัวข้อ: text
เริ่มหัวข้อโดย: Eak-tubeamp ที่ 22 มกราคม, 2010, 06:19:52 pm
 คนนี้อาจารย์ผม ;D ;D
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Era ที่ 23 มกราคม, 2010, 01:39:52 am
 O0
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: YOD ที่ 23 มกราคม, 2010, 11:04:32 pm


 พี่Art นี่ แน่นจริง ๆวันหลังเดี๋ยวนัดมาดวลหลอดเขียวกันดีกว่า(จะได้แอบปรึกษาเรื่องพัน opt ต่อ)  ;D ;D ;D ;D
นัดดวลเมื่อไรบอกบ้างนะครับ เอาให้ตรงวันเสาร์ก็ดีนะ จะไปคารวะสักหนึ่งจอก d_d
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Mr. Tube ที่ 25 มกราคม, 2010, 04:42:53 pm
พี่Art นี่ แน่นจริง ๆวันหลังเดี๋ยวนัดมาดวลหลอดเขียวกันดีกว่า(จะได้แอบปรึกษาเรื่องพัน opt ต่อ)  ;D ;D ;D ;D

นัดดวลเมื่อไรบอกบ้างนะครับ เอาให้ตรงวันเสาร์ก็ดีนะ จะไปคารวะสักหนึ่งจอก d_d

ได้ครับ จะนัดกันวันไหนเดี๋ยว PM คุยกันอีกทีละกันครับ เอาแบบนี้  d_d หรือแบบนี้ :drunk  ล่ะ  ;D
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: bb ที่ 25 มกราคม, 2010, 04:48:49 pm
พี่Art นี่ แน่นจริง ๆวันหลังเดี๋ยวนัดมาดวลหลอดเขียวกันดีกว่า(จะได้แอบปรึกษาเรื่องพัน opt ต่อ)  ;D ;D ;D ;D

นัดดวลเมื่อไรบอกบ้างนะครับ เอาให้ตรงวันเสาร์ก็ดีนะ จะไปคารวะสักหนึ่งจอก d_d

ได้ครับ จะนัดกันวันไหนเดี๋ยว PM คุยกันอีกทีละกันครับ เอาแบบนี้  d_d หรือแบบนี้ :drunk  ล่ะ  ;D

 แบบใหนก็ได้ครับ  ;D ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: Aonamp ที่ 25 มกราคม, 2010, 06:00:57 pm
พี่Art นี่ แน่นจริง ๆวันหลังเดี๋ยวนัดมาดวลหลอดเขียวกันดีกว่า(จะได้แอบปรึกษาเรื่องพัน opt ต่อ)  ;D ;D ;D ;D

นัดดวลเมื่อไรบอกบ้างนะครับ เอาให้ตรงวันเสาร์ก็ดีนะ จะไปคารวะสักหนึ่งจอก d_d

ได้ครับ จะนัดกันวันไหนเดี๋ยว PM คุยกันอีกทีละกันครับ เอาแบบนี้  d_d หรือแบบนี้ :drunk  ล่ะ  ;D

 แบบใหนก็ได้ครับ  ;D ;D ;D ;D
ถ้าผ่านมา ระยอง (บ้านฉาง) ก็บอกนะครับ บ้านหลังเล็กๆ จะเอาให้ :drunk :drunk เลยครับ ทะเลสวยน้ำใส อ้อพาไปถ่านรูปกับ เครื่องบินด้วย ;D ;D นี่ถ้า วิศวะกร จากอเมริกากลับไทยมาด้วยล่ะสนุกเลยครับ