HTG2.club
Home Theater Guide webboard => รวมวงจรและผลงาน DIY (circuit) => มุม Thai DIY Audio => ห้องสมุด DIY => ข้อความที่เริ่มโดย: Karin Preeda ที่ 11 เมษายน, 2009, 12:45:38 pm
-
จากที่คุณลำน้ำได้คุยกับผมเรื่องการเขียนบทความพื้นฐานเกี่ยวกับหลอด ซึ่งผมได้เขียนลงไปบ้างแล้วใน web เพื่อนบ้าน แต่เนื่องจากบางท่านไม่ได้เป็นสมาชิกที่นั้น ผมเลยมีความคิดที่จะเรียบเรียงใหม่ให้เป็นหัวข้อที่มีความแตกต่างกัน แต่จริงๆแล้วเนื้อหาเหมือนกัน ซึ่งในหัวข้อนี้ จะเน้นการเอาไปใช้งานจริงโดยอาจจะข้ามรายละเอียดเรื่องเหตุผลว่าทำไมถึงทำแบบนี้ แต่จะเป็นลักษณะที่ว่า ถ้าจะออกแบบวงจรขยายที่ใช้หลอด จะทำอะไรบ้าง เป็นหัวข้อๆไป
ซึ่งในหัวข้อนี้ จะทำให้เสร็จภายในช่วงสงกรานต์นี้ครับ :victory
-
ส่วนประกอบของ single gain triode มีดังรูปนี้ครับ
การออกแบบ ต้องการข้อมูลสองส่วนคือ
1.คุณสมบัติของหลอด เช่น อัตราขยาย, ความต้านทานภายในหลอด (internal plate resistance หรือ Rp), การทนกระแสและช่วงการทำงาน เป็นต้น
2.ความต้องการของผู้ออกแบบ ซึ่งหลักๆคือ อัตราขยายของวงจร, input impedance/output impedance
จากรูป สิ่งที่เราต้องการหาคือ RL, Rg, Rk, C ouput, Ck และ อัตราขยายของวงจร
-
ขออนุญาตแทรกคับ c) c) c)
ดีใจมากคับ ผมยังสงสัยหลายอย่างมากๆ
เช่น การออกแบบ หลอดdrive กะ การออกแบบหลอด power เอามารวมกันอย่างไร
ไม่จบกะที่เก่า เดี๋ยวคอยอ่านคับ
มาขอเรียนใหม่ คราวนี้จะตั้งใจให้หนักคับ
ขอบคุณอาจารย์มากคับ c) c) c)
-
เริ่มต้นจากหลักการทำงานของหลอด triode เกี่ยวข้องยังไงกับ curve แบบสั้นๆ รูปแรก แสดงให้เห็นว่าหลอดมีการนำกระแสอย่างไร รูปที่สองคือ เมื่อนำกระแสแล้ว คุณสมบัติทางไฟฟ้าจะเป็นอย่างไร
รูปแรก สมมติว่าแท่งสีน้ำเงินคือ cathode มีหน้าทีปล่อย electron ออก ซึ่งการที่จะปล่อย electron ออกไปได้นั้น cathode จะต้องถูกเผาด้วยความร้อน ซึ่งถ้าเป็นหลอด direct heated หมายถึง cathode และไส้หลอดคือชิ้นเดียวกัน แต่ถ้าเป็นหลอด indirect heated หมายถึง cathode จะถูกเผาด้วยไส้หลอดอีกทีนึง เมื่อไส้หลอดร้อนได้ที่แล้ว electron พร้อมที่จะหลุดออกมา ในขณะเดียวกัน เมื่อเพลท ซึ่งในรูปสมมติว่าเป็นแท่งสีแดง มี voltage เป็นบวก (V > 0) อยู่ ก็จะดึง electron เข้าไป หาตัวมัน ตรงนี้คือหลอดเริ่มนำกระแสแล้ว
คราว นี้ grid ที่เห็นเป็นจุดสีเขียวๆมีไว้ทำไม? grid คือ เส้นลวดเล็กๆที่พันรอบ cathode (ภาพนี้สมมติว่าเป็นภาพหน้าตัดของเส้น grid) เพื่อควบคุมปริมาณ electron ที่จะวิ่งไปหา plate โดยใช้การป้อน voltage เป็นลบ (V < 0) เมื่อเทียบกับ cathode ทำให้สามารถควบคุมปริมาณ electron ได้ ซึ่งหมายความว่าสามารถควบคุมกระแสที่ไหลได้จากการควบคุม voltage ที่ grid
ความสัมพันธ์ของ curve กับการทำงานของหลอด triode เกิดขึ้นเมื่อมีการป้อน voltage ที่ grid ในปริมาณที่แตกต่างกัน การนำกระแสก็จะเปลี่ยนไปด้วย และเมื่อ แม้ voltage ที่ grid เป็นลบ แต่ voltage ที่ Plate มีไม่เท่ากัน การนำกระแสก็จะไม่เท่ากันด้วย
-
สิ่งแรกที่ต้องเข้าใจคือความสัมพันธ์ของ plate curve กับ load line
แต่ ก่อนหน้านั้นลองดูรูปหลอดที่มี resistor 10K ohm เป็น load ซึ่งมีกระแสไหลอยู่ปริมาณนึง สมมติว่า 5 mA ซึ่งทำให้วัด voltage คร่อม R ได้เท่ากับ 10Kohm x 5mA เท่ากับ 50V คราวนี้เมื่อ voltage ที่ grid เปลี่ยนไปตามสัญญาณเสียงที่เข้ามา กระแสที่ไหลผ่าน resistor ก็จะเปลี่ยนไปด้วย สมมติว่ากลายเป็น 8mA ในขณะที่ resistor มีค่าคงที่ แต่กระแสเปลี่ยนไป หมายความว่า voltage ที่ตกคร่อม resistor ก็เปลี่ยนตามไป เท่ากับ 10Kohm x 8mA เท่ากับ 80V ในทางตรงกันข้าม ถ้ากระแสลดลงเหลือ 2mA ก็จะมี voltage คร่อม R เท่ากับ 10Kohm x 2mA เท่ากับ 20V ณ.จุดนี้ เมื่อเราเอาเครื่องวัดสัญญาณมาวัด ก็จะพบว่า voltage ตรงจุดนี้เคลื่อนที่ไปตามสัญญาณที่ grid นั่นก็คือการขยายสัญญาณของหลอดนั่นเอง
-
ต่อไปเป็นเรื่อง loadline ซึ่งสา่มารถอฺธิบายสั้นๆได้ว่า loadline คือ เส้นความต้านทานที่หลอดจะทำงานอยู่บนเส้นนั้นๆ
คราวนี้กลับมาดูที่ curve กันใหม่ แกน X ของ plate curve แสดง voltage (V) และแกน Y แสดง current (I) จากสูตรพื้นฐาน
R = V / I หรือ ความต้านทาน เท่ากับ แรงดัน (voltage) หารด้วยกระแส (I)
เราสามารถลากเส้นความต้านทาน บนกราฟที่มี แกน X เป็น แรงดัน และ Y เป็นกระแสได้
ตาม รูปนี้ เส้นสีน้ำเงินคือ loadline 20K เพราะ voltage เปลี่ยนไป 100V, กระแสเปลี่ยนไป 5mA จะได้ loadline เท่ากับ 100V/5mA = 20Kohm ส่วนสีแดงคือ 10K
-
ทำไม loadline ถึงเอียงซ้าย ไม่เอียงขวา?
ลองดูเส้น loadline 20Kohm เส้นแรกนะครับ สมมติว่าเรา bias หลอดที่ 250V 40mA ถ้าใช้ RLoad 20Kohm หมายความว่ามี voltage ตกคร่อม R 20Kohm เท่ากับ
จากสูตร V = I x R
จะได้ V = 40mA x 20Kohm = 800V
เพราะฉนั้น Voltage ที่ตกคร่อม R บวกกับของหลอด ซึ่งก็คือ B+ เท่ากับ 800V + 250V = 1050V
คราว นี้ B+ ก็ยังเท่าเดิม คือ 1050V แต่กระแสที่ผ่านหลอดเปลี่ยนไป เนื่องจาก voltage ที่ grid เป็นบวกมากขึ้น ซึ่งทำให้กระแสมากขึ้น สมมติว่าเป็น 45mA แต่ B+ ยังเท่าเดิมจะได้ voltage ตกคร่อม R 20Kohm เท่ากับ 20Kohm x 45mA = 900V ซึ่งทำให้ voltage ตกคร่อมหลอดเหลือเท่ากับ 1050V - 900V = 150V
และ ถ้า grid เป็นลบมากขึ้นเป็น 35mA ทำให้มี voltage ตกคร่อม R 20Kohm เท่ากับ 20Kohm x 35mA เท่ากับ 700V และ voltage ที่หลอดเท่ากับ 1050V - 700 = 350V
คราวนี้ลองลากจุดสามจุดเข้าด้วยกัน จะเห็นว่าเส้น loadline จะเอียงขวาเสมอ
-
เมื่อเข้าใจเรื่อง loadline แล้ว การนำหลอดมาใช้งาน และการคำนวน gain รวมของวงจร สามารถทำได้ 2 วิธี คือ
- ลาก loadline และวัดตรงๆจาก loadline
- คำนวนเอาจาก model ทางคณิตศาสตร
ซึ่งผลลัพธ์จะใกล้เคียงกัน เดี๋ยวค่อยๆแสดงให้ดูทีละแบบ ใครชอบแบบไหนก็ทดลองกันดูครับ
-
ขอบคุณมากครับอาจารย์ผมติดตามตั้งแต่ในเวปเพื่อนบ้านเรา ดีใจจังที่อาจารย์มาเขียนบทความที่เป็นประโยชน์ที่นี่ครับ :clap :clap :clap
-
แต่การลากเส้นความต้านทานซึ่งจะใช้เป็น loadline นี้ ยังไม่สามารถนำไปใช้งานจริงได้ เพราะเรายังไม่ได้กำหนดจุดเริ่มต้นการทำงานของหลอดเลย นั่นคือที่มาของสิ่งที่เรารู้ได้ยินกันบ่อย นั่นคือ "จุดไบแอส" หรือ "bias point"
หน้าที่ของ bias point คือ เป็นจุดตั้งต้นในการทำงานของหลอด เมื่อเรามี bias point แล้ว มี loadline แล้ว ทั้งสองสิ่งนี้ เมื่อรวมกับ plate curve จะทำให้เรารู้ว่าหลอดเริ่มทำงานที่ไหน voltage ที่หลอดทำงานได้จะมีตั้งแต่เท่าไหร่ถึงเท่าไหร่
ลองกลับมาดู curve ของ 12AU7 กำหนดจุด bias ที่ 200V 5mA (จุดแดง) ลากเส้น loadline 10K ตัดจุดนี้ลงไปตามรูป
-
ต่อไปเป็นคำอธิบายว่าหลอดทำงานได้อย่างไร
จากจุด bias 200V, 5mA, grid -8V หมายความว่า เมื่อวัด voltage ระหว่าง plate และ cathode ของหลอดแล้ว จะได้ voltage เท่ากับ 200V
แล้วทำไมถึงบอกว่า grid เท่ากับ -8V ทั้งๆที่ในรูปเขียนไว้ 0V
ก็ต้องกลับมาที่คุณสมบัติของหลอดครับ การนำกระแสของหลอดนั้น เกิดขึ้นจากการควบคุมของ grid ซึ่ง grid จะผลัก electron กลับไป เนื่องจากมันมีประจุลบมากกว่าประจุบวก ซึ่งจากรูป grid เป็น 0V ในขณะที่ cathode มี 8V ดังนั้น เมื่อเทียบกันระหว่าง grid และ cathode แล้ว grid จะมีประจุลบมากกว่า
ถ้าพูดกันแบบคณิตศาสตรคือ แรงดันที่ grid จะต้องเทียบกับ cathode เสมอ
ดังนั้น ถ้า grid คือ 0V และ cathode คือ 8V หมายความ Vgrid เมื่อเทียบกับ cathode คือ 0V-8V = -8V
คราวนี้นึกถึงภาพ slow motion ของการทำงานของหลอด
คอยดูลูกศรสีม่วงไว้นะครับ
- เมื่อมี voltage เข้ามาทาง grid สมมติว่าเป็นสัญญาณเสียงครึ่งบวก มีค่า +2V
- หมายความว่า voltage ที่ grid เมื่อเทียบกับ cathode จะเท่ากับ 2V - 8V = -6V
- ซึ่งทำให้กระแสที่ไหลผ่าน R ที่เป็น load (ซึ่งมีค่าเท่ากับ loadline) เปลี่ยนไป ซึ่งมากขึ้น 2 mA หรือเท่ากับ 7mA ที่ grid เท่ากับ -6V
- voltage เท่ากับเท่าไหร่? ก็ต้องดูว่า ที่ grid เท่ากับ -6V และกระแสเป็น 5mA + 2mA เท่ากับเท่าไหร่ จากรูปคือ 180V
- และนั้นคือการขยายสํญญาณ เพราะมี voltage เข้ามาที่ grid 2V ทำให้ voltage ที่ plate เปลี่ยนไปถึง 20V (จากจุด bias เมื่อไม่มีสัญญาณเท่ากับ 200V แต่มี voltage เข้ามา กลับเหลือ 180V)
- เพราะฉนั้น gain คือ 20V/2V = 10
มีใครตอบได้บ้างไม๊ครับว่าถ้าสัญญาณด้านลบเข้ามา -2V voltage ที่ plate จะเปลี่ยนไปเท่าไหร่ และ gain คือเท่าไหร่?
-
voltage ที่เพลตเปลี่ยนไป 14v (200v-214v) ครับ เกนประมาณ 7 เท่า (14v/2mA) ดูแล้วไม่ค่อยสมมาตรเท่าเพราะ ทางด้านบวก 10 เท่า แต่ทางด้านลบ 7 เท่า ใช้งานได้ไม่ดี ถูกหรือเปล่านะ
-
ถูกต้องจ้า :victory
คราวนี้ทำยังไงให้การขยายมันเท่ากันทั้งสองด้านมากกว่านี้ครับ?
-
คงต้องหาจุดไบแอสใหม่ ที่ -6v ดูดีกว่าครับ
-
เกือบถูกครับ ยังมีอีกวิธีนึงที่ทำคู่กันไปด้วย
อะไรเอ่ย :D
-
ลากเส้นโหลดไลน์ใหม่ครับ(เดา) ;D
-
ถูกต้องแล้วครับ คราวนี้จะมีใครลาก loadline ให้ดูหน่อยไม๊ครับ?
เอาซัก 20K แต่จุด bias ที่เดิม ;)
-
อยู่เรียนเป็นเพื่อนผมหน่อยป๋า คน เดียวมันยังงัยชอบกล :secret
-
ขอเรียนเป็นเพื่อนด้วยคนคับ
ลอง 20K คับ ถูกป่าวไม่รู้ แต่ดูก็ไม่ค่อยดี
(http://media8.dropshots.com/photos/592118/20090423/184604.jpg) (http://www.dropshots.com/jp74#date/2009-04-23/18:46:04)
-
มีเพื่อนเรียนอีกคนแล้ว ผมมองรูปไม่ค่อยถนัดครับ เพราะออนไลน์ผ่านมือถือ มุมมองจึงถูกจำกัด :giveup
-
คุณ jp74 วาดได้ถูกต้องแล้วครับ :clap
คราวนี้มาดูวงจรในรูปกัน
เราได้ RL เท่ากับ 20K แล้ว
จะคำนวนหา V และ Rk ยังไงดี? ???
-
v ตรงไหนครับ v ในกรณีที่ แรงดันกริดเปลี่ยนแปลงหรือเปล่าครับ ส่วน Rk=-8/5mA=1.6k ครับ
-
หาV=Vplate+Vk=200+8=208V. Rk=8V/5mA=1.6k เดานะครับ
-
อย่างจารย์เอกมีเดาอีกหรือนี่ ถ้าเป็น V ที่จ่ายให้วงจร +Vcc = VRp+Vp+VRk =100(20k*5mA)+200+8=308v ใช่มั้ยครับ
-
อย่างจารย์เอกมีเดาอีกหรือนี่ ถ้าเป็น V ที่จ่ายให้วงจร +Vcc = VRp+Vp+VRk =100(20k*5mA)+200+8=308v ใช่มั้ยครับ
เรื่องอย่างนี้ใหม่สำหรับผมครับ แต่ถ้าตู้controlถึงไหนถึงกัน ;D ;D ;D ;D ;D
-
หาV=Vplate+Vk=200+8=208V. Rk=8V/5mA=1.6k เดานะครับ
Rk 1.6K ถูกต้องแล้วครับ
อย่างจารย์เอกมีเดาอีกหรือนี่ ถ้าเป็น V ที่จ่ายให้วงจร +Vcc = VRp+Vp+VRk =100(20k*5mA)+200+8=308v ใช่มั้ยครับ
ส่วน V จากรูป คุณเอก-tubeamp คำนวนถูกต้องแล้วครับ
-
ลืมถามไปว่า gain เท่าไหร่ครับ? ^-^
-
gain ซีกบวกประมาณ 25 ซีกลบ ประมาณ 20
-
สงสัยลืมหารสอง ???, คำตอบคือ 12.5 กับ 10 ครับ ;D
-
ขอโทษทีครับ รีบไปหน่อย แต่ก็ดูดีกว่า โหลดไลน์เส้นแรกใช่มั้ยครับ
-
เส้นสีเหลืองครับ ;)
จริงๆตอนนี้ก็เอาไปออกแบบ gain stage ได้แล้วนะครับ
ตอนต่อไปจะเป็นวิธีการคำนวนอีกแบบครับ
-
:o :o :o
-
ต่อไปเป็นการคำนวณหาอัตราขยายของวงจรใช่มั้ยครับ จะเรียนให้จบหลักสูตรเลยครับ(เกียรตินิยมด้วย) ;D ;D
-
ขออนุญาตคับ (ยกมือด้วย)
ขออนุญาตแบบ Slow นิ๊สนึงนะคับ
Rk=8V/5mA=1.6k หา R คาโทด จากกราฟที่เรากำหนด bias ที่ 200V grid -8v 5mA
+Vcc = VRp+Vp+VRk =100+200+8=308v
หาไฟ B+ ที่จะใช้ในวงจร
โดย VRp = 20k*5mA คือ voltage คร่อม R plate มาจากเส้น loadline ที่เราลาก กับจุดไบอัส
Vp = 200 จากจุดไบอัส
VRk = 8 จากจุดไบอัส เหมือนกัน
(http://media6.dropshots.com/photos/592118/20090424/093507.jpg) (http://www.dropshots.com/jp74#date/2009-04-24/09:35:07)
อันนี้ถูกต้องใช่ป่าวคับ
แต่ผมสงสัย ที่ 5mA เป็นค่าที่เหมะสมที่ใช้กำหนดจุดไบอัสคร่าว ๆ โดยทั่วไปใช่ป่าวคับ
คราวนี้ตั้งใจจะเอาให้จบหลักสูตร เหมือนกันคับ จะเอาให้เคลียเลย
-
อธิบายได้ละเอียดทีเดียว ส่วนที่ 5mA จะเหมาะสมหรือไม่นั้น ผมก็ไม่แน่ใจครับ เพราะการคำนวณ โหลดไลน์ก่อนหน้านี้ ไม่เหมาะสมในการนำมาใช้วาน แต่กับโหลดไลน์อีกเส้นหนึ่ง(เส้นสีเหลือง)ดูดีกว่า เดี๋ยวท่าน karin มาให้ความกระจ่างครับว่าเหมาะสมกับการใช้งานหรือไม่ หรืออย่างนั้นคงต้อลากโหลดไลน์ใหม่จนกว่าจะหาค่าที่เหมาะสมได้ :headphone
-
ขอเรียนด้วย ๆ เหมาะจริง จะขอติดตามไปจนจบ มือใหม่จริง ๆ :teach :teach
-
คุณ jp74 ตอบได้ละเอียดครับ ถูกต้องเลย
ส่วนคำถามว่า 5mA เป็นค่าที่เหมะสมที่ใช้กำหนดจุดไบอัสคร่าว ๆ โดยทั่วไปหรือไม่
คำตอบคือไม่แน่ใจเหมือนกันครับ ที่ผมเลือกขึ้นมา เพราะมันง่ายต่อการคำนวนเท่านั้นเอง
ถ้างั้นการหาจุดที่เหมาะสมทำยังไง?
ถ้าตอบสั้นๆ ก็มีอยู่สองคำตอบ
1.จุด bias และ loadline ที่ดี ควรจะให้อัตราขยายที่เป็น linear ทั้งด้านลบและบวก เพราะถ้าไม่เท่ากัน ก็หมายถืง distortion เกิดขึ้นมานั่นเอง
2.จุด bias นั้น plate dissipation ไม่ควรเกิน maximum rate ของหลอด
เพราะฉนั้น ตอนที่เราออกแบบ จึงควรทดลองหาจุด bias และ loadline หลายๆจุด และลองเทียบดูว่าชุดไหนดีที่สุดครับ
-
ไม่มีการบ้าน มารอเรียนแต่เช้า คงเป็นอย่างที่อาจารย์ karin ว่าครับ คงต้องลองจุด bias หลายๆจุด อาจได้เสียงที่ถูกใจก็ได้ ;D
-
วันนี้มารอเรียนแต่เช้า สงสัยอาจารย์ติดธุระ ;D
-
รอนิดนึงนะครับ ซักสองสามวัน ผมกะว่าจะให้มีคนถามเยอะๆจนเรื่องนี้ไม่มีใครสงสัยอะไรแล้ว หลังจากนั้นจะต่อเรื่องอื่นๆครับ
-
มารอเรียนต่อด้วยตนคับ ;D ;D
-
เรียน อาจารย์ karin ครับ ผมได้เข้ามาอ่านบทความของอาจารย์ ทั้งที่นี่และที่เว็บพี่น้อง ที่อาจารย์ไลงไว้ มีคำถาม ที่สงสัย และอยากถามดังนี้ครับ จากรูปกราฟ loadline ที่ได้นำมาลงไว้นะครับ ด้าน แกนx เป็นแรงดัน ด้านแกนy เป็นกระแส อาจารย์ได้ใช้ loadline 10k และ20kเป็นตัวอย่างในการสอน ที่นี้คำถามของผมก็คือ เมื่อเราจะเริ่มลากเส้นLoadline จากด้านแกนxไปแกนy เราควรทำอย่างไรครับเช่นเริ่ม ที่250โวลต์หรือ300โวลต์ หรือเท่าใดดีครับ อันนี้ผมค่อนข้างจะสับสนครับ อย่างหลอดบางเบอร
ให้ข้อมูลมาว่า รับแรงดันได้สูง350โวลต์ ด้านการทำงานปกติ 250โวลต์ ที่กระแส10ma แล้วมีกราฟมาให้ ผมควรเริ่มลากกราฟ loadlineที่จุด300เลยใช่ไหมครับ
-
ขออนุญาติตอบตามที่เข้าใจครับ ตัวอย่างตามรูปนี้ก็แล้วกัน แกน x เริ่มที่ 250 v ลากจากแกน x ขึ้นไป ตัดกับแกน y แต่ไปสุดที่เส้น 0 v แต่ถ้าเราลากขึ้นไปสุด ตัดกับแกน y จะได้ที่ประมาณ 25 mA สังเกตุเส้น curve ด้านบนครับ ที่มีลักษณะเป็นเส้นโค้ง สมมติว่าคุณเริ่มลากจาก 350v ขึ้นไปสุดที่ 25mA ก็ได้ จะเห็นว่าเส้นที่ลากขึ้นไปมันไม่ได้เกินเส้นโค้ง(plate dissipation) เราจะเริ่มลากจากตรงไหนก็ได้ แต่อย่าให้เส้นที่เราลากนี้ ไปทับหรือเลยเส้นๆนี้ขึ้นไป ซึ่งเส้นนี้เป็นตัวกำหนดว่าคุณต้องไม่ให้ฉันทำงานเกินเส้นนี้นะ ถ้าเกินฉันคงอยู่ได้ไม่นาน การออกแบบปรีหรือเพาเวอร์ เราจะยึดเส้นนี้เป็นหลัก ถูกผิดอย่างไรขออภัยด้วยครับ :headphone
-
โทษทีครับ ลืมรูป ตามรูปนี้ครับ
-
วิธีที่ง่ายที่สุด ผมแนะนำให้เร่ิมลากจากจุด bias ครับ
ตัวอย่างนี้เร่ิมต้นที่จุด bias 200V 5mA
สมมติว่าลากเส้น 10K หมายความว่า อัตราการเปลี่ยนแปลงระหว่าง voltage และ current คือ 10K ดังนั้น ถ้า voltage เปลี่ยนจาก 200V เป็น 250V current จะเปลี่ยนไปจาก 5mA เป็น 0mA (50V/5mA = 10K)
ในทำนองเดียวกัน ถ้า voltage เปลี่ยนจาก 200V เป็น 150V current ก็จะเปลี่ยนไป 5mA กลายเป็น 10mA
พอได้ 3 จุด ซึ่งควรจะเรียงกันเป็นเส้นตรง ก็สามารถลากเส้น loadline ได้แล้วครับ จริงๆ 2 จุดก็ได้ แต่แนะนำสามจุดเพื่อให้แน่ใจว่าคิดไม่ผิดครับ
-
ขอขอบคุณ พี่เอก-tubeamp และพี่Karin Preeda มากๆเลยครับที่มาชี้ความกระจ่างให้ครับ ผมอ่านมาถึงตรงนี้ ไม่รู้ว่าผมเข้าใจถูกต้องไหมนะครับ เท่าที่อ่านมานั่นหมายความว่าเรากำหนดจุดไบอัสก่อนให้ได้จุดที่ดีที่สุดที่เราต้องการแล้วค่อยไปกำหนดโหลดไลน์อีกที(rp)เพื่อกำหนดเกนการขยายใช่ไหมครับ
ทีนี้ผมมีคำถามอีกข้อครับรบกวนด้วยครับ
จุด bias นั้น plate dissipation ไม่ควรเกิน maximum rate ของหลอด ที่พี่Karin Preeda สอนไว้น่ะครับเราคำนวณอย่างไรครับ ผมอ่านหนังสือบางเล่มมันมีวิธีคิดอีกแบบนึงมันทำให้ผมสับสบมากๆครับ เช่น ค่าplate dissipationนั้นเค้าเอาจุดเริ่มต้นที่แกนxไปคูณกับกระแสที่ปลายสุดแกนyของloadlineแล้วได้ค่าไม่เกินดาต้าชีตของหลอดก็เป็นอันใช้ได้(เป็นวิธีที่ผมใช้อยู่ครับ) นี่แหละครับไม่รู้ผมบริโภคข้อมูลมากไปหรือเปล่าครับแต่ของพี่Karin Preeda นี่อ่านแล้วเข้าใจได้ง่ายกว่าเดิมครับ ขอบพระคุณมากๆครับ
-
จากรูป กำหนดจุดไบแอสที่ -8 v vp=200 ip=5mA การคำนวณ plate dissipation P=VI = 200V*5mA=1000mw หรือ 1w ยังไม่เกิน max plate dissipation 12au7 =2.75w ตอนแรกผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกันครับ
-
ทบทวนบทเรียนที่อาจารย์ karin สอนไว้ แล้วก็รอเรียนบทต่อไป :headphone
-
plate dissipation คำนวนได้จาก V x I ครับ อย่างที่คุณเอกยกตัวอย่างมานี่ถูกต้องแล้วครับ
ซึ่งก็คือค่าของแกน X คูณแกน Y นี้คุ้นๆไม๊ครับ? W = X x Y มันคือสมการ parabola ไงครับ อย่าง curve ที่เห็นเป็นเส้น 2.75W นั่นคือเส้น graph ของ V x I นั่นเอง
วิธีที่จะให้แน่ใจว่าหลอดไม่ทำงานหนักเกินไป ก็คือการกำหนดเส้น loadline ให้อยู่ทางด้านขวาของเส้น max plate dissipation อย่างตัวอย่างที่ให้มาคือเส้น 2.75W นั่นเอง
-
parapola ลืมหมดแล้วครับ และที่อาจารย์อธิบาย ผมก็เข้าใจครับ ในการออกแบบวงจร เราต้องคำนึงถึงค่านี้(plate dissipation )เป็นลำดับแรกหรือเปล่าครับ มีตัวแปรอื่นที่สำคัญกว่าตัวนี้มั้ยครับ ถึงตอนนี้ผมมีความเข้าใจมากกว่าแต่ก่อนเยอะ กล้าที่จะตอบคำถาม ผิดบ้างถูกบ้าง ดีที่มีอาจารย์ช่วยชี้แนะ ขอบคุณมากครับ
-
อ้าทีนี้แจ่มชัดเลยครับ นั่นหมายความว่าloadline ที่เรากำหนดมาให้อยู่ในช่วงที่ไม่เกินค่าmax plate dissipation โดยการลากเส้นxy แล้วทีนี้เราต้องการความชันเท่าไหร่ให้มันเหมาะสมกับจุดไบอัสขยายได้สวยทั้งสองซีกก็มาเลือกเอา ยังไงมันก็ไม่เกินเพราะว่ามันวิ่งอยู่บนเส้นloadlineแล้ว ขอขอบคุณอีกครั้งครับพี่เอก-tubeamp และพี่Karin Preeda ผมจะรอเรียนบทต่อไปครับ ท้ายอาจจะถามเยอะไปนิดนะครับต้องขอโทษด้วยครับ
-
ผมเองกว่าจะได้เท่านี้ อ่านแล้วอ่านอีกกว่าจะเข้าใจ แต่แค่นี้ก็พอจะออกแบบใช้งานได้แล้ว ยังต้องศึกษาจากอาจารย์ karin อีกเยอะครับ ;D
-
ก่อนอื่นขอแก้นิดนึงครับ จริงๆแล้วคือ hyperbola ครับ ไม่ใช่ para สงสัยตอนนั้นจะมึนเล็กน้อย :D
การออกแบบ gain stage มีหลายอย่างที่ต้องคำนึงถึงครับ แต่โดยทั่วไปก็ได้กล่าวมาหมดแล้ว เรียงอีกทีนึงก็อย่างนี้ครับ
จุด bias ที่ไม่เกิน max plate dissipation
loadline ที่ให้ความเป็น linear ที่สุด
gain ที่ต้องการ
output/input impedance (จะอธิบายต่อไป)
ส่วนคำถามต่างๆก็ถามได้ครับ จะได้เป็นประโยชน์กับคนอื่นด้วย
-
ไม่เป็นไรครับ คนเราผิดพลาดกันได้ เขาถึงบอกไงครับว่า ผิดเป็นครู ;D ;D ูพร้อมสำหรับบทเรียนต่อไปไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีคนเรียนถ้าไม่จำเป็นจริงๆจะไม่โดดเรียนเด็ดขาดครับ c)
-
gain ที่ต้องการ นี่ รบกวนอาจารย์ ขยายหน่อยได้ป่าวคับ
ว่า ภาคปรี มีเกนที่เหมาะสมอยู่ในช่วงซักเท่าใดที่จะใช้เป็น ธงไว้ก่อน
หรือว่าต้องดูองค์ประกอบของภาค Power ก่อนคับ
-
ตามมาดูด้วยคนครับ ................
-
อาจารย์ไม่มาหลายวันแล้ว สงสัยไม่ว่าง งานคงเยอะ ลูกศิษย์มารอทุกวันเลย ;D
-
เรื่อง gain นี่ไม่มีหลักตายตัวครับ ขึ้นอยู่กับการออกแบบของวงจรทั้งหมด
เดี๋ยวนี้ gain ของ preamp ไม่มากเหมือนเมื่อก่อนแล้วครับ เพราะแผ่นที่บันทึกเสียงสมัยนี้ gain เยอะจริงๆ
เท่าที่ผมเห็นก็อยู่ประมาณ 4-10 ครับ แต่อันนี้ก็แล้วแต่ poweramp ด้วย
อาทิตย์นี้จะพยายาม update ให้นะครับ
-
เพิ่งมาอ่านเจอครับมีประโยชน์มากเลยต้องเซฟไปอ่านครับ...เนตฯที่ทำงานหัวหน้าจะค้อนแปดตลบ
-
ตอนนี้อาจารย์คงรวบรวมข้อมูล สำหรับการสอนเรื่องต่อไป ผมเองก็เข้ามาดูทุกวัน :headphone
-
มาเตรียมพร้อมเหมือนกัลคับ c) c)
-
:clap ขอบคุณครับ
-
มาเก็บเกี่ยวความรู้จากอาจารย์ ด้วยคนครับ ขออภัย !! มาสายไปหน่อย แต่ดีกว่าไม่มา :)
-
:) ขอบคุณครับ :headphone
-
ยังไม่เปิดเทอม :cry2
-
;D ;D ;D 2f 2f
ผมว่า ยังไม่ปิดเทอมคับ 2f 2f
-
ไม่มีข้อแก้ตัวครับ K]
สัญญาว่าอาทิตย์นี้จะมีเพิ่มเติมให้ครับ :victory
-
ดีใจที่ยังไม่ลืม จะรอครับ ;D
-
post ก่อนหน้านี้เป็นการใช้ curve ในการหาอัตราขยายของวงจร แต่จากนี้ไป จะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้การคำนวนแทนครับ ยังคงใช้คู่กับ plate curve แต่ว่าจะได้ความแม่นยำมากขึ้น
เหมือนเดิมครับ ผมก็จะตัดเอามาจาก web เพื่อนบ้านของเรา แต่คำอธิบายอาจจแตกต่างกันบ้างนิดหน่อย
-
เคยสงสัยหรือเปล่าครับ ว่าค่า mu ที่อยู่ใน datasheet มาจากไหน? และเอาไปใช้ได้เลยหรือไม่
-
คำตอบก็คือ เอามาจาก plate curve ของหลอด และเอาไปใช้ได้เลย ถ้าเรากำหนดจุด bias ตามที่บอกมาในภาพด้านบน เช่น ถ้า bias หลอดที่ 250V, 10mA, grid bias -8.5V จะได้ค่า mu เท่ากับ 17
แต่ถ้าไม่ได้ bias ณ.จุดนั้น ค่า mu ยังเป็น 17 หรือไม่
คำตอบคือไม่ครับ
post ต่อไปจะเป็นวิธีการหาค่า mu ที่จุด bias ต่างกัน
-
เอาสูตรไปใช้เลยนะครับ
อัตราขยายหรือ u (มิว, mu) จากสูตร
u = Gm x Rp
Gm คือ ค่า Transconductance หรืออัตราการเปลี่ยนแปลงของกระแส เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง voltage ที่ input, Gm มีหน่วยเป็น Siemen หรือสมัยก่อนคือ Mho
Rp คือ ค่าความต้านทานภายในของหลอด
post ต่อไปเป็นการหา u ของหลอด 6SN7
-
ภาพนี้เป็นการหา Gm ซึ่งสามารถทำได้เมื่อกำหนดจุด bias ที่ต้องการ ลากเส้นขนานแกน X ในที่นี้คือเส้นแดง (ซึ่งหมายความว่า voltage ที่ plate คงที่) จากนั้น ลากเส้น grid line เทียมๆขึ้นมาสองเส้น (เส้นน้ำเงิน และเส้นเขียว)
จากคำจำกัดความของ Gm คือ
กระแสที่เปลี่ยนไป โดย voltage ที่ plate คงที่ หารด้วย voltage ที่เปลี่ยนไปของ grid โดยมีหน่วยเป็น mho หรือ siemens
จากรูป กระแสที่เปลี่ยนไปคือ 10.75mA - 5.5mA = 5.25mA
Voltage ที่ grid เปลี่ยนไป 2V (จาก -7 -> -5 )
Gm = 5.25mA / 2V = 2.125 mS
-
ต่อไปคือการหา plate resistance หรือ Rp
วิธีการหาคือ ลากเส้นสัมผัสเส้น grid line ณ.จุดที่เราต้องการ bias (เส้นสีแดง)
ให้เส้นสัมผัสนั้นมีความยาวไม่มากนัก จากนั้น ลากสามเหลี่ยมมุมฉาก ซึ่งแกน X (เส้นสีเขียว) คือ voltage ที่เปลี่ยนไป ส่วนเส้นทางแกน Y (สีน้ำเงิน) คือ กระแสที่เปลี่ยนไป
จากสูตร R = V/I
จะได้ Rp ของหลอด = 20V / 2.5mA = 8Kohm
เมื่อนำ Gm x Rp จะเห็นว่าหน่วยของมันจะตัดกันพอดี เพราะ Gm คือ I/V ส่วน R คือ V/I
จากที่เราหาค่าทั้งสองได้แล้ว จะได้ u ณ.จุด bias ที่ 200V, 6.5mA, grid -6V จะมี Rp เท่ากับ 8K ohm
ส่วน u เท่ากับ 2.125 x 8 = 17
Rp นี่สำคัญมากครับ เพราะจะเป็นตัวกำหนด plate load ที่เหมาะสม คือเราสามารถประมาณหา R plate load หรือ loadline ได้โดยไม่ต้องสุ่มแบบตอนที่ทำใน post แรกๆ
-
แต่ก่อนจะถึงจุดนั้น ผมมี curve ของ 12AU7 อยู่ มีใครจะลองหา Rp กับ mu ของหลอดนี้ณ.จุดต่างๆดูไม๊ครับ?
ผมลองเลือกซัก 2-3 จุด
200V 5mA
150V 10mA
250V 10mA
จุดไหนที่ไม่ตรงกับ grid line ก็สามารถวาด grid line ขึ้นมาเองโดยให้ขนานกับเส้น grid เดิมที่มีอยู่ได้ครับ
-
สวัสดีครับอาจารย์ มาเข้าห้องเรียนครับ RP,rp ผมมักจะสับสนกับตัวย่อ 2 ตัวนี้ บางทีตัวต้านทานที่เพลตใช้ RP ความต้านทานภายในใช้ rp สรุปว่าในบทเรียนของเรา RP คือความต้านทานภายใน ที่ผมพอจะรู้ ค่า rp (ความต้านทานที่ต่อกับเพลต)จะมีค่าประมาณ 3 เท่าของ RP ใช่หรือไม่ครับ
-
ไม่ได้มาทำงานหลายวันเค้าเปิดเรียนภาคใหม่แล้ว...
ไม่ได้ติดตามเนตฯที่บ้านมัน 56K มันทำงานประมาณ 40K แถมชวนเพือนมันมาเที่ยวทั้งไวรัสโทรจันเกลื่อนเมืองเลย :yucky :yucky ((
เพื่อนๆอย่าเสียงดังนะเดี๋ยวหัวหน้าได้ยินผมจะโดนด่าเอา :( :cry2 :cry2
-
ปกติความต้าทานภายใน (tube's plate internal resistance) จะใช้ Rp, rp, Ra ครับ ส่วน plate load จะใช้ Rl, RL ครับ
-
บทเรียนนี้ต้องทำความเข้าใจให้มาก ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ :giveup
-
งั้นต้องทำการบ้านเยอะๆ เอาเลยครับ ผิดถูกยังไงค่อยว่ากันอีกทีนึง
-
แอบมาให้กำลังใจนักเรียนครับ ;D
-
ขออนุญาตเข้าห้องเรียนด้วยคนครับ มาสายหน่อยแต่ได้อ่านของเก่ามาบ้างแล้วครับ ขอฝากเนื้อฝากตัวกับอาจารย์ด้วยครับ ผมมีข้อสงสัยมาก ประกอบกับคำนวณอ่อน และอายุค่อนข้างมาก
ถ้าผมถามอะไรแบบโง่ๆต้องขออภัยทุกท่านด้วยนะครับ
-
:black_eye :black_eye
ขอถาม หน่อยครับ
กริด ไลน์ เทียม สีเขียว กะ น้ำเงิน
ต้องลาก ผ่า กลาง ใช่ไหมครับ / หรือ อ้างอิงจากไหน
หรือ สมมุติ ขึ้น มา K] K]
-
เส้นสีเขียว ผมว่านับช่องแนวนอนได้ 2 ช่อง = 20 v
เส้นสีน้ำเงิน ผมว่านับช่องแนวตั้งได้ 5 ช่องๆละ 0.5 ma =2.5 ma
จากสูตร R = V/I
จะได้ Rp ของหลอด = 20V / 2.5mA = 8Kohm
ไม่ทราบว่าผมเข้าใจผิดหรือเปล่าครับ ต้องรอท่านอาจารย์ เฉลยครับ
แต่ผมก็สงสัยต่ออีกว่าทำไมถึงได้หน่วยเป็น K แทนที่จะเป็น โอห์มครับ
-
:black_eye :black_eye
ขอถาม หน่อยครับ
กริด ไลน์ เทียม สีเขียว กะ น้ำเงิน
ต้องลาก ผ่า กลาง ใช่ไหมครับ / หรือ อ้างอิงจากไหน
หรือ สมมุติ ขึ้น มา K] K]
ใชประมาณเอาครับ ถ้ามันเป็นครึ่งหนึ่งของ grid line 2 เส้น ก็เ้ส้นสมมตินั้นก็ควรจะอยู่กึ่งกลางครับ
-
เส้นสีเขียว ผมว่านับช่องแนวนอนได้ 2 ช่อง = 20 v
เส้นสีน้ำเงิน ผมว่านับช่องแนวตั้งได้ 5 ช่องๆละ 0.5 ma =2.5 ma
จากสูตร R = V/I
จะได้ Rp ของหลอด = 20V / 2.5mA = 8Kohm
ไม่ทราบว่าผมเข้าใจผิดหรือเปล่าครับ ต้องรอท่านอาจารย์ เฉลยครับ
ถูกต้องครับ O0
-
แสดงว่าถึงเราจะสมมุติเส้นโหลดไลท์อย่างไร จะสั้นจะยาว เวลาคำนวณออกมาก็ต้องได้เท่ากัน ใช่ไหม๊ครับ
-
ต้องหา gm ก่อนหรือว่า RP ก่อนครับ บอกตามตรงครับ ไมค่อย่เข้าใจเลย :giveup
-
ลองที่ 200v 5mA ก่อนว่าใกล้เคียงหรือเปล่า
1 กระแสที่เปลี่ยนไปคือ 7.75mA - 3.5mA =4.25mA
2 v grid เปลี่ยนไป 2v -8-(-6)
3 RP 20v/2mA=10k
4 u=Gm*RP =2.125*10=21.25
ถูกหรือเปล่า ;D
-
จากรูป กระแสที่เปลี่ยนไปคือ 10.75mA-5.5mA=5.25mA Voltage ที่ grid เปลี่ยนไป 2V (จาก -7 -> -5 )
Gm = 5.25mA / 2V=2.125 mS ถ้าคิดเลขไม่ผิด Gm=5.25mA/2v=2.625mS
mu=21 :whistling
-
จากรูป กระ แสที่เปลี่ยนไปคือ 10.75mA-5.5mA=5.25mA Voltage ที่ grid เปลี่ยนไป 2V (จาก -7 -> -5 )
Gm = 5.25mA / 2V=2.125 mS ถ้าคิดเลขไม่ผิด Gm=5.25mA/2v=2.625mS
mu=21 :whistling
d_d d_d
อุ้วขยัน เรียนจัง ผม มัวแต่ ทำ อย่างอื่น ต้องรอฝนตก หยุดงาน ถึงจะมีเวลานั่งอ่านนานๆๆ อะ :black_eye :black_eye
-
เดี๋ยวเย็นนี้กลับมาเฉลย ;)
-
ขออนุญาต คับ ไม่รู้โหลดกันได้ป่าว ทำรูปใหญ่ ๆ ไม่เป็น :cry2 :cry2
-
ขอลองที่ 150V 10mA ไม่รู้ถูกป่าวคับ
ทำไมได้ใกล้เคียงกับท่านพี่เอก-tubeamp ที่200v 5mA เลยคับ
-
ขออนุญาต คับ ไม่รู้โหลดกันได้ป่าว ทำรูปใหญ่ ๆ ไม่เป็น :cry2 :cry2
ขยายรูปด้วยโปรแกรม ACDsee แล้วไปฝากไฟล์ที่เวปฝากไฟล์ http://image.ohozaa.com/ แล้วค่อย copy link ชึ่อว่า BB CODE มาวางไว้ในกระทู้ตอบได้เลยครับ
(http://image.ohozaa.com/iz/01x.php.gif) (http://image.ohozaa.com/show.php?id=cfe3d980df156003175c0bac2c8f2af1)
-
ขอบคุณคับพี่
http://image.ohozaa.com/ (http://image.ohozaa.com/)
รูปใหญ่ สะใจดีจัง
-
ขอเวลานิดนึงครับ (แก้ตัวอีกแล้ว :D) จะตอบให้ภายในอาทิตย์นี้ครับ
-
รอตรวจการบ้านอยู่หลายวันแล้วครับ ;D
-
d_d
ส่งการบ้านครับ เลือกที่ 150V / 10 mA
กระแสที่เปลี่ยนไป = 16.5 mA - 5.5 mA = 11 mA
Vg = -6 > -2 = 4 V
Gm = 11/ 4 = 2.75
Rp = 25 V. / 4 = 6.25 K ohm
U =2.75 [ GM ] * 6.25 [ Rp ] = 17.1875
Rk = Vg 3 / 10 mA = 300 ohm
ทีนี้ อัน ที่ยังไม่เข้าใจ คือ + Vcc ครับ ทำยังไง
+Vcc = V rp + Vp + V rk
Vp คืออะไร มาจากไหน ครับ
แล้ว ก็ อันนี้ครับ
" จากที่เราหาค่าทั้งสองได้แล้ว จะได้ u ณ.จุด bias ที่ 200V, 6.5mA, grid -6V จะมี Rp เท่ากับ 8K ohm
ส่วน u เท่ากับ 2.125 x 8 = 17 6.5 mA มาจากไหน
(http://image.ohozaa.com/ia/12au7loadline002.jpg) (http://image.ohozaa.com/show.php?id=c314b37490350d1bb805398854e53e76)
-
ผมก็รอตรวจอยู่เหมือนกัน ดูมันใกล้เคียงกันหมดเลย vp= v ที่เพลตครับ ส่วน 6.5mA กำลังหาอยู่ว่ามาจากไหน
-
ดูมันใกล้เคียงกันหมดเลย เอ๊ะ ของป๋าโก๋ยังไม่ได้หา RP เลย
d_d
ศิษย์ พี่ รีบ ตรวจ การบ้าน จัง พอดี ดู แล้วคิด ผิด ก็ เลย แก้ไข อยู่ อะจิ 2f 2f 2f
-
ของป๋าน่าจะใกล้เคียงนะ ผมว่า :clap
-
ของป๋าน่าจะใกล้เคียงนะ ผมว่า :clap
d_d d_d
ขอบคุณ สำหรับ กำลังใจครับ ยังมึน Vp อยู่ คือไร
-
vp คือ v คร่อมเพลตครับ
-
vp คือ v คร่อมเพลตครับ
d_d d_d
นั่นแหละครับ คือ มีวิธีหา ยังไง ครับ :drive1 :drive1
-
ได้มาจากจุดไบแอส ถ้าป๋าไม่เข้าใจ ลองย้อนไปอ่านหน้าแรกครับ ยกตัวอย่างครับ จุดไบแอสที่ -6v Vp = 147v Ip = 15mA
-
:clap :clap
ยอดไปคร้าบ
-
เรียนหน้าลืมหลัง หา R ต่อที่เพลตไม่ได้ มันมาจากไหน ต้องกลับมานั่งอ่านใหม่ กว่าจะนึกได้่ อ๋อ มันมาจาก load line นี่เอง :giveup
-
:headphone :headphone
อะ เข้าใจแล้ว ดูจาก โหลดไลน์ ของคุณ JP74 แล้ว งง
K] K] K] ที่แท้ เขา ใช้ เส้นเหลือง แต่เรา ดันดู เส้นแดง นี่เอง มันถึงได้มึน
ตรงที่ 100 โวลท์ / Rp 20 K ก็เท่ากับว่า จากเส้นโหลดไลน์ ลากที่ 300 ไป ชนตรงไหนของแกก็ไม่รู้
แล้ว เรา ก็ เอา ตรงจุดไบอัส ที่ 200 โวลท์ / 5 mA / Vg 8 / Rp 20K ก็จะ ดรอปไฟ ไป 100 โวลท์ :yahoo :yahoo
(http://upic.me/i/gg/093507.jpg) (http://upic.me/show.php?id=ec08c700366938a7afae64f16d6a8b22)
-
ไม่ยากอย่างที่คิด แต่บางจุดมึนอยู่นานเลยผม :giveup
-
;D ;D ขอโทดคับที่เพิ่มความสับสน ผมเอาเส้นสีแดงไว้ตั้งใจจะได้เทียบระหว่าง loadline 10k กะ 20k อ่ะคับพี่ปา K] K]
แล้วก็ปล่อยยาวไปถึง เส้น bias ที่ -20v จริง ๆ มันน่าจะต้องอยู่ในเขตของ voltage swing Vpp แต่ยังหาไม่เป็นเลยกะลากจาก bias 0V ไป ถึง 20V อ่ะคับ :black_eye
-
:gathering :gathering :gathering
มั่วๆๆ ด้วยกัุน จะได้ เก่ง พรอ้มๆๆ กัน 2f 2f 2f 2f
ก็ มันส์ ดีนะ :harp :harp :harp :harp :harp :hug :hug :hug :hug
-
;D ;D เริ่มจะมันส์แล้วคับ รอให้ร้อนวิชาอีกนิส จะขอมั่วออกแบบ SE ซักตัว เองเลย
-
กลัวจะพากันออกทะเลซิ...ไปด้วยคน ส่วน V swing ย้อนกลับไปอ่านหน้าที่ 1 มีแนวทางการคำนวณ
;D ;D
-
d_d
ส่งการบ้านครับ เลือกที่ 150V / 10 mA
กระแสที่เปลี่ยนไป = 16.5 mA - 5.5 mA = 11 mA
Vg = -6 > -2 = 4 V
Gm = 11/ 4 = 2.75
Rp = 25 V. / 4 = 6.25 K ohm
U =2.75 [ GM ] * 6.25 [ Rp ] = 17.1875
Rk = Vg 3 / 10 mA = 300 ohm
ทีนี้ อัน ที่ยังไม่เข้าใจ คือ + Vcc ครับ ทำยังไง
+Vcc = V rp + Vp + V rk
Vp คืออะไร มาจากไหน ครับ
แล้ว ก็ อันนี้ครับ
" จากที่เราหาค่าทั้งสองได้แล้ว จะได้ u ณ.จุด bias ที่ 200V, 6.5mA, grid -6V จะมี Rp เท่ากับ 8K ohm
ส่วน u เท่ากับ 2.125 x 8 = 17 6.5 mA มาจากไหน
(http://image.ohozaa.com/ia/12au7loadline002.jpg) (http://image.ohozaa.com/show.php?id=c314b37490350d1bb805398854e53e76)
6.5 mA เป็นจุดที่เรากำหนดขึ้นมาเองว่าจะ bias ตรงนี้ครับ
-
ขอ :clap :clap :clap ให้กับทุกคนครับที่ช่วยกันระดมความคิด ปรึกษากันแบบนี้จะช่วยให้ทุกคนไปได้พร้อมๆกัน
ผมฝากข้อสังเกตไว้นิดนึงครับ จากจุด bias ที่ให้เป็นการบ้าน จะเห็นว่าเส้น grid line จะเอียงลงเรื่อยๆ และนั่นจะทำให้ Rp เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
คำตอบที่ทุกท่านตอบมาถูกกันหมดครับ คิดว่าตอนนี้ทุกคนคงเป็นกันหมดแล้ว
เพราะฉนั้น อีกหน่อย เวลาเราเห็น curve ของหลอด เราก็พอจะบอกได้ว่า ยิ่งเส้น grid line ขนานกันมาเท่าไหร่ Rp ของมันก็จะเปลี่ยนแปลงน้อยลงเท่านั้น ซึ่งหมายถึงความเป็นเชิงเส้น (linearity) ของมันก็มีมากขึ้นด้วย
เมื่อลาก loadline ลงไปในหลอดประเภทนี้ อัตราขยายของมันจะเท่ากันทั้งด้านบวกและลบ
ถ้ามีโอกาสลองดู plate curve ของหลอด 6SN7, 5687, 12BH7 หรือหลอดโบราณอย่าง 27, 56 สิครับ พวกนี้เป็นหลอดที่ linear มาก
อาทิตย์นี้ จะลงวิธีการคำนวนโดยใช้ model ทางคณิตศาสตร์ช่วยครับ
-
สวัสดีครับ รออาจารย์มาหลายวัน แต่ก็สมกับที่รอคอย
-
V swing = RL*IRL จากวงจร RL=20K I=5mA Vswing=100v(200Vpp)
-
โฮ๋พี่เอกตื่นแต่เช้าเลย :bye1
-
:cold :cold ผมจบคณิตศาสตร์ มอ 3 จาไหวไม๊คับจารย์ :black_eye :black_eye
-
V swing = RL*IRL จากวงจร RL=20K I=5mA Vswing=100v(200Vpp)
: :secret อย่างนี้นี่เอง ขอบคุณมากคับพี่ O0
-
เท่าที่ทราบมา V swing มันสวิงไม่ถึงหรอก ครับ ประมาณ 80% (200Vp-p) = 160v เท่านั้น เดี๋ยวให้อาจารย์ตรวจอีกทีครับ ไม่ว่าจะนอนดึกแค่ไหน ผมตื่นเช้าทุกวัน ตี 5 ก็ตื่นแล้ว เหมือนแพนด้าเข้าทุกวันแล้ว
-
ใช่ครับ ค่าที่ได้เป็นค่าประมาณ ซึ่งอาจจะถึงหรือไม่ถึงก็ได้ การใช้ตัวเลข 80% ก็ถือว่าเป็นการเผื่อไว้ก่อนครับ
-
และนี่คือการใช้ model ทางคณิตศาตร์ในการคำนวนค่าอัตราขยาย
ที่ผ่านมา เราคำนวนการ bias หรือเรียกกันว่า DC bias ซึ่งเป็นการกำหนดจุดเริ่มต้นของการทำงาน
แต่ตอนนี้ เรากำลังจะเริ่มขยายสัญญาณ สัญลักษณ์กลมๆที่เห็นทาง input คือแหล่งกำเนิดสัญญาณ หรือ AC source ครับ
ตัวหลอด ใช้แทนด้วย AC source ที่มีความต้านทานภายในตัว ซึ่งคือ Rp นั่นเอง
AC source นั้น จะเท่ากับสัญญาณ input คูณด้วยค่า u ดังนั้น ตัวมันจึงเท่ากับ uEg (Eg = voltage ที่ grid)
RL คือ loadline ที่เราเลือก
power supply หรือ B+ มีค่า AC impedance ต่ำมาก เพราะมี C filter ซึ่งสัญญาณจะวิ่งผ่านลง ground หมด ดังนั้น
ตรงที่เป็น B+ จึงเหมือนกับต่อลง ground (งงไม๊ครับ :D)
จากสมการด้านล่างนี้ สิ่งที่เราต้องการหาคือ Gain ของวงจร ซึ่งในช่วงแรกเราใช้วิธีการลาก loadline ดื้อๆแล้วก็ลองนับช่อง voltage ที่เปลี่ยนไปของ plate เทียบกับเส้น grid แต่ตอนนี้เรามีเป็นสมการแล้ว ซึ่งก็คือ
Gain = uRL/ (Rp + RL)
ส่วนสมการตัวบนๆ เป็นวิธีการหาว่าสูตร gain มันมาได้อย่างไร
-
รอหลายวันเลยอาจารย์ มีคำ ถามจะถาม เราจะรู้ได้อย่างไรว่าหลอดนี้ทำปรี/แอมป์ได้ เราอ้างอิงจากตรงไหนครับ เราดูจากตรงไหน จากดาต้าชีท :giveup
-
ดูจากความ linear ของหลอดครับ ง่ายๆคือดูระยะของ grid ที่เท่าๆกันใน plate curve ครับ
-
ส่วนการบ้านต่อไปคือการเอาจุด bias ทั้งสามจากตัวอย่างที่แล้ว
200V 5mA
150V 10mA
250V 10mA
มาลองหา gain ของวงจรเมื่อ loadline (หรือ RL ที่อยู่ในสูตร) มีค่าเท่ากับ 22K, 33K และ 47K
ไม่ยากครับ แทนค่าลงไปได้เลย ;)
เพิ่มอีกนิดนึง ลองดูดีๆจากสูตรนะครับ ถ้า RL = Rp จะเหลือ gain เท่าไหร่?
-
:secret :secret
เหมือน อ. สอน ที่ ม. เลย
รีบมา รีบ ไป ทิ้ง แต่ การบ้าน ไ้ว้ ให้นักเรียน งง กัน เล่น
2f 2f 2f 2f
-
อาจารย์ ครับ single stage triode ผมโดด ครับ
แต่ถ้าเป็น PushPull จะตอดเข้ามาทางหลังห้องครับ อยากรู้เรื่อง CLASS A กับ CLASS AB ครับ
-
รอคำตอบอยู่นะครับ K)
-
ที่ 200v 5 mA (22k) Gain=uRL/(RP+RL) Gain = (21*22K)/10K+22K = 14.4 เท่า ถ้า RP=RL Gain = 10.5 เท่า N]
-
แบบนี้ เราก็ต้องไปดูโหลดไลน์ หา Rp เหมือนเดิม ใช่ป่าวคับ
-
ผมใช้ RP ที่เราได้จากการลาก loadline ไบแอสที่ 200v 5mA :giveup
-
ที่ 200v 5 mA (22k) Gain=uRL/(RP+RL) Gain = (21*22K)/10K+22K = 14.4 เท่า ถ้า RP=RL Gain = 10.5 เท่า N]
ถ้า RL = 33K จะได้ gain = (21 * 33K)/(10K + 33K) = 16.11
ถ้า RL = 47K จะได้ gain = (21 * 47K)/(10K + 47K) = 17.31
จะเห็นว่ายิ่ง RL มีค่ามากขึ้นเท่าไหร่ gain ของวงจรจะเข้าใกล้ mu มากขึ้นเท่านั้นครับ
แต่ทำไมเราไม่ทำให้ RL มีค่าซัก 100K ไปเลย? ???
คำตอบคือได้ครับ แต่ power supply ของเราจะต้องเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
ตัวอย่างคือ ถ้า RL มีค่า 47K และมีกระแสไหลผ่าน 5mA อย่างที่ยกมาข้างต้น B+ จะเท่ากับ (47K * 5mA) + 200V + 6 = 441V :o
เยอะมากนะครับ สำหรับ preamp ที่ใช้ B+ สูงขนาดนี้
โดยสรุป สิ่งที่เราจะได้ เมื่อใช้ RL สูงๆคือ
- Gain ของวงจรที่เข้าใกล้ค่า mu
- ความเป็น linear ของวงจรที่เพิ่มขึ้น (อันนี้รู้ได้โดยการวาด loadline ซึ่ง loadline เอียงขนานกับแกน X มากเท่าไหร่ เส้นแบ่ง grid จะมีระยะใกล้เคียงกันมากขึ้น)
แบบนี้ เราก็ต้องไปดูโหลดไลน์ หา Rp เหมือนเดิม ใช่ป่าวคับ
ใช่ครับ อย่างน้อยต้องหา Rp และ mu ให้ได้ก่อน หลังจากนั้นก็ทดลองสุ่ม RL เพื่อดูว่า Gain ได้ตามที่ต้องการหรือไม่
โดยทั่วไป RL ที่แนะนำ จะอยู่ในช่วง 2-4 เท่าของ Rp ครับ ถ้าใช้มากกว่านั้นก็จะเป็นเรื่องของ power supply เองที่ไปไม่ไหว :nonono
-
เข้าใจแล้วครับ :clap อย่างนี้เราพอจะออกแบบวงจรได้หรือยังครับ :headphone
-
เกือบแล้วครับ ยังมีเรื่อง input/output impedance อีกเรื่อง หมดเรื่องนั้นแล้ว อย่างน้อยก็ทำ preamp ได้แล้วครับ
ขอเป็นอาทิตย์หน้านะครับ
-
รับทราบครับ :clap
-
input/output impedance
กำลังอยากเข้าใจอยู่เลยคับ อีกเรื่องที่อยากเข้าใจก็มี C OutPut อีกอันอ่ะคับอาจารย์คับ ;D ;D
-
:) มาเรียนด้วยคนครับ จะเอาไปใช้จริงๆ ละ
-
มีคนเรียนเพิ่มอีกคนแล้ว ;D แต่อาจารย์ไม่เห็นหลายวันแล้ว สงสัยลืม :'(
-
ก่อนที่จะเข้าเรื่อง input/output impedance ขอถามอาจารย์หน่อยว่า ถ้าเราออกแบบ line stage 2 stage เราจะออกแบบให้อัตราขยายเป็นเท่าไหร่ stage แรกกี่เท่า stage ที่ 2 กี่เท่า ถึงจะเหมาะสมครับ (ไม่อยากขนานหลอด)
-
นานเป็นอาทิตย์แล้วมั้ง ที่ไม่ได้เสริมความรู้ คงต้องรอต่อไป :'(
-
ก่อนที่จะเข้าเรื่อง input/output impedance ขอถามอาจารย์หน่อยว่า ถ้าเราออกแบบ line stage 2 stage เราจะออกแบบให้อัตราขยายเป็นเท่าไหร่ stage แรกกี่เท่า stage ที่ 2 กี่เท่า ถึงจะเหมาะสมครับ (ไม่อยากขนานหลอด)
ขึ้นอยู่กับ poweramp ครับ บอกไม่ได้จริงๆเพราะต้องทดลองฟังครับ ปกติ line stage ใหม่ๆจะมี gain ไม่เยอะนัก ประมาณ 4-10 เท่านั้น เพราะ poweramp สมัยใหม่ gain เยอะมาก ประกอบกับการบันทึกเสียงในยุคปัจจุบันใส่ gain เข้าไปเยอะมาก อย่างน้อยก็ประมาณ 6-10dB เมื่อเทียบกับเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว
ถ้าจะออกแบบให้มี gain ประมาณ 4-10 แล้วมี 2 stage คงต้องใช้ feedback เพื่อลด gain ลงมาครับ เพราะหลอด medium mu ธรรมดาแค่ stage เดียวก็เกือบ 10 แล้วครับ
เรื่อง input/output impedance ขอเป็นอาทิตย์หน้านะครับ ;)
-
จะรอครับผม c) ถามต่ออีกนิด การหาอัตราการขยาย เกนขยาย = แรงดันเอาท์พท/แรงดันอินพุท จากสูตรบอกให้เผื่อ 3dB หรือ 2 เท่า แต่ในที่นี้เราไม่ต้องเผื่อ เพราะการบันทึกในปัจจุบัน สัญญาณที่บันทึกมาแรงอย่างที่อาจารย์บอก อัตราการขยายรวม 2 stage stage 1 + stage หรือ stage 1* stage 2 ครับ :black_eye
-
:D :D ผมต้องพยายามอ่านให้มากขึ้นอีกแล้วคับ
-
O0 จะรอด้วยอีกคนครับ จะได้ออกแบบเองได้บ้างครับ :secret ค่อยๆ สะสมนะครับ
-
มารอรับความรู้เพิ่มเติม จารย์หาไปนานเลย :'(
-
มารอรับความรู้เพิ่มเติม จารย์หาไปนานเลย :'(
ไปเรียนกับอ.ตัวเป็นๆมาแล้วครับ สุดยอดมากแต่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไรเลย (ผมนี่สอนเข้าใจยากครับแบบว่าโง่เขลาไปหน่อย) อ.ยังหนุ่มกว่าที่คิดมากๆครับ หล่อด้วย c) c)
-
จะรอครับผม c) ถามต่ออีกนิด การหาอัตราการขยาย เกนขยาย = แรงดันเอาท์พท/แรงดันอินพุท จากสูตรบอกให้เผื่อ 3dB หรือ 2 เท่า แต่ในที่นี้เราไม่ต้องเผื่อ เพราะการบันทึกในปัจจุบัน สัญญาณที่บันทึกมาแรงอย่างที่อาจารย์บอก อัตราการขยายรวม 2 stage stage 1 + stage หรือ stage 1* stage 2 ครับ :black_eye
อัตราขยายรวมมาจากผลคูณของแต่ stage ครับ เช่น stage แรก 10 และ stage ถัดไป 5 จะได้ gain รวมทั้งหมด 50 ครับ
เรื่อง output impedance ขอเป็นวันพุธนะครับ พอดีวันจันทร์กับอังคารต้องทำงานครับ :black_eye
-
มารอรับความรู้เพิ่มเติม จารย์หาไปนานเลย :'(
ไปเรียนกับอ.ตัวเป็นๆมาแล้วครับ สุดยอดมากแต่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไรเลย (ผมนี่สอนเข้าใจยากครับแบบว่าโง่เขลาไปหน่อย) อ.ยังหนุ่มกว่าที่คิดมากๆครับ หล่อด้วย c) c)
ใช่อาจารย์ตัวจริงหล่อมากๆ ................
-
หา....หายไปนานเลยนะครับ ดีใจที่กลับมา c) c) อย่างนี้ต้องฉลอง... d_d
-
มารอรับความรู้เพิ่มเติม จารย์ หายไปนานเลย :'(
ไปเรียนกับอ.ตัว เป็นๆ มาแล้วครับ สุดยอดมาก แต่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไรเลย (ผมนี่สอนเข้าใจยากครับ แบบว่าโง่เขลาไปหน่อย) อ.ยังหนุ่มกว่าที่คิดมากๆ ครับ หล่อด้วย c) c)
พอกันเลยกับผม ที่แต่กว่าจะเข้าใจอ่านแล้วอ่านอีก แบบว่าเป็นสิ่งที่เราชอบ เลยทำให้เราไม่ค่อยท้อ เวลาอ่านไม่เข้าใจ ดีที่มีอาจารย์คอยสอนครับ สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือ จะอ่านเรื่อยๆกันลืม
-
คราวนี้มาลองดูเรื่อง input/output impedance ครับ
ลองดูรูปก่อน พร้อมตารางการคำนวน
-
คราวนี้ลองดูว่าค่าต่างๆมาได้อย่างไร
ง่ายมากครับ รูปนี้เห็นว่าเป็นการแบ่งแรงดันง่ายๆ
V source = 100V
เพราะฉนั้น Vs = 100 x (Zout / (Zin + Zout) )
ส่วน Vo = 100 - Vs
ซึ่งเราเห็นว่า ยิ่ง output impedance มีค่าสูงมากขึ้นเท่าไหร่ voltage ที่ส่งไปที่ภาคถัดไปจะลดลงเรื่่อยๆ
และวงจรหลอดนั้น เป็นการขยายสัญญาณแรงดันเป็นหลัก เพราะทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับแรงดันที่ grid
และนี่คือสาเหตุที่เราต้องคำนึงถึง output impedance ให้มาก เพราะหลอดบางชนิดมี่ Rp สูงมาก
ทำให้ output impedance สูงตาม ซึ่งแรงดันที่ปลายทางก็จะตกอย่างที่แสดงในตารางด้านบนครับ
-
ส่วน output impedance ของวงจรที่เราออกแบบนี้หาได้อย่างไร
ต้องกลับไปดูรูปอีกทีนึงครับ
ถ้าค่อยๆดูตรงจุดที่มีลูกศรออกมา นั่นคือ output ของเรา
และเราถือว่า voltage source ที่ขยายสัญญาณนั้นมี output impedance เป็น 0
ส่วน Rp คือความต้านทานภายในหลอดที่เราหาเป็นตั้งแต่ตอนเริ่มต้นแล้ว
ดังนั้น output impedance ก็คือ Rp ขนานกับ RL นั่นเอง
ยกตัวอย่างเช่น 12AU7 มี Rp ประมาณ 7K และเราออกแบบให้วงจรเราใช้ RL ประมาณ 30K
ดังนั้น output impedance ของวงจรเท่ากับ 7K//30K ซึ่งการขนานความต้านทานสามารถหาได้จาก
(R1 x R2) / (R1 + R2)
แทนค่าเข้าไป จะได้ 5.7K
แล้ว input impedance หาได้อย่างไร?
ตอนนี้ ผมยังไม่พูดถึงเรื่องค่า miller effect นะครับ
ถ้าดูในรูปวงจร(ไม่ใช่ model นะครับ) เนื่องจาก grid ของหลอดไม่มีกระแสไหล ดังนั้นการที่ไม่มีกระแสไหล หมายความว่า
impedance ระหว่าง grid กับ cathode มีค่าสูงมากจนเกือบเป็นค่าอนันต์ (คลายๆกับวงจรขาด)
เมื่อเรามี Rgrid ต่อขนานระหว่าง grid กับ cathode และใช้สูตรเดิมด้านบน จะเห็นว่า R1 มีค่ามากกว่า R2 มากๆ
จนกระทั้งทำให้ R รวมเข้าใกล้ R2
ดังนั้น ตอนนี้ เราจะอนุมานให้ input impedance ของวงจรหลอดเท่ากับ Rgrid (ในรูปคือ Rg)
-
ยังตามอ่านอยู่นะครับ ................. Y] O0
-
อ่านด้วยคนครับ
-
:black_eye :black_eye
คอมเสีย อะครับ พอกลับมา ขึ้น หน้า 4 แล้ว มึนเลย
ขอเวลา ศึกษา หน่อย :giveup
-
อาจารย์มาตอนไหนเนี้ย มาเอาป่านนี้... :D อ่าน 2-3 รอบแล้ว ยังไม่เข้าใจ ตารางที่ให้มา มันมาจากไหนครับ..
-
เป็นตารางแสดงการเปรียบเทียบค่า output impedance ที่เปลี่ยนไป จะทำให้ผลลัพธ์ ซึ่งก็คือ voltage ที่ load เปลี่ยนไปยังไงบ้างครับ
-
ยังไม่เข้าใจ....ถามต่อ ตารางนี้เป็นค่าที่สมมติขึ้นมา ใช่มั้ยครับ ไม่ใช่ค่าที่ได้มาจากตัวหลอดจริงๆ
-
ใช่ครับ ค่าสมมติขึ้นมาเท่านั้น
ลองเอาวงจรที่ออกแบบมาแล้วมาหา output impedance ก็ได้ครับ แล้วลองคำนวน gain ที่เปลี่ยนไปเมื่อภาคถัดไป(ที่เป็นหลอด)มี Rg ต่างกันครับ จะได้เห็นถึงความแตกต่าง
เช่น สมมติว่าวงจร 12AU7 มี gain 15 มี output impedance 5K
เมื่อมี input เข้ามาก 1V ก็ควรจะได้ output 15V
แต่เมื่อเอาวงจรนี้ไปต่อกับภาคขยายถัดไปที่เป็นหลอด voltage ที่ input ของภาคถัดไปจะไม่เท่ากับ 15 ครับ
แต่จะเป็นเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับ Rg ของภาคนั้น
ลองเป็น Rg เป็น 5K, 10K , 50K, 100K นะครับ
-
ลองเอาวงจรที่ออกแบบมาแล้ว มาหา output impedance ก็ได้ครับ แล้วลองคำนวน gain ที่เปลี่ยนไปเมื่อภาคถัดไป(ที่ เป็นหลอด)มี Rg ต่างกันครับ จะได้เห็นถึงความแตกต่าง
ใช้ที่ให้มาด้านบนใช่มั้ยครับ
Gain=uRL/(RP+RL) 19*30000/(7000+3000)=15.4 เท่า
-
ใช่ครับคิดว่าน่าจะตก 0 ไปตัวนึง
Gain = uRp/(Rp + RL)
= 19 * 7000 / (7000 + 30000)
= 13.3
output impedance ของวงจรเท่ากับ (7000 * 30000) / (7000 + 30000) = 5.67Kohm
ถ้าต่อกับภาคขยายถัดไปที่ R grid = 5K จะเหลือ voltage ที่ Rgrid เท่าไหร่ เหมื่อมี input เท่ากับ 1V?
จาก gain ที่เรารู้อยู่แล้วด้านบนคือ 13.3 ดังนั้นเมื่อมี input เข้ามา 1V จะมี output 13.3V
เมื่อมองดูรูปที่มีตาราง
Vsource = 13.3V
Zout = 5.67K
Zin = 5K
ต้องการหา Vs และ Vo
Vs = Vsource x (Zout / (Zin + Zout) )
Vs = 13.3V x (5.67K / (5K + 5.67)
Vs = 7.06V
ส่วน Vo = Vsource - Vs
Vo = 13.3V - 7.06V
ซึ่งเท่ากับ 6.24V
แล้วตรงนี้บอกอะไรเรา?
มันบอกว่า ยิ่ง input impedance ของภาคถัดไปน้อยลงเท่าไหร่ voltage จะไปสูญเสียอยู่ที่ output impedance ของวงจรเราเองมากขึ้นเท่านั้น
วงจรของเรามี gain อยู่ 13.3 ซึ่งก็คาดหวังไว้ว่าถ้ามี input 1V ควรจะมี voltage ที่ grid ของหลอดถัดไปเท่ากับ 13.3 แต่เราเลือกค่า Rgrid
แค่่ 5Kohm ทำให้ voltage มีแค่ 6.24V ครับ
และนี่คือสาเหตุที่หลายๆคนอาจจะเคยเห็นหรือได้ยินคำพูดที่ว่า input impedance ของภาคถัดไป ควรจะมีค่าอย่างน้อย 4 เท่า หรือเป็นสิบเท่ายิ่งดี
เพราะอะไร? ลองคำนวนดูสิครับ ^-^
-
คำนวณผิดหมดเลย Gain=uRL(RP+RL) =19*30000/(7000+30000)
= 15.4 เท่าครับ แต่ไม่เป็นไร ตัวเลขอาจผิด แต่วิธีการคำนวณถูก อาจารย์ คำนวณให้หมดเลย เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณครับ
-
ตอนนี้จบเรื่องการออกแบบ line stage แล้วใช่มั้ยครับ เราสามารถนำวิธีการคำนวณต่างๆเหล่านี้ ไปออกแบบวงจรได้เลย การออกแบบวงจรที่ดี ต้องให้อิมพิแดนซ์ I/Oเป็นอย่างไรถึงจะเหมาะสม
-
...อาจารย์หายอีกแล้ว หลังจากการออกแบบ line stage แล้ว บทเรียนต่อไป อยากให้สอนการออกแบบแอมป์บ้างครับ.
-
อาจารย์ช่วยสอนการลากโหลดไลน์หลอดเพนโทตให้ด้วยครับ...
-
ตอนนี้จบเรื่องการออกแบบ line stage แล้วใช่มั้ยครับ เราสามารถนำวิธีการคำนวณต่างๆเหล่านี้ ไปออกแบบวงจรได้เลย การออกแบบวงจรที่ดี ต้องให้อิมพิแดนซ์ I/Oเป็นอย่างไรถึงจะเหมาะสม
อีกนิดนึงครับ เหลือการเลือก capacitor coupling ระหว่าง stage
หมดตรงนี้แล้ว สามารถออกแบบ preamp และภาค driver ของหลอด power ได้ครับ
-
ผมจะตั้งคำถามเอาไว้ อาจารย์ว่างวันไหน ก็เชิญได้เลย เรื่องการออกแบบ line stage คงต้องลองออกแบบไปใช้งานดู คงไม่ยากเกิน เพราะมีตัวอย่างให้ดู...
-
หลอดที่มีค่า Ra สูงๆ มันเป็นผลดีหรือเปล่า อย่าง EF86 สูงมากที่เดียว..
-
อาจารย์ Karin ครับ ..... ค่า Gm .... ความสามารถของหลอดในการรักษาระดับการเปลี่ยนแปลงของกระแสที่เกิดจากการสวิงของโวลท์ที่ Grid ........... ซึ่งตามความเข้าใจผมหมายความว่า หลอดมีความเร็วในการปรับโวลท์ให้คงที่ ถึงแม้จะมีกระแสที่เปลี่ยนแปลงสูงจากการสวิงของโวลท์ที่ Grid ..................
ใช่หรือไม่ครับ ........... K) :) :) :)
-
Gm คืออัตราการเปลี่ยนแปลงของกระแส plate เที่ยบกับ voltage ที่ grid โดย voltage ที่ plate คงที่ครับ
ถ้าพูดถึงหลอด ซึ่งค่า mu (อัตราขยาย) = Gm x Rp จาก http://www.htg2.net/index.php?topic=47462.msg558890#msg558890
จะเห็นว่าหลอดที่มี transconductance มากกว่า หมายความว่า Rp ของมันจะต่ำกว่า ถ้า gain เท่ากัน ซึ่งก็คือสิ่งที่เราต้องการในงานขยายสัญญาณครับ
-
อาจารย์ช่วยสอนการลากโหลดไลน์หลอดเพนโทตให้ด้วยครับ...
หลอด pentode นี่เป็นสถานีทดสอบความกล้าครับ
คุณ เอา-tubeamp ลองเอา plate curve มาลง แล้ววาด loadline ลงไปเลยครับ
ใช้วิธีการหา gain จากตรงนี้ http://www.htg2.net/index.php?topic=47462.msg534932#msg534932 pentode ก็หาได้เหมือนกันครับ ไม่ต่างจาก triode
เช่นเดียวกับการหา Rp จาก curve ก็เหมือนกับ triode
แต่ค่าที่หาได้จะทำให้แปลกใจครับ ลองทำดู ;D
-
อัตราการขยายของวงจร สุตรนี้ใช้ได้มั้ยครับ G=u/[1+(RK/RL)u] วงจร plate load K] K] :D :D
-
plate curve el34
bias -24v opt = 350/140 =2.5k ผมคิด แบบนี้ถูกต้องหรือไม่ แล้ว vp เท่านี้จริงหรือครับ ส่วนใหญ่ที่เจอมันมากกว่านี้ คือคิดว่าค่าต่างๆ คงเหมือนกับค่าทีได้จากการออกแบบ line stage ครับ
http://upload.mwake.com/v3.php?id=Cc/fpH2NbRrYc.gif
Gain=Gm*Rp
Gm = 35mA/8V = 4.375
RP= 180V/35mA = 5.14k
Gain= 4.375uS*5.14k= 22.5
RK = -24V/70mA =342 ohm
ค่ามันดูแปลกๆ งง
ผิดถูก แนะนำด้วยครับ
-
ลืมคับ ขอทบทวนก่อน ขออนุญาตเอารูปมาให้ ไม่ต้องตามไปดูคับ
(http://upload.mwake.com/images_xxx/Cc/fpH2NbRrYc.gif)
-
(http://image.ohozaa.com/is/ia2q7.gif) (http://image.ohozaa.com/show.php?id=16f5c2e04aeff50275dae4df067ee9b6)
ตาย ละ หนอ
เขาจะ จบ ปริญญา กันแล้ว เรายัง ประวัติชั่ว (ปวช.) อยู่ เลย
เดี๋ยว ขอเวลา เก็บ หน้า ไปอ่านทบทวน หน่อยนะ แล้วจะตาม ไป :cry2 :cry2
-
อัตราการขยายของวงจร สุตรนี้ใช้ได้มั้ยครับ G=u/[1+(RK/RL)u] วงจร plate load K] K] :D :D
จริงๆใช้ได้นะครับ แต่ค่า u จะสูงมาก บางครั้งค่าที่ได้อาจจะคลาดเคลื่อนไปมาก
-
plate curve el34
bias -24v opt = 350/140 =2.5k ผมคิด แบบนี้ถูกต้องหรือไม่ แล้ว vp เท่านี้จริงหรือครับ ส่วนใหญ่ที่เจอมันมากกว่านี้ คือคิดว่าค่าต่างๆ คงเหมือนกับค่าทีได้จากการออกแบบ line stage ครับ
http://upload.mwake.com/v3.php?id=Cc/fpH2NbRrYc.gif
Gain=Gm*Rp
Gm = 35mA/8V = 4.375
RP= 180V/35mA = 5.14k
Gain= 4.375uS*5.14k= 22.5
RK = -24V/70mA =342 ohm
ค่ามันดูแปลกๆ งง
ผิดถูก แนะนำด้วยครับ
วิธีการคิดนี่ถูกต้องแล้วครับ
แต่พอลาก loadline เข้าจริงๆแล้ว gain ไปไม่ถึงที่คำนวนไว้ ได้ประมาณ 15 ตรงนี้ละครับเป็นความท้าทายของ pentode ซึ่งต้องลองวัดผลลัพธ์จริงๆ การคำนวนเป็น guide line ให้เท่านั้นเอง
-
plate curve el34
bias -24v opt = 350/140 =2.5k ผมคิด แบบนี้ถูกต้องหรือไม่ แล้ว vp เท่านี้จริงหรือครับ ส่วนใหญ่ที่เจอมันมากกว่านี้ คือคิดว่าค่าต่างๆ คงเหมือนกับค่าทีได้จากการออกแบบ line stage ครับ
http://upload.mwake.com/v3.php?id=Cc/fpH2NbRrYc.gif
Gain=Gm*Rp
Gm = 35mA/8V = 4.375
RP= 180V/35mA = 5.14k
Gain= 4.375uS*5.14k= 22.5
RK = -24V/70mA =342 ohm
ค่ามันดูแปลกๆ งง
ผิดถูก แนะนำด้วยครับ
วิธีการคิดนี่ถูกต้องแล้วครับ
แต่พอลาก loadline เข้าจริงๆแล้ว gain ไปไม่ถึงที่คำนวนไว้ ได้ประมาณ 15 ตรงนี้ละครับเป็นความท้าทายของ pentode ซึ่งต้องลองวัดผลลัพธ์จริงๆ การคำนวนเป็น guide line ให้เท่านั้นเอง
ยังงงๆอยู่ครับ คือตอนนี้กำลังหัดออกแบบวงจรที่ใช้หลอดเพนโทตอยู่ครับ
-
plate curve el34
bias -24v opt = 350/140 =2.5k ผมคิด แบบนี้ถูกต้องหรือ ไม่ แล้ว vp เท่านี้จริงหรือครับ ส่วน ใหญ่ที่ เจอมันมากกว่านี้ คือคิดว่าค่าต่างๆ คง เหมือนกับค่าที ได้จากการออก แบบ line stage ครับ
http://upload.mwake.com/v3.php?id=Cc/fpH2NbRrYc.gif
Gain=Gm*Rp
Gm = 35mA/8V = 4.375
RP= 180V/35mA = 5.14k
Gain= 4.375uS*5.14k= 22.5
RK = -24V/70mA =342 ohm
ค่ามันดู แปลกๆ งง
ผิดถูก แนะ นำ ด้วยครับ
วิธีการคิดนี่ถูกต้องแล้วครับ
แต่พอลาก? loadline เข้าจริงๆ แล้ว gain ไป ไม่ถึงที่คำนวนไว้ได้ประมาณ 15ตรงนี้ละครับ เป็นความท้าทายของ pentode ซึ่งต้องลองวัดผลลัพธ์ จริงๆ การคำนวนเป็น guide line ให้เท่านั้นเอง
ยังงงๆอยู่ครับ คือตอนนี้กำลังหัดออกแบบวงจรที่ใช้หลอดเพนโทตอยู่ครับ
ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป อาจารย์ช่วยกรุณาคำนวณค่าต่างๆจากเพลต curve ที่ผมได้แสดงไว้ หรือท่านอาจารย์จะยกตัวอย่างเพลต curve เองก็จะดีมากครับ มันช่วยเสริมความเข้าใจขึ้นอีกเยอะเลยล่ะครับ ขอบคุณครับ
-
ในรูปของคุณเอก ตรงจุด grid bias ที่ -24V เส้น loadline ที่ลากลงมาที่ -28V จะได้ voltage ที่เปลี่ยนไปเป็น 60V (จาก 180V -> 240V) ดังนั้น gain คือ 60/4=15 ครับ
ลองเปลี่ยนจุด bias ดูนะครับเอาให้ใกล้ๆกับ max rating เลย ค่าที่คำนวน กับค่าที่ได้จากการลาก loadline จะใกล้เคียงกันครับ
pentode มันยากตรงที่ voltage ที่ screen grid เปลี่ยนไป plate curve ก็จะเปลี่ยนไปด้วย บางครั้งต้องลองจริงและวัดจริงครับ
-
จากรูป 15 เท่า มันเป็นอัตราขยายทางด้านลบ หรือ เป็นอัตราขยายของวงจรครับ
-
รบกวนอาจารย์แนะนำการออกแบบแบบ 2 Stage และ SRPP ให้หน่อยนะครับ ..............
อาจารย์ Karin ................. K) K) K)
-
ไม่ค่อยได้เข้ามาอ่านเลย ลืมหมดแล้ว บ้าแต่หม้ออย่างเดียว
ป๋า TOM ผมมีบทความการออกแบบ SRPP ที่อยู่ในนิตยสาร WHAT HIFI เก่าๆ สนใจมั้ยครับ
-
ไม่ค่อยได้เข้ามาอ่านเลย ลืมหมดแล้ว บ้าแต่หม้ออย่างเดียว
ป๋า TOM ผมมีบทความการออกแบบ SRPP ที่อยู่ในนิตยสาร WHAT HIFI เก่าๆ สนใจมั้ยครับ
สนใจครับ ......... จะรบกวนมากไปหรือเปล่าครับ คุณเอก-tubeamp
-
ขออนุญาตถามย้อนไปที่ input impedance ครับ
ผมสงสัยเกี่ยวกับวงจรที่ ไม่มี Rg น่ะครับ แต่มี กริดสต็อปเปอร์
เราจะแทนค่า input impedance ยังไง หรือว่าหาค่า voltage ที่ grid ของหลอดยังไงครับ
ขอบคุณครับ
-
post ก่อนหน้านี้เป็นการใช้ curve ในการหาอัตราขยายของวงจร แต่จากนี้ไป จะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้การคำนวนแทนครับ ยังคงใช้คู่กับ plate curve แต่ว่าจะได้ความแม่นยำมากขึ้น
เหมือนเดิมครับ ผมก็จะตัดเอามาจาก web เพื่อนบ้านของเรา แต่คำอธิบายอาจจแตกต่างกันบ้างนิดหน่อย
อาจารย์ครับ ขอบคุณมากสำหรับบทความดีๆอย่างนี้ครับ
ผมมีข้อสงสัยหน่อยนึงครับ จากที่อาจาร์ยบอกว่าการหาค่า Gain จากการคำนวณด้วยการค่า Gm ก่อน จะแม่นยำกว่า แต่ถ้าใช้วิธีนี้ในการหาค่า Gain ทั้ง สองซีกจากจุด Bias จะเท่ากัน 100% เลยนิครับ ซึ่งในความเป็นจริงถ้าคืดด้วยวิธีการหา อัตราขยายจาก Voltage Plate / Voltage Grid ค่า Gain จาก 2 ซีกจะไม่เท่ากัน<ถ้าเราเลือกจุดไม่เหมาะสม>
ผมจึงคิดว่าถ้าเราใช้วิธีหา Gain จาก Voltage Plate / Voltage Grid ซึ่งเป็นการบังคับเราให้เลือกจุดที่เหมาะสมเพื่อให้ Gain ทั้งสองด้านมีความใกล้เคียงกันมากที่สุด จะมีความแม่นยำกว่าใช้สูตรคำนวณไหมครับ
อาจจะถามอะไรงงๆไปบ้างนะครับ แต่สงสัยจริงๆครับ
ขอบคุณครับ :showoff :showoff :showoff
-
คือเท่าทีทดลองมา พบว่าเมือวัดค่าออกมาจริงๆด้วยเครื่องมือวัดแล้ว เทียบกับการใช้การคำนวนด้วยวิธีหา Gm จะออกมาใกล้เคียงกันครับ ซึ่งบางครั้งการวาดเอาจาก curve บางทีก็มีความผิดพลาดบ้าง แต่ทั้งสองวิธีก็ได้ผลลัพธ์ทางตัวเลขที่ต่างจากของจริงประมาณ 5-10% ซึ่งก็ถือว่ารับได้ ส่วน distortion ที่เกิดจากความไม่สมมาตรของคลื่นนั้น เมื่อดูจากตาเปล่าใน scope จะมองไม่ค่อยเห็นครับ ต้องใช้ distortion analyzer ถึงจะเห็น
-
ขออนุญาตถามย้อนไปที่ input impedance ครับ
ผมสงสัยเกี่ยวกับวงจรที่ ไม่มี Rg น่ะครับ แต่มี กริดสต็อปเปอร์
เราจะแทนค่า input impedance ยังไง หรือว่าหาค่า voltage ที่ grid ของหลอดยังไงครับ
ขอบคุณครับ
อยากรู้เหมือนกัน ว่าถ้าไม่มี Rg เราจะคำนวณหา impedance ได้อย่างไร :help
-
คือเท่าทีทดลองมา พบว่าเมือวัดค่าออกมาจริงๆด้วยเครื่องมือวัดแล้ว เทียบกับการใช้การคำนวนด้วยวิธีหา Gm จะออกมาใกล้เคียงกันครับ ซึ่งบางครั้งการวาดเอาจาก curve บางทีก็มีความผิดพลาดบ้าง แต่ทั้งสองวิธีก็ได้ผลลัพธ์ทางตัวเลขที่ต่างจากของจริงประมาณ 5-10% ซึ่งก็ถือว่ารับได้ ส่วน distortion ที่เกิดจากความไม่สมมาตรของคลื่นนั้น เมื่อดูจากตาเปล่าใน scope จะมองไม่ค่อยเห็นครับ ต้องใช้ distortion analyzer ถึงจะเห็น
อาจารย์ครับ แล้วถ้าเราใช้วิธีหา Transconductance<Gm> ก่อน เราจะมีวิธีการเลือกจุด BIAS ยังไงหรอครับที่จะทำให้ Gain ทั้ง 2 ด้านเท่ากัน หรือเราใช้วิธี Voltage Plate / Voltage Grid ควบคู่กันไปก่อนที่จะเลือกจุดที่เหมาะสมครับ
อาจาร์ยครับขอถามอีกข้อนึงครับ
<ผมมีปัญหากับการออกแบบ SingleEnd ภาค Stage Power มากๆเลยครับ คือผมลองลาก LoadLine โดยใช้ LoadLine 3K เนื่องจาก OPT ผมมีขนาด 3K แล้วลองเลือกจุด Bias ดู แต่ผมว่ายังไง Gain ทั้งสองฝั่งก็ไม่ค่อยจะเท่ากันครับ > หรือเป็นเพราะหลอด Power Pentode เช่น EL34 มีความเป็นเชิงเส้นน้อยกว่าพวกหลอด Triode เช่น 12AX7 ครับ
ปล. ไม่รู้ผมซีเรียสกับพวกจุด Bias นี้มากไปหรือเปล่าครับ จริงๆแล้วผมก็ไม่รู้ว่ามันมีผลมากขนาดไหน แต่ออกแบบทั้งทีก็อยากให้มันดีๆไปเลยอะครับ
ขอบคุณครับ เดี๋ยวขอตัวไปเรียนก่อนครับ :showoff :showoff :showoff
-
ไม่ต้องกังวลเรื่องสัญญาณที่ไม่สมมาตรมากนักครับ เพราะความเพี้ยนที่เกิดขึ้นเป็น 2nd harmonic เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจากทฤษฎีแล้วหูเราไม่ได้ยิน หรือถ้าได้ยิน ก็แยกความแตกต่างไม่ออกครับ ผมแนะนำให้เลือกเอาจุดที่ทำงานได้กว้างที่สุดเป็นหลัก จะได้หลีกเลี่ยงปัญหาสัญญาณ clip ตรงนี้ฟังออกแน่ๆ ส่วนความเพี้ยนที่เกิดขึ้นจากความไม่สมมาตรของสัญญาณนั้น ในบางครั้งก็ถูก cancel ด้วย stage ถัดไป ไม่มากก็น้อย
โดยสรุปแล้วไม่ต้องกังวลมากกับสัญญาณที่อาจจะไม่เท่ากันบ้าง ถ้าความแตกต่างมันอยู่ในช่วง 5-10%
นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ผมชอบใช้ active load ซึ่งมี impedance สูงมากๆ ในที่นี้หมายถึงหลอดจะมองเห็น plate load มีค่าสูงมากๆเป็น megaohm ซึ่งหมายถึง loadline จะขนานกับแกน X ซึ่งหลอดส่วนใหญ่จะ linear มากที่สุดแถวนั้น
แต่การใช้ CCS ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้เสียงดีที่สุดนะครับ บางคนฟังแล้วไม่ชอบก็มี ทำเสร็จแล้วก็ต้องทดลองฟังดูครับ
คุณ EaGLEViEW เข้าใจถูกเรื่อง pentode ครับ มันมีความเป็น linear น้อยกว่า triode แต่ข้อดีของมันคือมี input capacitance ต่ำกว่า และยังมี gain มากกว่า triode
ส่วนเรื่องวงจรที่ไม่มี Rg นั้น ก็ยังมี input impedance นะครับ จะเท่ากับค่า reactance ที่เกิดจาก Cgk ของหลอด วงจรทั่วไปจะมี Rg นะครับ พวกที่ไม่มีก็อาจจะเป็นพวก direct couple ทั้งหลาย
ส่วนค่า reactance ของ Cgk ของหลอด หาได้จาก X = 1/2piFC , F=frequency, C=capacitance นั่นหมายถึงค่า X เปลี่ยนไปตามความถี่ครับ นี่ยังไม่รวม miller effect นะครับ เอาไว้มีโอกาสจะ post เรื่องนี้อีกทีนึง ตอนนี้ใช้ค่า Cgk ไปก่อน
-
ขอบคุณมากๆเลยครับ อาจารย์ :showoff :showoff :showoff
"นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ผมชอบใช้ active load ซึ่งมี impedance สูงมากๆ ในที่นี้หมายถึงหลอดจะมองเห็น plate load มีค่าสูงมากๆเป็น megaohm ซึ่งหมายถึง loadline จะขนานกับแกน X ซึ่งหลอดส่วนใหญ่จะ linear มากที่สุดแถวนั้น"
ถ้า Rp มีค่าสูงมากขนาดนี้ Gain ของระบบ ก็จะลงต่ำลงด้วยนิครับ ผมเข้าใจถูกต้องไหมครับอาจารย์
-
Rp เท่าเดิมครับ RL ที่สูงชึ้นมาก ดังนั้น gain จะเข้าใกล้ค่า mu มากขึ้นครับ
-
ขอรออ่าน miller effect เพราะสงสัย ??? อยู่พอดีเลยครับ
:)
-
ขอบคุณมากๆเลยครับ อาจารย์ :showoff :showoff :showoff
"นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ผมชอบใช้ active load ซึ่งมี impedance สูงมากๆ ในที่นี้หมายถึงหลอดจะมองเห็น plate load มีค่าสูงมากๆเป็น megaohm ซึ่งหมายถึง loadline จะขนานกับแกน X ซึ่งหลอดส่วนใหญ่จะ linear มากที่สุดแถวนั้น"
ถ้า Rp มีค่าสูงมากขนาดนี้ Gain ของระบบ ก็จะลงต่ำลงด้วยนิครับ ผมเข้าใจถูกต้องไหมครับอาจารย์
ผมก็เคยสงสัยอยู่เหมือนกันคับ จากที่อ่าน
ส่วน output impedance ของวงจรที่เราออกแบบนี้หาได้อย่างไร
ต้องกลับไปดูรูปอีกทีนึงครับ
ถ้าค่อยๆดูตรงจุดที่มีลูกศรออกมา นั่นคือ output ของเรา
และเราถือว่า voltage source ที่ขยายสัญญาณนั้นมี output impedance เป็น 0
ส่วน Rp คือความต้านทานภายในหลอดที่เราหาเป็นตั้งแต่ตอนเริ่มต้นแล้ว
ดังนั้น output impedance ก็คือ Rp ขนานกับ RL นั่นเอง
พอได้ลอง ccs เทียบกับ R แล้วฟังความดัง ไม่เห็นต่างกัน (หรือฟังไม่ออก :D :D :D) เลยคิดเอาเองว่า RL จากการใช้ ccs น่าจะเอาค่า R ที่กระแสสงบ มาเป็นตัวคิดหรือเปล่าคับ
-
Rp เท่าเดิมครับ RL ที่สูงชึ้นมาก ดังนั้น gain จะเข้าใกล้ค่า mu มากขึ้นครับ
ถ้า RL มาก เกนมาก แล้วถ้า RL มีค่ามากๆ ล่ะครับ มันหมายถึง หลอดไม่สามารถทำงานได้ใช่หรือเปล่า :black_eye
-
Rp เท่าเดิมครับ RL ที่สูงชึ้นมาก ดังนั้น gain จะเข้าใกล้ค่า mu มากขึ้นครับ
ถ้า RL มาก เกนมาก แล้วถ้า RL มีค่ามากๆ ล่ะครับ มันหมายถึง หลอดไม่สามารถทำงานได้ใช่หรือเปล่า :black_eye
จากกฎแห่งการเดา 55+ ผมว่า RL มากๆ output impedance ของ stage นี้จะสูงมากขึ้นนะครับ ทำให้ส่งผ่าน voltage ได้ยากขึ้นครับ
เท็จจริงอย่างไร รออาจารย์มาอธิบายอีกทีครับพี่
-
นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ผมชอบใช้ active load ซึ่งมี impedance สูงมากๆ ในที่นี้หมายถึงหลอดจะมองเห็น plate load มีค่าสูงมากๆเป็น megaohm ซึ่งหมายถึง loadline จะขนานกับแกน X ซึ่งหลอดส่วนใหญ่จะ linear มากที่สุดแถวนั้น
แต่การใช้ CCS ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้เสียงดีที่สุดนะครับ บางคนฟังแล้วไม่ชอบก็มี ทำเสร็จแล้วก็ต้องทดลองฟังดูครับ
อาจารย์ครับ ที่อาจารย์พูดถึง ตามด้านบนนี้แสดงว่า ccs สามารถ เพิ่ม Gain ได้สูงมาก <เพราะคุณสมบัติของแหล่งจากกระแสคงที่จะมี Output Impedance สูงมากจบแถบเป็น อิฟินิตี้ ใช่ไหมครับ> แต่การใช้ ccs ถึง Gain จะเพิ่มสูงขึ้นมากแต่มันจะไม่ส่งผลกระทบ ต่อค่า Output Impedance ดังเช่นกับการใช้ RL ค่ามากๆเพื่อเพิ่ม Gain ใช่ไหมครับ
ผมเข้าใจถูกต้องไหมครับอาจารย์ ช่วยชี้แนะด้วยครับ
ขอบคุรครับ
-
เมื่อ RL มีค่ามากขึ้นเรื่อยๆ output impedance ก็จะมากตามไปด้วยครับ แต่จะไม่เกิน Rp เพราะ output impedance ของวงจรมีค่าเท่ากับ Rp ขนานกับ RL ซึ่งเท่ากับ
(Rp x RL)/ (Rp + RL) พอ RL มีค่ามากๆๆๆ ผลลัพธ์จะเข้าใกล้ Rp มากขึ้นครับ
-
เมื่อ RL มีค่ามากขึ้นเรื่อยๆ output impedance ก็จะมากตามไปด้วยครับ แต่จะไม่เกิน Rp เพราะ output impedance ของวงจรมีค่าเท่ากับ Rp ขนานกับ RL ซึ่งเท่ากับ
(Rp x RL)/ (Rp + RL) พอ RL มีค่ามากๆๆๆ ผลลัพธ์จะเข้าใกล้ Rp มากขึ้นครับ
ครับอาจารย์แต่ผมยังงงอยู๋ว่าถ้าอย่างนั้น การต่อแบบ ccs เพื่อเพิ่มค่า RL ก็ไม่มีความแต่กต่างกับการเลือกใช้ RL ที่มีค่าสูงๆเลยสิครับ หรือการคำนวณ Output Imprdance ของทั้ง 2 รูปแบบไม่เท่ากันครับ
-
การคำนวน impedance เหมือนกันครับ
แต่ความแตกต่าคือหลอดมอง CCS เป็น R ที่มีค่ามากๆ แต่ในความเป็นจริง voltage ทีตกคร่อม CCS ไม่ได้มากตามไปด้วย
ยกตัวอย่างเช่น 10M45 มี impedance ประมาณ 1 Mohm แต่ voltage ที่ให้มันทำงานอาจจะเพียง 50V ก็ได้ เพราะฉนั้นหลอดจะเห็น load มีค่าสูงถึง 1 Mohm
แต่ถ้าเป็น R คงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ลองนึงถึงกระแส 1mA ผ่าน R 1Mohm นั่นหมายความว่าจะมีแรงดันตกคร่อมมันถึง 1000V ครับ
-
ขอบคุณครับอาจารย์ เริ่มเข้าใจบ้างแล้วครับ :yahoo :yahoo :yahoo
-
อาจารย์คับ รบกวนอธิบาย คาโทดฟอโรลเวอร์ ซักเล็กน้อยได้ไม๊คับผม
ใช้หลักเดียวกัยที่ผ่านมาหรือไม่คับ
:bowdown :bowdown :bowdown
-
อาจารย์คับ รบกวนอธิบาย คาโทดฟอโรลเวอร์ ซักเล็กน้อยได้ไม๊คับผม
ใช้หลักเดียวกัยที่ผ่านมาหรือไม่คับ
:bowdown :bowdown :bowdown
งงอยู่เหมือนกันเลยครับ ว่าจะทำ Buffer ซะหน่อย 2f 2f :yahoo :yahoo
-
ผมคิดว่าผมเคย post ไว้ที่ใดที่หนึ่งนี่ละครับ ยังไงจะลองหาดูให้ครับ
-
อาจาร์ยครับ ผมมีอีกหนึ่งคำถามครับ สมมุติปกติวงจรของ EL34SE เราจะใช้ OPT ประมาณ 3K ถ้าเกิดผมเปลี่ยนเป็น 5K เสียงมันจะดังขึ้นไหมครับอาจารย์ แล้วถ้าเปลี่ยนเป็น 2K เสียงจะเบาลงไหมครับ
ขอบคุณครับ :yahoo :yahoo :yahoo
-
ลองนึกถึง loadline ที่ขนานกับแกน x มากขึ้น (5K เทียบกับ 3K) เทียบกับ loadline ที่เอียงมากขึ้น หรือขนานกับแกน x น้อยลง (3K เทียบกับ 2K)
สิ่งที่ได้มีดังนี้ครับ
loadline 5K เราได้ voltage swing มากขึ้น linearity ดีขึ้น
loadline 2K เราได้ voltage swing ลดลง linearity ลดลง
ถ้างั้นทำไมเราไม่ใช่หม้อแปลง K เยอะๆไปเลย
ทำไม่ได้ครับ เพราะยิ่ง K เยอะๆ อัตราส่วน step down ของหม้อแปลงจะมากขึ้น เช่น
5K:8ohm มีอัตราส่วน step down เท่ากับ sqrt (5000/8) = 25:1
3K:8ohm จะได้ 19.36:1
2K:8ohm จะได้ 15.8:1
เพราะฉนั้น 5K ได้เปรียบที่ linearity แต่เสียเปรียบที่ power out ส่วน 2K ก็ตรงกันข้าม
ดังนั้น การออกแบบจึงต้องพบกันครึ่งทางกันระหว่าง power และ distortion ซึ่งเป็นธรรมชาติของสรรพสิ่งทั้งหลายที่มีจุดสมดุลย์ของมันเองครับ ;D
-
ส่วน cathode follower มีคนหาให้แล้วครับ
http://www.htg2.net/index.php?topic=7466.msg56115#msg56115
-
ลองนึกถึง loadline ที่ขนานกับ แกน x มากขึ้น (5K เทียบกับ 3K) เทียบกับ loadline ที่ เอียงมากขึ้น หรือขนานกับ แกน x น้อยลง (3K เทียบกับ 2K)
สิ่งที่ ได้มีดังนี้ครับ
loadline 5K เรา ได้ voltage swing มากขึ้น linearity ดีขึ้น
loadline 2K เรา ได้ voltage swing ลดลง linearity ลดลง
ถ้างั้นทำ ไม เรา ไม่ ใช่หม้อ แปลง K เยอะ ๆ ไป เลย
ทำ ไม่ ได้ครับ เพราะ ยิ่ง K เยอะ ๆ อัตราส่วน step down ของหม้อ แปลงจะ มากขึ้น เช่น
5K:8ohm มีอัตราส่วน step down เท่ากับ sqrt (5000/8) = 25:1
3K:8ohm จะ ได้ 19.36:1
2K:8ohm จะ ได้ 15.8:1
เพราะ ฉนั้น 5K ได้ เปรียบที่ linearity แต่ เสีย เปรียบที่ power out ส่วน 2K ก็ตรงกันข้าม
ดังนั้น การออก แบบจึงต้องพบกันครึ่งทางกันระ หว่าง power และ distortion ซึ่ง เป็นธรรมชาติของสรรพสิ่งทั้งหลายที่มีจุดสมดุลย์ ของมัน เองครับ ;D
ขอบคุณครับ ต้องการคำอธิบายอยู่เหมือนกัน ส่วนใหญ่ที่ใช้อยู่ก็ประมาณ 3.5k แต่ถ้าจะให้ตัดสินใจเลือก ผมเอาความลิเนียร์ แลกกับ o/p ลดลง
อีกนิดครับ การเลือกหลอดปรี ไม่ว่าเพนโทตหรือไตรโอด เราดูจากดาต้า นอกจาก plate curve แล้ว ค่าตัวไหน ที่มีส่วนสำคัญ ที่บ่งบอกว่า หลอดนี้มีคุณสมบัติดี(เสียงดี)
-
ขออนุญาตเรื่อง kathod follower อีซักหน่อยนะคับ แล้วเราจะหา Rk ที่เหมาะสมได้อย่างไรคับ หาเหมือน Rpในplate follower หรือเปล่าคับ
:bowdown :bowdown
ปกติหลอดจะทำการขยายสัญญาณด้วยความต่างศักย์ (voltage) ระหว่าง grid กับ cathode ครับ ถ้า voltage ตรงนี้มีความแตกต่างมากเท่าไหร่ สัญญาณ output ก็จะออกมามากขึ้นตามอัตราขยายของหลอด (u) แต่ถ้า cathode มีสัญญาณที่ in phase กับ grid ก็จะทำให้ voltage ของ grid กับ cathode มีค่าน้อยลง การขยายสัญญาณก็จะต่ำลงด้วย ซึ่งเค้าเรียกว่า degenerative feedback ซึ่งใน cathode follower นั้น สัญญาณที่ cathode มีขนาดใกล้เคียงกับ grid มาก จึงทำให้ cathode follower ไม่มีการขยายสัญญาณเลย
การคำนวนก็ดูตามรูปนะครับ รูปบนเป็นการต่อจริง ส่วนรูปด้านล่างเป็น math model ทางด้าน AC ซึ่งตามความเข้าใจทั่วไปว่า B+ หรือ power supply มี internal impedance ต่ำมาก ดังนั้น จุดที่ต่อกับ power supply จะเทียบได้กับต่อกับ ground
จากรูป จะได้
u(Eg - ip Rk) = ip (rp + Rk)
ip = uEg / ( rp + Rk (u+1) )
Vout = ip Rk
ดังนั้น
Vout = u (Eg Rk) / ( rp + Rk (u1) )
Gain = Vout / Eg
เพราะฉนั้น
Gain = u Rk / ( rp + Rk(u +1) )
ซึ่งจะเห็นว่าถ้า Rp มีค่าน้อยๆและ u มีค่ามากๆ (คุ้นๆไม๊ครับ พวกนี้คือหลอดที่ transconductance สูงๆไงครับ) จะทำให้ gain มีค่าใกล้เคียง 1 มากขึ้น
-
ปกติจะใช้ค่ามากๆครับ เท่าไหร่ก็คิดเอาจาก voltage swing ที่ต้องการ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการ 120Vpp ก็ควรจะมี voltage ผ่าน resistor ตัวนั้นอย่างน้อยที่สุด 60V แต่ควรจะเผื่อเอาไว้หน่อยเป็นซัก 80V ถ้ามีกระแสไหล 10mA จะได้ Rk = 8K ครับ
-
อ.karin ช่วยหน่อยครับ ช่วยสาธิตการหาค่า Gm,Rp หลอดเพนโทต ให้หน่อยซิครับ ไมรู้จะหาอย่างไร มึนเหม็ดเลย :giveup
-
ขออ่านด้วยคนนะครับ
-
ถามเพื่อความแน่ใจครับ
EL34 SE bias -22v (แรงดันอินพุท 1Vp-p) ถ้าใช้ 12bh7 drive stage เดียว มันไม่เพียงพอ ที่จะทำให้ EL34 ทำงานได้เต็มกำลัง ฉะนั้นเราจะต้องออกแบบวงจรเป็น 2 stage เพื่อให้ได้เกนอย่างน้อย 44 เท่า
(เรียนหน้าลืมหลัง)... :giveup
-
อ.karin ช่วยหน่อยครับ ช่วยสาธิตการหาค่า Gm,Rp หลอดเพนโทต ให้หน่อยซิครับ ไมรู้จะหาอย่างไร มึนเหม็ดเลย :giveup
หาเหมือน Triode ครับ ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย
แต่ผลลัพธ์ก็จะเป็นคนละเรื่องกับ triode คือจะได้ Rp และ mu สูงมากๆๆๆๆ
ลองยกตัวอย่างซักเบอร์สิครับ อะไรก็ได้ แล้วใช้วิธีเดียวกัน แล้วผมช่วยดูผลลัพธ์ให้ครับ
-
ผมทราบครับว่าใช้หลักการเดียวกันกับ triod แต่ดู plate curve ของ pentode แล้ว ไม่รู้จะลากจากไหนไปไหน
อย่าลืมตอบอีกคำถามนะครับ เรื่องเกนขยาย...
-
งั้นลองดูรูปนี้แล้วหาค่าต่างๆดูนะครับ ถ้าไม่ได้ เดี๋ยวเฉลยให้ครับ
ส่วนคำถามเรื่อง EL34 คุณเอก-tubeamp เข้าใจถูกต้องแล้วครับ
ถ้าใช้ 12BH7 อาจจะได้ gain ซัก 12 เพราะฉนั้นต้องการ input ประมาณ 4Vpp ซึ่งแม้ว่า CD ที่มี output 2Vrms (หรือ 5.6V) แต่ในความเป็นจริง สัญญาณที่ออกมาเมื่อเล่นเพลงทั่วไปนี่ประมาณ 2Vpp เท่านั้น (ยกเว้นเพลงยุคใหม่ๆที่อัด gain เข้าไปเต็มที่ อาจจะถึง)
-
งั้นลองดูรูปนี้แล้วหาค่าต่างๆดูนะครับ ถ้าไม่ได้ เดี๋ยวเฉลยให้ครับ
ส่วนคำถามเรื่อง EL34 คุณเอก-tubeamp เข้าใจถูกต้องแล้วครับ
ถ้าใช้ 12BH7 อาจจะได้ gain ซัก 12 เพราะฉนั้นต้องการ input ประมาณ 4Vpp ซึ่งแม้ว่า CD ที่มี output 2Vrms (หรือ 5.6V) แต่ในความเป็นจริง สัญญาณที่ออกมาเมื่อเล่นเพลงทั่วไปนี่ประมาณ 2Vpp เท่านั้น (ยกเว้นเพลงยุคใหม่ๆที่อัด gain เข้าไปเต็มที่ อาจจะถึง)
จากรูปได้ Gm=12mA/0.5V ส่วน Rp หาไม่ถูก K]
-
;)
Gain = Gm x RL
Gm =12mA/0.5V
= 24,000 uS
RL = 5Kohm
Gain = 24,000 uS x 5K ohm = 120
Rp = 200V/2mA = 100K (คิดจากเส้นเขียว)
Output imp ~ 5K
Rk = 1.6V/20mA = 80 ohm
-
งั้นลองดูรูปนี้แล้วหาค่าต่างๆดูนะครับ ถ้าไม่ได้ เดี๋ยวเฉลยให้ครับ
ส่วนคำถามเรื่อง EL34 คุณเอก-tubeamp เข้าใจถูกต้องแล้วครับ
ถ้าใช้ 12BH7 อาจจะได้ gain ซัก 12 เพราะฉนั้นต้องการ input ประมาณ 4Vpp ซึ่งแม้ว่า CD ที่มี output 2Vrms (หรือ 5.6V) แต่ในความเป็นจริง สัญญาณที่ออกมาเมื่อเล่นเพลงทั่วไปนี่ประมาณ 2Vpp เท่านั้น (ยกเว้นเพลงยุคใหม่ๆที่อัด gain เข้าไปเต็มที่ อาจจะถึง)
จากรูป ลากเส้นหา Rp ยังงัยครับ อ.karin
200v,2mA ,มาได้อย่างไร คิดอย่างไีร ผ่านตรงนี้ไป ผมว่าพอที่จะสามารถออกแบบวงจรได้แล้ว
-
เส้นสีเขียวเป็นเส้นสมมติที่กำหนดให้ขนานกับเส้น grid อื่นๆครับ
-
ok ครับ เป็นเส้นสมมติขึ้น แต่ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่า 200v,2mA หามาได้อย่างไร หัวถึบจริงเลยเรา ช่วยชี้แนะด้วยครับ K] K]
-
From the green line, the current change 2mA causes voltage change 200V. That means Rp is 100k krub.
-
Change to EN version .......... :) :)
-
From the green line, the current change 2mA causes voltage change 200V. That means Rp is 100k krub.
แล้วผมจะลากเส้นยังงัย ให้มันได้รูปสามเหลี่ยม เหมือนหาค่าจาก triod curve
-
เส้นสีเขียวที่สมมุติขึ้น สวิงได้ 200V 2mA
นี่เป็นค่าประมาณ เริ่มตั้งแต่ RL ที่ตัดกับเส้นกริด ไปจนถึงจุดที่ไม่นำกระแส
แบบประมาณนี้หรือเปล่าคับ
-
Sorry, I cant access this web from my office pc. The green line already creates triangle but the change in Y-axis is very small compare to X-axis. So you get very big Rp. Unlike triode that you get to see the triangle easily. However the key of using pentode is to find Gm because you need that to calculate gain. Since the Rp is very high, output impedance is always close to RL.
-
Khun Karin what is the voltage we suppose to use for Screen grid after get the Q point from load line .............
Same Voltage or not? And what about current .................???
-
มีวิธีเลือก RL สำหรับ pentode driver บ้างไหมคับอาจารย์ แบบถ้าเป็น triode ก็ 3-4 เท่าของ Rp แต่ถ้าเป็น pentode ค่า Rp สูงมาก ๆ
-
Khun Karin what is the voltage we suppose to use for Screen grid after get the Q point from load line .............
Same Voltage or not? And what about current .................???
ผมเข้าใจว่า G2 = 150V ใช่ป่าวอ่ะคับ
-
เส้นสีเขียวที่สมมุติขึ้น สวิงได้ 200V 2mA
นี่เป็นค่าประมาณ เริ่มตั้งแต่ RL ที่ตัดกับเส้นกริด ไปจนถึงจุดที่ไม่นำกระแส
แบบประมาณนี้หรือเปล่าคับ
nope, the green line is just another another grid line. What you mentioned was the loadline.
I recommend you think about pentode as a triode with very high Rp and gain.
-
To make pentode work correctly, you need to have steady voltage at screengrid. This example is 150v. Pentode is more linear when voltage at screengrid getting higher. Look at EL34 curve, for example. There is no detail info of screengrid current. Just estimate number of min and max.
you can use any RL you want to set the gain. Bigger RL give you more gain and voltage swing but output impedance is also high and vice versa.
-
I see ................ :) :)
-
เส้นสีเขียวที่สมมุติขึ้น สวิงได้ 200V 2mA
นี่เป็นค่าประมาณ เริ่มตั้งแต่ RL ที่ตัดกับเส้นกริด ไปจนถึงจุดที่ไม่นำกระแส
แบบประมาณนี้หรือเปล่าคับ
มึน นอนไปตื่น ได้คำตอบแล้ว อย่างหนึ่ง c) c) c) เส้นแรงดันได้แล้ว แต่กระแสล่ะ ยังงัย :black_eye มีภาษาปะกิดด้วย
-
จะพยายามเอาให้จบหลักสูตรครับอาจารย์ ไม่ให้เสียชื่อแน่ๆ ส่วนเรื่องกระแส 2 mA เดี๋ยวไปนั่งคิดก่อนว่า มายังงัย ขอบคุณครับ c)
-
:cry2 :cry2
ไม่ได้เรียนเลย สอบตก เลยอะ K] K] K]
-
Keep thinking of pentode is high Rp high u triode. Do not afraid of its curve ;)
-
จะพยายามเอาให้จบหลักสูตรครับอาจารย์ ไม่ให้เสียชื่อแน่ๆ ส่วนเรื่องกระแส 2 mA เดี๋ยวไปนั่งคิดก่อนว่า มายังงัย ขอบคุณครับ c)
ผมเข้าใจว่าเส้นสีเขียวเป็นเส้น Loadline ที่ 1.6 V ป่าวคับพี่ slope ขอเส้นน่าจะอ้างอิงมาจากเส้น 1.5V และ เส้น 1.75V :D :D :D
-
Nope it is a virtual grid line. The loadline of this example is the 5k line.
the virtual gridline is needed for calculation of Rp and Gm like we have done with triode.
-
ใช่คับ ๆ :bowdown :bowdown ขออภัยด้วยคับ :D :D :D
หมายถึง เส้น gridline ที่ 1.6V ไม่ใช่ Loadline ที่ 1.6 V
:bowdown :bowdown :bowdown อาจารย์มากคับ ;D ;D
-
จะ พยายาม เอา ให้จบหลักสูตรครับอาจารย์ ไม่ ให้ เสียชื่อ แน่ๆ ส่วน เรื่องกระ แส 2 mA เดี๋ยว ไปนั่งคิดก่อนว่า มายังงัย ขอบคุณครับ c)
ผมเข้าใจว่า เส้นสีเขียว เป็น เส้น Loadline ที่ 1.6 V ป่าวคับพี่ slope ขอ เส้นน่าจะ อ้างอิงมาจาก เส้น 1.5V และ เส้น 1.75V :D :D :D
ใช่แล้วน้าพงษ์ 1.6 v เป็นกริดไลน์ที่สมมติขึ้น แล้วน้าพงษ์รู้มั้ยว่า 2mA มันเป็นงัยมางัย ผมงง
-
It is from gridline. The same way we did with triode. We draw a line attach to the gridline. Then see small change between voltage and current. In the pentode case, very small change of current which is 2mA make voltage change 200v. You can use 1mA but it is very difficult to see how much voltage change. So i use 2mA. You can also use 3mA or any value but the result may be less accurate.
-
การกำหนดจุด bias ที่ดี ควรกำหนด ให้อยู่กลางๆ เส้น load line หาจุดที่ v สวิง เท่าๆกัน เหมือนกับรูปที่ยกตัวอย่างมา ใช่มั้ยครับ
-
ขอมั่วด้วยคนครับ :D
ที่เส้นสีเขียว 50V = 19mA 250V = 21mA
ความแตกต่าง = 2mA 200v
Rp = 200/.002 = 100K
เหมือนหาจาก Triode แต่เส้นมันนอนมาก เลยดูยาก ไม่รู้ถูกเปล่าครับ :D
-
ถูกต้องแล้วครับ
-
ขอมั่วด้วยคนครับ :D
ที่เส้นสีเขียว 50V = 19mA 250V = 21mA
ความแตกต่าง = 2mA 200v
Rp = 200/.002 = 100K
เหมือนหาจาก Triode แต่ เส้นมันนอนมาก เลยดูยาก ไม่รู้ถูก เปล่าครับ :D
c) c) c) สุดยอด ว่าแต่ 19mA มันคือเส้นสีน้ำเงินไม่ใช่หรือครับ ส่วนเส้นสีเขียว 21mA(19mA+2mA) มั่วเหมือนกัน :giveup
-
เส้นเขียวที่เป็นเส้น grid นี่มันเอียงมากครับ มากจนเกือบจะขนานกับแกน X เลย ซึ่งวิธีการหา Rp ก็เหมือนกับ triode ซึ่งก็คือส่วนกลับของความชันขอเส้น grid (1/slope) ดังนั้นจากเส้น grid สีเขียว กระแสเปลี่ยนไปประมาณ 2mA จะมี voltage เปลี่ยนไปประมาณ 200V ทำให้ได้ Rp ประมาณ 100K
ลองเทียบกับ triode curve รูปนี้ดูนะครับ วิธีการเหมือนกัน
-
หา Rp ของ triode
-
สงสัยพี่เอกดูข้างทางบ่อย เลยโดนคนข้าง......ซะ 2f ล้อกันเล่นนะพี่
19mA 50V เป็นจุดเริ่มต้นของเส้นสีเขียว
21mA 250V เป็นจุดปลายครับ
เส้นสีนำเงินเป็นเส้นระนาบเพื่อบอกความแตกต่างว่า =2mA :)
อุย อาจารย์มาตอบแล้ว c)
-
19mA 50V เป็นจุดเริ่มต้นของเส้นสีเขียว(ตรงนี้เข้าใจ) 21mA 250V เป็นจุดปลายครับ(ตรงก็เข้าใจ) เส้นสีน้ำเงิน เป็นเส้นระนาบ เพื่อบอกความแตกต่างว่า =2mA (ก็เข้าใจ) แล้วไม่เข้าใจตรงไหนอีกเนี้ย
เดี๋ยวผมจะ เอาตัวอย่างที่ผมคิด ไว้ เอามา ให้พิจารณาว่าถูกต้องหรือ เปล่า เป็นงัยเป็นกัน ต้องทำ ความเข้าใจตรงนี้ให้ได้ แต่เกือบจะท้อแล้ว
-
ช่วยดู curve ให้หน่อย หรือไม่ก็ช่วยลากให้ที
-
Gm is calculated by changing 2v at grid cause 4mA changed at 155v. So Gm is 2mS.
Rp is very high like typical low Gm pentode. I cant compute because the current barely change. However the tube parallel with RL of 12.5k, therefore the output impedance is approximatly 12.5k.
-
Here is the calculation
-
c) c) c) c) c)ขอบคุณมากๆครับอาจารย์ ผมเกือบท้อไปแล้วจริงๆ ส่วนค่า Gm ในกระดาษที่ผมคิดใว้ตรงกับของอาจารย์ ที่จริงมันต้อง 2mS ครับ ขอโทษทีที่ลงผิดเป็น 2mA ขอบคุณอาจารย์อีกครั้งครับ c) c) c) c)
-
Here is the calculation
แล้วค่า RL เราควรใช้เท่าไหร่ครับ หรือเอาค่าที่ได้จากการลากโหลดไลน์ :)
กำลังใจมากเป็นกองเลย d_d
-
RL คือ loadline ครับ
เพราะฉนั้นการเลือกจุด bias กับ loadline ถึงได้สำคัญมาก เพราะมันเป็นการกำหนดผลลัพธ์ที่ควรจะเป็นครับ
-
RL คือ loadline ครับ
เพราะฉะนั้นการเลือกจุด bias กับ loadline ถึงได้สำ คัญมาก เพราะมันเป็นการกำหนดผลลัพธ์ ที่ควรจะเป็นครับ
ขอบคุณครับ ถ้าดูจาก curve (ECL80) ที่ผมยกตัวอย่างมานั้น อาจารย์คิดว่ากำหนดจุดไบแอสเหมาะสมหรือยัง
-
ขึ้นอยู่กับว่าพอใจในผลลัพธ์หรือยังละครับ คือที่จุดนี้ทำงานได้แน่นอน แต่ต้องถามกลัีบว่า
gain พอหรือไม่?
output impedance มากไปหรือเปล่า?
voltage swing เพียงพอสมหรับภาคถัดไปหรือไม่?
ถ้าคุณเอก-tubeamp ตอบใช่หมด ก็เหมาะสมครับ :victory
-
แต่ที่ถามว่าเหมาะสมหรือไม่ ในแง่ของการเลือกเส้นกริด ไลน์ครับ ว่าควรอยู่กลางเส้นโหลดไลนหรือไม่
v swing
I/o impedance เรื่องเกนขยาย
คงต้องนั่งคิดอีกที่ครับ ขอบคุณอาจารย์ มากๆ ที่เข้ามาตอบข้อข้องใจและให้ความรู้
หากมีอะไรที่ไม่เข้าใจคงต้องรบกวนอีก
-
อาจารย์ดูทีครับว่า ผมคำนวณถูกต้องมั้ยครับ
รูปเล็กไปนิด
ค่าทีได้จากการคำนวณครับ
Gm=2mS
Rp= 45v/1.5mA=30k
Gain=60
ที่ลูกศรสีแดง ผมกำหนดจุดเริ่มต้นถูกหรือเปล่า
(http://image.ohozaa.com/ii/ccf16012553_00002.jpg) (http://image.ohozaa.com/show.php?id=ad0650650c76d41b04c5720961080732)
-
นักเรียนโข่งหลังห้อง มาเรียนสายด้วย รับหรือเปล่าครับจารย์
-
นักเรียนโข่งหลังห้อง มาเรียนสายด้วย รับหรือเปล่าครับจารย์
เอาเลยครับ มาเรียนด้วยกัน
กว่าจะผ่านจุดที่ยากลำบากมาได้ :D :D
-
ไม่ได้แวะเข้ามานานครับ แวะเข้ามาอ่านก็มีคำถามเลย
อาจาร์ยครับ
- ถ้าดูจาก Loadline แล้ว พวกหลอด Pentode มีค่า rp สูงกว่า หลอด triode มากๆเลยใช่ไหมครับ
- อาจาร์ยครับ Characteristic I-V ของ หลอด Pentode ดูไปดูมามันเหมือนกับพวก Mosfet เลยใช่ไหมครับ คือพอให้ V plate สูงๆ และ Vg คงที่ค่าหนึ่งๆ กระแสมันเกือบจะคงที่<SAT>
- แล้วหลอด Triode ดูจากคุณสมบัติมันแล้ว Vp ค่าๆสูงๆ กระแสมันยังพุ่งขึ้นไปเรื่อยๆไม่คงที่เลยนิครับ แสดงว่ามันไม่ได้อยู่ใน mode SAT ใช่ไหมครับ เพราะเหตุนี้อัตราขยายมันจึงต่ำกว่าพวก Pentode
ทั้งหมดนี่ ผมเข้าใจถูกต้องไหมครับ
รบกวนอาจารย์ด้วยครับ
:D :D :D :D ;D ;D ;D ;D
-
เข้าใจถูกทุกข้อครับ
:victory
-
อาจารย์ดูทีครับว่า ผมคำนวณถูกต้องมั้ยครับ
รูปเล็กไปนิด
ค่าทีได้จากการคำนวณครับ
Gm=2mS
Rp= 45v/1.5mA=30k
Gain=60
ที่ลูกศรสีแดง ผมกำหนดจุดเริ่มต้นถูกหรือเปล่า
(http://image.ohozaa.com/ii/ccf16012553_00002.jpg) (http://image.ohozaa.com/show.php?id=ad0650650c76d41b04c5720961080732)
คำนวนถูกแล้วครับ แต่ผมแนะนำให้ใช้สัญลักษณ์ใหม่ RL = R Load ที่นำมาเป็น load ให้กับหลอด ส่วน Rp คือ Internal resistance ของหลอดครับ
เห็นหลายคนใชั Rp เป็น R plate load ผมว่าจะทำให้สื่อสารกันผิดครับ
-
ขอบคุณครับที่แนะนำ ตอนนี้เข้าใจแล้วครับ
ความต้านทานภายใน Rp, rp, Ra
ส่วน plate load ใช้ Rl, RL ครับ
มีอีกอย่างครับอาจารย์ เกนขยายที่ผมคำนวนออกมา มันมากกว่าค่ามิวเสียอีก มันเป็นไปได้มั้ย หรือว่าผมคำนวณคลาดเคลื่อนไป ดังตัวอย่างที่เห็นครับ 60 เท่า ตัวมันเองประมาณ 40 เท่า เท่านั้นเอง
-
40 นั่นเป็น mu ของ triode section ครับ ส่วน pentode ปกติจะไม่ได้บอกค่า mu มาให้ครับ
-
อาจารย์คับ แล้วการต่อแบบ pentode กับ ultra liniar ต่างกันที่สำคัญตรงจุดใดคับ
-
40 นั่น เป็น mu ของ triode section ครับ ส่วน pentode ปกติจะ ไม่ ได้บอกค่า mu มา ให้ครับ
ขอบคุณครับอาจารย์
อยากรู้เหมือนกัน
อาจารย์ ถามต่ออีกนิดครับ ช่วยบอกหน่อยครับว่า ในรูปที่ให้มาเป็นต่อแบบไหนกันบ้างครับ
-
อาจารย์คับ แล้วการต่อแบบ pentode กับ ultra liniar ต่างกันที่สำคัญตรงจุดใดคับ
pentode mode ที่ screen grid จะมี voltage คงที่ต่ออยู่ครับ
ส่วน ultra linear ที่ voltage ที่ screen grid เปลี่ยนไปตาม plate แต่ขึ้นอยู่กับอัตราส่วนการเปลี่ยนถ้าเปลี่ยนน้อยเมื่อเทียบกับ plate ก็จะมี curve ใกล้เคียง pentode แต่เส้น grid จะเอียงมากขึ้น แต่ยังไม่เท่ากับ triode mode เมื่อการเปลี่ยนแปลงนั้นเท่ากับ plate เลย screen grid ก็ทำตัวเหมือน plate อีกชิ้นหนึ่ง กลายเป็น triode ครับ
-
40 นั่น เป็น mu ของ triode section ครับ ส่วน pentode ปกติจะ ไม่ ได้บอกค่า mu มา ให้ครับ
ขอบคุณครับอาจารย์
อยากรู้เหมือนกัน
อาจารย์ ถามต่ออีกนิดครับ ช่วยบอกหน่อยครับว่า ในรูปที่ให้มาเป็นต่อแบบไหนกันบ้างครับ
ยังไม่เข้าใจคำถามครับ เพราะด้านล่างรูปภาพก็เขียนอธิบายไว้แล้วนี่ครับ? ???
-
2 รูปสุดท้ายคุ้นๆว่ามันคือ catode feedback รึเปล่าครับ อยากรู้แนวคิด หาค่าของขดfeedback ว่าควรเป็นเท่าไหร่ครับเคยทดลองพันมาใช่กับ 811a ยังไม่ประสบครามสำเร็จครับ เสียงปลายแหลมมันหายไปครับ ค่าที่พันเป็น 18 กับ 32 โอมครับ
-
40 นั่น เป็น mu ของ triode section ครับ ส่วน pentode ปกติจะ ไม่ ได้บอกค่า mu มา ให้ครับ
ขอบคุณครับอาจารย์
อยากรู้เหมือนกัน
อาจารย์ ถามต่ออีกนิดครับ ช่วยบอกหน่อยครับว่า ในรูปที่ให้มาเป็นต่อแบบไหนกันบ้างครับ
ยังไม่เข้าใจคำถามครับ เพราะด้านล่างรูปภาพก็เขียนอธิบายไว้แล้วนี่ครับ? ???
ไม่ค่อยแน่ใจครับ เลยถามอาจารย์อีกรอบ
ภาพบน ภาพแรก ถ้าเราใส่ R คั่นเข้าไป มันจะยังเป็นโหมด triod อยู่เปล่าครับ
และภาพบน ขวามือ ผมว่าเหมือนกับ UL เลยครับ เพราะมันแท็บมาจาก output
-
ใส่ R เข้าไปน้อยๆไม่เป็นไรครับ ถ้าต่อ triode ก็ยังเป็น triode ถ้าต่อแบบ pentode ก็ยังเป็น pentode บางครั้งไม่ใส่ R ที่ screen grid ก็ oscillate ก็มี
ภาพ 1 triode
ภาพ 2 pentode
ภาพ 3 UL
ภาพ 4 pentode + cathode feedback
ภาพ 5 UL + cathode feedback
ผมยังไม่มีโอกาสทดลอง cathode feedback เลยครับ เลยยังบอกไม่ได้เหมือนกันว่าต้องทำยังไงบ้าง :giveup
-
ใส่ R เข้าไปน้อยๆไม่เป็นไรครับ ถ้าต่อ triode ก็ยังเป็น triode ถ้าต่อแบบ pentode ก็ยังเป็น pentode บางครั้งไม่ใส่ R ที่ screen grid ก็ oscillate ก็มี
ภาพ 1 triode
ภาพ 2 pentode
ภาพ 3 UL
ภาพ 4 pentode + cathode feedback
ภาพ 5 UL + cathode feedback
ผมยังไม่มีโอกาสทดลอง cathode feedback เลยครับ เลยยังบอกไม่ได้เหมือนกันว่าต้องทำยังไงบ้าง :giveup
เท่าที่เคยลอง อาจารย์ชอบแบบไหนครับ และเสียงมันแตกต่างกันแบบไหนครับ พอจะเล่าให้ฟังบ้างได้หรือไม่ครับ ....
-
ใส่ R เข้า ไปน้อยๆ ไม่ เป็น ไรครับ ถ้าต่อ triode ก็ยัง เป็น triode ถ้าต่อ แบบ pentode ก็ยัง เป็น pentode บางครั้ง ไม่ ใส่ R ที่ screen grid ก็ oscillate ก็มี
ภาพ 1 triode
ภาพ 2 pentode
ภาพ 3 UL
ภาพ 4 pentode + cathode feedback
ภาพ 5 UL + cathode feedback
ผมยัง ไม่มี โอกาสทดลอง cathode feedback เลยครับ เลยยังบอก ไม่ ได้ เหมือนกันว่าต้องทำ ยัง ไงบ้าง :giveup
เท่าที่เคยลอง อาจารย์ชอบแบบไหนครับ และเสียงมันแตกต่างกันแบบไหนครับ พอจะเล่าให้ฟังบ้าง ได้หรือไม่ครับ ....
ผมว่าป๋าน่าจะไปลองต่อฟังดูนะครับ ผมว่าป๋าฟังออก แล้วมาบอกกันมั้งนะป๋า ผมก็จะลองไปต่อฟังดู ว่าต่อแต่ละแบบ ให้เสียงแตกต่างกันอย่างไร คงต้องใช้เวลานิดหน่อย (หูไม่ค่อยดี)
-
ใส่ R เข้า ไปน้อยๆ ไม่ เป็น ไรครับ ถ้าต่อ triode ก็ยัง เป็น triode ถ้าต่อ แบบ pentode ก็ยัง เป็น pentode บางครั้ง ไม่ ใส่ R ที่ screen grid ก็ oscillate ก็มี
ภาพ 1 triode
ภาพ 2 pentode
ภาพ 3 UL
ภาพ 4 pentode + cathode feedback
ภาพ 5 UL + cathode feedback
ผมยัง ไม่มี โอกาสทดลอง cathode feedback เลยครับ เลยยังบอก ไม่ ได้ เหมือนกันว่าต้องทำ ยัง ไงบ้าง :giveup
เท่าที่เคยลอง อาจารย์ชอบแบบไหนครับ และเสียงมันแตกต่างกันแบบไหนครับ พอจะเล่าให้ฟังบ้าง ได้หรือไม่ครับ ....
ผมว่าป๋าน่าจะไปลองต่อฟังดูนะครับ ผมว่าป๋าฟังออก แล้วมาบอกกันมั้งนะป๋า ผมก็จะลองไปต่อฟังดู ว่าต่อแต่ละแบบ ให้เสียงแตกต่างกันอย่างไร คงต้องใช้เวลานิดหน่อย (หูไม่ค่อยดี)
ผมละครับ ตัวหูไม่ดีเลยครับ ................
ผบทบ........... ห้ามไว้
-
เนื้อหาน่าสนใจมาก แต่.........อ่านไม่ออก ;D
http://mysite.du.edu/~etuttle/electron/elect27.htm
-
เนื้อหาน่าสนใจมาก แต่.........อ่านไม่ออก ;D
http://mysite.du.edu/~etuttle/electron/elect27.htm
แหล่งเรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับหลอด และ ทำให้รู้จัก 955 และ 9002 12B4a 6J6 6C4 ..............
-
อาจารย์ช่วยดู โหลดไลน์ให้หน่อยครับ ว่าคำนวณถูกต้องมั้ย สงสัย RL ครับ มันเท่ากับ RP อย่างนี้จะสามารถใช้งานได้มั้ย ส่วนเกนขยายประมาณ 104 เท่า :P
(http://image.ohozaa.com/ia/58472.jpg) (http://image.ohozaa.com/show.php?id=8661bbcb86357ef59e364797f63fc955)
-
Rp ไม่น่าจะ 8K นะครับ รูปสามเหลี่ยมสีน้ำเงินของคุณเอกนั่นคือ RL นะครับ
Rp ต้องหาจากเส้น grid ที่คุณเอกใช้ในการ bias ซึ่งน่าจะเป็นเส้นเขียวครับ
-
ใส่ R เข้าไปน้อยๆไม่เป็นไรครับ ถ้าต่อ triode ก็ยังเป็น triode ถ้าต่อแบบ pentode ก็ยังเป็น pentode บางครั้งไม่ใส่ R ที่ screen grid ก็ oscillate ก็มี
ภาพ 1 triode
ภาพ 2 pentode
ภาพ 3 UL
ภาพ 4 pentode + cathode feedback
ภาพ 5 UL + cathode feedback
ผมยังไม่มีโอกาสทดลอง cathode feedback เลยครับ เลยยังบอกไม่ได้เหมือนกันว่าต้องทำยังไงบ้าง :giveup
เท่าที่เคยลอง อาจารย์ชอบแบบไหนครับ และเสียงมันแตกต่างกันแบบไหนครับ พอจะเล่าให้ฟังบ้างได้หรือไม่ครับ ....
ถ้าพูดตรงๆนี่ยังไม่เคยได้ทดลองจริงๆซักทีครับ ;D
ตอบอย่างนี้อาจจะหาว่ากวนประสาท เพราะจริงๆเวลาทำแอมป์ที่ใช้ pentode เสร็จแล้ว แค่ปรับสวิทช์ไปมาก็ทำได้ทั้งสามแบบแล้ว ((
แต่จริงๆผมคิดว่ามันเป็นการเปรียบเทียบที่ไม่ตรงจุดครับ เพราะอย่างที่เห็นว่า gain ของหลอด ทั้ง pentode, ultra linear และ triode มันไม่เท่ากัน เพราะฉนั้น ถ้าจะให้ตรงจุดจริงๆ คงจะต้องออกแบบภาค driver ให้มี gain ที่แตกต่างกันเพื่อชดเชย gain รวมของทั้งวงจรให้มันเท่ากัน แล้วค่อยมาฟังเปรียบเทียบกัน
บางคนอาจจะบอกว่า triode จะนุ่มนวลสุด และ pentode จะออกคม, ชัด คล้ายๆทรานซิสเตอร์ ฯลฯ ส่วน ultra linear ก็อยู่ระหว่างกลาง ซึ่งก็ควรจะเป็นแบบนั้น เพราะ gain มันก็เรียงไปตามที่ไล่มา
โดยสรุปแล้ว ผมเชื่อว่าถ้าออกแบบได้อย่างถูกต้อง ความแตกต่างระหว่าง mode ของมันมีไม่มากนักครับ คือมีแน่ๆแต่ภายใต้เงื่อนไขที่แตกต่างกันไป แต่ผมเองก็ยังสรุปฟันธงลงไปไม่ได้เหมือนกัน เพราะยังไม่ได้ทดลองแบบจริงๆจังๆครับ
-
ใส่ R เข้าไปน้อยๆไม่เป็นไรครับ ถ้าต่อ triode ก็ยังเป็น triode ถ้าต่อแบบ pentode ก็ยังเป็น pentode บางครั้งไม่ใส่ R ที่ screen grid ก็ oscillate ก็มี
ภาพ 1 triode
ภาพ 2 pentode
ภาพ 3 UL
ภาพ 4 pentode + cathode feedback
ภาพ 5 UL + cathode feedback
ผมยังไม่มีโอกาสทดลอง cathode feedback เลยครับ เลยยังบอกไม่ได้เหมือนกันว่าต้องทำยังไงบ้าง :giveup
เท่าที่เคยลอง อาจารย์ชอบแบบไหนครับ และเสียงมันแตกต่างกันแบบไหนครับ พอจะเล่าให้ฟังบ้างได้หรือไม่ครับ ....
ถ้าพูดตรงๆนี่ยังไม่เคยได้ทดลองจริงๆซักทีครับ ;D
ตอบอย่างนี้อาจจะหาว่ากวนประสาท เพราะจริงๆเวลาทำแอมป์ที่ใช้ pentode เสร็จแล้ว แค่ปรับสวิทช์ไปมาก็ทำได้ทั้งสามแบบแล้ว ((
แต่จริงๆผมคิดว่ามันเป็นการเปรียบเทียบที่ไม่ตรงจุดครับ เพราะอย่างที่เห็นว่า gain ของหลอด ทั้ง pentode, ultra linear และ triode มันไม่เท่ากัน เพราะฉนั้น ถ้าจะให้ตรงจุดจริงๆ คงจะต้องออกแบบภาค driver ให้มี gain ที่แตกต่างกันเพื่อชดเชย gain รวมของทั้งวงจรให้มันเท่ากัน แล้วค่อยมาฟังเปรียบเทียบกัน
บางคนอาจจะบอกว่า triode จะนุ่มนวลสุด และ pentode จะออกคม, ชัด คล้ายๆทรานซิสเตอร์ ฯลฯ ส่วน ultra linear ก็อยู่ระหว่างกลาง ซึ่งก็ควรจะเป็นแบบนั้น เพราะ gain มันก็เรียงไปตามที่ไล่มา
โดยสรุปแล้ว ผมเชื่อว่าถ้าออกแบบได้อย่างถูกต้อง ความแตกต่างระหว่าง mode ของมันมีไม่มากนักครับ คือมีแน่ๆแต่ภายใต้เงื่อนไขที่แตกต่างกันไป แต่ผมเองก็ยังสรุปฟันธงลงไปไม่ได้เหมือนกัน เพราะยังไม่ได้ทดลองแบบจริงๆจังๆครับ
อาจารย์ทดลอง แล้วมาเล่นประสพการณ์ให้เพื่อนฟัง จะพอไหวหรือไม่ครับ .................
ส่วนตัวผมจะชอบ Triode เลย สนใจใคร่จะทราบ แต่ไม่ถนัดวงจร อื่นๆ นอกจาก Triode ............. 1 stage only ครับ
-
อาจารย์ ช่วยดู โหลด ไลน์ ให้หน่อยครับ ว่าคำ นวณถูกต้องมั้ย สงสัย RL ครับ มัน เท่ากับ RP อย่างนี้จะ สามารถ ใช้งาน ได้มั้ย ส่วน เกนขยายประ มาณ 104 เท่า :P
(http://image.ohozaa.com/ia/58472.jpg) (http://image.ohozaa.com/show.php?id=8661bbcb86357ef59e364797f63fc955)
มึนอีกแล้ว
R ที่ต่อกับเพลต คือ Rp (200v/25mA =8k) ส่วนความต้านทานภายในหลอด ณ จุดที่หลอดทำงาน คือ RL ใช่มั้ย
ผมออกแบบตามตัวอย่างครับ ผิดขั้นตอนตรงไหนอีกนะ อาจารย์ช่วยหน่อย :giveup
-
ปกติความต้าทานภาย ใน (tube's plate internal resistance) จะ ใช้ Rp, rp, Ra ครับ ส่วน plate load จะ ใช้ Rl, RL ครับ
ตกลงว่า R ที่ต่อกับเพลต คือ RL แล้วที่คำนวณหา(รูปสามเหลี่ยม) มันคืออะไร ใช่การหา ความต้านทานภายในหลอดหรือเปล่า ตัวย่อคือ Rp ใช่ม้ัย
ตัวต้านทานที่ได้จากการลากโหลอไลน์ ระหว่างแรงดันกับกระแส คือตัวไหน :giveup
-
ลองดูตัวอย่างในรูปก็แล้วกันนะครับ ในรูปวงจรเป็น triode แต่จริงๆแล้วคือหลอดอะไรก็ได้ครับ ใช้หลักการเดียวกัน
-
ดีจังครับ เห็นภาพชัด ...............
-
ภาพนี้ เป็นการหา Gm ซึ่งสามารถทำ ได้ เมื่อกำ หนดจุด bias ที่ต้องการ ลาก เส้นขนาน แกน X ในที่นี้คือ เส้น แดง (ซึ่งหมายความว่า voltage ที่ plate คงที่) จากนั้น ลาก เส้น grid line เทียมๆ ขึ้นมาสอง เส้น ( เส้นน้ำ เงิน และ เส้น เขียว)
จากคำ จำ กัดความของ Gm คือ
กระ แสที่ เปลี่ยน ไป โดย voltage ที่ plate คงที่ หารด้วย voltage ที่ เปลี่ยน ไปของ grid โดยมีหน่วย เป็น mho หรือ siemens
จากรูป กระแสที่เปลี่ยน ไปคือ 10.75mA - 5.5mA = 5.25mA
Voltage ที่ grid เปลี่ยนไป 2V (จาก -7 -> -5 )
Gm = 5.25mA / 2V = 2.125 mS
แล้วที่ลากเส้นกริดไลน์สมมติขึ้นมา เป็นการหาค่า Gm ไม่ใช่หรือครับ
-
ตรงเส้นสีน้ำเงินที่มีลูกศรหัวท้าย ผมใช้มันคำนวณหาค่า Gm งั้น
หา Rp ทำอย่างไร ที่ผมคำนวณมาก็ผิดหมดเลยนะซิ.......ไม่ไปไหนเลย เวียนอยู่ที่เดิม เซ็งตัวเองจริงๆ K]
-
Gm หาจากเส้นสีน้ำเงินถูกต้องแล้วครับ เพราะ Gm คืออัตราส่วนของกระแสที่เปลี่ยนไปของหลอด เมื่อเทียบกับแรงดัน input ที่เปลี่ยนไป โดย voltage ที่ plate ยังเท่าเดิม
ส่วน Rp คือส่วนกลับของความชัน (slope)ของเส้น grid line
รูปนี้หา Gm
-
ส่วนรูปนี้หา Rp
-
สามเหลี่ยมสีน้ำเงิน(ในวงกลม) ใช้หา Rp ไม่ใช่เหรอครับ แต่มันแปลกๆ เพราะมันเป็น curve pentode
ส่วน RL ได้จากเส้นสีชมพู 200/25=8k ถ้าไม่ใช่
ผมคงต้องเริ่มอ่าน ทำความเข้าใจใหม่หมดทั้งแต่ต้น
เกรงใจอาจารย์มากเลย ที่เสียเวลามาสอนคนที่เข้าใจอะไรยาก มิหนำซ้ำ ยังสอนยากสอนเย็นอีก K]
-
งั้นลองกลับไปอ่านหน้า 1-2 อีกทีนะครับ เพราะเขียนไว้ค่อนข้างละเอียดแล้วครับ
-
แต่การลาก เส้นความต้านทานซึ่งจะ ใช้ เป็น loadline นี้ ยัง ไม่สามารถนำ ไป ใช้งานจริง ได้ เพราะ เรายัง ไม่ ได้กำ หนดจุด เริ่มต้นการทำ งานของหลอด เลย นั่นคือที่มาของสิ่งที่ เรารู้ ได้ยินกันบ่อย นั่นคือ "จุด ไบ แอส" หรือ "bias point"
หน้าที่ของ bias point คือ เป็นจุดตั้งต้น ในการทำ งานของหลอด เมื่อ เรามี bias point แล้ว มี loadline แล้ว ทั้งสองสิ่งนี้ เมื่อรวมกับ plate curve จะ ทำ ให้ เรารู้ว่าหลอด เริ่มทำ งานที่ ไหน voltage ที่หลอดทำ งาน ได้จะ มีตั้ง แต่ เท่า ไหร่ถึง เท่า ไหร่
ลองกลับมาดู curve ของ 12AU7 กำ หนดจุด bias ที่ 200V 5mA (จุด แดง) ลาก เส้น loadline 10K ตัดจุดนี้ลง ไปตามรูป
จาก plate curve นี้ เส้นสีแดงเป็นเส้นโหลดไลน์ เริ่มลากตั้งแต่ จุด 250 v ไปจนสุดที่ 25mA ก็จะ ได้ R ที่เพลต 250/25=10k
R 10k นี้ก็คือ RLใช่มั้ยครับ หรือสามเหลี่ยมที่ผมวาด เป็นการหาค่า RL (R load) อีกวิธีนึง
ถ้าใช่ ผมจะอ่านเนื้อเรื่องต่อ ไป
-
แต่การลาก เส้นความต้านทานซึ่งจะ ใช้ เป็น loadline นี้ ยัง ไม่สามารถนำ ไป ใช้งานจริง ได้ เพราะ เรายัง ไม่ ได้กำ หนดจุด เริ่มต้นการทำ งานของหลอด เลย นั่นคือที่มาของสิ่งที่ เรารู้ ได้ยินกันบ่อย นั่นคือ "จุด ไบ แอส" หรือ "bias point"
หน้าที่ของ bias point คือ เป็นจุดตั้งต้น ในการทำ งานของหลอด เมื่อ เรามี bias point แล้ว มี loadline แล้ว ทั้งสองสิ่งนี้ เมื่อรวมกับ plate curve จะ ทำ ให้ เรารู้ว่าหลอด เริ่มทำ งานที่ ไหน voltage ที่หลอดทำ งาน ได้จะ มีตั้ง แต่ เท่า ไหร่ถึง เท่า ไหร่
ลองกลับมาดู curve ของ 12AU7 กำ หนดจุด bias ที่ 200V 5mA (จุด แดง) ลาก เส้น loadline 10K ตัดจุดนี้ลง ไปตามรูป
จาก plate curve นี้ เส้นสีแดงเป็นเส้นโหลดไลน์ เริ่มลากตั้งแต่ จุด 250 v ไปจนสุดที่ 25mA ก็จะ ได้ R ที่เพลต 250/25=10k
R 10k นี้ก็คือ RLใช่มั้ยครับ หรือสามเหลี่ยมที่ผมวาด เป็นการหาค่า RL (R load) อีกวิธีนึง
ถ้าใช่ ผมจะอ่านเนื้อเรื่องต่อ ไป
เข้าใจถูกต้องแล้วครับ
-
ลืมบอกคำจำกัดความของ Rp ไป
Rp คือค่าความต้านทานภายในของหลอดครับ มองง่ายๆคือหลอดก็คือตัวต้านทานตัวหนึ่งนั่นเอง
ทำไมหลอดมีความต้านทาน?
ต้องกลับไปดูโครงสร้างของหลอดครับ หลอดที่มี electrode ตั้งแต่ 3 ขึ้นไป (triode, tetrode, pentode, hexode, etc) การนำกระแสของหลอดจะขึ้นอยู่กับ control grid ซึ่ง ถ้า control grid มีไฟลบมากๆ electron ที่วิ่งออกจาก cathode ไปยัง plate จะถูกผลักออกไปส่วนหนึ่ง ต่างจาก diode ที่ electron จาก cathode วิ่งไปที่ plate หมดเลย
ไอ้ที่ electron มันวิ่งออกไปได้ไม่หมดนี่ละครับ มันก็เปรียบเสมือนตัวต้านทานตัวหนึ่ง
plate curve ที่ยกตัวอย่างกันมา จะเห็นเส้น grid หรือ grid line ซึ่งเป็นเส้นที่บอกว่า ถ้า grid มี voltage ค่าหนึ่งๆนั้น ถ้ามี voltage ที่ plate ค่าหนึ่ง ก็จะมี current ค่าหนึ่ง และเมื่อ voltage หรือ current ของ plate เปลี่ยนไป โดยที่ voltage ที่ grid ยังคงที่ ค่า voltage และ current ก็จะเปลี่ยนตามความสัมพันธ์ของ Rp = V/I ซึ่งนี่คือคำอธิบายของภาพการหา Rp ด้านบนครับ
-
ขอบคุณครับอาจารย์ เริ่มเข้าใจบ้างแล้ว(บ้างแล้ว) พักสมองสักนิด ไปไม่ถูก สมาธิสั้น จำอะไรไม่ค่อยได้ ;D
-
นั่งอ่านทบทวนก็แล้ว ยังลากสามเหลี่ยมหาค่า Rp ไม่เป็น งั้นอาจารย์สงเคราะห์ที่ครับ จากรูปนี้ วาดสามเหลี่ยมให้ดูหน่อยครับ
-
รูปนี้วาดไม่ได้นะสิครับ เพราะ voltage เปลี่ยนไปเยอะมาก แต่กระแสแทบไม่เปลี่ยนเลย ดังนั้น Rp ของ pentode จึงมีค่าสูงมาก
แต่เนื่องจากการคำนวน gain ของ pentode นั้นเราใช้ Gm x RL ซึ่งเห็นว่าไม่มี Rp เกี่ยวข้องเลย และ output impedance ซึ่งมีค่าเท่ากับ RL ขนานกับ Rp แต่ Rp มีค่าสูงมากๆ ดังนั้น output impedance จะใกล้เคียงกับ RL ครับ
-
แล้วนี่ล่ะครับ ประมาณนี้หรือเปล่า :black_eye
-
ได้ครับ วิธีการหาก็ถูกต้องแล้วครับ
-
แล้วนี่ล่ะครับ ประมาณนี้หรือเปล่า :black_eye
c) c) c) c) c) c) ไม่ได้ลากเอง ให้เพื่อนลากให้ ว่าแต่ด้านขวามือ เราลากให้ไปสุดที่ 400v ได้มั้ยครับ ส่วนทางซ้ายเราเริ่มลากจากจุดที่หลอดเริ่มทำงานใช่มั้ยครับ คงต้องฝึกลากบ่อยๆ ไม่งั้นลืมแน่ๆ :giveup
-
การใช้ grid line เพื่อหา Rp ปกติจะต้องลากให้สั้นที่สุดครับ จะได้ค่าที่เทียงตรง ยิ่งลากยาวจะทำให้การคำนวนคลาดเคลื่อนมากขึ้น แต่สำหรับ pentode อาจจะยาวหน่อยได้ ซึ่งค่าที่ได้อาจจะไม่ได้มีความหมายในการใช้งานมากนัก เพราะ Rp ที่ได้มีค่าสูงมากครับ Rp จะมีบทบาทกับ triode มากกว่า
-
การ ใช้ grid line เพื่อหา Rp ปกติจะต้องลากให้สั้นที่สุดครับ จะได้ค่าที่เทียงตรง ยิ่งลากยาวจะทำให้การคำนวนคลาดเคลื่อนมากขึ้น แต่สำหรับ pentode อาจจะยาวหน่อย ได้ซึ่งค่าที่ได้อาจจะไม่ได้มีความหมายในการใช้งานมากนัก เพราะ Rp ที่ได้มีค่าสูงมากครับ Rp จะ มีบทบาทกับ triode มากกว่า
ขอบคุณครับอาจารย์ เอาเรื่องนี้ให้เคลียร์ก่อน แล้วค่อยว่าเรื่องอื่นต่อ... :)
-
อาจารย์ช่วยดูหน่อย ผมลองลากเอง ไม่รู้ถูกหรือเปล่า กำหนดจุดถูกต้องมั้ยครับ(เริ่มจาก 400v)
Rp = 335v/2mA = 167.5K
รูปที่ 2 ได้ Rp = 205v/3mA = 68.3K :black_eye
-
ขยันเรียนมากเลยครับ ................
Y] O0
-
ขยันเรียนมากเลยครับ ................
Y] O0
:headphone ขอบคุณครับ แต่ยังไปไหนได้ไม่ไกล ยังวนๆอยู่แต่เรื่องนี้ :kicking
-
ขยันเรียนมากเลยครับ ................
Y] O0
:headphone ขอบคุณครับ แต่ยังไปไหนได้ไม่ไกล ยังวนๆอยู่แต่เรื่องนี้ :kicking
เรียนต้องเรียนให้เข้าใจหลักครับ ดีครับ ทำมากๆๆ ผมคอยตามดูได้ความรู้ไปด้วยครับ .............. Y] O0
-
รออาจารย์ตรวจการบ้าน ถ้าถูก จะได้ฝึกกระบวนท่าต่อไป (สงสัยเหมือนเดิม...ผิด):help
-
จะเอาการบ้านมาให้ตรวจ แต่ของเก่ายังไม่ได้ตรวจเลย :help
-
อาจารย์ช่วยดูหน่อย ผมลองลากเอง ไม่รู้ถูกหรือเปล่า กำหนดจุดถูกต้องมั้ยครับ(เริ่มจาก 400v)
Rp = 335v/2mA = 167.5K
รูปที่ 2 ได้ Rp = 205v/3mA = 68.3K :black_eye
ถูกต้องทั้งคู่ครับ
-
อาจารย์ช่วยดูหน่อย ผมลองลากเอง ไม่รู้ถูกหรือเปล่า กำหนดจุดถูกต้องมั้ยครับ(เริ่มจาก 400v)
Rp = 335v/2mA = 167.5K
รูปที่ 2 ได้ Rp = 205v/3mA = 68.3K :black_eye
ถูกต้องทั้งคู่ครับ
ขอบคุณครับ แล้วจะเอาการบ้านมาให้ อ. ตรวจอีกนะครับ
-
อาจารย์ช่วยดูหน่อย ผมลองลากเอง ไม่รู้ถูกหรือเปล่า กำหนดจุดถูกต้องมั้ยครับ(เริ่มจาก 400v)
Rp = 335v/2mA = 167.5K
รูปที่ 2 ได้ Rp = 205v/3mA = 68.3K :black_eye
จาก plate curve 2 รูป ถ้าผมนำไปใชังานจริงๆ มันจะมีตรงไหนที่ต้องแก้ใขบ้างครับ
-
เท่าที่ดูก็น่าจะใช้งานได้ครับ แต่จริงๆแล้วคงไม่รู้จนกว่าจะได้วัดผลลัพธ์ที่แท้จริงออกมาครับ
-
จาก curve 6688 ผมใช้งานอยู่ครับ เท่าที่ฟังอยู่ ก็ไม่พบปัญหาอะไร
จะมีก็ตรงที่ vg2 ไม่ตรงตาม curve ตรงนี้มีผลต่ออัตราขยายอย่างเดียวหรือเปล่า
Vbias ก็คลาดเคลื่อนไปจากที่คำนวณนิดหน่อย
-
มีผลครับ โดยเฉพาะความเพี้ยน ปกติ pentode ชอบ voltage ที่ screen grid สูงๆ ลองดูอย่าง EL34 สิครับ Vg2 ยิ่งสูง หลอดยิ่ง linear แต่ถ้าระดับสัญญาณต่ำๆอาจจะมีผลไม่มากนัก
-
มีผลครับ โดย เฉพาะ ความ เพี้ยน ปกติ pentode ชอบ voltage ที่ screen grid สูงๆ ลองดูอย่าง EL34 สิครับ Vg2 ยิ่งสูง หลอดยิ่ง linear แต่ถ้าระ ดับสัญญาณต่ำ ๆ อาจจะ มีผล ไม่มากนัก
การต่อแบบ ไตร โอด หลอดมีความเป็นเชิง เส้นมากกว่า เพนโทตมั้ยครับ
เพราะ ว่า Vg2 มันเยอะกว่า Vplate แต่อย่างไรเสีย ก็ต้องระวัง อย่าให้เกินค่า max ใช่มั้ยครับ
-
ไม่แน่ครับ pentode บางหลอดก็ linear กว่า triode ครับ
-
ไม่แน่ครับ pentode บางหลอดก็ linear กว่า triode ครับ
ขอบคุณครับ พอดี
ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ลากโหลดไลน์ เลยไม่มีอะไรจะถาม
-
อาจารย์์ช่วยสอนการออกแบบหลอดเพาเวอร์ด้วยได้มั้ยครับ ..
:)
-
อาจารย์ช่วยสอนการออกแบบ ปรีสองสเตจให้หน่อยซิครับ ว่าเราควรจะออกแบบอย่างไร เพื่อให้เหมาะสม เช่น ภาคแรกขยายกี่เท่า ภาคที่สองกี่เท่า
-
อาจารย์ ช่วยสอนการออก แบบ ปรีสองสเตจให้หน่อยซิครับ ว่าเราควรจะออกแบบอย่าง ไร เพื่อให้เหมาะสม เช่น ภาคแรกขยายกี่เท่า ภาคที่สองกี่เท่า
สมมติใช้กับ EL34 bias -22v
-
อาจารย์์ช่วยสอนการออกแบบหลอดเพาเวอร์ด้วยได้มั้ยครับ ..
:)
อาจารย์ช่วยสอนการออกแบบ ปรีสองสเตจให้หน่อยซิครับ ว่าเราควรจะออกแบบอย่างไร เพื่อให้เหมาะสม เช่น ภาคแรกขยายกี่เท่า ภาคที่สองกี่เท่า
:clap :clap :clap ขอมาเรียนด้วยนะครับ :help
-
จะพยายามต่อไป ขออ่านและทำความเข้าใจไปทีละน้อย
-
O0 :clap :headphone
-
ผมยังค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เกี่ยวกับ imp และการออกวงจรที่ถูกต้องตามหลักการ ได้แค่ออกแบบให้หลอดทำงานได้และปลอดภัยต่อตัวหลอดเท่านั้นเอง
-
ยากเหมือนกันนะครับ ถ้าไม่ศึกษาดีๆมีงงครับ แค่การไบอัสก็ไม่เหมือนกันแล้วครับ ดูแต่ละวงจรที่ออกมาค่าไม่เหมือนกันเลยทั้งๆที่ใช้ตารางค่าของหลอดค่าเดียวกัน
-
ยากเหมือนกันนะครับ ถ้าไม่ศึกษาดีๆมีงงครับ แค่การไบอัสก็ไม่เหมือนกันแล้วครับ ดูแต่ละวงจรที่ออกมาค่าไม่เหมือนกันเลยทั้งๆที่ใช้ตารางค่าของหลอดค่าเดียวกัน
ไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่ายครับ :)
-
:showoff
ไม่ได้ เรียนเลยอะ เด็กแว๊น หนีเรียน แล้ว :drive1 :drive1
สงสัึย พี่เอกจะได้ เกียรตินิยม คนเดียว O0
-
ไม่ได้ทบทวนเลยป๋า ลืมหมดแล้ว คงต้องกลับมาอ่านใหม่ตั้งแต่ต้น :giveup
-
อยากให้อาจารย์มาสอนต่อ เรื่องการออกแบบภาคเพาเวอร์ K]
-
อยากให้อาจารย์มาสอนต่อ เรื่องการออกแบบภาคเพาเวอร์ K]
ดัน
-
น่าเสียดาย รูปหายหมดเลย :cry2